เปิดให้บริการกันเป็นที่เรียบร้อยแล้วนะครับ สำหรับห้างใหม่ล่าสุดใจกลางกรุงเทพ “EmQuartier” หรือ Emporium 2 ที่ใครหลายๆคนรอคอย วันนี้ผม Mr.Boom จะขอพาไปเดินเล่นในห้างเปิดใหม่แห่งนี้เป็นการชิมลางซะหน่อย ไปดูกันว่าที่นี่มีอะไรแปลกใหม่บ้าง ส่วนใครที่ยังไม่ว่างไปดูเองก็นั่งดูรูปไปพลางๆก่อนละกันนะครับ ^^
ที่ตั้งของ EmQuartier จะอยู่ตรงข้ามกับห้าง Emporium เลยนะครับ คือจะอยู่ติดกับสถานีรถไฟฟ้า BTS พร้อมพงษ์ อย่างที่หลายๆคนรู้จักกันดีอยู่แล้ว การเดินทางนอกจากรถไฟฟ้า BTS แล้ว ถ้าเราขับรถมา ก็คือสามารถเลี้ยวเข้าห้างได้ 3 ทางหลักๆนะครับ
- ทางเข้าด้านหน้าห้างโดยตรง ซึ่งจะวนรถเข้าไปจอดที่อาคารจอดรถด้านใน ทางเข้าอันนี้จะเป็นทางเข้าหลัก แต่ตอนห้างเปิดช่วงแรกๆนี้จะยังปิดไม่ให้ใช้อยู่นะครับ
- เข้าจากทางซอยสุขุมวิท 35 เพื่อเข้าอาคารจอดรถแบบอัตโนมัติโดยใช้ลิฟท์จอดรถ ที่รองรับรถได้ประมาณ 300 คัน
- เข้าจากซอยสุขุมวิท 39 (หรือจะลัดเลาะมาจากทางถนนเพชรบุรก็ได้) โดยจะขับเข้าซอยลัดมาทะลุซอยสุขุมวิท 35 ด้านหลัง ซึ่งจะมีทางเข้าด้านหลังห้างสำหรับเลี้ยวเข้าที่จอดรถได้เช่นเดียว แต่ทางเข้าสุดท้ายนี้จะค่อนข้างแคบหน่อย ผมว่าใช้ทางเข้าด้านหน้าดีกว่า
ถ้าดูจากแปลนด้านบน ตัวอาคารของ EmQuartier จะถูกแบ่งออกเป็น 3 ตึก ได้แก่
- Helix Quartier (อาคาร A) ที่เป็นอาคารรูปเกลียวๆสีขาวเด่นอยู่ทางด้านหน้า ฝั่งซ้าย
- Glass Quartier (อาคาร B) คืออาคารที่ลักษณะเป็นผนังกระจก อยู่ทางด้านหน้าฝั่งขวา
- Waterfall Quartier (อาคาร C) เป็นอาคารที่อยู่ด้านหลัง ติดกับส่วนจอดรถ ที่จะมีน้ำตกสูงตั้งแต่ชั้นบนสุดจนถึงชั้นล่าง (ช่วงแรกยังตกแต่งอยู่เลยอาจจะยังไม่เห็น)
ทั้ง 3 ตึกจะมีทางเชื่อมลอยฟ้า ที่เชื่อมถึงกันทุกชั้น เพื่อให้คนเดินข้ามไปมาระหว่างตึกได้สะดวก
Floor Plan แต่ละชั้นนี่ซับซ้อนมา ทางขวาสีชมพูนั่นจะเป็นฝั่ง Emporium นะครับ ส่วนทางซ้ายสีม่วงจะเป็น EmQuartier
ทางห้างมีการปรับพื้นที่บริเวณส่วนที่ติดกับรถไฟฟ้าใหม่ทั้งหมด จากเดิมที่มีแค่สะพานเชื่อมเข้าห้าง ตอนนี้คือ Platform บนชั้น M จะเชื่อมกับทางเดินรถไฟฟ้าเป็นผืนเดียวกันเลย กว้างกว่าสถานีสยามที่อยู่ติดกับลาน Parc Paragon ซะอีกนะเนี่ย
ถ้าใครมาโดยรถส่วนตัว ที่นี่นอกจากจะมีอาคารจอดรถแบบปกติอยู่ทางด้านหลังแล้ว บริเวณตึกด้านหน้า จะมี Automated Parking ด้วยครับ ซึ่งเป็นระบบลิฟท์จอดรถอัตโนมัติ ขับรถเข้าไป ดึงกุญแจออกมา รับบัตรจอดรถ แล้วก็ไปได้เลย โดยไม่ต้องไปวนรถหาที่จอด (แต่อาจจะต้องต่อคิวหน่อยนะ) รองรับรถได้ประมาณ 300 คัน ถ้าใช้ไม่เป็น ตอนนี้ขับเข้าไปแล้ว มีเจ้าหน้าที่เค้าช่วยดูอยู่ ไม่ต้องกลัวเลย
พอเราจอดรถเสร็จ เราก็จะมา Scan บัตรเข้า เพื่อบอกว่าเรามาจอดที่นี่นะ ส่วนขาออก ก็มา Scan ออกอีกครั้งที่ชั้น B ของตึก Helix Q. ซึ่งรถก็จะค่อยๆลงมาจากลิฟท์ ตามคิว เราก็จะนั่งรถอยู่ตรง Lounge ด้านล่าง พอรถเราลงมาแล้วก็จะมีพนักงานเดินมาบอกให้เราไปเอารถได้ครับ
ต่อไปผมจะพาไปดูทีละตึกเลย พอเราเดินออกมาจากรถไฟฟ้า เราจะเห็นตัวตึกสีขาวเด่นบิดเป็นเกลียวแบบนี้ นี่คืออาคาร A หรือ Helix Quartier ซึ่งเป็นตัวชูโรงของห้างเลยก็ว่าได้ ตึกนี้จะเน้นเป็น International Luxury Brands รวมแบรนด์ดังระดับโลกมาไว้ตรงนี้ ด้านบนที่ชั้น 5 ของตึกจะมี Water Garden ที่เป็นสวนสาธารณะลอยฟ้า ที่ตั้งใจเตรียมไว้เพื่อเป็นจุดผ่อนคลายใจกลางเมือง และตั้งแต่ชั้น 6-9 จะเป็นโซนร้านอาหารแบรนด์ดัง แบบ Fine Dining ที่จะรวมกันขึ้นไปอยู่ชั้นบน เหนือรางรถไฟฟ้าขึ้นไป สามารถมองวิวออกมาภายนอกแล้วเห็น City View ของสุขุมวิทได้
ตึกทางขวานั่นคือ Glass Quartier เป็นอาคาร B ที่อยู่ด้านหน้าห้างเหมือนกัน ตึกนี้จะลดระดับแบรนด์ลงมา เป็นแบรนด์ชั้นนำเกรด Premium เรียกว่าสำหรับมนุษย์มนาทั่วไปพอจะจับต้องได้ (แต่ก็ไม่ได้ถูกเลยนะ) ตึกนี้จะเด่นตรงที่มีลานกิจกรรมด้านหน้าตึก (คล้ายๆ Parc Paragon) มีการจัด Facade ของตึกเป็นกระจกรอบอาคาร
ตัวตึก Glass Helix จะมีจอ LED Display ขนาดใหญ่ที่ติดอยู่ด้านหน้าตึก เป็นคอโค้งแนวยาว วางเหลื่อมๆกันให้ดูเป็นดีไซน์ของตึก ตอนนี้ก็คือใช้เป็นป้ายโฆษณาไปก่อน แต่เชื่อว่าในช่วงที่มีเทศกาลหรืองานสำคัญๆ ตรงนี้อาจจะกลายเป็นอีกหนึ่งลานกิจกรรมที่ดึงคนมาได้มากแน่ ไหนจะดูฟุตบอลเอย เคาท์ดาวน์ช่วงปีใหม่เอย หรือจะถ่ายทอดสด Event ตรงนี้ขึ้นไปบนจอก็ได้
ส่วนที่อยู่ตรงกลางระหว่าง Helix Quartier และ Glass Quartier นั่นคือ Waterfall Quartier ซึ่งเป็นตึกที่อยู่โซนด้านในสุดติดกับอาคารจอดรถ วันแรกที่ไปยังไม่มีอะไร แต่ตรงนี้ทางห้างตั้งใจจะให้เป็นจุดที่เปิดน้ำตกขนาดใหญ่ จากชั้นบนสุดจนถึงชั้นล่างของอาคาร แแถมจัดสวนแบบ Vertical Garden เอาไว้ตรงกลาง เพื่อเพิ่มสีเขียวและความร่มรื่นให้กับพื้นที่ห้างที่อยู่ใจกลางเมืองด้วย
อย่างที่บอกไปตอนแรก ทั้ง 3 ตึกจะมีทางเชื่อมระหว่างกันทุกชั้น ซึ่งจะทำให้เราสามารถเดินข้ามจากตึก A ไปตึก B ไปตึก C ได้โดยที่ไม่ต้องขึ้นหรือลงบันไดเลื่อน (แต่วันแรกที่ไปยังประกอบทางเชื่อมกันอยู่ จึงมีเฉพาะบางชั้นที่ใช้งานได้นะครับ)
ส่วนร้านค้าเด่นๆที่มาอยู่ที่นี่จะมีอะไรบ้าง เราเข้ามาดูตึก Helix Quartier ก่อนเป็นอันดับแรก เริ่มต้นที่ชั้น M โดยร้านที่เป็น Facade Store ร้านแรกที่อยู่ติดกับทางเข้าก็คือ Prada และ Chanel นั่นเอง Prada นี่พร้อมเปิดบริการตั้งแต่วันแรกเลย ส่วน Chanel นางยังไม่มี สงสัยชอบเป็นตัวเอกโผล่มาตอนหลัง
YSL ก็จัดเอาแบรนด์ตัวท้อป Saint Laurent มาไว้ที่นี่เลย อยู่ชั้นเดียวกับ Prada ไม่ต้องห่วง
Miu Miu
Valentino ก็ได้ Shop ใหญ่ที่นี่
ที่ชั้น M นี้จะมี TWG Tea Salon ที่มาเปิดอยู่บริเวณทางเชื่อมข้ามไปยังตึก Waterfall ซึ่งมาที่นี่ก็จัดร้านซะใหญ่โตเลย เราสามารถนั่งจิบ High Tea แล้วชมวิวน้ำตกด้านหลังได้จากตรงนี้ และร้านอาหารที่อยู่แนวเดียวกันนี้ในชั้นอื่นๆก็จะได้วิวน้ำตกเหมือนกัน (มีร้าน Roast จาก Seenspace ทองหล่อไปเปิดที่ชั้น 1 ด้วยนะ แต่ผมลืมถ่ายรูปมาให้ดู)
Sephora ร้านใหญ่อยู่ชั้น G
ส่วนร้านนี้กระแสกำลังมาแรงมาก กับ MCM ที่พึ่งมาเปิดที่ประเทศไทยครั้งแรกที่นี่ มาถึงวันแรก ก็จับนายแบบตัวเป็นๆ ไปยืนในร้าน ทำท่าทางเหมือนเป็นหุ่นซะเลย
Issey Miyake กับแบรนด์ Pleats Please และ BaoBao ก็มาท่ีนี่ด้วย ไม่ได้มีเฉพาะที่ Siam Discovery อีกต่อไปนะครัช
ส่วนสาวกแบรนด์ญี่ปุ่น BEAMS ก็น่าจะดีใจนะครับ ที่ร้านนี้มาเปิดตัวที่เมืองไทยซะที และมาลงที่ EmQuartier ตามที่คาดหมายไว้ วันแรกเปิดมา เค้าก็จัดแถลงข่าวกันอยู่ข้างใน มีคนญี่ปุ่นมาร่วมงานกันเต็มเลย
ขึ้นมาที่ชั้น 3 ของตึก Helix Quartier ตรงนี้จะเป็นโซนออกผู้ชายๆหน่อย เป็นสินค้า IT รวมถึง Service ต่างๆ เช่น AIS, DTAC, Trueshop, Samsung, iStudio ซึ่งถ้าเดินข้ามไปทางตึก Glass Quartier จะเป็นโซน Banking Service รวมอยู่ตรงนี้ (แต่ทางเชื่อมยังไม่เสร็จ) จริงๆแล้ว Layout การเดินนี่ใกล้เคียงกับ Siam Paragon มากๆ ช่วงแรกๆอาจจะงงหน่อย รอให้ทางเชื่อมเสร็จทั้งหมดแล้วน่าจะช่วยให้ Flow และ Access ต่างๆ ดีขึ้นมากเลยแหละ
ชั้น 4 ตรงนี้จะเป็นแนว Spa & Healthcare Service
บริเวณชั้น 5 ของตึก Helix Q. นี้จะเป็นโซน Water Garden หรือสวนสาธารณะลอยฟ้าใจกลางเมืองคับ ซึ่งในช่วงแรกเค้าจะยังไม่เปิดให้บริการ เพราะยังตกแต่งไม่เรียบร้อย ซึ่งถ้าเสร็จแล้วนี่ก็น่าจะไปลองเดินเล่นกันดู น่าจะเป็นโซนผ่อนคลายที่มีคนมาใช้เยอะเลยแหละ เนื่องจากในเมืองแบบนี้หาพื้นที่สีเขียวกันไม่ค่อยจะมี
ส่วนตั้งแต่ชั้น 6-9 ขึ้นไปก็จะเป็นโซน Fine Dining ที่รวมร้านอาหารชื่อดังกว่า 50 ร้าน มารวมอยู่ที่นี่ แต่ละร้านสามารถมองออกไปด้านนอก รับวิวแบบ City View ของสุขุมวิทได้ด้วย เนื่องจากความสูงตรงนี้จะอยู่เหนือรางรถไฟฟ้าขึ้นไปแล้ว ตอนนี้ยังไม่เปิดนะครับ
ต่อมาเป็นตึก Glass Quartier ครับซึ่งจะเป็นอาคาร B ที่อยู่ด้านหน้าห้างเหมือนกัน ตึกนี้จะเต็มไปด้วยแบรนด์ชั้นนำชื่อดังอีกเหมือนกัน แต่เกรดอาจจะไม่ถึงกับ Hi-End หรือหรูหราฟู่ฟ่าเท่ากับตึกแรก แต่จะเป็นตึกที่มีความ Active กว่า มีความวัยรุ่น และไม่หยุดนิ่งมากกว่า อันดับแรกสังเกตได้จากจอ LED ขนาดใหญ่ที่ติดอยู่ด้านหน้า และอย่างที่สองคือลานจัดกิจกรรมขนาดใหญ่บริเวณลานที่ติดกับทางเชื่อมรถไฟฟ้า ทั้งสองอันนี้เป็น Hint ว่าที่นี่น่าจะมี Event ต่างๆเกิดขึ้นตลอดเวลา
สาเหตุที่ที่นี่ชื่อว่า Glass Quartier เพราะตัวตึกจะถูกหุ้มด้วยผนังกระจกตลอดแนว ซึ่งจะมองเข้าไปเห็นกิจกรรมต่างๆที่เกิดขึ้นภายในตึกได้จากภายนอก เพราะที่นี่จะมี Movement การเดินจากตึกหนึ่งเชื่อมไปอีกตึกหนึ่งตลอดเวลา การทำแบบนี้เหมือนเป็นการเชื่อมพื้นที่ Indoor กับ Outdoor เข้าด้วยกัน
ลักษณะการตกแต่งของตึกนี้ ก็จะดูโฉบเฉี่ยวกว่า สีสันสดใสกว่า ไม่ได้ออกแนวหรูหรา สง่าผ่าเผย Elegant แบบตึกแรก แต่จะให้ความรู้สึกที่ Active กว่า
บันไดเลื่อนที่อยู่ติดกับผนังกระจก เป็นส่วนที่ทำให้ตัวอาคารดูเด่นขึ้นมามาก
ร้านค้าที่มีอยู่ในตึกนี้ถึงแม้ว่าโดยรวมจะหรูไม่เท่าตึกแรก แต่ก็ไม่ใช่แบรนด์ไก่กานะครับ เปิดมาด้วย Proenza Schouler แบรนด์ดังจากอเมริกา มาเปิดเป็น Shop ใหญ่ที่นี่ด้วย
La Baguette ร้านอาหาร และร้านคาเฟ่ เบเกอรี่ชื่อดัง จากพัทยา มาเปิดที่กรุงเทพที่แรกที่นี่แล้ว
และนี่คงเป็นอีกหนึ่งร้านที่หลายๆคนรอคอย Pierre Herme ร้านขนมชื่อดังจากย่าน Opera ในกรุง Paris ที่มาพร้อมกับ Macaron ที่หลายๆคนต้องหิ้วมาจากเมืองนอก ตอนนี้มาที่นี่แล้วจ้า (แต่ได้ข่าวว่าแพงโหดอยู่นะ)
Stylenanda แบรนด์ดังจากเกาหลี พร้อมเครื่องสำอางค์ 3-C-E ที่หลายๆคนรอคอย ก็มาเปิดตัวที่นี่ด้วย
วัยรุ่นหลายคน รอคอยการเปิดตัวของ StyleNanda ในวันแรกของการเปิดห้าง ร้านเปิด 6 โมงนี่มาต่อคิวกันตั้งแต่ห้างเปิด แถมมี ณเดชน์ มาเป็นพรีเซนเตอร์ร่วมเปิดตัวแบรนด์ให้ด้วย งานนี้แฟนคลับมากันลึ่ม
Alexander Wang อีกหนึ่งแบรนด์แฟชั่นจากอเมริกา ก็เป็นหนึ่งในช้อปบนพื้นที่ชั้น M
3.1 Phillip Lim จาก New York City ก็มาเปิดที่นี่ครั้งแรก
แบรนด์ Carven จากฝรั่งเศส
Rag & Bone จาก New York
H&M ร้านใหญ่ม้ากกกกกก อยู่ที่ชั้น 1 ของตึก Glass Quartier
Zara ก็ไม่ได้ยิ่งหย่อนไปกว่ากันเลย กินพื้นที่ฝั่งด้านหน้าตึกนี้ ไปเกือบหมด
เหนือจาก Zara ขึ้นมาที่ชั้น 2 ก็จะเป็น Uniqlo ที่เป็นอีกหนึ่ง Shop ใหญ่ของที่นี่ ขนาดใกล้เคียง Central World เลยมั้ง ถ้าไม่ได้ใหญ่กว่าอ่ะนะ
พอขึ้นมาชั้น 3 นี่ ร้านที่เอาพื้นที่ใหญ่สุดไป ได้แก่ Kinokuniya ครับ ซึ่งที่นี่จะเปิดโซนหนังสือภาษาญี่ปุ่นด้วย ซึ่งมีให้เลือกเยอะมากๆ เรียกว่าเอาใจคนญี่ปุ่นที่อยู่แถวนี้เลยแหละ
ในชั้นเดียวกันนี้ จะเข้าสู่โซน Banking & Financial Service ครับ แบ๊งค์ใหญ่ๆ เอา Lounge หรูๆมาลงครบ ไม่ว่าจะเป็น Bualuang Infinite, SCB First, K Wisdom ฯลฯ
ต่อจากชั้น 3 นี่ยังทำไม่เสร็จนะครับ ยังขึ้นไปดูไม่ได้ แต่จะบอกให้ฟังว่าข้างบนมีอะไรบ้าง
ที่ชั้น 4-5 ของตึก Glass Quartier จะเป็นชั้นฟิตเนส ของ Virgin Active ครับ ซึ่งจะเป็นสาขาที่ 2 ต่อจากที่ตึก Empire และในชั้นเดียวกัน ก็จะมี Quartier Hall ซึ่งเป็นห้องสำหรับจัด Event น่าจะคล้ายๆกับ Royal Paragon Hall นั่นแหละ
ส่วนโรงหนังของที่นี่ก็จะใช้แบรนด์ใหม่ที่ชื่อว่า Quartier Cineart ครับ ซึ่งก็จะอยู่ที่ชั้น 4-5 นี่เหมือนกัน
ส่วนที่ชั้นใต้ดินของตึก Glass Quartier จะเป็นโซนที่เรียกว่ Quartier Foodhall ครับ ซึ่งจะเป็นจุดรวมร้านอาหาร และของกิน มากมายหลายรูปแบบ หลายประเภท แต่อันนี้จะไม่ได้เน้นเป็น Dining นะครับ ให้จินตนาการถึงโซนหน้าซุปเปอร์ของพารากอน
ร้านอาหารของชั้นล่างจะเป็นแนวๆ Grab & Go มากกว่า หรือไม่ก็ซื้อกลับบ้าน ส่วนร้านที่เป็นร้านนั่งทานส่วนใหญ่จะเน้นเป็นมื้อกลางวัน หรือไม่ก็เป็นพวกร้านของหวานเป็นหลัก คือเน้นกิน ไม่ได้เน้นบรรยากาศ
ของแปลกชั้นล่างจะมี Tenyuu Sushi Bar ที่เป็นร้านอาหารญี่ปุ่นชื่อดังย่านสาทร มาเปิดบาร์ซูชิเล็กๆ ให้ลองชิมกัน เห็นแบบนี้ ราคาไม่ถูกนะจ๊ะ
ร้านที่คิวยาวม้ากกกกก คือ Hot Star Large Fried Chicken ไก่ทอดสัญชาติไต้หวัน ที่มาเปิดที่ไทยเป็นครั้งแรก คิวล้นมากก
ถัดมาเป็นโซน Food Court รวมร้านอาหารแบบ Kiosk
ส่วนอาคาร C ที่อยู่ท้ายสุดของห้าง จะมีชื่อว่า Waterfall Quartier ซึ่งที่มาของชื่อนั้นคือ น้ำตกขนาดใหญ่ ที่จะเปิดไหลจากชั้นบนสุดจนถึงชั้นล่าง บริเวณสวน Vertical Garden ที่จัดไว้ เป็นหน้ากากของตึก วันแรกที่ไปนี้เค้ายังทำไม่เสร็จ (ใครมีภาพมาอัพเดท ส่งมาให้หน่อยซิ ฮ่าๆ)
บริเวณตรงกลางสุดของตึก จะเป็นเสาที่ประดับด้วยจอ LED ที่พันรอบเสาเป็นเกลียวสูง 3 ชั้นแบบนี้ ซึ่งก็จะมีการเปิด Display ภาพเคลื่อนไหวต่างๆ สลับกันไป
ร้านน่าโดนของตึกนี้จะมี A Bathing Ape
Club 21 ของที่นี่จะมีหลายช้อปมาก อย่างอันที่เห็นจะเป็น Club 21 Collectibles ซึ่งก็ยังมี Club 21 Accessories, Club 21 Pop-up, Club 21, Suite อีก เต็มไปหมด
ที่ชั้น 2 ของตึก C นี้จะถูกเรียกว่า The Qurator ซึ่งจะเป็น Department Store ที่รวบรวมเอาแบรนด์แฟชั่น Thai Designer มารวมกันอยู่ที่นี่ เรียกว่าแบรนด์ไหนดังนี่มาครบ
ภายใน The Qurator นี่จะถูกจัดบรรยากาศเป็นอีกแบบหนึ่งเลย แตกต่างจากส่วนอื่นๆของห้าง จำลองบรรยากาศของ Studio Fashion Catwalk มาให้ดูเลย
ส่วนชั้น G ของตึก Waterfall Quartier จะเป็น Gourmet Market อยู่ด้านหลังครับ ขนาดอาจจะไม่ยิ่งใหญ่เท่าพารากอน แต่ก็ของเยอะเหมือนกัน
ด้านหน้าของ Supermarket ก็จะเป็น Kiosk ขายของกิน เหมือนพารากอนเด๊ะ ก๊อบมาเลย
แต่มีอยู่ร้านหนึ่งที่โดดเด่นออกมา นั่นคือ Croissant Taiyaki ร้านขนมชื่อดัง นำเข้าจากแดนปลาดิบ คิวยาวจนต้องเอาที่กั้นมากั้น
ส่วนร้าน Bakery ของที่นี่ ก็เอาแบรนด์ใหม่มาลงไม่เหมือนที่อื่น นั่นคือ Little Mermaid จากญี่ปุ่นเหมือนกัน ขนมปังแปลกๆมีให้เลือกเยอะดี
กลับมาที่ด้านหน้าห้าง บริเวณ Glass Quartier ชั้น M ส่วนที่ติดกับรถไฟฟ้า กับบรรยากาศงาน Party ฉลองเปิดห้าง มีบุคคลสำคัญ ดารา นักแสดง ศิลปิน คนดังในวงการแฟชั่น ฯลฯ มาร่วมงานกันเพียบบบบบ
จัดปาร์ตี้กันตรงนี้เลย มีเครื่องดื่ม มีคอนเสิร์ต การแสดง ดีเจ พร้อม ใครไปช่วงนี้ ก็ไปสนุกกันได้นะครับ
จบแล้วสำหรับการพาชมห้าง EmQuartier ในวันแรกของการเปิดห้างนะครับ เรียกได้ว่า คึกคัก น่าตื่นเต้น กันพอสมควร ตอนนี้ในห้างก็เรียกได้ว่าเสร็จไปแล้วประมาณ 60-70% ถ้าทางเชื่อมเสร็จแล้ว, โรงหนังเปิด, ฟิตเนสเปิด ฯลฯ น่าจะมีอะไรดีๆมาให้ดูกันอีก และในช่วงแรกนี้ EM District ก็จะเปิดจนถึงเที่ยงคืนเพราะมี Midnight Sale นะฮะ ช้อปกันให้เต็มที่เลย ได้ข่าวว่ามีแจกของรางวัลกันมูลค่าหลายล้าน ทั้งรถ ทั้งคอนโด ฯลฯ ยังไงก็ลองไปกันดูนะจ๊ะ
ส่วนช่วงทำการปกติก็เปิด 10.00-22.00 น. นะครับ 😀