Forest Rescue – MQDC ผู้ดำเนินกิจการพัฒนา ลงทุน และจัดการอสังหาริมทรัพย์ เจ้าของและผู้พัฒนาโครงการที่พักอาศัยและมิกซ์ยูสคุณภาพ โครงการ THE FORESTIAS – เดอะ ฟอเรสเทียส์ เดินเครื่องตอกย้ำความสำคัญของธรรมชาติและระบบนิเวศของโลก ทุ่มงบกว่า 70 ล้านบาท เปิดแคมเปญ “Forest Rescue – ฟอเรส เรสคิว” ปฏิบัติการกู้ชีพต้นไม้รอบกรุงเทพฯ และปริมณฑล สร้างความตระหนักรู้เกี่ยวกับคุณค่าและความสำคัญของธรรมชาติ ผ่านวิดีโอคอนเทนต์ พร้อมเปิดช่องทางรับเรื่องให้ความช่วยเหลือต้นไม้ทั่วกรุงเทพฯ และปริมณฑล ผ่าน  www.facebook.com/theforestias หรือแฮชแท็ก #ForestRescue รวมทั้งจัดทีมผู้เชี่ยวชาญเฉพาะกิจ
เข้าสำรวจพื้นที่ ขนย้าย และพักฟื้น โดยนักนิเวศวิทยาที่มีประสบการณ์สูง และแบ่งปันพื้นที่สีเขียวสาธารณะภายใน THE FORESTIAS – เดอะ ฟอเรสเทียส์ ให้ต้นไม้ได้พักพิงในพื้นที่ 3 ไร่ หรือ 4,800 ตารางเมตร

 

นางศศินันท์ ออลแมนด์ ผู้อำนวยการบริหาร ฝ่ายการตลาดและสื่อสารองค์กร บริษัท แมกโนเลีย ควอลิตี้  ดีเวล็อปเม้นต์ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (MQDC) กล่าวว่า “ปัจจุบัน องค์กรต่างๆ ทั่วโลกต่างให้ความสำคัญของระบบนิเวศวิทยาธรรมชาติ เพราะนับเป็นปัญหาที่ส่งผลกระทบถึงคนหมู่มาก ซึ่งอ้างอิงข้อมูลจากสถานการณ์ธรรมชาติป่าไม้  โดยองค์การอาหารและการเกษตรแห่งสหประชาชาติ (Food and Agriculture Organization of the United Nations: FAO) ที่เก็บข้อมูลตั้งแต่ปี ค.ศ. 1990-2015 ผ่านประมวลผลจากภาพถ่ายดาวเทียม พบว่า โลกเรามีต้นไม้ราว 3 ล้านล้านต้น ซึ่งผลการประเมินชี้ชัดว่าตั้งแต่ปี ค.ศ. 1990 โลกสูญเสียพื้นที่ป่าถึง 1.3 ล้านตารางกิโลเมตร ใหญ่กว่าพื้นที่ของทวีปแอฟริกาใต้ หรือทุกๆ 1 ชั่วโมง พื้นที่ป่าจะหายไปขนาดเท่าสนามฟุตบอลไซส์มาตรฐาน (7,140 ตารางเมตร) จำนวน 800 สนามต่อชั่วโมง โดยเฉพาะพื้นที่ป่าในโซนประเทศเขตร้อนมีการสูญเสียที่รวดเร็วกว่าพื้นที่อื่นๆ ของโลก สำหรับประเทศไทยโดยมูลนิธิสืบนาคะเสถียร พบว่า ปัจจุบันประเทศไทยมีพื้นที่ป่าไม้อยู่ที่ร้อยละ 31.58 ลดลงจากปี พ.ศ. 2558 ร้อยละ 0.02 หรือประมาณ 65,000 ไร่ ซึ่งนับเป็นสถานการณ์ที่น่าเป็นห่วง”

 

สอดคล้องกับคำมั่นสัญญาขององค์กร ‘for all well-being’ ที่เริ่มต้นจากความตั้งใจในการสร้างสรรค์สิ่งที่ดีที่สุดในการใช้ชีวิต เพื่อส่งผลดีต่อทุกการดำเนินชีวิต พร้อมร่วมเป็นส่วนหนึ่งของโลก ผ่านการออกแบบที่ใส่ใจธรรมชาติ นำนวัตกรรมใหม่ๆ มาปรับใช้ในการสร้างสรรค์โครงการเพื่อสร้างสังคมคุณภาพที่ดี รวมทั้งการร่วมอนุรักษ์สภาพแวดล้อม และโลก เพื่อการใช้ชีวิตที่ดีของทุกคนในอนาคต เช่น การสร้างสภาพแวดล้อมสำหรับการอยู่ร่วมกันของคนทั้ง 4 รุ่น การสร้างธรรมชาติให้อยู่คู่ธรรมชาติโดยมีการใช้พลังงานอย่างคุ้มค่า รวมถึงการสร้างผลงานคุณภาพที่มีความปลอดภัย ตอบสนองความต้องการของลูกค้า และสร้างชุมชนให้เป็นสังคมที่น่าอยู่ขึ้น เพื่อรากฐานของคนไทยในอนาคต เน้นการค้นคว้าวิจัย เพื่อเข้าใจ    ความต้องการและพฤติกรรมของมนุษย์ นำความรู้มาใช้ในการออกแบบโดยใส่เทคโนโลยี และนวัตกรรม เน้นสร้าง ความเป็นอยู่ที่ดีและความยั่งยืน ทำให้เราได้สร้างสรรค์โปรเจกต์แฟลกชิพ “THE FORESTIAS – เดอะ ฟอเรสเทียส์” ขึ้น ครั้งแรกกับโมเดลการใช้ชีวิตเข้ากับระบบนิเวศที่สมดุลเพื่อความสุขที่ยั่งยืน ภายใต้คอนเซ็ปต์ “Imagine Happiness” โดยล่าสุดได้ใช้งบกว่า 70 ล้านบาท เปิดแคมเปญ “Forest Rescue – ฟอเรส เรสคิว” ปฏิบัติการกู้ชีพต้นไม้   รอบกรุงเทพฯ และปริมณฑล ซึ่งเป็นหนึ่งในภารกิจของโปรเจกต์แฟลกชิพอย่าง “THE FORESTIAS –  เดอะ ฟอเรสเทียส์” ที่ต้องการช่วยรักษาชีวิตของต้นไม้ผ่านการเคลื่อนย้ายและจัดสรรพื้นที่ เพื่อเป็นบ้านหลังใหม่ให้ต้นไม้สามารถเติบโตต่อไปในอนาคต”

 

นายกิตติพันธุ์ อุยยามะพันธุ์ ผู้อำนวยการอาวุโส บริษัท แมกโนเลีย ควอลิตี้ ดีเวล็อปเม้นต์ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (MQDC) กล่าวว่า “THE FORESTIAS – เดอะ ฟอเรสเทียส์” เกิดบนคำถามที่ว่า “ความสุขที่แท้จริงของชีวิตเราคืออะไร?” โดยเราได้สร้างสรรค์รูปแบบความสุขที่ยั่งยืนผ่านโครงการ Mixed-use โมเดลแรกของโลกที่ครบบริบูรณ์ด้วย แนวความคิดหมวดใหญ่ 4 ประการ หรือ Eternal 4 ได้แก่ 50 Shades of Nature ความสุขในการใช้ชีวิตท่ามกลางธรรมชาติระบบนิเวศขนาดใหญ่ Connecting 4 Generations ความสุขในการดีไซน์พื้นที่ความอบอุ่นให้กับครอบครัวได้ใช้ชีวิตร่วมกันครอบคลุมถึง 4 เจนเนอเรชั่น Community of Dreams ความสุขบนพื้นที่และสาธารณูปโภคที่ให้ทุกคนได้ทำกิจกรรมร่วมกัน Sustainnovation for Well-being ความสุขด้วยเทคโนโลยีและนวัตกรรมเพื่อความยั่งยืน ที่ตอกย้ำความสุขของมนุษย์ที่ได้อาศัยอยู่ท่ามกลางธรรมชาติที่สมบูรณ์แบบ ซึ่งแคมเปญ “Forest Rescue – ฟอเรส เรสคิว” ปฏิบัติการกู้ชีพต้นไม้รอบกรุงเทพฯ และปริมณฑล เริ่มต้นและดำเนินการด้วยมุมมองที่ต้องการช่วยเหลือและอนุรักษ์ต้นไม้ใหญ่ เพิ่มพื้นที่สีเขียวและพื้นที่ออกซิเจนให้สังคมเมืองมากขึ้น เพราะปัจจุบันต้นไม้ใหญ่หลายๆพื้นที่ มักตกเป็นเหยื่อของการพัฒนา การก่อสร้างถนน อาคาร สถานที่ หรือสาธารณูปโภคต่างๆ ทำให้ระบบนิเวศของเมืองมีสถานภาพเสื่อมโทรมลง หรือมีศักยภาพในการช่วยเติมเต็มอากาศบริสุทธิ์ให้เมืองน้อยลง บางพื้นที่ต้นไม้ใหญ่มีสุขภาพแย่ลงเพราะขาดคนดูแล กิ่งแห้งตาย เกิดโพรง เกิดการโค่นล้ม จนเป็นปัญหาที่อันตรายแก่ผู้สัญจรไปมาและอาคารบ้านเรือนในละแวกใกล้เคียง ทั้งนี้ เพื่อเป็นการจัดการได้อย่างถูกวิธีและรวดเร็ว ทาง “THE FORESTIAS – เดอะ ฟอเรสเทียส์” จึงได้จัดตั้งทีมปฏิบัติการที่เรียกว่า Forest Rescue Team ประกอบด้วย นักนิเวศวิทยาที่มีประสบการณ์สูง ผู้ดูแลต้นไม้ (รุกขกร) และผู้ที่มีความเชี่ยวชาญเฉพาะด้าน ลงสำรวจพื้นที่รอบกรุงเทพฯ และปริมณฑล เพื่อวางแผนและประเมินสถานการณ์ ดำเนินการเคลื่อนย้ายต้นไม้จากจุดเดิมไปยังระบบนิเวศบ้านหลังใหม่ พร้อมทั้งเปิดช่องทางในการติดต่อสื่อสารและแจ้งข้อความช่วยเหลือต้นไม้ผ่านทาง www.facebook.com/theforestias หรือแฮชแท็ก #ForestRescue โดยเรากำหนดระยะเวลาในการดำเนินโครงการทั้งสิ้น 6 เดือน เริ่มตั้งแต่วันนี้ ถึง 31 ธันวาคมนี้ ทั้งนี้ ต้นไม้ที่ได้รับการช่วยเหลือทั้งหมด    จะนำมาเป็นส่วนหนึ่งของระบบนิเวศภายในโครงการ “THE FORESTIAS – เดอะ ฟอเรสเทียส์” บนพื้นที่ 3 ไร่ หรือ 4,800 ตารางเมตร โดยต้นไม้แต่ละต้นที่ได้รับการช่วยเหลือจะถูกติดป้ายบ่งบอกถึงที่อยู่เดิม เพื่อให้เจ้าของเดิมหรือประชาชนทั่วไปเข้ามาเยี่ยมเยียน พักผ่อน หรือศึกษาระบบนิเวศธรรมชาติ ซึ่งจะเปิดเป็นพื้นที่สาธารณะส่วนหนึ่งให้แก่ประชาชนทั่วไปเข้าชมโดยไม่คิดค่าใช้จ่ายใดๆ

สำหรับการสื่อสารประชาสัมพันธ์ บริษัทฯ ได้จัดทำวิดีโอคอนเทนต์ เรื่อง “Forest Rescue” ซึ่งได้นำเสนอมุมมองผ่าน
เค้าโครงเรื่องจริงของต้นจามจุรี ซอยลาดพร้าว 110 ซึ่งเป็นต้นไม้เดิมของบ้านหลังหนึ่ง ที่ต้องการขยายที่อยู่อาศัยจึงมี
ความจำเป็นต้องนำต้นไม้ออกจากพื้นที่ จึงได้ติดต่อทีมงาน เพื่อช่วยเหลือในการล้อมย้ายต้นไม้แทนการตัดทิ้ง เพื่อไปยัง ที่อยู่ใหม่ภายในโครงการ “THE FORESTIAS – เดอะ ฟอเรสเทียส์” นับเป็นมุมมองความผูกพันของมนุษย์และต้นไม้  ที่น้อยคนนักที่จะรับรู้ได้ นอกจากนี้ ยังได้วางกลยุทธ์การสื่อสารผ่านช่องทางออนไลน์เป็นหลัก อาทิ โซเชียลมีเดีย (Social Media) ทั้งเฟสบุ๊ค (Facebook) บทความออนไลน์ (Content online) รายการโทรทัศน์ สื่อสิ่งพิมพ์ และอื่นๆ เพื่อเจาะกลุ่มเป้าหมายในการนำเสนอข้อมูลและรายละเอียดของแคมเปญได้อย่างรวดเร็ว พร้อมตระหนักรับรู้ความสำคัญและประโยชน์ของต้นไม้ที่มีต่อมนุษย์เรา โดยบริษัทฯ ได้กำหนดกฎเกณฑ์ในการช่วยเหลือต้นไม้ ซึ่งพิจารณาถึงความอยู่รอดของต้นไม้หลังจากการล้อมย้ายเป็นหลัก โดยมีทีมผู้เชี่ยวชาญ Forest Rescue Team เป็นผู้พิจารณาเงื่อนไขที่กำหนด อาทิ ประเภทต้นไม้ : ต้องไม่เป็นต้นไม้ที่เป็นไม้ต่างถิ่นรุกราน เช่น ต้นกระถินณรงค์ ตัวการในการลดความหลากหลายทางชีวภาพ เนื่องจากมีการแพร่พันธุ์ได้อย่างรวดเร็ว หรือ ต้นไม้ที่มีการแพร่พันธุ์เร็วเกินไป ยากต่อการควบคุมซึ่งอาจส่งผลต่อระบบนิเวศ เช่น ต้นโพธิ์ ต้นไทร และต้นมะกล่ำ เป็นต้น การขนย้าย คำนึงถึงสภาพภูมิอากาศเดิมของต้นไม้ที่จะช่วยเหลือเข้ามาในโครงการต้องมีความใกล้เคียงกัน เพื่อให้ได้รับความกระทบกระเทือนจากการขนย้ายน้อยที่สุด การจัดการดูแลต้นไม้ คือ ต้นไม้ที่รับบริจาคจะอยู่ภายใต้การดูแลของโครงการฯ ซึ่งเจ้าของเดิมสามารถเข้าเยี่ยมชมได้เมื่อโครงการ   แล้วเสร็จ และ ข้อจำกัดอื่นๆ อาทิ ต้องเป็นต้นไม้ส่วนบุคคลไม่ใช่ทรัพย์สินของราชการหรือสาธารณะ และผู้แจ้งต้องเป็นเจ้าของต้นไม้ หรือได้รับอนุญาตเป็นลายลักษณ์อักษรจากเจ้าของต้นไม้ให้เข้าร่วมโครงการ สำหรับการล้อมต้นไม้  ต้องคำนึงถึงสายพันธุ์ เพราะมีข้อจำกัดสำหรับการขุดล้อมที่แตกต่างกัน เช่น ฤดูกาล และวิธีการขุดล้อมที่เหมาะสม และการพิจารณาช่วยเหลือต้นไม้ขึ้นอยู่กับดุลยพินิจของผู้เชี่ยวชาญจาก THE FORESTIAS

 

ด้วยจุดเริ่มต้นที่บริษัทฯ สร้างสรรค์แคมเปญนี้ เพราะว่าเล็งเห็นความสำคัญและคุณค่าของต้นไม้ทุกต้นที่มีประสิทธิภาพในการช่วยรักษา สร้างสรรค์ ฟื้นฟู สภาพแวดล้อมต่างๆ ของโลกในแง่มุมที่แตกต่างกัน ซึ่งเราสามารถอ้างอิงได้จากผลงานวิจัยขององค์กรระดับโลกว่าประโยชน์ของต้นไม้มีประสิทธิภาพมากมาย อาทิ ข้อมูลจากทีมนักวิจัยจาก Lawrence Livermore National Laboratory ประเทศสหรัฐอเมริกา ได้กล่าวไว้ว่า “การปลูกต้นไม้ใหญ่ 1 ต้น ให้ความเย็นเท่ากับเครื่องปรับอากาศ 1 ตัน ที่ให้ความเย็น ประมาณ 12,000 บีทียู (1 เครื่อง) อีกทั้งร่มเงาของต้นไม้ก็จะช่วยบังแสงอาทิตย์ที่ส่งมาสร้างความร้อนให้กับตัวบ้านได้ทั้งวัน จึงสามารถลดการใช้เครื่องปรับอากาศในบ้านลง ผลที่ตามมา คือ ค่าไฟที่ลดลงถึง 20% ต่อปีและถ้าคุณมีต้นไม้ปลูกทางทิศตะวันตกของตัวบ้านจะช่วยลดความร้อนและประหยัดพลังงานได้ราว 10%” หรือข้อมูลงานวิจัยเมืองบาร์เซโลน่า ประเทศสเปน กล่าวว่า “ต้นไม้ใหญ่ในเมืองจำนวน 200,000 ต้น สามารถดูดซับคาร์บอนได้ปีละมากกว่า 5,000 ตัน และกำจัดมลพิษได้มากถึง 305 ตัน” นอกจากนี้ ยังมีต้นไม้ใกล้ตัว อย่าง สนทะเล สนฉัตร สนสามใบ สนสองใบ ที่สามารถดูดซับมลพิษหรือสามารถดูดซับฝุ่นละอองได้ดี หรือ สัตบรรณ กระดังงาไทย ชงโค และแสงจันทร์ ที่สามารถ ดูดซับฝุ่นออกไซด์ของไนโตรเจนและผลิตโอโซนได้ดีอีกด้วย

 

บริษัทฯ คาดหวังว่า จากการดำเนินการสื่อสารประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับความสำคัญของต้นไม้และระบบนิเวศวิทยา จะเป็น
การกระตุ้นเตือนให้กับคนไทยหันมามองคุณค่าของพื้นที่สีเขียวใกล้ตัว รวมทั้งหวงแหนและอนุรักษ์ให้แก่รุ่นลูกรุ่นหลานต่อไป