AP Thailand ภายใต้คำมั่นสัญญา หรือ Brand Promise “ชีวิตดีๆ ที่เลือกเองได้” โชว์ผลงานยอดขาย ครึ่งปีแรก แข็งแกร่งในอุตสาหกรรมสร้างนิวเรคคอร์ดอีกครั้ง ดีมานด์ฟื้นกลับดันยอดขายรวม 25,530 ล้านบาท ชี้บ้านเดี่ยว ทาวน์โฮมครองแชมป์ คีย์ไดรฟ์สำคัญ
- ครึ่งปีหลังมูฟออนก้าวไปต่อ เตรียมเปิดตัว 40 โครงการใหม่ มูลค่ารวม 53,620 ล้านบาท เดินหน้าตามแผนขยายเซ็กเมนต์ใหม่เพื่อโตไปอีกสเต็ป
- ด้านตลาดคอนโดมิเนียมเซนติเมนต์เริ่มส่งสัญญาณบวก ยอดขาย-โอนมีทิศทางที่ดีขึ้น หลังเปิด ASPIRE 2 ทำเลกวาดยอดขายรวมไปแล้วกว่า 44% ครึ่งปีหลังเตรียมเปิด 3 คอนโดใหม่มูลค่ารวม 10,400 ล้านบาท
- กลุ่มธุรกิจทาวน์โฮม รุกหนักภายใต้โรดแมป “Unlock Vertical Life พื้นที่ชีวิตแนวตั้ง ที่เลือกเองได้” พลิกทุกข้อจำกัดกับ 20 แบบบ้านใหม่ 16 โครงการ มูลค่า 16,440 ล้านบาท
- กลุ่มธุรกิจบ้านเดี่ยวพร้อมปล่อยหมัดเด็ด เดินเครื่องบุกตลาดบ้านเดี่ยวราคา 3 – 5 ล้านบาท หวังกินแชร์ตลาด ส่งโปรดักต์ใหม่แกะกล่อง ตอกย้ำความเป็นซูเปอร์สตาร์แห่งปี กับแผนเปิด 18 โครงการใหม่ มูลค่า 24,030 ล้านบาท
นายวิทการ จันทวิมล รองกรรมการผู้อำนวยการ สายงานกลยุทธ์องค์กรและการสร้างสรรค์ บมจ. เอพี ไทยแลนด์ กล่าวว่า ครึ่งปีแรกที่ผ่านมาถึงแม้ในขณะที่สถานการณ์การแพร่ระบาดจะเริ่มคลี่คลายลง แต่ทุกคนทั่วโลกกำลังต้องเผชิญกับภาวะเงินเฟ้อ ราคาสินค้าที่แพงขึ้นที่มีผลกระทบต่อระบบเศรษฐกิจแทบทุกประเทศ ซึ่งสิ่งที่เอพีทำมาโดยตลอดคือการมอนิเตอร์ทุกสถานการณ์อย่างใกล้ชิด เพื่อนำมาปรับแผนการทำงาน ตลอดจนการบริหารจัดการต้นทุน เพื่อคงราคาขายดังเดิมไม่ให้กระทบไปยังลูกค้าเรามากที่สุด ส่งผลให้ผลงานในครึ่งปีแรกบริษัทฯ สามารถสร้างนิวเรคคอร์ดได้อีกครั้ง โดยมียอดขายมากถึง 25,530 ล้านบาท เพิ่มขึ้นกว่า 43% หากเทียบกับครึ่งปีก่อนหน้า โดยเฉพาะสินค้าซูเปอร์สตาร์อย่างบ้านเดี่ยวและทาวน์โฮมที่เติบโตแบบก้าวกระโดด ส่งผลให้ภาพรวมสินค้าแนวราบในครึ่งปีแรกเติบโตขึ้นกว่า 25% ขณะที่กลุ่มธุรกิจคอนโดมิเนียม ยอดขายก็ปรับตัวดีขึ้นกว่าเกือบ 3 เท่า ถือเป็นการส่งสัญญาณบวกที่ดีให้กับตลาดฯ ซึ่งทั้งหมดเป็นการเติบโตแบบ Organic Growth ที่สะท้อนให้เห็นถึงศักยภาพในการวางแผนองค์กรให้พร้อมตั้งรับกับทุกสภาวะได้อย่างชัดเจน
ทั้งนี้ บริษัทฯ ยังคงเดินหน้าตามแผน BREAKTHROUGH ทุกข้อจำกัด โดยในครึ่งปีหลัง บริษัทฯ จะมีโครงการพร้อมขายกระจายทั่วกรุงเทพฯ และในต่างจังหวัดรวมกันมากถึง 160 โครงการ มูลค่าพร้อมขายกว่า 122,350 ล้านบาท ซึ่งประกอบด้วย 40 โครงการใหม่ มูลค่ารวมประมาณ 53,620 ล้านบาทที่เตรียมจะเปิดตัวในครึ่งปีหลังนี้ โดยแบ่งเป็นทาวน์โฮม 16 โครงการ มูลค่า 16,440 ล้านบาท บ้านเดี่ยวจำนวน 18 โครงการ มูลค่า 24,030 ล้านบาท คอนโดมิเนียม 3 โครงการ มูลค่า 10,400 ล้านบาท และโครงการในต่างจังหวัด 3 โครงการ มูลค่า 2,750 ล้านบาท และ 120 โครงการที่อยู่ระหว่างการก่อสร้างและขาย ซึ่งทั้งหมดสะท้อนได้ถึงการเตรียมพร้อมในทุกๆ ด้านของเอพี ไม่ว่าจะเป็นการบริหารจัดการต้นทุน การวางแผนเรื่องแรงงาน ตลอดจนการบริหารจัดการ เพื่อรองรับกับจำนวนโครงการที่มีปริมาณมากควบคู่กับภาวะความผันผวนที่เกิดขึ้น
สำหรับไฮไลต์ที่น่าสนใจในครึ่งปีหลังคือการต่อยอดความสำเร็จของสินค้าบ้านเดี่ยวและทาวน์โฮม ด้วยการขยายไปยังทำเลเขตปริมณฑล อย่างสมุทรปราการ สมุทรสาคร นนทบุรี และปทุมธานี เพื่อตอบกลุ่มเป้าหมายที่กว้างมากขึ้น ด้วยโปรดักต์และแบบบ้านใหม่ๆ เพื่อให้ทุกคนสามารถเลือกที่จะมีชีวิตดีๆ ได้ด้วยตัวเอง
โดยกลุ่มธุรกิจทาวน์โฮม เตรียมเดินตามโรดแมป “Unlock Vertical Life พื้นที่ชีวิตแนวตั้งที่เลือกเองได้” พลิกทุกข้อจำกัดด้วย 20 แบบบ้านทาวน์โฮมใหม่ จาก 6 แบรนด์คุณภาพ กับ 16 โครงการใหม่ พร้อมการกลับมาของแบรนด์ “บ้านกลางเมือง คลาสเซ่” นำร่องทำเลสุขุมวิท 77 ส่วนกลุ่มสินค้าบ้านเดี่ยวเตรียมพบกับแบบบ้านโมเดลใหม่ทั้งหมด ภายใต้แนวคิด “Functional is Beautiful บ้านที่เข้าใจชีวิต” กับ 18 โครงการใหม่ พร้อมแผนการบุกตลาดบ้านเดี่ยว 3 – 5 ล้านบาท เพื่อกินแชร์ตลาดเพิ่ม ด้วยโปรดักต์ใหม่แกะกล่องที่พร้อมเปิดตัวในช่วงไตรมาส 4 ของปี
ด้านกลุ่มธุรกิจคอนโดมิเนียม หลังครึ่งปีแรกประสบความสำเร็จจาการจุดพลุตลาดแมสคอนโด ด้วยแบรนด์ ASPIRE กับยอดขายรวมกว่า 44% จากการเปิดตัว ASPIRE ปิ่นเกล้า-อรุณอมรินทร์ และ ASPIRE รัชโยธิน โดยในครึ่งปีหลังเตรียมเปิดตัวอีก 3 โครงการ มูลค่ารวม 10,400 ล้านบาท ได้แก่ ASPIRE สุขุมวิท-พระราม 4 ASPIRE อ่อนนุช สเตชั่น และ LIFE พหล-ลาดพร้าว นอกจากนั้นในครึ่งปีหลัง บริษัทฯ ยังเตรียมโอนกรรมสิทธิ์รับรู้รายได้จาก 2 คอนโดพร้อมอยู่ กับ LIFE สาทร เซียร์รา และ RHYTHM เอกมัย เอสเตท อีกด้วย
บริษัทฯ ยังคงดำเนินธุรกิจภายใต้พันธกิจใหญ่คือ การส่งมอบชีวิตที่ดีๆ ที่เลือกเองได้
ด้วยแผนการดำเนินงานที่รัดกุม ควบคู่ไปกับความพร้อมที่จะปรับตัวอย่างรวดเร็ว ด้วยการบริหารจัดการแบบกระจายอำนาจ ควบคู่การบริหารจัดการกระแสเงินสดอย่างเคร่งครัด