ในภาวะที่ภาพรวมตลาดอสังหาริมทรัพย์ในกรุงเทพมหานครชะลอตัวอย่างชัดเจน อสังหาริมทรัพย์เมืองท่องเที่ยวจึงกลายเป็นหมุดหมายที่สำคัญของเหล่าผู้พัฒนาที่ต้องช่วงชิงโอกาสเข้าลุงทุน ทั้งในพื้นที่ภูเก็ต พัทยา หัวหิน และเกาะ สมุย เป็นต้น ซึ่งพบว่าในปี 2568 นี้ ผู้พัฒนารายใหญ่หลายรายประกาศปรับลดแผนพัฒนาโครงการใหม่ในพื้นที่กรุงเทพมหานครลง และปรับเพิ่มสัดส่วนการลงทุนในส่วนเมืองท่องเที่ยวเพิ่มขึ้นอย่างชัดเจน  โดยเฉพาะในพื้นที่จังหวัดภูเก็ตที่ยังคงเป็นพื้นที่ที่มีกำลังซื้อที่แข็งแรงทั้งในส่วนของกำลังซื้อชาวไทยและกำลังซื้อต่างชาติ ซึ่งปฏิเสธไม่ได้เลยว่า ภูเก็ตยังคงเป็นเสมือนขุมทรัพย์ที่เป็นที่จับตามองของนักลงทุนทั้งชาวไทยและนักลงทุนต่างชาติอย่างต่อเนื่อง

จากจำนวนนักท่องเที่ยวที่เดินทางเข้ามาในจังหวัดภูเก็ตในปี 2567 ที่ผ่านมาสูงถึง 14 ล้านคน  สร้างรายได้จากการท่องเที่ยวกว่า 400,000 ล้านบาท สร้างความคึกคักให้กับภาคการท่องเที่ยวในพื้นที่เป็นอย่างมาก ส่งผลให้นักท่องเที่ยวและนักลงทุนต่างชาติเดินทางเข้าสู่เกาะภูเก็ตเป็นจำนวนมาก โดยเฉพาะนักท่องเที่ยวชาวรัสเซีย ออสเตรเลีย อินเดีย จีนคาซัคสถาน  เป็นต้น ส่งผลให้ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ในพื้นที่มีแนวโน้นเติบโตแบบก้าวกระโดด ผู้พัฒนาบางรายมีการก่อสร้างไม่ทันต่อความต้องการ กลุ่มนักลงทุนจากต่างชาติบางกลุ่มยังคงสนใจการซื้อแบบเหมาอาคารในช่วงที่ผ่านมา  ส่งผลให้อสังหาริมทรัพย์ในภูเก็ตกลายเป็นทำเลทองที่ร้อนแรงและเป็นที่พูดถึงมากที่สุดในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา

นอกจากนี้พบว่าตลาดคอนโดมิเนียมและบ้านพักตากอากาศในพื้นที่เกาะภูเก็ตในปีที่ผ่านมาผู้พัฒนารายใหญ่ในพื้นที่และจากกรุงเทพมหานคร เช่น บมจ. ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ , บมจ. ศุภาลัย , บมจ. แสนสิริ , บมจ. แอสเซทไวส์ , บจ. โบทานิก้า ลักซูรี่ ภูเก็ต  รวมถึง บจ. โบ๊ทพัฒนา จำกัด เปิดตัวโครงการใหม่อย่างคึกคักส่งผลให้อุปทานเปิดขายใหม่ทั้งในส่วนของตลาดคอนโดมิเนียมและบ้านพักตากอากาศมากที่สุดในรอบ 15 ปีที่ผ่านมา ด้วยมูลค่าการลงทุนรวมมากกว่า 158,638 ล้านบาท จากทั้งหมดมากกว่า 140 โครงการ

อุปทานเปิดขายใหม่คอนโดมิเนียมในพื้นที่จังหวัดภูเก็ตจำแนกรายปีในปีพ.. 2551-2568F

ที่มา: แผนกวิจัยและการสื่อสาร คอลลิเออร์ส ประเทศไทย

สำหรับภาพรวมอุปทานการเปิดขายใหม่ของตลาดคอนโดมิเนียมในพื้นที่จังหวัดภูเก็ตในช่วงที่ผ่านมาพบว่า ในช่วงปี พ.ศ.2555 – 2556 มีโครงการคอนโดมิเนียมเปิดขายใหม่ในจังหวัดภูเก็ตเป็นจำนวนมาก โดยในปี พ.ศ. 2555 มีอุปทานเปิดขายใหม่สูงถึง 6,429 หน่วย และปี พ.ศ.2556  อีกประมาณ 5,545 หน่วย เนื่องจากในช่วง 2 ปีดังกล่าวมีผู้พัฒนารายใหญ่จากกรุงเทพมหานครให้ความสนใจเข้าไปพัฒนาคอนโดมิเนียมในพื้นที่จังหวัดภูเก็ตเป็นจำนวนมาก ทั้ง บมจ. แสนสิริ จำกัด และ บมจ.  ศุภาลัย เป็นต้น แต่หลังจากปี พ.ศ. 2556 เป็นต้นมา คอนโดมิเนียมที่เปิดขายใหม่ในแต่ละปีในจังหวัดภูเก็ตปรับตัวลดลงมีเพียงแค่ปีละ 2,000 -3,000 ยูนิตต่อปี เท่านั้น และพบว่าปรับตัวลดลงอย่างชัดเจนในช่วงของการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19  เนื่องจากภูเก็ตประกาศปิดพื้นที่และกำหนดมาตรการในการป้องกันและควบคุมการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโควิด 19 ในพื้นที่จังหวัดภูเก็ต ส่งผลให้ภาคอสังหาริมทรัพย์ในพื้นที่เกาะภูเก็ตได้รับผลกระทบเป็นอย่างมาก แผนกวิจัยและการสื่อสาร คอลลิเออร์ส ประเทศไทย พบว่า หลังจากรัฐบาลประกาศเปิดประเทศอย่างเต็มรูปแบบเกาะภูเก็ตเป็นเสมือนจุดหมายปลายทางแรกที่นักท่องเที่ยวต่างชาติเดินทางเข้ามาท่องเที่ยวเป็นจำนวนมาก

โดยในปีพ.ศ. 2566 ที่ผ่านมา พบว่ามีคอนโดมิเนียมเปิดขายใหม่ในพื้นที่จังหวัดภูเก็ตมากถึง 8,743     ยูนิต มากที่สุดเท่าที่เคยมีมาของตลาดคอนโดมิเนียมในจังหวัดภูเก็ตและความร้อนแรงยังคงต่อเนื่องมาถึงในปี 2567 ที่ผ่านมา แผนกวิจัยและการสื่อสาร คอลลิเออร์ส ประเทศไทย ณ  สิ้นปี พ.ศ.2567 ที่ผ่านมา มีโครงการคอนโดมิเนียมเปิดขายใหม่ในพื้นที่จังหวัดภูเก็ตมากถึง 14,718 ยูนิต จากโครงการคอนโดมิเนียมทั้งหมดมากถึง 54 โครงการ มูลค่าการลงทุนรวมมากถึง 102,033 ล้านบาท ซึ่งถือว่าเป็นอุปทานเปิดขายใหม่ของตลาดคอนโดมิเนียมในพื้นที่ภูเก็ตในรอบ 15  ปี  และแน่นอนว่าทำเลย่านบางเทา เชิงทำเล กะตะ  และในพื้นที่ใจกลางเมืองภูเก็ต ยังคงเป็นพื้นที่สำคัญที่ผู้พัฒนาแทบทุกรายมองเห็นถึงโอกาสการพัฒนา และพบว่าในช่วงต้นปี พ.ศ. 2568 ที่ผ่านมาซึ่งถือว่าเป็นช่วง High Season ของภาคอสังหาริมทรัพย์ในพื้นที่ยังมีโครงการคอนโดมิเนียมเปิดขายใหม่อีกกว่า 1,000 ยูนิต และส่วนใหญ่ยังคงเป็นการพัฒนาของผู้พัฒนารายใหญ่ในตลาด

แผนกวิจัยและการสื่อสาร คอลลิเออร์ส ประเทศไทย คาดการณ์ว่าสำหรับปีพ.ศ. 2568 ภาพรวมตลาดคอนโดมิเนียมในจังหวัดภูเก็ตจะยังคงร้อนแรงอย่างต่อเนื่อง แต่อุปทานเปิดขายใหม่อาจปรับตัวลดลงเล็กน้อยอยู่ที่ประมาณ 8,000 -10,000 ยูนิต เนื่องจากในช่วง 2 ปีที่ผ่านมามีอุปทานเปิดขายใหม่เข้าสู่ตลาดมากกว่า 20,000 ยูนิต ซึ่งถือว่าเป็นตัวเลขที่ค่อนข้างสูง สำหรับทำเลที่ยังคงได้รับความนิยมคาดการณ์ว่ายังคงเป็นทำเล บางเทา เชิงทะเล ราไวย์ กะตะ กะรน และในพื้นที่เมืองภูเก็ต และแน่นอนว่าผู้พัฒนารายใหญ่ในตลาดหลักทรัพย์ยังคงมองว่าภูเก็ตยังคงเป้าหมายที่สำคัญอีกพื้นที่ที่ต้องช่วงชิงส่วนแบ่งของตลาดให้มากที่สุดทั้งจากกำลังซื้อไทย และกำลังซื้อต่างชาติโดยเฉพาะกำลังซื้อรัสเซีย ซึ่งแผนกวิจัยและการสื่อสาร คอลลิเออร์ส ประเทศไทย มองว่าจะยังคงมีผู้พัฒนารายใหม่จากกรุงเทพฯ เข้าลงทุนพัฒนาโครงการคอนโดมิเนียมในพื้นที่ภูเก็ตอย่างต่อเนื่องในปีหน้า

อุปทานบ้านพักตากอากาศเปิดขายใหม่จำแนกรายปีในพื้นที่เกาะภูเก็ตในปีพ.. 2555-2568F

ที่มา: แผนกวิจัยและการสื่อสาร คอลลิเออร์ส ประเทศไทย

สำหรับภาพรวมของบ้านพักตากอากาศในเมืองไทยที่ผ่านมาค่อนข้างได้รับความสนใจจากกลุ่มเศรษฐีชาวไทยและต่างชาติ โดยเฉพาะทำเลที่ดีในจังหวัดภูเก็ตซึ่งถือได้ว่ามีบ้านพักตากอากาศราคาค่อนข้างสูง และได้รับความสนใจที่สุดในประเทศไทยในขณะนี้ ส่งผลให้ตลาดบ้านพักตาอากาศเป็นตลาดที่ได้รับความสนใจซื้อสำหรับกลุ่มนักลงทุนทั้งชาวไทยและต่างชาติ  แผนกวิจัยและการสื่อสาร คอลลิเออร์ส ประเทศไทย พบว่า ณ สิ้นปีพ.ศ. 2567 มีโครงการบ้านพักตากอากาศเปิดขายในในพื้นที่เกาะภูเก็ตมากถึง 1,922 ยูนิต จากโครงการบ้านพักตากอากาศทั้งหมดถึง 98 โครงการ ด้วยมูลค่าการลงทุนสูงถึง 53,351 ล้านบาท และพบว่าอุปทานเปิดขายใหม่ของตลาดบ้านพักตากอาศในปีนี้ตั้งอยู่ในพื้นที่ย่านเชิงทะเล เป็นส่วนใหญ่มากกว่าร้อยละ 55.90 ทำเลดังกล่าวได้รับความสนใจจากกลุ่มผู้ซื้อทั้งชาวไทยและต่างชาติ โดยเฉพาะกำลังซื้อชาวรัสเซียเป็นอย่างมากในช่วงที่ผ่านมา

สำหรับพื้นที่จังหวัดภูเก็ตปัจจุบันทำเลหลักของการลงทุนบ้านพักตากอากาศส่วนใหญ่ตั้งอยู่บริเวณตามแนวชายหาดและในพื้นที่ใกล้แนวชายหาด  ซึ่งโครงการบ้านพักตากอากาศส่วนใหญ่มีทำเลที่เปิดขายและได้รับความสนใจส่วนใหญ่ตั้งอยู่ในพื้นที่อำเภอถลางมากที่สุด ตามแนวชายฝั่งตะวันตกของเกาะ ย่านหาดบางเทา หาดสุรินทร์ หาดลายัน        เชิงทะเล รองลงมาคือ อำเภอเมืองภูเก็ต บริเวณอ่าวฉลอง หาดราไวย์  และอำเภอกะทู้ หาดกมลา ป่าตอง สำหรับแนวโน้มในอนาคต คาดการณ์ว่าผู้พัฒนาส่วนใหญ่ยังคงนิยมพัฒนาบ้านพักตากอากาศในช่วงระดับราคา 30,000,000 – 50,000,000 บาท เนื่องจากเป็นกลุ่มราคาที่ค่อนข้างได้รับความสนใจจากกำลังซื้อทั้งชาวไทยและต่างชาติ  และส่วนใหญ่จะตั้งอยู่ในพื้นที่ห่างจากชายหาดมากขึ้น เพราะต้นทุนราคาที่ดินไม่สูง และมีบรรยากาศเงียบสงบเหมาะสำหรับการอยู่อาศัย เนื่องจากในปัจจุบันที่ดินริมทะเลเริ่มหายากและมีราคาที่สูงมาก บวกกับการปรับตัวของราคาที่ดินในพื้นที่เกาะภูเก็ตในช่วงที่ผ่านมาปรับตัวสูงขึ้นแบบก้าวกระโดด  แผนกวิจัยและการสื่อสาร คอลลิเออร์ส ประเทศไทย คาดการณ์ว่าตลาดบ้านพักตากอากาศในพื้นที่เกาะภูเก็ตจะยังคงได้รับความสนใจจากกำลังซื้อและผู้พัฒนาอย่างต่อเนื่องในปี 2568  ซึ่งคาดการณ์ว่าจะยังคงมีผู้พัฒนารายใหญ่จากกรุงเทพมหานคร เตรียมเปิดตัวโครงการใหม่ในพื้นที่เกาะภูเก็ตทั้งในส่วนของโครงการคอนโดมิเนียมและโครงการบ้านพักตากอากาศอีกเป็นจำนวนมาก และอาจมีผู้พัฒนารายใหม่ให้ความสนใจเข้าลงทุนในจังหวัดภูเก็ตอีกเป็นจำนวนมาก

ภาพรวมตลาดคอนโดมิเนียมในพื้นที่พัทยาปีพ.ศ. 2567

“คอนโดมิเนียมระดับลักซูรี่ยังเป็นที่น่าสนใจของกลุ่มลูกค้าและมีอัตราการขายที่ค่อนข้างเร็ว ขณะที่อุปทานใหม่กลับเข้าสู่ตลาดอีกครั้งทั้งในพื้นที่จอมเทียน วงศ์อมาตย์และใจกลางเมืองพัทยา และพบว่าคอนโดระดับลักซูรี่บางโครงการมีราคาเสนอขายต่อตารางเมตรสูงกว่า 330,000 บาท”

จังหวัดชลบุรีเป็นอีกหนึ่งจังหวัดที่ตลาดคอนโดมิเนียมกลับมาคึกคักเป็นอย่างมากในปี 2567 ที่ผ่านมา และถือว่าเป็นอีกหนึ่งทำเลที่มีการแข่งขันกันอย่างดุเดือนของผู้พัฒนารายใหญ่ในตลาดหลักทรัพย์และผู้พัฒนารายใหญ่ในพื้นที่ สำหรับในปีพ.ศ. 2567 ที่ผ่านมา แผนกวิจัยและการสื่อสาร คอลลิเออร์ส ประเทศไทย พบว่ามีโครงการคอนโดมิเนียมเปิดขายใหม่ในพื้นที่จังหวัดชลบุรีมากถึง 20 โครงการ 10,443 ยูนิต ด้วยมูลค่าการลงทุนรวมถึง 40,865 ล้านบาท โดยจำแนกเป็นคอนโดมิเนียมในพื้นที่พัทยาจำนวน  13 โครงการ 7,897 ยูนิต ด้วยมูลค่าการลงทุนรวม 36,060 ล้านบาท และนอกเขตพื้นที่พัทยาจำนวน 7 โครงการ 2,546 ยูนิต ด้วยมูลค่าการลงทุนรวม 4,585 ล้านบาท จากอุปทานการเปิดตัวดังกล่าวนับว่าเป็นอุปทานเปิดขายใหม่ที่สูงที่สุดในรอบ 5 ปีของตลาดคอนโดมิเนียมในพื้นที่พัทยา

คอนโดมิเนียมเปิดขายใหม่ในพัทยารายครึ่งปีตั้งแต่ครึ่งแรกปีพ.ศ.2554 – พ.ศ.2567

ที่มา: แผนกวิจัยและการสื่อสาร คอลลิเออร์ส ประเทศไทย

แผนกวิจัยและการสื่อสาร คอลลิเออร์ส ประเทศไทย พบว่าในปีพ.ศ. 2567 ที่ผ่านมาตลาดคอนโดมิเนียมในพื้นที่พัทยากลับมาคึกคักอีกครั้ง อุปทานเปิดตัวใหม่มีแนวโน้มปรับตัวดีขึ้นอย่างชัดเจนซึ่งเห็นได้ว่าหลังจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด – 19 กลับเข้าสู่ภาวะปกติ อุปทานใหม่กลับมาเปิดตัวอีกครั้ง และส่วนใหญ่เป็นการพัฒนาของผู้พัฒนารายใหญ่จากกรุงเทพมหานครและผู้พัฒนารายใหญ่ในพื้นที่  เช่น บมจ. ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้  บจ. ริเวียร่า กรุ๊ป บมจ. แสนสิริ และ บมจ. แอสเซทไวส์  เป็นต้น โดยพบว่าปีพ.ศ. 2567 ที่ผ่านมาอุปทานเปิดขายใหม่ 13 โครงการ 7,897 ยูนิต ด้วยมูลค่าการลงทุนรวม 36,060 ล้านบาท และส่วนใหญ่ตั้งอยู่ในพื้นที่จอมเทียน

แผนกวิจัยและการสื่อสาร คอลลิเออร์ส ประเทศไทย ตั้งแต่ครึ่งแรกปีพ.ศ.2554 –ปีพ.ศ.2567 มีอุปทานเปิดขายใหม่ตลาดคอนโดมิเนียมในพื้นที่พัทยาทั้งหมด  116,075 ยูนิต โดยพบว่าในพื้นที่ย่านจอมเทียนมีการเปิดตัวคอนโดมิเนียมมากที่สุดคิดเป็นร้อยละ 39.66 ตามมาด้วยในพื้นที่เขาพระตำหนักคิดเป็นร้อยละ 18.82 และในพื้นที่ใจกลางเมืองพัทยา คิดเป็นร้อยละ 18.70  แผนกวิจัยและการสื่อสาร คอลลิเออร์ส ประเทศไทย พบว่า ณ สิ้นปีพ.ศ. 2567 จากอุปทานที่อยู่ระหว่างการขายทั้งหมด 47,800 ยูนิต สามารถขายออกไปแล้วประมาณ 36,471 ยูนิตคิดเป็นร้อยละ 76.29 เหลืออุปทานรอการขายอีก 11,329 ยูนิตคิดเป็นร้อยละ 23.71 โดยพบว่าในพื้นที่ใจกลางเมืองพัทยามีอัตราการขายที่สูงที่สุดที่ร้อยละ 87.28 ตามมาด้วยในพื้นที่จอมเทียนร้อยละ 79.49 และในพื้นที่ย่านนาจอมเทียนที่ร้อยละ 74.12 โดยพบว่าในปีที่ผ่านมาโครงการคอนโดมิเนียมระดับลักซูรี่ได้รับความสนใจจากกลุ่มลูกค้าเป็นจำนวนมาก หลายโครงการสามารถปิดการขายได้มากกว่าที่คาดการณ์ไว้ โดยเฉพาะคอนโดมิเนียมริมชายหาดทั้งในพื้นที่วงศ์อมาตย์และจอมเทียน เนื่องจากอุปทานคอนโดมิเนียมเหล่านี้ค่อนข้างมีอยู่อย่างจำกัดและมียูนิตรอการขายที่ค่อนข้างน้อย

แผนกวิจัยและการสื่อสาร คอลลิเออร์ส ประเทศไทย คาดการณ์ว่าตลาดคอนโดมิเนียมในพื้นที่พัทยาในปีพ.ศ. 2568 จะยังคงเป็นทำเลที่โดดเด่นและมีอุปทานเปิดขายใหม่อย่างคึกคักทั้งในพื้นที่ใจกลางพัทยา จอมเทียน นาจอมเทียน      วงศ์อมาตย์ และคาดการณ์ว่าอาจมีคอนมิเนียม Branded Residence  หรือคอนโดมิเนียมระดับลักซูรี่เปิดขายใหม่ที่สร้างกระแสการพูดถึงซึ่งเป็นการพัฒนาโดยผู้พัฒนารายใหญ่ในตลาดหลักทรัพย์ และส่งผลให้ตลาดคอนโดมิเนียมในพื้นที่พัทยากลับมาคึกคักอีกครั้ง

ภาพรวมตลาดคอนโดมิเนียมในพื้นที่หัวหิน ชะอำและปราณบุรี

แผนกวิจัยและการสื่อสาร คอลลิเออร์ส ประเทศไทย พบว่าในปีพ.. 2567 ที่ผ่านมา ภาพรวมอสังหาริมทรัพย์ในพื้นที่พื้นที่หัวหิน ชะอำ ปราณบุรี เป็นอีกเมืองท่องเที่ยวที่สำคัญที่ได้รับความสนใจเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะตลาดคอนโดมิเนียมโดยพบว่าในปีที่ผ่านมามีอุปทานเปิดขายใหม่ของคอนโดมิเนียมในพื้นที่หัวหิน ชะอำ และปราณบุรี จำนวน 3 โครงการ 753 ยูนิต ด้วยมูลค่าการลงทุนรวม 6,460 ล้านบาท ทั้งหมดตั้งอยู่ในพื้นที่หัวหินฝั่งทะเล ซึ่งถือว่าเป็นทำเลที่ได้รับความนิยมที่สุดของกำลังซื้อในพื้นที่นี้ และทุกโครงการเป็นการพัฒนาโดยผู้พัฒนารายใหญ่ในตลาดหลักทรัพย์ และพบว่า ณ สิ้นปีพ.. 2567 ที่ผ่านมา ในพื้นที่หัวหิน ชะอำ และปราณบุรีมีคอนโดมิเนียมที่อยู่ระหว่างการขายทั้งหมด 30 โครงการ 16,120 ยูนิต ด้วยมูลค่าการพัฒนาทั้งหมด 39,301 ล้านบาท และขายไปแล้ว 12,290  ยูนิตหรือคิดสัดส่วนร้อยละ 76.24 มูลค่าการพัฒนาประมาณ 29,963 ล้านบาท  ยังคงเหลือยูนิตรอการขายทั้งหมดประมาณ 3,830 ล้านบาท 9,338 ล้านบาท ซึ่งทราบกันดีว่าอุปทานที่ยังคงค้างอยู่ในตลาดส่วนใหญ่ตั้งอยู่ในพื้นที่ชะอำและส่วนใหญ่เป็นโครงการคอนโดมิเนียมที่ก่อสร้างแล้วเสร็จและยังคงมียูนิตเหลือขายอยู่ในตลาด 

ตลาดคอนโดมิเนียมในหัวหิน ชะอำ และปราณบุรียังคงได้รับความนิยมจากผู้ซื้อชาวไทยเป็นหลักและส่วนใหญ่มากกว่าร้อยละ 70.00 ของผู้ซื้อมาจากกรุงเทพฯ อีกประมาณร้อยละ 10.00 เป็นกำลังซื้อจากสมุทรปราการและนนทบุรี และอีกประมาณร้อยละ 5.00 มาจากราชบุรีและประจวบคีรีขันธ์  สำหรับกำลังซื้อต่างชาติส่วนใหญ่เป็นกำลังซื้อจากสหรัฐอเมริกา เยอรมัน เนเธอร์แลนด์ และสวิตเซอร์แลนด์ ซึ่งแผนกวิจัยและการสื่อสาร คอลลิเออร์ส ประเทศไทยคาดการณ์ว่า สำหรับในปีพ.ศ. 2568 ตลาดคอนโดมิเนียมในพื้นที่หัวหิน ชะอำ และปราณบุรีจะยังคงได้รับความสนใจจากผู้พัฒนาเข้าพัฒนาโครงการใหม่อย่างต่อเนื่องอีกมากกว่า 1,000 ยูนิต และส่วนใหญ่ยังคงเป็นผู้พัฒนารายใหญ่ที่เคยพัฒนาโครงการในพื้นที่มาแล้ว และในอนาคตอาจเห็นการพัฒนาโครงการคอนโดมิเนียมแบบ Leasehold ในพื้นที่นี้ก็เป็นได้เนื่องจากปัจจุบันที่ดินติดชายหาดในพื้นที่หัวหิน ชะอำ และปราณบุรี หาได้ค่อนข้างยากและมีราคาเสนอขายที่สูงเป็นอย่างมาก