ทิศทางตลาดอสังหาริมทรัพย์แบบมิกซ์ยูส (ธุรกิจอสังหาฯ ที่รวมเอาทั้งโครงการที่อยู่อาศัย โรงแรม และช้อปปิ้งมอลล์รวมถึงสิ่งอำนวยความสะดวกอีกนับไม่ถ้วนมารวมไว้ในพื้นที่เดียวกัน) ดูเหมือนว่าจะมีกระแสความแรงต่อเนื่อง เพราะตั้งแต่ช่วง 1-2 ปีนี้มีผู้ประกอบการธุรกิจอสังหาฯ หลายเจ้าต่างตบเท้าพาเหรดกันผุดโครงการเป็นว่าเล่น และคาดว่านักลงทุนอีกหลายรายก็จะหันมาพัฒนาธุรกิจนี้กันอีกเพียบ เหตุเพราะเห็นว่าได้ผลกำไรในระยะยาวที่คุ้มค่า
ทั้งนี้หากย้อนมองถึงกลุ่มผู้ประกอบการอสังหาฯที่เดินหน้าผุดโครงการไปก่อนแล้ว ก็ว่ากันตั้งแต่โครงการ มหานคร ย่านสีลมสาทรที่พัฒนาโครงการสูงระฟ้าขนาดใหญ่ทุกรูปแบบ รวมไปถึงกลุ่มเฟรเกรนท์ กรุ๊ป ที่ไปสร้างเมืองใหม่ในพม่า , Tulip Group ที่ขยายธุรกิจสู่ภาคธุรกิจโรงแรม โดยนำการบริหารในรูปแบบ Branded Residence เข้าสู่ตลาดอสังหาฯ เน้นการบริหารแบบมิกซ์ยูส ซึ่งผสมผสานระหว่างโรงแรมและเรสซิเด้นซ์ หรือแม้แต่กลุ่มโอเชี่ยน ก็ลงทุนในอสังหาฯแบบมิกซ์ยูสใน ไปจนถึงกลุ่ม“ซีนิคอล” ที่ผุดมิกซ์ยูสเขาใหญ่ 2 และมั่นใจในตลาดอสังหาฯเขาใหญ่ว่าจะโตแบบก้าวกระโดดอีกด้วย
กลุ่มอสังหาฯ รุกตลาดมิกซ์ยูสต่อเนื่อง
วรลักษณ์เน้นผุดมิกซ์ยูสตามหัวเมืองใหญ่
นอกจากผู้ประกอบการข้างต้น ล่าสุดกลุ่มนักธุรกิจหลายรายก็เดินหน้า รุกตลาดนี้อย่างต่อเนื่อง อย่างวรลักษณ์ พร็อพเพอร์ตี้ ก็ชี้วำอสังหาฯ แบบมิกซ์ยูสช่วยสร้างมูลค่าเพิ่มได้กว่า 30% โดยมีแผนการลงทุนในครึ่งหลังของปี 2556 ว่าบริษัทได้เตรียมงบประมาณการลงทุนเพื่อพัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์แบบมิกซ์ยูส จำนวน 3 โครงการ รวมมูลค่าประมาณ 4.5 พันล้านบาท โดยมุ่งพัฒนาบนทำเลหัวเมืองใหญ่ที่เป็นแหล่งท่องเที่ยวชายทะเลและพื้นที่ที่มีศักยภาพ โดยกลุ่มเป้าหมายหลักคือ กลุ่มลูกค้าในระดับเอถึงเอบวก แต่ด้วยสภาพการแข่งขันที่รุนแรงประกอบกับสารพัดปัญหาที่เกิดขึ้น ทั้งการขาดแคลนแรงงาน วัสดุขึ้นราคา ฯลฯ ทำให้บริษัทต้องขยายกลุ่มลูกค้าสู่ระดับบีและบีบวกราคา 2-3 ล้านบาท
“เนื่องจาก การที่บริษัทพัฒนาโครงการในระดับบนมาก่อน จะส่งผลให้ขายได้เร็วขึ้น เนื่องจากผู้บริโภคมีความมั่นใจในสินค้า อีกทั้งคอนเซ็ปต์การพัฒนาโครงการแบบมิกซ์ยูส ไม่ค่อยมีดีเวลลอปเปอร์รายไหนทำ เนื่องจากต้องใช้งบประมาณในการก่อสร้างสูงและใช้ระยะเวลานานกว่า แต่เมื่อมองแง่ของมูลค่าที่จะเพิ่มขึ้นในอนาคตก็จะพบว่าโครงการแบบมิกซ์ยูสสามารถทำให้มูลค่าโครงการและมูลค่าที่ดินเพิ่มขึ้นมากกว่าการพัฒนาโครงการใดโครงการหนึ่งเพียงอย่างเดียวประมาณ 30%” นายวิชัย พลูวรลักษณ์ ผู้บริหารวรลักษณ์ พร็อพเพอร์ตี้ กล่าว
ทายาท”ลิปตพัลลภ”ผุดโครงการมิกซ์ยูสหัวหิน”วานานาวา”
ด้านนางสาวพราวพุธ ลิปตพัลลภ กรรมการผู้จัดการ บริษัท พราว เรียล เอสเตท จำกัด ทายาทนายสุวัจน์ ลิปตพัลลภ อดีตรองนายกรัฐมนตรี ได้ขยายการลงทุนเข้ามาสู่ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์แบบเต็มตัว โดยนำที่ดินในหัวหิน เนื้อที่ 35 ไร่ พัฒนาโครงการอสังหาฯแบบมิกซ์ยูส ประกอบด้วยสวนน้ำ โรงแรม และคอนโดมิเนียม ในชื่อโครงการ “วานา นาวา หัวหิน” มูลค่าลงทุนกว่า 2-3 พันล้านบาท โดยรุกที่จังหวัดหัวเมืองท่องเที่ยวสำคัญ รวมถึงกรุงเทพฯ ซึ่ง รูปแบบการลงทุนเองและร่วมทุนกับผู้ที่มีความเชี่ยวชาญในธุรกิจนั้น ที่สำคัญในอีกไม่เกิน 2 เดือนข้างหน้านี้ บริษัทเตรียมเปิดตัวโครงการขนาดใหญ่ในกรุงเทพฯ ตลอดจนแผนการลงทุนในหัวหิน อีกไม่น้อยกว่า 2-3 โครงการ เนื่องจากมั่นใจศักยภาพของอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวไทย หลังเปิดประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (เออีซี) ในปี 2558 ที่จะเป็นเป้าหมายของชาวต่างชาติทั้งด้านการลงทุนและการท่องเที่ยว
โอเชี่ยน พรอพเพอร์ตี้ ลุยอสังหาฯ ขอนแก่น ผุดโปรเจค “มิกซ์ยูส”
สำหรับนายธีรวัฒน์ พิพัฒน์ดิฐกุล กรรมการผู้จัดการ บริษัทโอเชี่ยน พรอพเพอร์ตี้ จำกัด เปิดเผยว่าปลายปี 2556 มีแผนขยายโครงการอสังหาริมทรัพย์ในรูปแบบมิกซ์ยูสระหว่างคอนโดมิเนียมและพื้นที่เชิงพาณิชย์ ที่จ.ขอนแก่น พื้นที่ 39.5 ไร่ บริเวณหน้ามหาวิทยาลัยขอนแก่น (มข.) ใช้งบประมาณ 5,000 ล้านบาท แบ่งการพัฒนาเป็น 4-5 เฟสๆ ละ 3-4 อาคาร พื้นที่ใช้สอยตั้งแต่ 9 แสนบาท-2.5 ล้านบาท นับเป็นการขยายโครงการครั้งแรกในรอบ 3 ปี
เนื่องจากเห็นโอกาสจากตลาดการศึกษา ม.ขอนแก่น ที่จะเข้ามาเป็นกลุ่มเป้าหมายของโครงการ ปัจจุบัน ม.ขอนแก่น มีนักศึกษากว่า 50,000 คน อาจารย์ 2,000 คน และเจ้าหน้าที่กว่า 2,000 คน อีกทั้งเตรียมขยายกลุ่มนักศึกษาระดับปริญญาโทหลักสูตรนานาชาติเพิ่มขึ้น รองรับการเปิดประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (เออีซี) ปี 2558 อีกด้วย
อย่างไรก็ตามคาดว่าธุรกิจประเภทนี้จะเป็นเทรนด์ที่แรงได้อีกในระยะยาว แตผู้ประกอบการที่ทุนหนา มีสายป่านยาว และคงคุณภาพของโครงการทั้งหมดได้สม่ำเสมอ จึงจะสามารถรับผลกำไรระยะยาวที่มากเป็นกอบเป็นกำได้นั่นเอง
ที่มาบางส่วน : ประชาชาติธุรกิจ ,ฐานเศรษฐกิจ และกรุงเทพธุรกิจ
ภาพ : พราว เรียล เอสเตท