นายบุญ ชุน เกียรติ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ชีวาทัย จำกัด (มหาชน) หรือ CHEWA กล่าวว่า จากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด – 19 นอกจากโอกาสในการลงทุนเพื่อพัฒนาโครงการใหม่ๆ บริษัทฯ ยังเล็งเห็นถึงโอกาส ตลาดที่อยู่อาศัยมือสองที่ได้รับความนิยมมากขึ้นสวนทางกับอสังหาริมทรัพย์มือหนึ่ง ด้วยจุดขายที่สำคัญของตลาดที่อยู่อาศัยมือสองคือ “ทำเล” “ราคา” และ “ความคุ้มค่า” ที่เข้ามาตอบโจทย์ผู้บริโภคที่ได้รับผลกระทบจากสภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัว ซึ่งทำให้ผู้บริโภคมีกำลังซื้อที่ลดลง ต้องใช้จ่ายอย่างระมัดระวัง คิดไตร่ตรองมากขึ้น ตลอดจนเกณฑ์การปล่อยสินเชื่อจากธนาคารที่มีความเข้มงวดมากขึ้น ทำให้ผู้บริโภคมองหาบ้านที่ราคาถูกมากขึ้น ที่อยู่อาศัยมือสองหรือบ้านมือสองจึงเป็นอีกตัวเลือกหนึ่งที่ตอบโจทย์ผู้บริโภคในยุคนี้ ด้วยเรื่องราคา รวมถึงทำเลที่ยังเป็นที่ต้องการ เนื่องจากมีราคาถูกกว่าที่อยู่อาศัยใหม่ถึง 10-30% ซึ่งตอบโจทย์สำหรับผู้บริโภคที่มีกำลังซื้อไม่มาก อีกทั้งราคาอยู่ในช่องว่างทางการตลาด ที่อยู่อาศัยมือหนึ่งอาจจะไม่สามารถทำราคากับเสปควัสดุ ขนาดพื้นที่ใช้สอย พื้นที่ดิน รวมถึงทำเลได้เทียบเท่า ด้วยต้นทุนที่ดินและค่าก่อสร้างที่สูงขึ้นทุกปี

โดยรูปแบบของธุรกิจจะเป็นการประมูลทรัพย์จากธนาคาร บริษัทบริหารสินทรัพย์ หรือกรมบังคับคดี ประเภทที่อยู่อาศัย แล้วนำไปปรับปรุงและจำหน่าย พร้อมบริการให้คำปรึกษายื่นกู้จนถึงกระบวนการโอนกรรมสิทธิ์ โดยเน้นแนวคิด “เพื่อส่งมอบประสบการณ์ของที่อยู่อาศัยมือสองที่ดีกว่า” โดยนอกจากมีความเชี่ยวชาญด้านคุณภาพของการก่อสร้างและดูแลลูกค้า จากทีมงานชีวาแคร์อยู่แล้ว ยังเพิ่มแผนการตลาดและปรับกลยุทธ์เพื่อเข้าถึงตลาดที่อยู่อาศัยมือสองให้มากขึ้น โดยคาดหวังว่าจะได้รับความสนใจจากกลุ่มเป้าหมายและสร้างกระแสในตลาดที่อยู่อาศัยมือสองได้เป็นอย่างดี นอกจากนี้ยังเป็นธุรกิจที่คู่แข่งในรูปแบบบริษัท ที่จัดการเป็นระบบยังมีไม่มาก ส่วนใหญ่เป็นรายบุคคล นอกจากนี้มียังมีช่องว่างในการทำกำไรสูง หากประมูลทรัพย์ที่มีศักยภาพมาได้ อยู่ในทำเลที่เป็นที่ต้องการของตลาด และสภาพดี ซึ่งบริษัทฯ ตั้งเป้า 3 ปี มีรายได้เพิ่มขึ้นสำหรับช่องทางนี้ 400 ล้านบาท เป็นการต่อยอดจากรายได้ในธุรกิจหลักอีกทางหนึ่ง

นายบุญ ชุน เกียรติ เปิดเผยเพิ่มเติมว่า ตลาดที่อยู่อาศัยมือสองเป็นตลาดที่มีความสำคัญและไม่ควรมองข้าม จากการติดตามภาพรวมสถานการณ์ตลาดที่อยู่อาศัยมือสองทั่วประเทศช่วงที่ผ่านมา พบว่ามีจำนวนหน่วยที่ประกาศขายเฉลี่ยเดือนละกว่า 100,000 หน่วย มูลค่าที่ประกาศขายเฉลี่ยเดือนละกว่า 800,000 ล้านบาท ซึ่งมีการขยายตัวเพิ่มขึ้นเป็นระยะ ประกอบกับมุมมองเชิงบวกต่อเศรษฐกิจที่น่าจะเริ่มมีการฟื้นตัวมากขึ้น หลังจากที่ประเทศต้องฝ่าวิกฤติโควิด–19 มามากกว่า 2 ปี ตอนนี้มีการรับวัคซีนและสถานการณ์การระบาดเริ่มดีขึ้นพร้อมมีปัจจัยบวกจากการเปิดประเทศและมีนักท่องเที่ยวเข้ามามากขึ้น ย่อมส่งผลดีต่อธุรกิจที่ฟื้นตัว รวมถึงกลุ่มคนที่อยากมีบ้านที่มีพื้นที่มากกว่าที่อยู่อาศัยเดิมของกลุ่มที่ยังมีกำลังซื้อ อย่างไรก็ตาม เรายังต้องระมัดระมัดและวางแผนการลงทุนอย่างรอบคอบในการดำเนินธุรกิจในช่วงเวลานี้อีกด้วย เพื่อสร้างการเติบโตอย่างมั่นคงต่อไป ”