%e0%b8%84%e0%b8%b8%e0%b8%93%e0%b8%89%e0%b8%b1%e0%b8%95%e0%b8%a3%e0%b8%8a%e0%b8%b1%e0%b8%a2-%e0%b8%a8%e0%b8%b4%e0%b8%a3%e0%b8%b4%e0%b9%84%e0%b8%a5-%e0%b8%81%e0%b8%a3%e0%b8%a3%e0%b8%a1%e0%b8%81%e0%b8%b2

นายฉัตรชัย ศิริไล กรรมการผู้จัดการธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) เปิดเผยว่า การปล่อยสินเชื่อบ้านประชารัฐปีนี้คงไม่ได้ตามเป้าที่ตั้งไว้ ล่าสุดปล่อยสินเชื่อได้เพียง 7,000 ลบ. จากเป้าปีนี้ที่ตั้งไว้ว่าจะปล่อยสินเชื่อให้ได้ 10,000 ลบ. และปีหน้าอีก 10,000 ลบ. รวม 20,000 ลบ. เนื่องจากลูกค้าที่มายื่นขอส่วนใหญ่ ติดเงื่อนไขบ้านหลังแรก และการกู้เพื่อปลูกสร้างเมื่อรวมราคาที่ดินแล้ววงเงินกู้เกิน 1.5 ล้านบาท อีกทั้งปีนี้มีเวลาในการปล่อยสินเชื่อเพียง 7 เดือนเท่านั้น เพราะโครงการเริ่มในเดือน เม.ย.

“หากไม่มีการปรับเงื่อนไขการปล่อยกู้ คาดปีหน้าการปล่อยสินเชื่อบ้านประชารัฐ ก็ไม่น่าได้ตามเป้าที่ตั้งไว้เช่นเดียวกัน ธนาคารจึงได้ขอไปที่กระทรวงการคลัง ขอปรับเงื่อนไข ใน 2 ส่วน คือ คุณสมบัติเรื่องบ้านหลังแรก และการกู้เพื่อปลูกสร้างวงเงินกู้ 1.5 ล้านบาท ไม่รวมมูลค่าที่ดิน”

สำหรับโครงการบ้านประชารัฐ มีวงเงินรวม 70,000 ลบ. แบ่งเป็น

1. การปล่อยกู้ให้แก่ผู้ประกอบการเพื่อก่อสร้างโครงการ  (Pre-Finance) วงเงิน 30,000 ลบ.

2. ปล่อยกู้ให้คนทั่วไป (Post-Finance) วงเงิน 40,000 ลบ.

เมื่อวันที่ 22 ธ.ค. ธนาคารเริ่มจ่ายเงิน 1 พันบาทให้ลูกค้าตามโครงการของขวัญปีใหม่ปี 2559 ที่ธนาคารจะคืนดอกเบี้ยให้กับลูกค้า ที่มีวงเงินกู้ทุกบัญชีรวมกันไม่เกิน 1 ล้านบาท และประวัติการชำระเงินดีติดต่อกันเป็นเวลา 48 งวด ซึ่งเฉพาะสาขาเขตกรุงเทพฯ รวมสำนักงานใหญ่ ธอส. จ่ายเงินคืนให้ลูกค้าแล้วกว่า 2 พันราย จากผู้มีสิทธิได้รับเงินคืนดอกเบี้ย 1.78 แสนราย

ในปีที่ผ่านมาธนาคารได้ทำโครงการคืนดอกเบี้ยให้กับลูกค้าที่ประวัติการชำระดี แต่กำหนดที่ 36 งวด ซึ่งมีลูกค้าที่มีสิทธิ 1.05 แสนราย แต่ปีนี้เพิ่มเป็น 48 งวด ซึ่งมีลูกค้ามีสิทธิเพิ่มเป็น 1.78 แสนราย โดยธนาคารจะจ่ายเงินคืนให้ถึงสิ้นเดือน ม.ค.นี้ โดยให้ลูกค้านำใบเสร็จการจ่ายงวดของเดือนธ.ค.นี้มารับเงินได้ที่สาขาของธนาคารทั่วประเทศ สำหรับแผนการปล่อยสินเชื่อใหม่ปี 2560 ธนาคารตั้งเป้าปล่อยสินเชื่อใหม่ที่ 180,000 ล้านบาท หรือเติบโต 6% จากสมมติฐานที่อัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจ หรือ จีดีพี ขยายตัวได้ 3% จากปีนี้คาดว่าสินเชื่อจะขยายตัวได้ 170,000 ล้านบาท หรือเติบโต 8% ซึ่งปัจจุบันทำได้แล้ว 7% หรือ 160,000 ล้านบาท ส่วนเอ็นพีแอลคาดจะลดลง เหลือ 4.2% จากสิ้นปีนี้คาดว่าจะอยู่ที่ 5.2% เนื่องจากล่าสุดกระทรวงการคลังได้อนุมัติ ให้ตัดขายเอ็นพีแอล 14,000 ล้านบาท และตั้งเป้าใน 5 ปีเอ็นพีแอลจะลดต่ำกว่า 4%

ที่มา : หนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ