K-Pisan1

นายพิศาล ธรรมวิเศษ รองประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท พีดีเฮ้าส์ คอร์ปเรชั่น จำกัด หรือศูนย์รับสร้างบ้านพีดีเฮ้าส์ เผยว่า ภาพรวมตลาดรับสร้างบ้านทั่วประเทศในช่วงครึ่งปีแรกที่ผ่านมา ยังคงมีการแข่งขันราคารุนแรงและต่อเนื่อง เหตุเพราะความต้องการสร้างบ้านและกำลังซื้อผู้บริโภคยังไม่ฟื้นตัวดี กอปรกับในบางพื้นที่เกิดคู่แข่งทั้งทางตรงและทางอ้อมเพิ่มขึ้น ทั้งบริษัทรับสร้างบ้าน บ้านจัดสรรในท้องถิ่นและจากส่วนกลาง ที่รุกขยายตลาดและสาขาออกไปในหลายๆ จังหวัด ขณะที่กำลังซื้อผู้บริโภคยังมีเท่าเดิมหรือทรงตัว ส่งผลให้ตัวเลขยอดขายของบรรดาผู้ประกอบการถูกแชร์แบ่งกัน และส่วนใหญ่ยังต่ำกว่าเป้าที่คาดการณ์ไว้ครึ่งปีแรก

จากการที่รัฐบาลประกาศใช้กฎหมายภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างฉบับใหม่ โดยจะเริ่มมีผลบังคับใช้ในปี 2560 นั้น ประเด็นดังกล่าวมีผลด้านบวกต่อภาพรวมธุรกิจรับสร้างบ้านมากกว่า โดยเฉพาะการเก็บภาษีที่ดินรกร้างว่างเปล่าแบบอัตราก้าวหน้า ได้แก่  ปีที่ 1-3 อัตราเรียกเก็บภาษีสูงสุด ร้อยละ 1, ปีที่ 4-6 เรียกเก็บร้อยละ 2 และปีที่ 7 เป็นต้นไป เรียกเก็บร้อยละ 3 ทั้งนี้ หากประชาชนถือครองที่ดินเปล่าไว้นานก็จะเสียภาษีสูงขึ้น ตัวอย่างเช่น ที่ดินขนาด 50 ตารางวา มูลค่า 1 ล้านบาท (ราคาตารางวาละ 2 หมื่นบาท) หากปล่อยทิ้งไว้รกร้างว่าเปล่านาน 7 ปีขึ้นไป จะต้องเสียภาษีอัตราสูงสุดร้อยละ 3 หรือคิดเป็นเงิน 3 หมื่นบาทต่อปี ซึ่งถือเป็นภาระที่ประชาชนต้องแบกรับค่าภาษีที่สูงพอสมควร หากไม่นำที่ดินมาใช้ประโยชน์หรือปลูกสร้างบ้านเรือน นโยบายดังกล่าวของรัฐบาล จึงเป็นการกระตุ้นให้ประชาชนหรือเจ้าของที่ดินเปล่า ซึ่งมีให้เห็นอยู่ตามตรอกซอกซอยจำนวนมากในเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑลและจังหวัดใกล้เคียง หันมาปลูกสร้างบ้านหรือใช้ประโยชน์กันมากขึ้น เพื่อจะไม่ต้องแบกรับภาษีตามกฏหมายฉบับใหม่ คาดว่าจะเริ่มส่งผลดีต่อตลาดรับสร้างบ้านในช่วงครึ่งปีหลังเป็นต้นไป

ในส่วนของบริษัทฯ  เองปีนี้ถือเป็นปีแห่งการปรับตัวโดยช่วงครึ่งปีแรกได้มีการรีแบรนด์ (Rebrand) และเปลี่ยนเครื่องหมายการค้าใหม่ เพราะต้องการสื่อสารถึงอัตลักษณ์ของพีดีเฮ้าส์ ในสายตาของผู้บริโภคให้ชัดเจนยิ่งขึ้น พร้อมกันนี้ก็ทำการรีโปรดักส์ (Re-Product) ด้วยการนำระบบโครงสร้างเหล็กมาใช้แทนการก่อสร้างบ้านระบบเดิมมากขึ้นด้วยเพื่อสร้างความแตกต่างจากคู่แข่งและสะท้อนความเป็นผู้นำธุรกิจรับสร้างบ้านว่าด้วยการนำเทคโนโลยีก่อสร้างมาใช้ในการสร้างบ้านให้แก่ผู้บริโภคฯลฯ

สำหรับในช่วงครึ่งปีหลัง บริษัทฯ มีการปรับแผนการตลาดบางส่วน เพื่อให้สอดคล้องกับภาวะเศรษฐกิจและสถานการณ์แข่งขันที่เปลี่ยนไป ทั้งนี้เพื่อสร้างโอกาสทางการตลาดในทำเลใหม่ๆ และเจาะเข้าถึงกลุ่มผู้บริโภคเป้าหมายใหม่มากขึ้น     โดยจะมีการรีโลเคชั่น (Re-Location) หรือย้ายที่ตั้งสำนักงานสาขาเดิม ที่เห็นว่าพื้นที่นั้นๆ ตลาดเริ่มอิ่มตัวหรือมีการแข่งขันสูง หรือเป็นพื้นที่ที่มีสาขาตั้งอยู่ใกล้กันให้บริการได้อยู่แล้ว เช่น สาขาพระราม 2 ที่อยู่ใกล้กับสาขากาญจนาภิเษก (ตลิ่งชัน) รวมทั้งจะมีการขยับสาขาที่คาดว่าจะได้รับผลกระทบจากนโยบายของรัฐบาล ว่าด้วยการจัดเก็บภาษีบ้านหลังที่ 2 เพราะประเมินว่าในอนาคตตลาดรับสร้างบ้าน       ในพื้นที่ดังกล่าวจะไม่เติบโตเหมือนที่ผ่านมา อาทิเช่น สาขาปากช่อง (เขาใหญ่) ฯลฯเป็นต้น

นอกจากนี้ บริษัทฯ ยังเตรียมแผนรีไพร์ซ (Re-Price) หรือปรับราคาขายบ้านลง อันเป็นผลมาจากความสามารถในการบริหารต้นทุนได้ต่ำลง ทั้งในส่วนของต้นทุนวัสดุที่ใช้การรวมคำสั่งซื้อภายใต้ระบบแฟรนไชส์ และการนำระบบก่อสร้างและวัสดุสำเร็จรูปมาใช้มากขึ้น ซึ่งช่วยให้ลดระยะเวลาและทำให้ต้นทุนค่าก่อสร้างลดลง ทั้งนี้การปรับราคาบ้านลงจะไม่กระทบกำไรต่อหน่วย แต่ในมุมตรงข้ามกลับช่วยสร้างความได้เปรียบในการแข่งขัน และสอดคล้องกับสถานการณ์กำลังซื้อผู้บริโภคที่มีอยู่จำกัด

ปี 2559 นี้ บริษัทฯ ตั้งเป้ายอดขายรวมไว้ทั้งสิ้น 1.4 พันล้านบาท โดยในช่วง 6 เดือนแรกมียอดขายรวม 620 ล้านบาทเศษ จากเป้าครึ่งปีตั้งไว้ 700 ล้านบาท ต่ำกว่าเป้าประมาณร้อยละ 10 อย่างไรก็ตาม แม้ตัวเลขยอดขายไม่ถึงเป้าที่ตั้งไว้ แต่ก็ไม่ถือว่าเลวร้ายมากนัก เมื่อเปรียบเทียบกับภาพรวมตลาดบ้านสร้างเองที่ยังไม่ฟื้นตัว  สำหรับโอกาสและแนวโน้มตลาดรับสร้างบ้านในครึ่งปีหลัง คาดว่าความต้องการสร้างบ้านจะปรับตัวดีขึ้นจากปัจจัยข้างต้นที่กล่าวมา โดยไตรมาส 3 นี้ บริษัทฯ ตั้งเป้ายอดขายไว้ 400 ล้านบาท นายพิศาล กล่าวสรุป