บริษัท นารายณ์ พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด เริ่มก่อตั้งในปีพ.ศ. 2527 ภายใต้การบริหารงานของคุณพัชรา นิธิวาสิน กรรมการผู้จัดการ โดยมีจุดยืนในการพัฒนาอสังหาฯ ที่มีมาตรฐานสำหรับกลุ่มลูกค้าระดับกลางขึ้นไป ตลอด 2 ทศวรรษที่ผ่านมา บริษัทฯ สร้างสรรค์โครงการที่พักอาศัยมาแล้ว หลากหลายรูปแบบ เริ่มตั้งแต่ บ้านเดี่ยว ทาวน์เฮ้าส์ คอนโดมิเนียม ไปจนถึงอพาร์ตเม้นท์ และเซอร์วิสอพาร์ตเม้นท์ ซึ่งทุกโครงการประสบความสำเร็จเป็นอย่างดี ในปี พ.ศ. 2543 บริษัทฯ ได้เพิ่มทุนจดทะเบียนเป็น 1,200 ล้านบาท โดยมี โรงแรมนารายณ์ และ บริษัท ฮั่วกี่ เปเปอร์ จำกัด เป็นผู้ถือหุ้นหลัก
ปัจจุบันบริษัท นารายณ์ พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด ยังคงมุ่งมั่นพัฒนาอสังหาฯ ในทำเลต่างๆ ที่สะดวกต่อการคมนาคม ท่ามกลางสิ่งแวดล้อมที่ดี เพื่อรองรับความต้องการของผู้บริโภค อยู่ตลอดเวลาโดยกำหนดรูปแบบของ แต่ละโครงการให้แตกต่างกันออกไป เพื่อตอบสนองไลฟ์สไตล์ที่แตกต่าง
ล่าสุด เมื่อปลายเดือนตุลาคมที่ผ่านมา ทางบริษัทก็ได้เปิดตัวกรรมการบริหารคนใหม่ “อรฤดี ณ ระนอง” อดีตผู้บริหารยูนิเวนเจอร์ มาเสริมทัพ ฟอร์มทีมใหม่ เพื่อรุกอสังหาฯ ระดับ High End นำร่องแตกแบรนด์ใหม่ “Parc Priva” บ้านเดี่ยวกลางเมืองมูลค่าโครงการ 2,500 ล้านบาท
ทาง Think of Living มีโอกาสได้เข้าสัมภาษณ์ คุณแหม่ม-อรฤดี ณ ระนอง เพื่อพูดคุยเกี่ยวกับแผนการตลาดในอนาคตของบริษัท นารายณ์ พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด ส่วนรายละเอียดลึกๆ จะเป็นอย่างไรนั้น ตามอ่านได้ในบทสัมภาษณ์เลยค่ะ
– สวัสดีครับ ขอให้คุณแหม่มช่วยเล่าประวัติคร่าวๆ ให้ฟังหน่อยนะครับ
หลังเรียนจบ…ประมาณปี 1986 เริ่มเข้าทำงานที่ Exxon Mobil อยู่ได้ประมาณ 8 ปี ก็ลองมาทำด้านบริหารกองทุน เกือบ 10 ปี สุดท้ายก็จับพลัดจับพลูมาอยู่ที่ Univentures บริษัทจำหน่ายสังกะสีอ็อกไซด์ ซึ่งอยู่ในตลาดหลักทรัพย์ เราพยายามจะเอาบริษัทฯ มาขยายธุรกิจ เป็นจังหวะเดียวกับที่เกิด “วิกฤตต้มยำกุ้ง” ตอนนั้นอสังหาฯ ก็ล้มไม่เป็นท่า
LPN Watercliff เป็นก้าวแรกในวงการอสังหาฯ ของ Univentures เรารวมตัวกันไปซื้อหนี้จากธนาคาร เพื่อนำมาปรับโครงสร้างหนี้ ตอนนั้นเราเองก็ยังทำอสังหาฯ ไม่ค่อยเป็น ก็เลยไปชวน LPN มาเป็นพาร์ทเนอร์ เพราะว่าเขาจะเก่งเรื่องตึกสูง เราไปปรับโครงสร้างหนี้มา แล้วเราก็เลยตั้งบริษัท Join Venture ชื่อว่า Grand Unity เป็นที่มาของ Grand U แล้วก็เอาตึกนี้เข้าไปในบริษัท LPN ตอนแรกก็มีปัญหาการเงินเหมือนกัน แต่ก็พอๆ ช่วยๆ กัน ประคับประคองไปได้ สามารถสร้าง LPN Watercliff ขึ้นมาได้ เป็นโครงการแรกที่กลับมาสร้างความเชื่อมั่นให้วงการอสังหาฯ อีกครั้ง
หลังจากนั้นเราก็ไปซื้อหนี้จากหลายๆ ที่ ให้ LPN ช่วยดูภาพรวมและการก่อสร้าง ทำอย่างนี้ไปเรื่อยๆ…สุดท้ายก็มาถึงจุดที่ Univentures ต้องมาหาตัวเอง เพราะถ้าเราทำไมเ่ป็น แล้วมั่วแต่ไปซื้อหนี้ ซักวันหนี้ก็ต้องหมด….ช่วงนั้นไปเจอที่ดินหัวมุม ถ.วิทยุ-เพลินจิต เป็นที่เช่า 30 ปี ซึ่งบริเวณนั้นความเจริญไล่ตั้งแต่สยามสแควร์-ชิดลม เหลือแค่ตรงหัวมุมที่ยังไม่ได้พัฒนา พอเราได้สิทธิการเช่าที่ตรงนั้นมา ก็คิดว่า Univentures น่าจะทำอะไรของตัวเองซักที เลยตัดสินใจทำออฟฟิศและโรงแรม กลายเป็นจุดเริ่มต้นของ “Park Ventures”
พอคำนวณเงินลงทุนออกมา ค่อนข้างเยอะมาก เงินเราก็ไม่มี ทำให้ต้องมองหาผู้ร่วมทุน โชคดีที่ได้มีโอกาสรู้จัก “คุณฐาปน-ปณต สิริวัฒนภักดี” ลูกชายของคุณเจริญ สิริวัฒนภักดี โดยมี Park Ventures เป็นจุดขาย ซึ่งทั้งสองท่านค่อนข้างสนใจ และก้าวเข้ามาเป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่ของ Univentures ทำให้โครงการนี้เดินหน้าต่อไปได้
Grand Unity เดิมทีถือกัน 3 กลุ่ม ประกอบด้วย Univenture 33% LPN 33% และเจ้าของเก่าของ Water Cliff คือกลุ่ม Grand Chinna 33% ซึ่งในเมื่อเรามีเงินลงทุนแล้ว ควรจะมีผู้ถือหุ้นใหญ่ เพื่อกำหนดทิศทางของบริษัท เลยคุยกับ LPN และ Grand China ว่าเราต้องการที่จะเพิ่มทุน ทำให้เรากลายเป็นผู้ถือหุ้น 60% เราก็เริ่มฟอ์รมทีม ซึ่งได้คุณตุ้ย-เนรมิต มาเป็น MD ดูแลภาพรวม
Park Ventures ทีแรกก็วางว่าจะทำออฟฟิศทั้งอาคาร แต่เรามองว่ามันค่อนข้างเสี่ยง เลยตัดสินใจทำเป็นโรงแรมข้างบน ก็ตัดสินใจเลือก Okura แบรนด์โรงแรมห้าดาวจากญี่ปุ่น หลังจากทุกอย่างเข้าที่ จบได้สวย เราก็อยากลองทำอะไรที่ท้าทายบ้าง พอดีได้รู้จักกับ “คุณพัชรา นิธิวาสิน” เจ้าของนารายณ์ พร็อพเพอร์ตี้ฯ แกก็ชวนเรามาช่วยงานที่นี้
– คุณแหม่ม วางเป้าหมายในการทำงานที่นารายณ์ฯ ไว้ยังไงบ้างครับ
ตอนแรกที่เข้ามา คุณพัชรา…บอกว่าให้เข้ามาช่วยดูนารายณ์ พร็อพเพอร์ตี้ ว่าเราจะทำอะไรได้บ้าง แล้วแกก็มาตั้งบริษัท Nithi Ventures นี่ไว้ให้ ซึ่งเราพยายามต่อยอดจากฐานที่เขามีอยู่ พอดีตอนนั้นนารายณ์ฯ เพิ่งซื้อที่แถวถ.เทียมร่วมมิตร ประมาณ 17 ไร่ วางไว้ว่าจะทำทาวน์เฮ้าส์ เราก็รู้สึกเสียดาย เพราะที่ดินใจกลางเมืองค่อนข้างหายาก เลยตัดสินใจเปลี่ยนเป็นบ้านเดี่ยวระดับไฮเอ็นท์มีชื่อว่า “Parc Priva”
– โครงการนี้พัฒนามานานรึยังครับ
เราซื้อที่ประมาณ ก.ค. 2013 เริ่มออกแบบประมาณปลายปี 2013 ซึ่งเราจะมี Site Walk Meeting ทุกวันพฤหัสเช้า คือเรามองว่าบ้านระดับนี้ คนซื้อจะมีความคาดหวังเยอะ เราต้องแน่ใจว่าทุกอย่างจะคุ้มกับราคาเขาจ่าย ช่วงนี้บ้านอยู่ระหว่างตกแต่ง ก็ต้องเข้าไปบ่อยหน่อย ตอนนี้บี้ทีมทุกวัน สนุกดี (ยิ้ม)
– ทำไมถึงตัดสินใจให้ CBRE เข้ามาช่วยขาย
เพราะว่านารายณ์ พร็อพเพอร์ตี้ ไม่เคยทำบ้านราคาแพง เราเคยทำคอนโด “อมันตา พระราม4” ซึ่งเป็นโครงการที่ค่อนข้างแพงในสมัยนั้น บริษัทฯ ก็ใช้ CBRE ในการขาย แต่ถ้าเป็น Parkland หรือทาวน์เฮ้าส์ เราก็มีทีมขายของเราอยู่แล้ว ยิ่ง Parc Priva มีมูลค่าโครงการสูง เรายิ่งต้องใช้ทีมที่มีความเชี่ยวชาญในฐานลูกค้า เราก็เริ่มคุยกับ CBRE ตั้งแต่วันที่เราตัดสินใจว่าเราจะสร้างบ้านแพง และขอให้เขาช่วยดูโครงการนี้ด้วย
– ทั้งโครงการมีประมาณกี่หลังครับ
ประมาณ 60 หลัง เป็นบ้าน L-shape มีคอร์ทยาร์ด แสงและลมผ่านทุกห้อง ตัวบ้านมี 3 ชั้น หลังใหญ่ที่สุด พื้นที่ใช้สอย 450 ตร.ม. จอดรถได้ 4 คัน เราพยายามใช้พื้นที่ให้เกิดประโยชน์สูงสุด
– มาถึงคำถามสุดท้ายครับ เราควรใช้อะไรเป็นหลักในการเลือกซื้อบ้าน
คนที่กำลังจะมองหาบ้าน นอกจากในเรื่องกำลังทรัพย์ของตัวเองแล้ว อยากให้ดูเรื่องของทำเลเป็นหลัก คือเราต้องดูว่าทำเลไหน เป็นทำเลที่เราคิดว่ามันเหมาะกับเรา เหมาะกับครอบครัว บางคนไปซื้อไกล ลูกต้องเรียนหนังสือ ต้องตื่นตีห้ามาส่ง ไม่ไหว ทำให้ต้องมาซื้อคอนโดในเมือง แล้วเสาร์อาทิตย์ ค่อยกลับไปบ้าน ถือเป็นการลงทุน 2 ครั้ง ค่อนข้างฟุ่มเฟือย ถามว่าตอนนี้เราอยากอยู่ที่ไหนก่อน ลูกเรียนที่ไหน เราทำงานที่ไหน แล้วก็ดูว่าบ้านตรงนั้น ฟังก์ชั่นมันใช้เหมาะสมรึเปล่า ผู้ประกอบการเป็นใคร เพราะบ้านค่อนข้างเป็นภาระมากกว่าคอนโด ถ้าได้ผู้ประกอบการที่ไม่รับผิดชอบ ก็จะกลายมาเป็นภาระของเราได้ในภายหลัง
แม้ว่าจะเป็นเพียงระยะเวลาไม่นานที่คุณแหม่ม-อรฤดี นั่งอยู่หลังบังเหียนนารายณ์ พร็อพเพอร์ตี้ แต่เราเชื่อว่าด้วยประสบการณ์อันยาวนานในวงการอสังหาฯ ของเธอ จะทำให้ก้าวต่อไปของบริษัทฯ เป็นไปอย่างหนักแน่นและมั่นคง