Frasers Property Industrial (Thailand) หรือ “FPIT” ผู้นำการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์เพื่ออุตสาหกรรมสมัยใหม่ของประเทศไทย ในเครือบริษัท เฟรเซอร์ส พร็อพเพอร์ตี้ ประเทศไทย จำกัด (มหาชน) หรือ “FPT” จัดงานแถลงข่าว The New Inspiring Seamless Business Solution Experiences 2021 โดย นายโสภณ ราชรักษา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ได้เผยทิศทางผลประกอบการธุรกิจปี 2564 พร้อมกลยุทธ์และเป้าหมายการดำเนินงานในอีก 5 ปีข้างหน้าซึ่งเน้นการสร้างความแข็งแกร่งและการเติบโตในทุกมิติ เพื่อรองรับความต้องการของตลาดที่เพิ่มสูงขึ้นและเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว โดยจะนำประสบการณ์และความชำนาญในธุรกิจกว่า 30 ปี มาพัฒนาเป็นโซลูชั่นครบวงจรที่ตอบโจทย์ทุกความต้องการลูกค้าได้อย่างไร้รอยต่อ ผ่านการดำเนินงานตามแผนกลยุทธ์ใหม่ ‘น่านน้ำสีม่วง หรือ Purple Ocean Strategy’ ที่เสริมสร้างความพร้อมและความแตกต่างให้แก่บริษัทฯในการขับเคลื่อนธุรกิจได้อย่างแข็งแกร่ง ไม่ว่าจะเผชิญกับการแข่งขันสูงในน่านน้ำสีแดง หรือการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วที่กำลังเกิดขึ้นในน่านน้ำสีน้ำเงิน หรือหากต้องเผชิญกับทั้งสองน่านน้ำในคราวเดียวกันใน น่านน้ำสีม่วง

นายโสภณ ราชรักษา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เฟรเซอร์ส พร็อพเพอร์ตี้ อินดัสเทรียล (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า “ที่ผ่านมา FPIT ได้มุ่งพัฒนาสินค้าและบริการอย่างต่อเนื่อง รวมถึงได้สร้างความแข็งแกร่งในการดำเนินธุรกิจผ่านกระบวนการ Business Transformation เพื่อปรับรูปแบบการทำงานให้สอดรับกับความต้องการของลูกค้าที่เปลี่ยนแปลงตลอดเวลาได้อย่างรวดเร็ว ทำให้เรามีทั้งความพร้อมและความสามารถที่จะแข่งขันในทุกโอกาส และส่งผลให้ FPIT ยังคงรักษาความเป็นผู้นำของธุรกิจอสังหาริมทรัพย์เพื่ออุตสาหกรรมของประเทศไทย โดยปัจจุบันมีพื้นที่ภายใต้การบริหารจัดการทั้งสิ้นรวมกว่า 3 ล้าน ตารางเมตร ทั้งยังมีอัตราการเช่าที่สูงถึงกว่าร้อยละ 82 ในปี 2564”

เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของบริษัทฯ FPIT ได้กำหนดยุทธศาสตร์ “เราพร้อม” (We are ready) และ “เราต่าง” (We are different) เป็นส่วนหนึ่งของกลยุทธ์น่านน้ำสีม่วง โดยมุ่งเน้นการดำเนินงานด้านต่อไปนี้

การสร้างความพร้อม:

  • เพิ่มทำเลศักยภาพเชิงอุตสาหกรรมเข้ามาในพอร์ตโฟลิโอ เพื่อสร้างความได้เปรียบทางการแข่งขัน
  • สานความร่วมมือกับพันธมิตรทั้งในประเทศและต่างประเทศที่มีความสามารถเฉพาะด้าน เพื่อต่อยอดด้านการให้บริการลูกค้าในรอบด้าน อาทิ การเสริมบริการระบบออโตเมชั่น การบริหารทรัพย์สิน และการพัฒนาธุรกิจใหม่
  • การปรับปรุงอาคารโรงงานและคลังสินค้าปัจจุบันให้มีความทันสมัยและพร้อมตอบโจทย์ความต้องการใช้งานของลูกค้าในปัจจุบัน ภายใต้โครงการ Asset Enhancement Initiative (AEI)
  • ขยายการลงทุนไปยังต่างประเทศ เพื่อสร้างความพร้อมในการให้บริการลูกค้าในทุกตลาด โดยปัจจุบันได้ลงทุนแล้วที่ประเทศอินโดนีเซีย ใกล้กรุงจาการ์ตา และในประเทศเวียดนาม ที่เมืองบินห์เยือง โดยใช้ประสบการณ์และความสามารถของบริษัทฯ ไปสร้างระบบนิเวศของธุรกิจในต่างประเทศให้แข็งแกร่งยิ่งขึ้น
  • พัฒนาบุคลากรให้สอดคล้องกับการดำเนินงานที่มีมาตรฐานระดับสากล โดยเน้นการประยุกต์ใช้องค์ความรู้สมัยใหม่ อาทิ Design Thinking, Customer Centric และ Human Centric เพื่อพัฒนาสินค้าและบริการให้ตอบโจทย์ลูกค้าได้อย่างครอบคลุม และมุ่งเน้นการบริหารจัดการทรัพย์สินอย่างมีประสิทธิภาพโดยใช้ Big Data และ เทคนิคการทำ Asset Management
  • สร้าง PropTech Platform โดยนำการใช้นวัตกรรมและเทคโนโลยีเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของการพัฒนาอาคาร เพื่อเพิ่มความสามารถในการให้บริการด้วยแนวคิดอาคารอัจฉริยะ (Smart Building)

การสร้างความแตกต่าง:

  • เดินหน้าพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ทางด้านอุตสาหกรรมรูปแบบใหม่ เพื่อตอบโจทย์ความต้องการที่หลากหลาย อาทิ โครงการ In-Property Logistics และโครงการ In-City Logistics เพื่อย่อขนาดพื้นที่โลจิสติกส์เข้าสู่ในเมือง และในขณะเดียวกัน ก็เตรียมการออกแบบเพื่อขยายขนาดการพัฒนาพื้นที่ขนาดใหญ่ อาทิ โครงการเมืองอุตสาหกรรม (Industrial Township) ที่เป็นการรวมอสังหาริมทรัพย์หลายประเภทเข้าไว้ในพื้นที่พัฒนาเดียวกัน
  • มุ่งพัฒนาการดำเนินงานตามแนวทาง ESG (Environmental, Social, Governance) โดยได้จัดทำนโยบาย Green Development Policy เพื่อให้ความสำคัญกับการพัฒนาอาคารที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม และชุมชนโดยรอบ และมีความยั่งยืนในด้านการบริหารจัดการ รวมถึงการขยายการลงทุนในระบบผลิตไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ เพื่อรองรับดีมานด์ของลูกค้าองค์กรที่ให้ความสำคัญกับการปฏิบัติตามแนวทางความยั่งยืนมากยิ่งขึ้น
  • พัฒนาโมเดลธุรกิจใหม่เพื่อสร้างทางเลือกใหม่ในการให้บริการพื้นที่อาคารอุตสาหกรรม อาทิ รูปแบบ Co-Warehousing หรือ Flexible Space เพื่อรองรับความต้องการพื้นที่จัดเก็บที่มีความคล่องตัวมากยิ่งขึ้น เพื่อให้บริการแก่ผู้ประกอบการรายย่อย ตลอดจนการพัฒนาการให้บริการที่รองรับระบบ Smart Storage ด้วยการใช้ IoT มาเพิ่มประสิทธิภาพในการบริหารจัดการ

“แม้ว่าที่ผ่านมาเราจะได้รับอานิสงค์จากสงครามการค้าและสถานการณ์โควิด-19 ซึ่งทำให้เราเติบโตอย่างน่าพึงพอใจ แต่ด้วยการพัฒนาอย่างไม่หยุดยั้ง ประกอบกับการประยุกต์ใช้กลยุทธ์และยุทธศาสตร์ใหม่ของ FPIT นี้ เรามั่นใจว่าบริษัทฯจะสามารถสร้างการเติบโตต่อไปได้อย่างมั่นคงและแข็งแกร่ง ซึ่งจะทำให้เฟรเซอร์ส พร็อพเพอร์ตี้ อินดัสเทรียล (ประเทศไทย) มีรายได้เติบโตร้อยละ 10-15 ต่อปี และสามารถขยายพื้นที่ภายใต้การบริหารจัดการเพิ่มขึ้นกว่า 1 ล้านตารางเมตร ภายในปี 2568 โดย FPIT จะยังเดินหน้าพัฒนาโครงการที่รองรับทุกความต้องการของลูกค้า ตามแนวคิด การสร้างสรรค์พื้นที่แห่งแรงบันดาลใจที่เอื้อให้ธุรกิจของลูกค้าดำเนินไปได้อย่างไร้รอยต่อ หรือ Inspiring Seamless Business Solution Experience ในทุกสภาวการณ์” นายโสภณ กล่าวเสริม