ไม่ว่าอะไรก็ตาม มีขึ้นก็ต้องมีลงมีหยุดนิ่งตามวาระของมัน ที่ดินเกาะแนวรถไฟฟ้าก็เช่นเดียวกัน กว่า 3 ปีที่ผ่านมา ราคาถีบตัวสูงขึ้นถึง 300 % แต่มาเวลานี้ดูเหมือนจะมีข่าวแว่วมาว่า ราคาเริ่มนิ่ง หมดยุคเจ้าของปั่นราคาเสียแล้ว ทั้งนี้นายกิติศักดิ์ จำปาทิพย์พงศ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เซ็นจูรี่ 21 เรียลตี้ แอฟฟิลิเอทส์(ประเทศไทย) เปิดเผยว่าภาพรวมตลาดอสังหาริมทรัพย์หากพิจารณาจากการขายที่ดินเปล่าผ่านบริษัทพบว่ามีอัตราลดลง คาดสิ้นปีอาจไม่เป็นไปตามเป้าหมาย 1.2 หมื่นล้านบาท และเชื่อว่าจะทำได้แค่ 8 พันล้านบาท หรือลดลงประมาณ 25% จากก่อนหน้านี้บริษัทมียอดขายที่ดินเปล่าเฉลี่ยกว่า 1 หมื่นล้านตลอด 2 ปีที่ผ่านมา
การขายที่ดินเปล่าลดลง มาจากหลายปัจจัย ทั้งจากผู้ประกอบการอสังหาริมทรัยพ์รายใหญ่หันไปซื้อที่ดินทำเลรอบนอก ขนาดเนื้อที่ประมาณ 30-50 ไร่ เพื่อพัฒนาที่อยู่อาศัยแนวราบมากขึ้น เช่น ย่านบางนา ย่านพระราม 2 ราชพฤกษ์-กัลปพฤกษ์ และเลียบด่วนรามอินทรา จากอดีตสัดส่วนการซื้อที่ดินกว่า 80% เพื่อพัฒนาคอนโดมิเนียม แต่ปัจจุบันลดเหลือ 30-40% ส่วนแนวราบขยับเป็น 60-70%
“ราคาที่ดินในเมืองปรับตัวสูงขึ้นไม่ต่ำกว่าตารางวาละ 1 ล้านบาท หากซื้อมาแล้ว ต้องพัฒนาเป็นคอนโดมิเนียมไฮเอนด์ ซึ่งความต้องการของตลาดดังกล่าวมีจำกัด ผู้ประกอบการจึงเลือกซื้อเฉพาะที่ดินทำเลดีมากๆ ติดรถไฟฟ้าเท่านั้น เพราะหากเป็นแปลงที่ขยับออกไปแนวรถไฟฟ้า แต่ราคาสูงใกล้เคียง จะได้รับความสนใจน้อยลง”
ปัจจัยดังกล่าวทำให้ราคาที่ดินในเมืองบางแปลงที่ห่างจากรถไฟฟ้าออกมาเล็กน้อย ราคาจะถูกกว่าที่ดินติดตัวสถานีประมาณ 30% รวมถึง แนวโน้มราคาที่ดินแปลงที่ไม่สวยมากนัก ราคาเริ่มลดลง เช่น บางแปลงที่เคยประกาศขายตารางวาละ 1.2 ล้านบาท เริ่มลดเหลือ1 ล้านบาท
“รอบ 3 ปีที่ผ่านมาราคาที่ดินเกาะแนวรถไฟฟ้า ปรับตัวสูงขึ้น 300% ถือเป็นยุคทองของที่ดิน แต่จากสถานการณ์ความต้องการซื้อที่ดินของนักพัฒนาขณะนี้ สะท้อนว่าหมดยุคทองของเจ้าของที่ดินในการขึ้นราคาแล้ว” นายกิติศักดิ์ กล่าว
ปัจจัยดังกล่าวทำให้บริษัทต้องปรับแผน หันมาให้ความสำคัญกับหน่วยธุรกิจอื่น โดยเฉพาะการขยายแฟรนไชส์ ให้ครอบคลุมพื้นที่มากที่สุดผ่านสำนักงานสาขา โดยตั้งเป้าสิ้นปีจะมี 50 สาขา และ 100 สาขาในปี 2557 โดยแฟรนไชส์จะเน้นรับซื้อขาย ปล่อยเช่าที่อยู่อาศัยเป็นหลัก ส่วนการขายที่ดิน บริษัทจะให้แฟรนไชส์ หาที่ดินเข้ามาเป็นสต๊อกมากขึ้น และบริษัทจะเป็นผู้ขายเอง โดยจะแบ่งสัดส่วนกำไรจากการขาย 35% ของค่าคอมมิชชั่นให้กับแฟรนไชส์
นอกจากนี้เตรียมแผนรับขายห้องชุดในโครงการที่สร้างเสร็จและยังมีหน่วยเหลือขาย เฉลี่ยประมาณ 20-30% ต่อโครงการ ล่าสุดรับบริหารงานขายห้องชุดส่วนที่เหลือของโครงการลุมพินี ย่านพระราม 3 ของกลุ่มแอล.พี.เอ็น. ซึ่งมีแนวโน้มว่าจะมีโครงการของรายใหญ่ให้เข้ามารับบริหารมากขึ้น
สำหรับเมกกะโปรเจคอย่างไฮสปีดเทรน ที่ส่งผลให้ราคาที่ดินขยับขึ้นประมาณ 30-40% จากการเก็งกำไรที่ดิน แต่ปัจจุบันยังไม่มีการขายต่อและไม่ได้รับความสนใจจากนักพัฒนาโครงการจัดสรร เพราะยังไม่มีความชัดเจนของการลงทุน และต้องใช้เวลาในการพัฒนาระยะยาว เนื่องจากนักพัฒนาโครงการจัดสรรจะซื้อที่ดินและพัฒนาทันที ไม่ซื้อเก็บเหมือนนักเก็งกำไรที่ดิน
“ที่ดินตามรถไฟฟ้าความเร็วสูง มีการประกาศขายในราคาที่สูงขึ้นจริง แต่นักพัฒนาที่ดิน 100 อันดับแรก ยังไม่มีคำขอเสนอซื้อที่ดินดังกล่าว” นายกิติศักดิ์ กล่าว
ที่มา: กรุงเทพธุรกิจ