Golden Land เปิดเผยผลงานปี 57 มีกำไรถึงไตรมาส 3 แล้วกว่า 369 ล้านบาท พร้อมคาดการณ์รายได้รวมทั้งปี 3,800 ล้านบาท ประสบความสำเร็จเกินกว่าเป้าที่ตั้งไว้ ดันบริษัทโต 138% พร้อมจัดตั้งกองทุนอสังหาริมทรัพย์ ร่วมกับยูนิเวนเจอร์ คาดการณ์รายได้ปี 58 สูงถึง 8,000 ล้านบาท หลังควบรวม KLand พร้อมลุยทุกเซ็กเม้นต์กลายเป็นบริษัทที่มีสินทรัพย์กว่า 20,000 ล้านบาท
บริษัท แผ่นดินทอง พร็อพเพอร์ตี้ ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) (โกลเด้นแลนด์ หรือ GOLD) เปิดเผยผลการดำเนินงานตามแผนบันไดทองสามขั้น (2556-2558) เมื่อปี 2557 ที่ผ่านมาบริษัทฯ ได้พลิกฟื้นกลับมาทำกำไรก่อนเป้าหมาย ซึ่งเดิมตั้งเป้าว่าจะกลับมาทำกำไรในปี 2558 โดยในไตรมาส 3 ของปี 2557 สามารถทำกำไรได้ถึง 369.36 ล้านบาท เทียบกับผลประกอบการของปี 2556 ที่มีการขาดทุน 454 ล้านบาท นับเป็นการพลิกฟื้นกลับมาทำกำไรหลังจากขาดทุนต่อเนื่องกว่า 6 ปี ทั้งนี้คาดการณ์ว่ารายได้ทั้งปี 2557 จะมีรายได้ประมาณ 3,800 ล้านบาท เมื่อเทียบกับปี 2556 มีรายได้ 1,594 ล้านบาท เป็นการเติบโตกว่า 138%
บริษัทใช้กลยุทธ์สำคัญ คือ การจัดตั้งกองทุนอสังหาริมทรัพย์ (REIT) โดยการนำอาคารสารทรสแควร์และอาคารปาร์คเวนเชอร์ อีโคเพล็กซ์ของบริษัท ยูนิเวนเจอร์ จำกัด (มหาชน) ซึ่งเป็นอาคารสำนักงานที่มียุทธศาสตร์ที่ตั้งโดดเด่นเชื่อมต่อรถไฟฟ้า BTS ตั้งอยู่ใจกลางศูนย์กลางธุรกิจ (CBD) มีบริษัทชั้นนำระดับโลกให้ความไว้วางใจเลือกเช่าพื้นที่ อีกทั้งยังมีอัตราค่าเช่าอยู่ในลำดับต้นของประเทศทั้ง 2 อาคาร และมีโครงการใหม่ ได้แก่ โครงการ FYI Center หัวมุมถนนรัชดาภิเษก-พระราม 4 ที่มีกำหนดแล้วเสร็จในปี 2559 ซึ่งจะทำให้มีรายได้จากโครงการเชิงพาณิชย์เพิ่มสูงขึ้น
ธนพล ศิริธนชัย ประธานอำนวยการ บริษัท แผ่นดินทอง พร็อพเพอร์ตี้ ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) (โกลเด้นแลนด์ หรือ GOLD) เปิดเผยว่า การได้มาซึ่ง บริษัท กรุงเทพบ้านและที่ดิน จำกัด (มหาชน) หรือ KLand ทำให้พอร์ทการพัฒนาโครงการแนวราบของบริษัทเติบโตอย่างก้าวกระโดด ทำให้ทรัพย์สินของบริษัทเพิ่มขึ้นเป็น 20,774 ล้านบาท จากเดิม 12,580 ล้านบาทในปี 2557 และคาดการณ์ว่ารายได้ปี 2558 จะเพิ่มเป็น 8,000 ล้านบาท ซึ่งจะเติบโตเป็น 111% จากรายได้ 3,800 ล้านบาท ในปี 2557 ความท้าทายต่อไปของบริษัทจึงไม่ได้อยู่ที่การพลิกฟื้นผลประกอบการให้เป็นกำไรอีกต่อไป แต่บริษัทได้ตั้งเป้าหมายใหม่ในการเติบโตสู่การเป็นผู้นำอสังหาริมทรัพย์ 5 อันดับแรกของประเทศภายในปี 2561 โดยคาดการณ์ว่าบริษัทจะมียอดขายรวมประมาณกว่า 30,000 ล้านบาทในอีก 4 ปีข้างหน้า
นายแสนผิน สุขี กรรมการผู้จัดการใหญ่ โกลเด้นแลนด์ เรสซิเด้นซ์ กรุ๊ป ซึ่งเป็นกลุ่มบริษัทในเครือของ บริษัท แผ่นดินทอง พร็อพเพอร์ตี้ ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) (โกลเด้นแลนด์ หรือ GOLD) กล่าวว่า สำหรับแผนการเปิดโครงการนั้น ในปี 2558 บริษัทเตรียมเปิดขายโครงการใหม่อีก 13 โครงการ ซึ่งแบ่งเป็น ไตรมาสที่ 1 จำนวน 2 โครงการ ไตรมาสที่ 2 จำนวน 5 โครงการ ไตรมาสที่ 3 จำนวน 5 โครงการ และไตรมาสที่ 4 จำนวน 1 โครงการ โดยเมื่อรวมกับโครงการของเคแลนด์แล้ว จะทำให้บริษัทมีโครงการที่อยู่ระหว่างการขายและก่อสร้างมากถึง 33 โครงการ นับเป็นการเติบโตอย่างก้าวกระโดดที่สร้างความท้าทายให้กับทีมงานเป็นอย่างมาก โดยในปีนี้บริษัทได้เตรียมงบประมาณซื้อที่ดินไว้ที่ 2,700 ล้านบาทเพื่อรองรับการกับจำนวนโครงการดังกล่าว
และยังเปิดเผยต่อว่า ภาพรวมอสังหาริมทรัพย์ ผู้บริโภคกลุ่มตลาดไฮเอนด์มีฐานะค่อนข้างดี จึงมีแนวโน้มในการต้องการสินเชื่อน้อยกว่าผู้ทีมีฐานะทางการเงินระดับกลาง แม้จะมีอัตราดอกเบี้ยที่จะเพิ่มขึ้นในอนาคตก็จะส่งผลกระทบต่อกำลังซื้อของตลาดกลุ่มนี้น้อยกว่า เนื่องจากใช้เงินสดในการซื้อเป็นส่วนใหญ่ขณะที่บริษัทยังมองเห็นปัจจัยบวกด้านที่ส่งผลโดยตรงถึงอสังหาริมทรัพย์แนวราบ ได้แก่ อัตราการเพิ่มของราคาวัสดุก่อสร้างคงที่ การลดลงของราคาน้ำมันทำให้ต้นทุนการดำเนินงานลดลง อัตราการเปิดตัวคอนโดมิเนียมชะลอตัวและโครงการที่เปิดใหม่ส่วนใหญ่มีราคาสูงเกินกว่ากลุ่มระดับกลางจะสามารถซื้อได้
หลังจากได้ควบรวมเคแลนด์เข้ามาแล้ว จะทำให้บริษัทมีสินค้าที่ตอบสนองได้ครบทุกกลุ่มในตลาดตั้งแต่ระดับกลาง-ไฮเอนด์ ที่มีระดับราคาตั้งแต่ 2-20 ล้านบาทขึ้นไป ซึ่งบริษัทได้ตั้งเป้าหมายรายได้จากการพัฒนาโครงการแนวราบในปี 2558 ไว้ที่ 7,280 ล้านบาท ซึ่งจะเติบโตเพิ่มขึ้นอีก 200% จากปีที่แล้วที่มีรายได้จากโครงการแนวราบที่ 2,300 ล้านบาท โดยมองว่าการควบรวมกับเคแลนด์นั้นมีข้อดีในการพัฒนาโครงการ ดังนี้
- เป็นการเพิ่มเซ็กเม้นต์ใหม่ที่ประหยัดงบประมาณเพื่อสร้างแบรนด์ เนื่องจากโครงการของเคแลนด์เป็นที่รู้จักในท้องตลาด
- ทุ่นเวลาในการพัฒนาทรัพยากรบุคคล เพื่อให้ทันต่อโอกาสในการพัฒนาโครงการในภาวะตลาดปัจจุบัน ซึ่งการควบรวมนี้จะทำให้บริษัทมีทีมงานที่มีศักยภาพพร้อมเข้าทำงานในทันที
- บริษัทจะมีสินค้าตอบโจทย์ทุกตลาดที่นอกจากจะรองรับการเติบโตก้าวกระโดดยังช่วยลดความเสี่ยงจากภาวะเศรษฐกิจผันผวนจากปัจจัยภายนอกได้อีกด้วย