25 ปี หรือเบญจเพส อาจเป็นช่วงลำบากของใครหลายๆ คน แต่ไม่ใช่สำหรับ “ศุภาลัย” บริษัทอสังหาริมทรัพย์รายใหญ่ ที่อายุครบ 25 ในปีนี้
คุณประทีป ตั้งมติธรรม ผู้ก่อตั้งศุภาลัย เป็นหนึ่งในนักธุรกิจไม่กี่คนที่สามารถผ่านพ้นช่วงวิกฤตปี 40 และพาบริษัทฯ มาจนถึงทุกวันนี้ กลายเป็นบริษัทมหาชน ที่มียอดรับรู้รายได้หลักหมื่นล้านบาท แม้ว่าช่วงหลังๆ คุณประทีปจะผันตัวเองไปอยู่หลังฉาก ปล่อยให้หน้าที่ต่างๆ อยู่ในความดูแลของ MD คนเก่งอย่าง “คุณอธิป พีชานนท์” ซึ่งเมื่อต้นปีที่ผ่านเขา คุณอธิปได้ประกาศลาออก ขอเป็นแค่ “คนเบื้องหลัง” แทน และส่งไม้ต่อให้ “คุณไตรเตชะ ตั้งมติธรรม” ทายาทคนโดของคุณประทีป มาบริหารแทน
คุณไตรเตชะ หรือ คุณเต มีดีกรีปริญญาตรีด้านเศรษฐศาสตร์และการตลาดจาก มหาวิทยาลัยเมลเบิร์น และปริญญาโทจากศศินทร์ ในช่วงแรกๆ ที่เริ่มทำงานใน “ศุภาลัย” บริษัทเริ่มรุกตลาดต่างจังหวัด หน้าที่หลักๆ ของคุณเต คือการดูแลโครงการในภูมิภาค ตั้งแต่เริ่มซื้อที่ดิน กระทั่งปิดการขาย ทำให้เขาได้เห็นภาพรวมทั้งหมด ซึมซับประสบการณ์ไปในตัว
และหลังจากพยายามนัดกันหลายรอบ วันนี้ก็เป็นฤกษ์งามยามดีของ Think of Living ในการสัมภาษณ์คุณไตรเตชะ ตั้งมติธรรม ต้องขอบคุณทีมพีอาร์มากๆ ที่หาเวลาให้เรา 🙂 ส่วนรายละเอียดจะเป็นยังไง ตามอ่านได้ในบทสัมภาษณ์เลยค่ะ….
– สวัสดีค่ะ คุณเต ช่วยเล่าให้ฟังคร่าวๆ ถึงการเริ่มงานใน “ศุภาลัย” หน่อยนะคะ
จริงๆ ตั้งแต่จบใหม่ๆ ผมก็เริ่มมาทำการตลาดที่ศุภาลัย เป็นลูกน้องคุณอธิป หลังจากนั้นผมเรียนปริญญาโท แล้วลองทำงานที่แบงก์ 2-3 ปี จากนั้นก็ค่อยกลับเข้ามา ดูแลในส่วนของจัดซื้อที่ดิน หรือโครงการต่างจังหวัด ตอนนั้นเรากำลังขยายต่างจังหวัดพอดี ก็ทำทั้งหมดครับ เชียงใหม่ ภูเก็ต สุราษฎร์ธานี และอุดรธานี ส่วนตัวผมมองว่า…นั่นคือจุดเริ่มต้นที่ดีมาก เพราะทำให้ผมได้รับผิดชอบโครงการทั้งหมด ตั้งแต่เริ่มซื้อ สร้าง ขาย ส่งมอบ โอน ผมได้เห็นภาพรวมทั้งหมด จนกระทั่งคุณอธิป แกอยากถอยออกมา ใช่เวลากับงานน้อยลง ผมก็เลยเข้ามาดูแลส่วนกลาง ขณะที่ต่างจังหวัดก็เริ่มให้คนอื่นดูแลแทน
– เปรียบความรับผิดชอบระหว่างอดีต- ปัจจุบัน ต่างกันแค่ไหนคะ
มหาศาลครับ (ยิ้ม) ถ้านับเป็นยอดขาย มากกว่าที่เคยทำประมาณ 4-5 เท่า แต่ก็สนุกดี กรุงเทพฯ ตลาดสนุกกว่าอยู่แล้ว คู่แข่งขันเยอะกว่า เป็นรายใหญ่กว่า ขณะที่ต่างจังหวัดแข่งกับรายเล็กเป็นหลัก ตลาดค่อนข้างเล็ก เพราะฉะนั้นมันทำอะไรได้น้อยกว่า
– ระหว่างแนวสูงกับแนวราบ มองว่าอะไรท้าทายกว่ากันคะ
สำหรับ developer ที่มีฝีมือ ผมว่าวัดกันที่บ้านมากกว่า เพราะบ้านหมายถึงการดูแลทุกอย่าง ตั้งแต่เริ่มเลือกที่ วางผังโครง การถมดิน การก่อสร้าง และทยอยสร้างที่ละเฟส เพราะฉะนั้นต้องมีการดูแลอย่างต่อเนื่อง แน่นอนว่ามีปัญหาจุกจิกกว่าคอนโดเยอะ ไม่น่าแปลกใจที่มี developer รายเล็กเข้ามา แล้วอยากทำคอนโด เพราะง่ายกว่า หวือหวากว่า ทำmarketing สนุกกว่า ก็ดีต่างกันนะครับ คอนโด ความเสี่ยงเยอะว่า แต่ return ก็ดีกว่าในปีที่ดี
– แล้วช่วงปีที่ผ่านมา ตลาดเป็นอย่างไรบ้างคะ
ผมมองว่าตลาดปีนี้หดตัว เมื่อเทียบกับปีที่แล้ว เพราะตลาดมีการ cosolidate รายเล็กออกจากตลาด แบงก์เลิกปล่อยสินเชื่อให้ทำโครงการ เป็นโอกาสด้วยซ้ำ คนอื่นซื้อที่น้อยลง ผู้รับเหมาอยู่ดีๆ ก็เหลือ ทั้งที่ 2-3 ปีที่แล้ว ผู้รับเหมาแทบหาไม่ได้ เพราะฉะนั้นเป็นโอกาสของรายใหญ่ และถือเป็นโอกาสดีที่เราจะซื้อที่เพิ่ม
สำหรับ “ศุภาลัย” ปีนี้ launch มากที่สุดตั้งแต่เปิดบริษัทมา ปีหน้าไม่น่าน้อยกว่านี้ แต่ที่ผ่านมาการซื้อที่ดินมีไม่ค่อยเยอะ ซึ่งเป็นตัวชี้วัดว่าในอีก 6 เดือนข้างหน้า การ lauch อาจมีไม่ค่อยมากขนาดนั้น อย่างที่คนเขากลัวๆ กัน แต่หลังจากนั้น กลางปีหน้าเป็นต้นไป ถ้าตลาดยังดีอยู่ รายเล็กก็อาจกลับเข้ามา และตลาดก็จะเริ่มน่าสนใจมากขึ้นในการเลือกหาทำเลที่เหมาะสม ทำโครงการ ดู supply ตลาดให้ดี
– มองว่า AEC มีผลกระทบต่ออสังหามากน้อยแค่ไหนคะ
AEC ส่งผลต่อธุรกิจอื่น แต่แทบไม่ส่งผลต่อตลาดอสังหาฯ เลย เพราะกฏหมายการถือครองที่ดินเหมือนเดิม คนต่างชาติยังซื้อที่ดินไม่ได้ เพราะฉะนั้น แนวราบยังไม่ได้เปลี่ยนเลย คอนโดอาจมีแรงงานที่ข้ามประเทศมาเพิ่มขึ้น ห้องเช่าอาจดีขึ้นบ้าง แต่ผมคิดว่ากำลังซื้อหลักจะมาจากคนไทย
ยอดขาย developer รายใหญ่หลายราย มีต่างชาติต่ำกว่า เพราะจริงๆ แล้วมันอยู่ที่ตลาดคนไทย เพราะเราฉะนั้นเราต้องพยายามรุกตลาดคนรุ่นใหม่ สร้างสินค้าที่ถูกใจเขา ยกตัวอย่างของเราจุดเด่นก็คือ ห้องของเราใหญ่กว่าของคนอื่น แล้วตอนนี้ทุกคน ทำห้องขนาดเล็ก เราเห็นชัดเจนว่ามีลูกค้าหลายๆ คน ซึ่งก่อนหน้านี้ไม่ใช่ลูกค้าศุภาลัย เป็นลูกค้าที่อื่น ที่บอกว่าจะขยายครอบครัว แล้วอยู่ห้อง 20 sq.m. ไม่ได้ เรามีห้อง 40-70 sq.m นั่นก็เป็นเหตุผลว่าทำไมเราถึงไม่เปลี่ยนขนาดตามเขา
– แล้วทางศุภาลัย มีการลงทุนอะไรกับประเทศใน AEC รึเปล่าคะ
เรามีที่ฟิลิบปินส์ เป็นออฟฟิศให้เช่า ปัจจุบันตึกเสร็จแล้ว มีคนให้เช่าแล้ว
– ทำไมถึงเลือกลงทุนที่ฟิลิบปินส์
พอดีว่าตอนนี้บริษัทเริ่มใหญ่ขึ้น สัดส่วนหนี้สินเริ่มลดลง แปลว่าเราเริ่มหาการลงทุนที่เป็นลักษณะให้เช่า ซึ่งจริงๆ return ไม่ได้ดีเท่ากับซื้อมาขายไปแบบนี้ แต่มันทำให้รายได้บริษัทมันต่อเนื่อง เราก็เลยลองทำไปเรื่อยๆ อย่างที่เมืองไทยให้ yield ประมาณ 4% ต่ำมาก ที่ฟิลิบปินส์ ได้ 8.4 ซึ่งสูงกว่าเยอะ แม้ว่าจะหักความเสี่ยงแล้ว ก็ยังสูงกว่าอยู่ดี
– มาถึงคำถามสุดท้าย เอาใจแฟน Think of Living อยากให้คุณเตฝากเทคนิคในการเลือกซื้อบ้าน สำหรับหลายๆ คนที่กำลังมองหาบ้านอยู่ ณ เวลานี้
จริงๆ ตอนนี้เป็นโอกาสทองของผู้บริโภค มีสินค้าหลากหลายให้เลือกในตลาด ตอนนี้ segment ลูกค้าแตกเร็ว อย่างที่ไม่เคยเห็นมาก่อน ลูกค้ามีความต้องการที่ต่างกันโดยสินเชิง developer แต่ละราย จึงพยายามสร้างสินค้าที่มีความหลากหลายเพื่อนตอบรับลูกค้าที่ต่างกัน
ยกตัวอย่างโครงการ Supalai Wellington II เราคิดว่ามีลูกค้าหลายคนที่อยากอยู่ทำเลใจกลางเมือง ไม่จำเป็นต้องติดรถไฟฟ้า แต่มี facilities เยอะ ห้องขนาดใหญ่ โดยที่เขาอยู่กับครอบครัวได้ ในทำเลที่สะดวก ไม่ต้องเสียเวลาในการเดินทาง โครงการนี้ก็ตอบโจทย์ได้ ฉะนั้น โอกาสผู้บริโภคมีอย่างที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน ก็อยู่ที่บริโภคต้องเลือกว่าเขาอยากจะได้แบบไหน ผมคิดว่าโดยเฉพาะช่วงปลายปีนี้ โครงการใหม่ เริ่มเข้ามาพอสมควร แต่ราคายังไม่เพิ่มเยอะนัก เพราะว่ามันก็ผ่านช่วงขาลงของตลาดมา ตั้งแต่ช่วงต้นปีที่เจอเรื่องการเมือง มีเรื่อง ศก. เข้ามา ปัจจุบันที่ดินปรับตัวประมาณ 9-10% ต่อปี ผมเชื่อว่าปีนี้ปีหน้า เป็นแบบนี้ไปเรื่อยๆ แน่นอน ตัดสินใจนานก็แพงขึ้นครับ (ยิ้ม)
บทสัมภาษณ์จบลงด้วยเวลา 10 นาที แม้ว่าจะเป็นช่วงเวลาที่ไม่นานนัก แต่ก็ทำให้เราได้รู้จักกับผู้บริหารคนนี้มากขึ้น และเราเชื่อว่าภายใต้บังเหียนของเขา “ศุภาลัย” จะต้องไปได้ไกลกว่านี้แน่นอน 🙂