ปัญหาฝุ่นในปัจจุบันจัดเป็นปัญหาที่เข้ามามีบทบาทในการใช้ชีวิตค่อนข้างมาก เพราะจากช่วงระยะเวลา 1-2 ปีที่ผ่านมา ปัญหาฝุ่นในอากาศ สภาพแวดล้อมที่มีฝุ่นเยอะ ทำให้เสื่ยงต่อการเกิดโรคทางเดินหายใจและส่งผลให้เกิดโรคอื่นๆตามมา เมื่อเราออกไปใช้ชีวิตภายนอกการสวมใส่หน้ากากอาจสามารถป้องกันฝุ่นละอองขนาดเล็กได้บางส่วน แต่เมื่อกลับมาในบ้านแล้ว ก็ยังพบว่าอากาศภายในบ้านก็มีฝุ่นที่เป็นอันตรายปะปนอยู่ด้วย เนื่องจากฝุ่น PM 2.5 นั้นมีขนาดที่เล็ก จึงสามารถเล็ดลอดเข้าสู่ตัวบ้านได้แม้จะปิดบ้านไว้เป็นอย่างดี

ทำให้เครื่องฟอกอากาศกลายเป็นอุปกรณ์ที่จำเป็นของแต่ละครอบครัว เป้าหมายคือใช้ฟอกอากาศภายในบ้านให้สะอาด กรองฝุ่นและมลพิษที่เป็นอันตรายต่อร่างกาย วันนี้เราจะมาทำความรู้จักเจ้าเครื่องฟอกอากาศ ว่าถ้าจะต้องเลือกใช้แล้ว เราต้องพิจารณาในการเลือกอย่างไรบ้าง เพื่อให้สามารถกรองฝุ่นและไวรัสในบ้านได้จริง

เครื่องฟอกอากาศ (Air Purifier) คืออะไร ?

จัดเป็นอุปกรณ์ไฟฟ้าชนิดหนึ่ง ออกแบบมาเพื่อจุดประสงค์ในการกรองอากาศให้สะอาดบริสุทธิ สามารถกำจัดฝุ่นละออง และเชื่อโรคต่างๆในอากาศได้ อีกทั้งยังช่วยกำจัดกลิ่นเหม็นไม่พึงประสงค์ต่างๆภายในบ้าน การเข้าใจถึงหลักการทำงานของเครื่องฟอกอากาศ ว่ามีขั้นตอนการทำงานแบบไหน ซึ่งจะช่วยให้เราเลือกเครื่องและเทคโนโลยีที่มากับตัวเครื่องได้เหมาะสมกับการใช้งานได้มากขึ้น ในปัจจุบันเครื่องฟอกอากาศที่มีในท้องตลาดมีตัวเลือกค่อนข้างหลากหลาย มีระบบที่ถูกนำมาพัฒนาใช้ในการกรองอากาศอยู่หลายประเภท เช่น ฟิลเตอร์ , ไอออน , โฮโซน และ UV  แต่แบบที่เป็นที่นิยมนำมาผลิตใช้เป็นอุปกรณ์ภายในบ้านพักอาศัยจะเป็นแบบ ฟิลเตอร์ และ ไอออน ส่วน 2 แบบหลังนั้น ก็มีที่ผลิตออกมาสำหรับใช้ภายในบ้านพักอาศัยแต่ส่วนใหญ่จะนิยมใช้ในโรงงานอุตสาหกรรม โรงพยาบาล เป็นต้น

  • เครื่องฟอกอากาศแบบฟิลเตอร์ (HEPA filter) ใช้หลักการทำงานโดยการดูดอากาศผ่านตัวกรอง และทำการดักกรองฝุ่น เชื้อโรค ได้ทั้งขนาดเล็กและขนาดใหญ่  ฝุ่น PM2.5 กลิ่นต่างๆในอากาศ มีหลายขนาดและราคาให้เลือก
  • เครื่องฟอกอากาศแบบไอออน (Lonizer) ใช้หลักการทำงานโดยการปล่อยไอออนลบ เพื่อเข้าจับอนุภาคต่างๆในอากาศ เช่น ฝุ่น PM2.5 ควันบุหรี่ ละอองเชื้อโรค ส่วนมากตัวเครื่องจะมีขนาดเล็ก พกพาได้ง่าย ราคาค่อนข้างหลากหลายขึ้นกับแบรนด์และประสิทธิภาพในการทำงานของแต่ละยี่ห้อ
  • เครื่องฟอกอากาศแบบโอโซน (Ozone) ใช้หลักการทำงานโดยดูดอากาศเข้าไปทำปฏิกิริยาภายในเครื่องเพื่อเปลี่ยนออกซิเจนให้เป็นก๊าซโอโซน เพื่อกำจัดฝุ่นและฆ่าเชื้อโรค
  • เครื่องฟอกอากาศแบบ UV ใช้หลักการทำงานโดยการใช้แสงยูวีในการฆ่าเชื้อโรค และกำจัดฝุ่น สามารถยับยั้งเชื้อโรคได้ ทำหน้าที่ฟอกอากาศโดยรอบและช่วยกำจัดกลิ่นได้

บ้านแบบไหนจำเป็นต้องมีเครื่องฟอกอากาศ

การเลือกเครื่องฟอกอากาศที่เหมาะกับความต้องการด้านสุขภาพ และสภาพแวดล้อมของที่อยู่อาศัย ถือเป็นปัจจัยที่สำคัญในการเลือกใช้ ในกรณีที่บ้านพักอาศัยที่อยู่สภาพแวดล้อมที่ไม่เหมาะสม หรือมีสมาชิกภายในครอบครัวที่ต้องได้รับการดูแลเป็นพิเศษ การเลือกใช้เครื่องฟอกอากาศ ก็ถือเป็นอีกหนึ่งอุปกรณ์ที่เราสามารถหามาเสริมไว้ภายในบ้าน แล้วที่พักอาศัยแบบไหน หรือครอบครัวลักษณะไหน ที่จะต้องให้ความสำคัญเป็นพิเศษบ้าง ยกตัวอย่างเช่น

  • ที่พักอาศัยที่พบปริมาณฝุ่นในอากาศ มีค่าเกินกว่ามาตรฐานที่ปลอดภัย
  • ที่พักอาศัยที่มีกลิ่นต่างๆ เช่น กลิ่นอับชื้น กลิ่นบุหรี่ กลิ่นสาบจากสัตว์ และมูลของสัตว์เลี้ยง
  • ครอบครัวที่มีสมาชิก เด็กเล็ก ผู้สูงอายุ ที่ต้องการควบคุมความสะอาดของอากาศภายในที่พักอาศัย
  • ครอบครัวที่มีสมาชิกที่เป็นผู้ป่วย กลุ่มเสี่ยง โดยเฉพาะผู้ที่เป็นภูมิแพ้ หอบหืด และโรคเกี่ยวกับระบบทางเดินหายใจอื่นๆ
  • ครอบครัวที่เลี้ยวสัตว์ เช่น สุนัข แมว เป็นต้น

พื้นที่ห้องขนาดเท่าไหร่ เหมาะกับเครื่องฟอกอากาศแบบบไหน

ปัจจัยสำคัญในการใช้งานเครื่องฟอกอากาศให้สามารถทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพมากที่สุด คือการเลือกขนาดของเครื่องให้เหมาะกับสภาพแวดล้อม คล้ายกับหลักการเลือกซื้อเครื่องปรับอากาศ กับขนาดพื้นที่ภายในห้องที่ต้องการนำไปติดตั้งใช้งาน เพราะหากเราเลือก เครื่องฟอกอากาศขนาดเล็กไปใช้ในห้องใหญ่ๆ ก็จะทำให้เครื่องทำงานไม่เต็มประสิทธิภาพ เครื่องทำงานหนักจนเกินไป หรือหากเลือกเครื่องฟอกอากาที่มีขนาดใหญ่ ไปใช้ในห้องเล็กๆ ก็ทำให้เปลืองไฟ

ดังนั้นสิ่งแรกเลยคือจะต้องรู้ ขนาดพื้นที่ ที่เราจะติดตั้งเครื่องฟอกอากาศ ว่ามีขนาดกี่ตารางเมตร หรือ ขนาดกว้าง x ยาว เมื่อทราบขนาดห้องแล้ว จึงจะสามารถเลือกเครื่องฟอกอากาศที่ระบุสเปคครอบคลุมกับขนาดห้องได้ โดยทั่วไปแล้วเครื่องฟอกอากาศจะสามารถฟอกอากาศได้กว้างกว่าพื้นที่ห้องของคุณประมาณ 20-40% โดยสามารถเปรียบเทียบจาก ค่า CADR (Clean Air Delivery Rate) คือ อัตราการส่งผ่านอากาศบริสุทธ์ เป็นปัจจัยสำคัญของการพิจารณาซื้อโดยจะมีระบุไว้ที่รายละเอียดของตัวเครื่องและคู่มือการใช้งาน ค่า CADR เป็นค่าที่บอกประสิทธิภาพการฟอกอากาศที่แท้จริงโดยการนำไปทดสอบในห้องปฏิบัติการกับสารหรือละอองในอากาศ 3 ชนิด คือ ควันบุหรี่ (Smoke), ฝุ่น (Dust) และเกสรดอกไม้ (Pollen) มีหน่วยเป็นมาตรฐานเป็น CFM (Cubic Feet per Minute) ซึ่งสามารถเปรียบเทียบประสิทธิภาพการทำความสะอาดอากาศกับพื้นที่ในห้องได้ เช่น ค่า CADR : 150 ลบ.ม. / ชั่วโมง แปลว่า ภายใน 1 ชั่วโมง เครื่องฟอกอากาศเครื่องนี้ สามารถฟอกอากาศให้สะอาดได้มากถึง 150 ลบ.ม. ยิ่งค่า CADR ที่แสดงบนเครื่องสูงเท่าไหร่ แสดงว่าเครื่องฟอกอากาศทำงานมีประสิทธิภาพดีมากเท่านั้น ในกรณีที่พบว่า ตัวเครื่องมีการระบุค่า CADR ที่เครื่องฟอกอากาศ 3 ค่า คือ ค่าของควัน ค่าของฝุ่น และค่าของเกสร ให้เลือกค่าของควันในการพิจารณา เนื่องจากต้องใช้เวลานานที่สุดในการฟอกอากาศ

นอกจากนี้เรายังสามารถพิจารณาเพิ่มจาก ค่า Air Flow หรือ Air Volume คือ ตัววัดความเร็วลม โดยเครื่องจะฟอกอากาศได้ดีและมีประสิทธิภาพมากขึ้นต่อเมื่อมีความเร็วลมที่สูง ปัจจุบันมีเครื่องฟอกอากาศหลายรุ่นที่พัฒนาระบบเซนเซอร์ตรวจจับฝุ่น และสามารถปรับความเร็วลมได้โดยอัตโนมัติเมื่อตรวจเจอฝุ่นในบริเวณนั้นได้

เลือกชนิดของตัวกรองอย่างไร

ภายในเครื่องฟอกอากาศนั้นจะถูกออแบบให้มีตัวกรองที่อยู่ภายในเครื่องฟอกอากาศ ซึ่งก็มีอยู่มีหลายชนิด แต่ละชนิดก็สามารถกรองฝุ่นและสิ่งแปลกปลอมได้แตกต่างกันออกไป การมีตัวกรองที่มีความละเอียดสูงก็จะยิ่งกรองอากาศให้สะอาดมากขึ้นไปด้วย โดยเครื่องฟอกอากาศส่วนใหญ่จะใส่ตัวกรองอย่างน้อย 3-4 ชั้น ได้แก่

  • ตัวกรอง Pre-Filter เป็นแผ่นกรองชั้นแรก สำหรับกรองฝุ่นละอองอนุภาคขนาดใหญ่ เช่น ขนสัตว์ ก่อนอากาศจะเข้าสู่การกรองชั้นต่อไป
  •  ตัวกรอง HEPA (High Efficiency Particulate Air) คือแผ่นกรองอากาศคุณภาพสูง ทำมาจากเส้นใยไฟเบอร์กลาส (Fiberglass) ถักทอจนมีขนาดที่เล็กมากๆ จนมีความสามารถ ในการกรองฝุ่นละอองขนาดเล็กมากๆ (Small Particles) เหมาะสำหรับกรองฝุ่นละอองขนาดเล็ก สามารถกรองฝุ่นผง ละอองเกสร เชื้อรา และสามารถกรองสะเก็ดละอองจากสัตว์เลี้ยงได้ สามารถขจัดฝุ่นละอองที่มีขนาด 0.3 ไมครอน หรือใหญ่กว่าได้ ดังนั้นถ้าต้องการฟอกอากาศเนื่องจากฝุ่น PM 2.5 เครื่องฟอกอากาศจะต้องมีตัวกรอง HEPA ถึงจะสามารถกรองฝุ่นขนาดเล็กได้
  • ตัวกรอง Carbon ใช้สำหรับกรองกลิ่นไม่พึงประสงค์ต่างๆ เช่น  กลิ่นอาหาร ควัน กลิ่นจากสารเคมี กลิ่นแก๊ซ และบ้านมีสัตว์เลี้ยง เป็นต้น โดยใช้วิธีการดักจับกลิ่น สารละอองที่เป็นอัตราย (VOCs) ที่มาจากสารเคมีจากการเผาไหม้ และจากผลิตภัณฑ์เคมีที่ใช้ในบ้านบางชนิด และช่วยลดอาการแพ้สารเคมีของผู้ที่แพ้สารเคมีที่สัมผัสจากอากาศได้ด้วย
  • ตัวกรอง ป้องกันเชื้อแบคทีเรียและเชื้อโรค ช่วยกำจัดสิ่งปนเปื้อนในอากาศที่เป็นอันตรายอย่างเชื้อโรคต่างๆ จากแบคทีเรียที่เป็นอีกหนึ่งสาเหตุหลักของการเป็นหวัดได้

เสียงจากเครื่องฟอกอากาศ

การทำงานของเครื่องฟอกอากาศ สิ่งที่ต้องพบเจอคือเสียงจากการทำงานของตัวเครื่องเครื่องที่ดีควรมีระดับเสียงต่ำขณะทำงานโดยจะมีระบุระดับเสียง หน่วยเป็น เดซิเบล ไว้ที่รายละเอียดของตัวเครื่องและคู่มือการใช้งาน การใช้งานเครื่องฟอกอากาศต้องไม่รบกวนต่อสิ่งแวดล้อมโดยรอบ สามารถเปิดเครื่องใช้งานขณะทำกิจกรรมต่างๆได้ โดยไม่มีเสียงที่รบกวนกิจกรรมนั้นๆ เช่น ห้องทำงานที่ต้องการสมาธิในการทำงาน ห้องสำหรับเด็ก โดยเฉพาะช่วงกลางคืนหรือเวลาพักผ่อน เข้านอน ห้องนอนที่ต้องเปิดเครื่องฟอกอากาศขณะนอนหลับ เครื่องฟอกอากาศโดยทั่วไปแล้วควรมีระดับเสียงขณะทำงานที่ 50 เดซิเบล แต่ในหลากหลายรุ่นที่ออกแบบมาใหม่นั้น ได้เพิ่มเทคโนโลยีการป้องการเสียงดังไว้ด้วย ในกรณีที่ต้องตั้งในห้องนอนหรือพื้นที่ที่ต้องการกำจัดเสียงมากขึ้นควรเลือกเครื่องหรือรุ่นที่สามารถทำงานในระดับเสียงที่มีค่าประมาณไม่เกิน 30 เดซิเบล ก็จะช่วยให้ห้องเงียบและสามารถพักผ่อนได้อย่างเต็มที่

ตำแหน่งในการวางเครื่องฟอกอากาศ

การเลือกตำแหน่งในการวางเครื่องฟอกอากาศนั้น คนทั่วไปอาจมองว่าจะวางเครื่องฟอกอากาศในตำแหน่งไหนของห้องก็ได้ หรือควรวางในตำแหน่งที่ใกล้กับตัวเองเพื่อจะได้รับอากาศที่สะอาด สดชื่นได้มากที่สุด แต่ความจริงแล้วหากเราเข้าใจระบบการทำงานของเครื่องฟอกอากาศ และเลือกวางในตำแหน่งที่ถูกต้อง ก็จะช่วยทำให้ตัวเครื่องสามารถทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้นและใช้งานได้อย่างปลอดภัยไปด้วย

ตำแหน่งที่เหมาะจะวางเครื่องฟอกอากาศ นั้นควรวางในบริเวณที่อากาศถ่ายเทได้สะดวกมากที่สุด เพราะหลักการทำงานของเครื่องคือการดูดเอาอากาศโดยรอบ ไม่ว่าจะเป็นฝุ่นละออง กลิ่น อากาศที่สกปรกเข้ามากรองภายในตัวเครื่องก่อน แล้วจึงปล่อยอากาศดีออกไป หากวางตัวเครื่องไว้ในตำแหน่งที่ไม่เหมาะสม เช่น บริเวณหัวเตียงนอน ใกล้ชุดโซฟา พื้นที่นั่งเล่นหรือบริเวณใกล้เคียง อาจทำให้คุณมีโอกาสที่จะได้รับฝุ่นละออง เชื้อโรค ที่ลอยตามแรงดูดเข้าสู่ร่างกายก่อนจะถูกกรองในเครื่องฟอกอากาศได้เช่นกัน แนะนำให้วางตัวเครื่องบริเวณที่โล่งไม่มีอะไรมาบดบัง ไม่อยู่ตามซอกหลืบในห้อง ตั้งอยู่ในตำแหน่งที่อากาศถ่ายเทได้สะดวก เช่น ในห้องนอนให้วางในตำแหน่งปลายเตียง หรือตรงข้ามกับเตียงนอน เป็นต้น ก็จะช่วยให้เครื่องฟอกอากาศทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ และผู้ใช้งานก็จะได้อากาศที่สะอาด ปลอดภัยจากการใช้งานไปด้วย


จบแล้วค่ะ กับความรู้เรื่องเลือกเครื่องฟอกอากาศ และ Tips ในการเลือกซื้อเลือกเครื่องฟอกอากาศเพื่อที่จะได้เครื่องที่เหมาะกับการใช้งาน ผู้อ่านคนไหนสนใจเรื่องอะไรเพิ่มเติม ลอง Comment บอกกันมา หรือให้คำแนะนำได้นะคะ

Source of Information :