วันนี้ทางเวปไซต์ Think of Living ได้โอกาสมาสัมภาษณ์คุณเฟิม หงสนันท์ ผู้จัดการฝ่ายพัฒนาธุรกิจ บริษัท Gaysorn Property ที่เป็นผู้พัฒนาโครงการคอนโดมิเนียมอย่าง Mode 61 และห้าง Gaysorn ที่บริเวณสี่แยกราชประสงค์รับ
ขอให้คุณเฟิมช่วยเล่าถึงแนวคิดที่ทำให้เกสรมาทำ Residential หน่อยครับ
Gaysorn Property จริงๆแล้วเป็นบริษัทแม่ของห้างเกสรอีกทีนึง แต่การที่เรามาทำ Residential Mode 61 อีกรอบนึง เพราะว่าเรามีโอกาสที่จะซื้อที่ในทำเล Location ที่ดี ขนาดพื้นที่ที่นี่ประมาณ 2 ไร่ หน้ากว้างประมาณ 40-60 เมตรซึ่งถือว่าหน้ากว้างมาก แล้วทำเลก็ตอบโจทย์ซอย 61 เพราะถือว่าเป็นซอยที่ดีเด่น รวมถึงเราได้ทำโครงการแรกไปแล้ว ชื่อว่า Domust 16 และ18 เป็นโครงการที่ได้รับการตอบรับอย่างดีมาก แล้วก็ยังมีลูกค้าจากกลุ่มเดิมที่ผลักดันให้เราอยากจะลงทุนเพิ่ม เพื่อให้ลูกของเค้ามีบ้านใหม่อยู่
ภายใต้คอนเซปต์ที่เกสรสร้าง โดยเราจะเน้นกลุ่มลูกค้าที่อยู่บ้านจริงๆ เพราะฉะนั้น Spacing ของแต่ละห้องจะใหญ่ เราเน้นคอนเซปต์ที่สวนต้องมีความเขียว แล้วเราก็เห็นว่าตลาดของคอนโดมีเนี่ยมเนี่ยกำลังโตขึ้นด้วย รวมถึงที่ซอยนี้เป็นจุดรวมของ lifestyle ทุกอย่าง ไม่ว่าจะเป็น ทองหล่อ เอกมัย ถือเป็นซอยดีเด่นของกรุงเทพ เลยทีเดียว เนื่องจากมีถนนกว้าง มี 1 เลนเป็น Park lane ได้ และยังมี community ที่ดูแลด้วยกันด้วย
ตอนนี้พี่ก็เลยคิดว่าพื้นที่ตรงนี้ควรทำเป็น Residential มากกว่า ก็เลยไม่ได้คิดว่าจะทำเป็น Commercial ตั้งแต่แรกใช่มั้ยครับ
เรามองว่าต้ังแต่ทองหล่อไปเนี่ย เป็น Residential Zone ที่กำลังบูมมากๆและอย่างที่ผมบอกไปว่าซอย61 เป็นซอยเก่าแก่แล้ว มีผู้ดีอาศัยอยู่กันมานานแล้วครับ
แล้วแนวคิดในการทำ Mode หล่ะครับ เรามีความคิดอย่างไรถึงได้นำ product แบบนี้มาตั้ง ทำไมถึงต้องออกมาเป็นหน้าตาแบบนี้ครับ
ง่ายๆเลยครับ คอนเซปต์ของ Mode คือ “All Suite Boutique Living”
“All Suite” ก็คือห้องเราให้ความรู้สึกเหมือนไปอยู่ห้อง Suite ในโรงแรมซึ่งจะมีห้องนึงเป็นห้องนอน อีกห้องเป็นห้องนั่งเล่นรวมถึงของ Mode เอง ทางเราจะเน้นความ flexible ของการอยู่อาศัย สมมติจากห้อง 54 ตารางเมตรเนี่ย ถ้าเราอยู่คนเดียว เราก็สามารถปรับห้องให้ห้องเราดูกว้าง จะเห็นได้ว่ามีห้องนอนกับห้องนั่งเล่นอยู่ในห้องเดียวกัน ถ้าสมมติมีเพื่อนมา เราก็จะมีประตูปิด ในส่วนของประตูก็จะเป็นประตูที่ซ่อนเข้าไปในกำแพงเลย ไม่ใช่เป็นกระจกหรืออย่างไร คือเราคิดถึงจุดนี้มาให้ลูกค้าป็นอย่างดีแล้วครับ แล้วเราก็ยังคิดถึงเรื่องของคุณภาพมากกว่า ความเป็นเกสรจะส่งผลให้กับลูกค้ากลุ่มนั้น ทำให้เห็นถึงความเป็น Exclusive Quality เลย อย่างวัสดุ อุปกรณ์ที่เราเลือกใช้หลายๆอย่างเนี่ย เราก็ให้ลูกบ้าน และผู้อยู่อาศัยจริงๆ
ทำไม Mode 61 ถึงได้ดีไซน์ออกมาเป็นแนวนี้
เราออกแบบในแบบ Timeless ครับ เพราะเราเห็นว่าบ้านเป็นเหมือนการลงทุนไม่ว่าจะระยะสั้น หรือระยะยาว ถ้าเราเอาอะไรที่เป็นแนว Classic และ Timeless มาในสัดส่วนที่กำลังดีเนี่ย เรามองว่ามันจะอยู่กับเราไปได้เป็นร้อยปี เราจะเน้นเป็น Timeless มากกว่า จะไม่เน้นฉูดฉาด นิ่งๆ เรียบๆในแบบของเราไป
เรื่องต้นไม้ละครับ? ปกติคอนโดมีเนี่ยมทั่วไปจะมีต้นไม้ไม่เยอะ ที่เข้ามาที่นี่เห็นว่ามีต้นไม้เยอะเลยครับ
ครับ นั่นคือจุดขายของ Mode เลย ปกติคอนโดพื้นที่ 2 ไร่ จะไม่ค่อยแบบที่มี 80 ยูนิต ส่วนมากจะมีประมาณ 200 ยูนิต สำหรับเรา เราจะสร้างความแตกต่าง ให้ตลาดโดยที่ไม่ได้เอาสวนไว้ด้านบนอย่างเดียวนะ ด้านล่างก็มี เพราะฉะนั้นความรู้สึกตั้งแต่มาถึง คือจะเหมือนอยู่ที่ Boutique resort ที่ต่างจังหวัดสวยๆ ผ่อนคลายใกล้ธรรมชาติ เต็มไปด้วยความเขียวขจีของต้นไม้ ซึ่งพวกนี้ก็ทำให้เห็นความแตกต่างได้
อนาคตคิดว่าจะไปทางด้าน Residential ต่อไหมครับ
ตอนนี้เราก็ทำไปเรื่อยๆนะครับถ้าจะทำเราก็ยังเน้นเรื่องทำเลเป็นหลักเหมือนเดิมถ้ามีพื้นที่ที่เหมาะสมในราคาที่ได้แล้วเราก็มาดูว่าราคาสามารถเจาะกลุ่มลูกค้าได้รึเปล่า
บริษัทถูกตั้งขึ้นมาเพื่อทำ Residential อย่างเดียวเลยหรือเปล่าครับ
ไม่ใช่ครับไม่มีบริษัทที่ถูกตั้งขึ้นมาภายใต้ Gaysorn Property แต่ว่า Mode ที่อยู่ภายใต้ Gaysorn Property ซึ่งเป็นเหมือนบริษัทแม่เลย ภายใต้Gaysorn Property เราก็จะแบ่งออกเป็น2 ส่วน ก็คือ Residential กับ Commercial
Commercial ก็จะเป็นโซน Office กับ Retail ในส่วนของ Residential ก็ยังจะมีโครงการต่อไปเรื่อยๆครับก็คือเราดูทำเลเป็นหลักซึ่งปลายปีนี้ก็อยากที่จะเปิดตัวอะไรใหม่ๆเพิ่มครับ
คุณเฟิมคิดที่จะขยาย Residential Property มั้ยครับ ปกติแล้วจะเห็นทำทีละโครงการไปเรื่อยๆ
ใช่ครับ เราเน้นทำทีละโครงการ เราเน้นในกลุ่มลูกค้าที่ซื้อเราในเชิงที่พวกเขาไม่ชอบอะไรที่ Mass product จนเกินไป แต่ชอบการดูแลที่เป็นพิเศษ และพวกเขาก้เข้าใจว่าถ้ามาหา Developer ที่มีคุณภาพแบบเราเนี่ย เราสามารถตอบโจทย์ในเรื่องของ Customer Relationship ให้พวกเขาได้เป็นอย่างดีกว่าบริษัทใหญ่ๆดูแลได้เป็นส่วนตัวมากกว่าครับแล้วโครงการใหม่ๆเนี่ยก็ยังจะคงเกาะอยู่ที่ทำเลเดิมๆแถวสุขุมวิทเพราะเราถือว่าเป็นทำเลที่เราเชี่ยวชาญและกลุ่มลูกค้าก็เข้าใจเราเป็นอย่างดีอยู่แล้ว
อนาคตจะมีการแตก Segment ออกไปอีกมั้ยครับ
อันนั้นอาจต้องรอดูอีกทีครับว่าจะแตกไปกลุ่มลูกค้าไหน
แต่ก็น่าจะเป็นกลุ่มนี้ใช่ไหมครับ เพราะเราก็เชี่ยวชาญกลุ่มนี้แล้ว
ใช่ครับ แต่ต่อไปอาจจะเป็นกลุ่ม Young couple ที่พึ่งเริ่มอยู่ด้วยกันซื้อด้วยกัน
ราคาต้องลดลงมาด้วยรึเปล่าครับ?
หากเฉลี่ยๆกันก็อยู่ที่ประมาณ 6-8 ล้าน
ครับ งั้นต่อไปเราขอถามเรื่อง High end Mall หน่อยดีกว่าครับ อย่างที่เราก็ได้เห็นว่าเกสรเคยทำ High end Mall มาแล้วคิดว่าตอนนี้เป็นอย่างไรบ้างครับ
ในขณะนี้พูดได้ว่าตอนนี้ High end Mall มีความแข่งขันสูงมากในเรื่องของแบรนด์ที่อยากจะมาเปิดในเมืองไทยเราต้องการกระจายและมี presence ในกรุงเทพมาก เพื่อต้อนรับ AEC และความเจริญของคนกรุงเทพเองด้วย เพระาฉะนั้นเมื่อ AEC เข้ามา จะส่งผลให้ตลาด B+ ถึง A+ บูมมาก หลายๆ developer ก็ต้องเริ่มสร้าง Construction เหมือนกับที่รัฐบาลพยายามเริ่มสร้าง Infrastructure เพื่อสนับสนุนการคมนาคมพวกเราในฐานะ developer ก็ต้องสร้างตึกมาคอยรองรับ 2020 เหมือนกันครับ เราก็ต้องคอยตามตลาดไปเรื่อยๆ โดยส่วนตัวผมคิดว่าถ้าเราจะโตไปมากกว่านี้ ทางรัฐบาลก็ต้องมีส่วนช่วยด้วยในเรื่องของภาษีการนำเข้าสินค้า luxury เป็นต้นครับ
จากที่เราก็ได้ทราบกันอยู่นะครับว่าในอีกปีสองปี Central Embassy จะมา Emquartier จะมา เกสรจะมีการปรับตัวอย่างไรบ้างครับ
อย่างแรกเลยนะครับ เกสรเราเป็นห้างที่ขนาดไม่ใหญ่อยู่แล้ว เราก็จะมีข้อจำกัดของพื้นที่ เพราะฉะนั้นเราจะทำอย่างไรที่จะสร้างคุณค่าให้แก่ลูกค้า แล้วเราก็ต้องตอบสนองความเป็น Luxury ด้วย ตามคอนเซปท์ของเกสรที่ว่า “Your Luxury Moment” คือ Touch point หลายๆอย่าง เราสามารถใส่รายละเอียดที่ความ Luxury ได้ในบางห้างที่ใหญ่มากๆอาจทำ Touch point ลำบากหน่อย เช่น เราไปกินข้าวร้านอาหารเล็ก มันจะให้ความรู้สึกดูแลเป็นกันเองมากกว่า ก็คือในเรื่องของการตลาดจะต่างกันครับ ในอีกเรื่องหนึ่งก็คือ เรื่องของการปรับตัวให้เข้ากับลูกค้า ฐานลูกค้าที่เรามี และที่โตมากับเรา เราเข้าใจว่าลูกค้าต้องการอะไร นั่นคือเรื่องที่หนึ่ง ส่วนเรื่องที่สอง คือ เรื่องของแบรนด์ การที่แบรนด์จะเติบโตได้ทั่วโลก เค้าต้องโตอย่างไรบ้าง เค้าต้องการการตลาดแบบไหน เราก็ต้องปรับตัวเองอยู่ตลอดเวลา เพื่อให้เข้ากับกระแสของโลก และความต้องการของผู้เช่า และลูกค้าว่าเราจะดูแลพวกเขาอย่างไร
แล้วปรัชญาในการทำธุรกิจของ Gaysorn Property ล่ะครับ เป็นอย่างไรบ้าง
Motto ของเราคือ Refined Quality ซึ่งก็จะแตกออกมาเป็นเรื่องที่อยู่อาศัย Refined ในที่นี้หมายถึงว่า คิดมาแล้ว มีคุณภาพที่นิ่งๆ แต่มีว่า Taste ในเรื่องของ Touch point หลายๆอย่าง ซึ่งก็คือ เราจะไม่ Overpromised เราให้สิ่งที่คุณเห็นแล้วก็ให้มาลองให้เห็นจริงว่าเราเป็นอย่างไร
ในส่วนของเกสรการบริการหลังการขายหรือการทำนิติบุคคลนี่คือทำเองหรือเปล่าครับ
ใช่ครับอย่างที่ MODE ตอนนี้เราทำเองครับ The Gaysorn Residential Services เราได้ความเชี่ยวชาญตรงนี้มาจากการที่เราได้บริหารเอง ระบบการจัดการดูแลลูกค้า เราก็เอาระบบ CRM เข้ามาช่วย เอาโมเดลมาประยุกต์ให้กับคอนโดเราครับ
ช่วยแนะนำคำแนะนำในการหาบ้านพักอาศัย 3 ข้อครับ
ข้อแรกนะครับ ทำเลเป็นหลักเลย หาทำเลลจุดที่เหมาะสมกับตัวคนอยู่เอง ทำเลที่เหมาะสมกับตัวเขา และคิดว่าสะดวกกับคนอยู่ บางทีอาจจะตอบสนองต่อไลฟ์สไตล์ของเขา หรืออยู่ใกล้บ้านคุณพ่อ คุณแม่ก็เป็นได้
ส่วนข้อสองนะครับ ผมคิดว่าควรลงทุนใน Quality Products อย่างบาง Developer เราไปแสดงยูนิต เขาอาจจะเห็นว่าดีหมด แต่ของจริงไม่ได้ให้แบบนั้น มันต้องเอาผู้เชี่ยวชาญไปดูด้วย ผมแนะนำว่าบางทีห้องสวีทบางทีให้ไฟ 10 ดวง แต่ของจริงให้ 1 ดวง หรืออย่างปลั๊กมี 1 จุด เราก็ต้องไปดูรายละเอียดของมันด้วย
สุดท้ายก็คือซื้ออะไรที่บ่งบอกความเป็นตัวเอง ผมว่าอันนี้สำคัญมากๆครับ เพราะว่าสิ่งนี้จะเป็นความสุขของเรา เป็นอะไรที่เป็นเราแล้วพอเราอยู่กับมัน เราก็จะรักมัน เราจะช่วยกันดูแล Property เหล่านี้ส่งผลทำให้นิติบุคคลก็จะดี เราก็จะเจอคนในแบบเหมือนๆกัน
ครับ งั้นมาถึงคำถามสุดท้ายนะครับ คิดอย่างไรกับราคาของโซนเอกมัยที่ราคาตารางเมตรละ 150,000-160,000 คิดว่าตลาดทำเลนี้จะเป็นอย่างไรครับ
ผมว่านะครับเอกมัยเกิดขึ้นอีกแน่ๆ เพราะตอนนี้ทองหล่อเริ่มเต็มล่ะครับ พอทองหล่อเต็ม ที่ที่ใกล้ที่สุด อาจจะไม่กว้างเท่า แต่มีคมนานคมที่ดี ก็คงต้องเป็นเอกมัยแล้วครับ เพราะบางทีล้นทลักทองหล่อแล้ว บางทีตึกสูงก็สร้างไม่ได้ ตึกเตี้ยก็ไม่รู้ว่าจะสร้างได้เยอะขนาดไหน เอกมัยก็คือที่ต่อไปแล้ว โดยเฉพาะปากซอยเอกมัยเนี่ย ทั้งสองข้างมี Gateway มี Medical Center มี Major Cineplex มีทุกอย่างครบเลย แล้วห้างพวกนี้จะต้องพัฒนาเรื่อยๆอยู่แล้วให้เหมาะกับไลฟ์สไตล์ของคนที่เกิดขึ้นในเอกมัยโซนที่พักอาศัย
คิดว่าแพงมั้ยครับ
ผมว่าไม่แพงไปนะครับ เพราะว่าถ้าไปดูปากซอย 39 เนี่ย 220,000 แล้วนะครับ ในซอยนี่ก็ 220,000ขึ้นไปแล้วครับ ราคาก็ขึ้นตามความเป็นจริงในเรื่องของราคาพื้นที่ที่สูงขึ้นด้วย ความต้องการของผู้ซื้อ แล้วก็รวมถึงค่าก่อสร้างด้วยครับ
งั้นผมขอจบการสัมภาษณ์เพียงเท่านี้นะครับ ขอบคุณมากๆครับ