บริษัท เซ็นทรัลพัฒนา จำกัด (มหาชน) หรือ “CPN” รายงานผลประกอบการไตรมาสที่ 2 ของปี 2565 ภาพรวมฟื้นตัวดีต่อเนื่อง โดยมีรายได้รวม 9,151 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 13% จากไตรมาสก่อน และกำไรสุทธิ 2,753 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 18% จากไตรมาสก่อน เป็นผลจากสัญญาณรีเทลฟื้น ทราฟฟิกกลับมามากกว่า 80% และตัวเลขนักท่องเที่ยวที่กลับมาเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องจากการเปิดประเทศ พร้อมเดินหน้ารุก “Retail-Led Mixed-Use Development” ลงทุน 4 ธุรกิจหลักต่อเนื่อง ได้แก่ ศูนย์การค้า ที่อยู่อาศัย อาคารสำนักงาน และโรงแรม โดยมีธุรกิจศูนย์การค้าเป็นแกนหลัก ดันทุกธุรกิจเติบโตทั่วประเทศรวมกันกว่า 180 โครงการครอบคลุมมากกว่า 30 จังหวัดทั่วประเทศภายใน 5 ปี ตามแผน มุ่งเน้นสร้าง Sustainable Ecosystem ที่แข็งแกร่ง ร่วมกับstakeholder ทุกฝ่ายเพื่อการเติบโตที่ยั่งยืนไปด้วยกัน ตอกย้ำวิสัยทัศน์ Imagining Better Futures For All
นางสาวนภารัตน์ ศรีวรรณวิทย์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและรองกรรมการผู้จัดการใหญ่ สายงานการเงิน บัญชี และบริหารความเสี่ยงของเซ็นทรัลพัฒนา กล่าวว่า “ผลประกอบการของบริษัทฯ ในไตรมาสนี้ ภาพรวมฟื้นตัวดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะธุรกิจโรงแรม ศูนย์อาหาร และที่อยู่อาศัย ซึ่งเป็นผลมาจากปัจจัยบวกทางเศรษฐกิจของประเทศที่ฟื้นตัวดีขึ้น ประชาชนกลับมาใช้ชีวิตตามปกติจากการผ่อนคลายมาตรการป้องกันโควิด-19การเปิดประเทศต้อนรับนักท่องเที่ยว และมาตรการกระตุ้นการท่องเที่ยวจากภาครัฐ ซึ่งทำให้จำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติเพิ่มขึ้นเกือบ 3 เท่า จาก 5 แสนคนใน ไตรมาสแรก เพิ่มเป็น 1.5 ล้านคนในไตรมาสที่ 2 สำหรับทราฟฟิกของศูนย์การค้ากลับมาเกินกว่า 80% จากช่วงเวลาปกติ นอกจากนี้ บริษัทฯ ยังคงควบคุมต้นทุน ค่าใช้จ่ายต่างๆ อย่างต่อเนื่อง เพื่อรักษาความสามารถในการทำกำไรให้ดีขึ้นอีกด้วย
สำหรับเหตุการณ์สำคัญในไตรมาสที่ 2 บริษัทฯ ได้เดินหน้าเปิดเซ็นทรัล จันทบุรี โครงการมิกซ์ยูสที่ใหญ่ที่สุดและดีที่สุดในภาคตะวันออกในเดือนพฤษภาคม 65 ตามแผน ซึ่งได้รับผลตอบรับดีเกินคาดหมาย มีทราฟฟิกในช่วงเปิดตัวสูงถึง 40,000 คนต่อวัน นอกจากนี้ ยังเดินหน้าแผนลงทุน 5 ปี มูลค่า 120,000 ล้านบาท ภายใต้กลยุทธ์ “Retail-Led Mixed-Use Development” ที่มีธุรกิจศูนย์การค้าเป็นแกนหลัก และเสริมธุรกิจศูนย์การค้าด้วยโครงการที่อยู่อาศัย อาคารสำนักงาน และโรงแรม ตั้งเป้าพัฒนาทุกธุรกิจรวมกันกว่า 180 โครงการครอบคลุมมากกว่า 30 จังหวัดทั่วประเทศภายใน 5 ปี (2022-2026) ดังนี้
ศูนย์การค้ารวม 50 แห่ง: ขยายศูนย์การค้าในทุกย่าน ทุกเมือง ทุกโลเคชั่นทั่วประเทศพร้อมประกาศเปิด “เซ็นทรัล เวสต์วิลล์”(Central Westville) มูลค่ารวมกว่า 6,200 ล้านบาท เจาะทำเลราชพฤกษ์เชื่อมตรงสู่ Bangkok CBD บนที่ดิน 40 ไร่ พื้นที่ GFA93,000 ตร.ม. เพื่อยกระดับฝั่งตะวันตกของกรุงเทพฯ ให้เป็นย่าน Upper-Class Lifestyle เตรียมเปิด Q4/2566
คอมมูนิตี้มอลล์ 17 แห่ง: ขยายไปสู่ทำเลศักยภาพสูงและย่าน CBD อย่างทั่วถึงมากขึ้น โดยโครงการที่จะเปิดให้บริการในไตรมาส 4/65 นี้ ได้แก่ “Marché Thonglor” (Market Place Thonglor เดิม) ที่จะตอบโจทย์ neighborhood ที่ดีที่สุดในย่านทองหล่อ
ที่อยู่อาศัย 70 แห่ง : ชูจุดแข็ง “บ้านเซ็นทรัล” โครงการอยู่ติดศูนย์การค้าเซ็นทรัล และอยู่ในมิกซ์ยูสชั้นนำ พร้อมจับมือกับโครงการต่างๆ ในเครือกลุ่มเซ็นทรัลก้าวสู่การเป็น Top Developer โครงการที่อยู่อาศัยคุณภาพ ครอบคลุมทั้งแนวราบและแนวสูง โดยโครงการที่เพิ่งเปิดตัวไป ได้แก่ คอนโดมิเนียม “PHYLL Phuket” เปิดจองแล้ววันนี้ และอีก 6 โครงการใหม่เปิดในปี 2565 ได้แก่ คอนโดมิเนียม ESCENT 4 แห่งติดกับศูนย์การค้าเซ็นทรัล สุราษฎร์ธานี, โครงการที่ติดกับ Robinson Lifestyle อีก 3 จังหวัด คือ สุพรรณบุรี ฉะเชิงเทรา และตรัง และโครงการบ้านเดี่ยวแนวราบ 2 โครงการคือ นินญา ราชพฤกษ์ และนิรติ เชียงใหม่
โรงแรม 37 แห่ง 4,000 ห้อง : ครอบคลุมทุกเซ็กเมนต์ภายใต้ 3 แบรนด์ได้แก่ Centara(Upscale), Centara One (lifestyle midscale) และ Go! Hotel (Premium Budget) โดยเตรียมเปิดโรงแรมแรก ‘Centara Korat’ ในเดือน ก.ย. 65 ตอกย้ำความสำเร็จ ‘เซ็นทรัล โคราช’ มิกซ์ยูสสมบูรณ์แบบที่สุดของอีสาน
อาคารสำนักงาน 13 แห่ง : พัฒนา The Most Preferred Workplace ของทั้งบริษัทผู้เช่าและคนทำงาน โดยปีนี้โฟกัสสำคัญ คือ การปรับโฉม centralwOrld Offices และโปรเจ็คในอนาคต ได้แก่ Central Park Office ภายในโครงการดุสิต เซ็นทรัล พาร์ค เพื่อพลิกโฉมสู่ การเป็น Professional Hub ระดับโลก และโครงการภายใต้บริษัท GLAND ในย่านพระราม 9 CBD ศักยภาพสูง
นอกจากนี้ เซ็นทรัลพัฒนา ยังเข้าลงทุนร่วมกับ บริษัท เจดับเบิ้ลยูดี สโตร์ อิท จำกัด (JWD Store it!) ในสัดส่วน 30% ภายใต้เงินลงทุน 93.86 ล้านบาท เพื่อขยายเข้าสู่ธุรกิจบริการพื้นที่เก็บของให้เช่า เพื่ออำนวยความสะดวก และตอบสนองความต้องการที่เพิ่มมากขึ้นจากทั้งทางร้านค้า ผู้เช่าพื้นที่ และลูกค้าทั่วไป ซึ่งปัจจุบันมีให้บริการทั้งหมด 6 สาขา มีพื้นที่ให้บริการรวม 13,000 ตร.ม. การลงทุนครั้งนี้สอดคล้องกับกลยุทธ์บริษัทฯ ในการขยายธุรกิจไปยังอุตสาหกรรมอื่นที่เสริมแกร่งให้ธุรกิจหลัก โดยร่วมลงทุนกับคู่ค้าที่มีความเชี่ยวชาญ ประสบการณ์ และเป็นผู้นำในอุตสาหกรรมนั้นๆ อีกด้วย อีกทั้งสานต่อเป้าหมายขององค์กรในการเป็น Net Zero Company ภายในปี 2050 โดยระดมทุนผ่านการออกหุ้นกู้เพื่อโครงการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม (Green Bond) เป็นรายแรกของวงการอสังหาริมทรัพย์ และค้าปลีกไทย จำนวน 1,000 ล้านบาท อายุ 3 ปี เพื่อตอกย้ำวิสัยทัศน์ Imagining better futures for all ขับเคลื่อนสู่อนาคตด้วยการสร้างและพัฒนาพื้นที่คุณภาพ ไปพร้อมกับการดูแลผู้คน ชุมชน และสิ่งแวดล้อมให้เติบโตอย่างยั่งยืนไปด้วยกัน”
ปัจจุบัน เซ็นทรัลพัฒนา บริหารจัดการศูนย์การค้า 38 แห่ง มีพื้นที่ให้เช่าสุทธิรวม 2.3 ล้านตารางเมตร (ในเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑล 16 โครงการ, ต่างจังหวัด 21โครงการ และในมาเลเซีย 1 โครงการ ศูนย์การค้าขนาดใหญ่ภายใต้กิจการร่วมค้า 1 โครงการ และคอมมูนิตี้ มอลล์ 17โครงการ) นอกจากนี้ ยังบริหารศูนย์อาหาร 33 แห่ง อาคารสำนักงาน 10 อาคาร โรงแรม2 แห่ง โครงการที่พักอาศัยอีก 22 โครงการ ประกอบด้วยคอนโดมิเนียมภายใต้แบรนด์ ESCENT, ESCENT VILLE, ESCENT PARK VILLE, PHYLL และ BELLE GRAND RAMA 9 และโครงการแนวราบภายใต้แบรนด์ ESCENT TOWN (ทาวน์โฮม) ESCENT AVENUE (โฮมออฟฟิศ) นินญา กัลปพฤกษ์ (บ้านแฝด) โครงการนิยาม บรมราชชนนี (บ้านเดี่ยวระดับลักชูรี่) และโครงการแนวราบหลากหลายรูปแบบภายใต้แบรนด์ “นีรติ” ที่เชียงราย บางนา และดอนเมือง นอกจากนี้ ยังมีโครงการ“ดุสิต เซ็นทรัล พาร์ค” big project ที่ร่วมพัฒนากับบริษัท ดุสิตธานี จำกัด (มหาชน) ซึ่งจะทยอยเปิดให้บริการในปี2566-2567 เป็นต้นไป
สำหรับทิศทางธุรกิจในระยะ 5 ปี (ปี 2565-2569) บริษัทฯ เดินหน้าลงทุนพัฒนาโครงการใหม่ทั้งที่ประกาศไปแล้ว และยังไม่ได้ประกาศ ซึ่งมีทั้งโครงการอสังหาริมทรัพย์แบบผสม (Mixed-use Development)โครงการที่พักอาศัย รวมถึงแผนการปรับปรุงสินทรัพย์ที่มีอยู่ในปัจจุบันเพื่อเพิ่มมูลค่า รวมทั้งบริหารจัดการค่าใช้จ่ายและลดต้นทุนอย่างมีประสิทธิภาพอย่างต่อเนื่อง เพื่อรักษาสภาพคล่องทางการเงิน เพื่อเตรียมพร้อมกับสถานการณ์ที่ไม่แน่นอน รวมทั้งยังคงศึกษาโอกาสการลงทุนธุรกิจในรูปแบบอื่น การเข้าซื้อกิจการ และการลงทุนในต่างประเทศในแถบภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ อาทิ มาเลเซีย และเวียดนาม รวมถึงศึกษาโอกาสการลงทุนในธุรกิจใหม่ที่มีศักยภาพการเติบโตสูงเพื่อขยายช่องทางในการสร้างรายได้ใหม่และสอดคล้องกับแผนการเติบโตตามเป้าหมายในอนาคตอย่างมั่นคงและยั่งยืน