สวัสดีค่ะ ในหัวข้อ “เล่นกับไฟ” ครั้งนี้ ฝนจะมาพูดถึงเรื่องการใช้หลอดไฟให้เหมาะกับบริเวณไหนของบ้าน/คอนโด และเลือกใช้อย่างไรให้คุ้มค่า โดยในตอนก่อนหน้านั้น ฝนก็ได้เกริ่นกันไปแล้วเกี่ยวกับหลอดไฟชนิดต่างๆ ใครลืมไปตามอ่านได้ที่นี่นะคะ( คลิก ) พอเรารู้จักประเภทของหลอดต่างๆแล้วทีนี้จะเอาไปใช้ยังไง ใช้ที่ไหนดีละ
เพื่อนๆรู้ใช่ไหมค่ะ แสงนอกจากทำให้เรามองเห็นสิ่งต่างๆแล้ว ยังสามารถสร้างบรรยากาศให้พื้นที่เดิมดูแตกต่างออกไป
นอกจากการตกแต่งด้วยห้องด้วยวัสดุ สิ่งของ เราสามารถเปลี่ยนวิธีการให้แสง หรือ สีของแสงที่ต่างไป ทำให้บรรยากาศดูแตกต่างได้อีกด้วย ยิ่งในร้านค้าต่างๆการจัดไฟให้ตัวสินค้าดูโดดเด่นหรือสอดคล้องกับผลิตภัณฑ์นั้นสุดแสนเป็นเรื่องสำคัญเลย ที่จะทำให้บรรดาลูกค้าอย่างเราๆมองเห็นสินค้าว่าสวยงามน่าสนใจหรือจะเป็นสปาตามรีสอทต่างๆ ที่มีบรรยากาศที่ผ่อนคลาย อยากให้เรากลับไปใช้บริการอีกครั้ง
ก่อนอื่นเลยนั้น อุณหภูมิสีของแสง หรือ สีของแสงจากหลอดไฟ มีหน่วยเป็นเคลวิน (Kelvin) ในท้องตลาดมีให้เลือกอยู่ 3 สีหลักๆค่ะ โดยจะระบุไว้ที่ข้างกล่องอย่างชัดเจน แต่ละสีก็จะให้บรรยากาศห้องที่แตกต่างกันไปนะคะ ประเภทของหลอดไฟจะให้อุณหภูมิสีของแสงต่างกันนะ ไม่ว่าจะเป็น หลอดไส้ ฮาโลเจน LED และ Fluorescent แต่จะใช้หน่วยหรือชื่อในการเรียกแบบเดียวกัน คือ เคลวิน โดย LED นั้นจะมีอุณหภูมิสีของแสงให้เลือกเยอะที่สุดค่ะ ส่วนใครสนใจว่าทำไมเค้าถึงเรียกกันว่าเคลวินนั้นตามไปอ่านได้นะคะ คลิก
- 3000 เคลวิน = วอร์มไวท์ Warm white : สีออกโทนส้มๆ บรรยากาศดูอบอุ่น ผ่อนคลาย ชวนสบายตา โรแมนติก
- 4000 เคลวิน = คูลไวท์ Cool white : โทนสีจะเริ่มออกมาทางสีขาว จะดูค่อนข้างสว่างกว่าเมื่อเทียบกับ Warmwhite แต่ดูสิ่งรอบตัวชัดเจนกว่า
- 6500 เคลวิน = เดย์ไลท์ Day light : โทนสีออกขาวอมฟ้า ให้ความรู้สึกสะอาด มองเห็นชัดเจน
จากภาพด้านบนจะเห็นว่าแค่เปลี่ยนอุณหภูมิสีของแสงออกไปจาก Warm white > Cool white > Day light ก็ทำให้ห้องเราดูเปลี่ยนไปแล้ว ส่วนมาก Day Light เราจะไม่นิยมใช้ในบ้านหรือคอนโดเท่าไหร่ นิยมใช้ในออฟฟิศ โรงพยาบาล หรือสถานที่ที่ต้องการความสะอาด ขาว ดูชัดเจน ใช้สายตามากๆ ส่วนโทนสียอดฮิตในครัวเรือนก็เห็นจะไม่พ้น Warm white ค่ะ แต่ก็ไม่เหมาะกับการอ่านหนังสือหรือใช้สายตานานๆจะทำให้ตาล้าได้ การเลือกใช้ควรคำนึงถึงการใช้งานนอกจากความสวยงามด้วยนะคะ อีกเรื่องก็คือโทนสีของห้องเรา มีสีออกไปทางไหน ควรเลือกอุณหภูมิสีของแสงที่สอดคล้องกันด้วยค่ะ
ในส่วนของแสงไฟที่ใช้ในบ้านเองนั้น ประโยชน์หลักเพื่อการใช้งานค่ะ แต่จะแถมมาด้วยบรรยากาศ ความสวยงามก็ได้ ไม่ว่ากัน รูปแบบของแสงประเภทต่างๆเหล่านี้ อยู่ในชีวิตประจำวันทั่วไปของเรานี่แหละ เพียงแต่เราอาจจะไม่ได้สังเกตมันเท่าไหร่ โดยแสงไฟที่ใช้ในบ้านและคอนโดนั้นหลักๆฝนขอหยิบออกมา 5 ประเภทนะคะ
1. Daylight = แสงธรรมชาติ : เป็นแสงที่ได้มาโดยที่เราไม่ต้องเสียค่าใช้จ่าย ซึ่งถ้าบ้านหรือห้องภายในคอนโดมิเนียมเรานั้นหันไปทิศทางที่เหมาะสมนั้น แสงที่เข้าสู่ตัวอาคารทำให้บรรยากาศภายในน่าอยู่อาศัย ที่ประโยชน์จากวิวด้านนอก ทำให้บ้านดูโปร่ง เชื่อมต่อพื้นที่ภายใน จากช่องเปิดต่างๆ นอกจากนั้นแล้ว แสงธรรมชาติยังเป็นยารักษาโรคซึมเศร้าในประเทศที่แทบจะไม่ได้สัมผัสแสงอาทิตย์ แต่ก็มีข้อเสียตรงที่จะมาพร้อมกับความร้อน ควบคุมปริมาณแสงได้ยาก และควรใช้ร่วมกับแสงประดิษฐ์
2. General Lighting = ไฟส่องสว่างทั่วไป : เป็นการให้แสงสว่างทั่วไป ทั้งการให้แสงสว่างภายในอาคารสำหรับการประกอบกิจกรรมในเวลากลางวัน และภายนอกอาคารเพื่อความปลอดภัยในเวลากลางคืน ไม่เน้นความสวยงาม มักเป็นโคมไฟดาวน์ไลท์ โคมซาลาเปา ธรรมดาที่ตามโครงการให้มา จัดเป็นแสงเน้นการใช้งาน
3. Task Lighting : ไฟส่องเฉพาะที่ = เป็นการให้แสงสว่างในบริเวณที่เราต้องใช้งาน หรือการมองเห็นโดยเฉพาะ ส่วนใหญ่จะเป็นบริเวณพื้นที่ทำงาน ครัว มักใช้โคมไฟตั้งโต๊ะหรือส่องเฉพาะเพื่อให้เราทำกิจกรรมได้สะดวก จัดเป็นแสงเน้นการใช้งาน
4. Accent Lighting : ไฟส่องเน้น = เป็นการให้แสงแบบส่องเน้นที่วัตถุใดวัตถุหนึ่งเพื่อให้เกิดความสนใจ โดยส่วนใหญ่เราจะเห็นการใช้ส่องเน้นประเภทรูปภาพ หรือวัตถุที่เราอยากให้โดดเด่น หรือเน้นผิวของวัสดุที่เรานำมาตกแต่งภายในให้โดดเด่น จัดเป็นแสงเน้นการตกแต่ง
เห็นแนวทางการใช้งานหลอดไฟ พอจะให้เพื่อนๆมีความคิดที่จะตกแต่งบ้านหรือห้องของเรากันบ้างแล้ว แต่ไม่แน่ใจว่า ควรลงทุนกับหลอดไฟประเภทไหนดี จะเห็นว่าเมื่อเทียบกันแล้ว หลอด LED นั้นจะมีชั่วโมงอายุการใช้งานที่มากกว่า แต่การจ่ายเงินครั้งแรกจะสูงกว่า แต่มีอายุการใช้งานที่ยาวนานกว่าค่ะ เมื่อเปรียบเทียบกันระหว่างหลอดไฟ 3 ประเภท จะเห็นว่าสามารถ LED ประหยัดไปมากกว่า 80%
LED มีข้อเด่นที่ต่างกับหลอดประเภทอื่นๆเรื่องมีความร้อนต่ำหรือน้อยมาก และไม่มีรังสี UV ค่ะ
เมื่อก่อนนั้นประมาณ 10 กว่าปีที่แล้วเราจะได้ยินใครๆก็พูดถึงหลอดผอม หลอดตะเกียบ แต่ตอนนี้เราจะได้ยินคำว่า LED กันซะมากกว่า ด้วยการพัฒนาที่ไปไกลแล้ว ทำให้เราสามารถใส่แทนกับหลอดเดิมที่ขั้วเหมือนกันได้เลยค่ะ ทำให้ง่ายมากต่อการเปลี่ยนหลอด
โดยเฉพาะหลอดประเภทหลอดผอม หรือ ฟลูออเรสเซนต์แบบ T5 หรือ T8 นิยมใช้กันมากในบ้านและอาคารสำนักงาน การที่มีการผลิตให้หลอดสามารถใส่ทดแทนโดยไม่ต้องเดินสายไฟนั้นถือว่าเป็นเรื่องง่ายค่ะ แต่ราคาสำหรับตัวหลอดอาจจะยังค่อนข้างสูง ตกอยู่ประมาณ 1,000 กว่าบาท ซึ่งแนวโน้มจะราคาจะมีการลดลงอย่างแน่นอน เทียบกับการประหยัดไฟและการปีนขึ้นไปเปลี่ยนหลอดบ่อยๆแล้ว นับเป็นตัวเลือกที่น่าลงทุนทีเดียว ปัจจุบันหาซื้อได้ง่ายค่ะ แค่ยังไม่มีใน 7-11 แต่ในร้านค้าอุปกรณ์ก่อสร้าง จะเห็น LED วางขายกันเยอะแล้ว
ยิ่งสมัยนี้แล้ว ยังมีลูกเล่นต่างๆที่เพิ่มสีสันให้กับห้องได้โดยการควบคุมผ่าน Application ตั้งแต่ระบบเล็กๆ จนระบบใหญ่ๆ ทำให้เราง่ายต่อการเปิดปิด ประหยัดไฟ สร้างบรรยากาศได้ หรือจะเป็นการเลือกใช้เซนเซอร์เป็นอีกตัวเสริมก็ได้เช่นกัน
รู้แบบนี้แล้วอยากเปลี่ยนมาใช้หลอด LED กันหรือยังค่ะ มีคำถามสามารถคอมเม้นไว้ได้นะ พบกับฝนใหม่คราวหน้าค่ะ