นายสงกรานต์ อิสสระ ประธานกรรมการบริหารและกรรมการผู้จัดการ บริษัท ชาญอิสสระ ดีเวล็อปเมนท์ จำกัด (มหาชน) สรุปยอดขายประจำปี 2557 ของบริษัทในเครือชาญอิสสระ ซึ่งประกอบไปด้วย บมจ. ชาญอิสสระ ดีเวล็อปเมนท์ , บริษัท ซี.ไอ.เอ็น. เอสเตท จำกัด, บริษัท ชาญอิสสระ วิภาพล จำกัด และบริษัท ร่วมอิสสระ จำกัด เผยผลประกอบการของปีที่แล้วมียอดรับรู้รายได้ประมาณ 1,700 ล้านบาท ซึ่งยังไม่รวมยอดขายที่รอรับรู้รายได้จากการโอนอีกกว่า 3,800 ล้านบาท นอกจากนี้ ผู้บริหารยังได้เผยแผนการขยายธุรกิจในปี 2558 ที่จะมีโครงการใหม่ๆ เกิดขึ้น รวมมูลค่ากว่า 6,000 ล้านบาท ซึ่งสูงกว่าปีที่ผ่านมาถึงร้อยละ 20 แต่ถึงกระนั้น การดำเนินธุรกิจอสังหาฯ ในช่วงปี 2558 ยังคงต้องใช้ความระมัดระวังเป็นอย่างมาก แม้ภาครวมของเศรษฐกิจไทยจะเริ่มฟื้นตัวจากปีที่ผ่านมาแล้วก็ตาม
สำหรับปี 2557 ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ก็เป็นอีกหนึ่งอุตสาหกรรมที่ได้รับผลกระทบจากวิกฤตทางการเมืองซึ่งส่งผลต่อเศรษฐกิจโดยรวมของประเทศ ทำให้ภาคธุรกิจอสังหาฯ ช่วงครึ่งปีแรกมีการชะลอตัวและไม่เป็นไปตามเป้าหมายที่วางไว้ แต่สำหรับช่วงครึ่งปีหลัง สถานการณ์เริ่มฟื้นตัว และทางบริษัทในเครือของเราก็ได้มีการเปิดตัวโครงการใหม่ๆ ซึ่งมูลค่าโครงการที่เปิดตัวไปในปี 2557 รวมทั้งสิ้น 4,853 ล้านบาท โดยมีรายละเอียดดังต่อไปนี้
โครงการ ISSARA COLLECTION – Sathorn คอนโดมิเนียมระดับไฮเอ็นด์แนวโลว์ไรซ์สูง 7 ชั้น ณ ใจกลางกรุงเทพฯ ราคาเริ่มต้นยูนิตละ 15.90 ล้านบาท มูลค่าโครงการรวมทั้งสิ้น 807 ล้านบาท
โครงการ ดิ อิสสระ เชียงใหม่ คอนโดฯ จำนวน 4 อาคาร ตั้งอยู่บนพื้นที่ 6 ไร่ ติดลำน้ำคาวใกล้ศูนย์การค้าเซ็นทรัลเฟสติวัล เชียงใหม่ ราคาเริ่มต้นที่ 1.89 ล้านบาท มูลค่าโครงการรวม 1,800 ล้านบาท
โครงการ BLU คอนโดฯ เลียบชายหาดชะอำ-หัวหิน ซึ่งเป็นการต่อยอดมาจากความสำเร็จของบ้านทิวทะเลเฟส 1 และ 2 โดยเฟส 3 นี้มีมูลค่าโครงการรวม 1,500 ล้านบาท
นายสงกรานต์ อิสสระ ประธานกรรมการบริหารและกรรมการผู้จัดการ บริษัท ชาญอิสสระ ดีเวล็อปเมนท์ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ในช่วงครึ่งปีแรกของปี 2557 ถึงแม้ว่าจะต้องเผชิญกับสถานการณ์ทางการเมืองและเศรษฐกิจที่ไม่สู้ดีนัก แต่หลายๆ โครงการของเรา ทั้งที่เป็นโครงการใหม่และโครงการเดิมที่ยังเปิดขายอยู่ ก็ได้รับความสนใจจากกลุ่มลูกค้าอย่างต่อเนื่อง ไม่ว่าจะเป็น ดิ อิสสระ ลาดพร้าว ที่ขายไปแล้ว 95% และคาดว่าจะขายหมดในปีนี้ อิซซี่ คอนโด สุขสวัสดิ์ โครงการระดับกลางแห่งแรกของเราก็ขายได้แล้ว 75% และกำลังอยู่ระหว่างการก่อสร้าง คาดว่าจะแล้วเสร็จปลายปีนี้ ส่วนโครงการชายทะเลชะอำ-หัวหินอย่างบ้านทิวทะเล I – Aqua Marine ปัจจุบันก่อสร้างแล้วเสร็จ มียอดขายแล้วกว่า 90% และบ้านทิวทะเล II – Blue Sapphire ซึ่งอยู่ในระหว่างการก่อสร้างก็มียอดขายแล้วประมาณ 60% ส่วนโครงการแนวทาวเฮ้าส์อย่าง อิสสระ วิลเลจ ก็ขายแล้ว 70% นอกจากนี้เรายังมีโครงการบ้านสีตะวัน ปากช่อง-เขาใหญ่ ที่ได้รับเสียงตอบรับที่ดีจากลูกค้าเช่นกัน”
นายดิฐวัฒน์ อิสสระ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ร่วมอิสสระ จำกัด กล่าวเสริมว่า โครงการทั้งหมดของชาญอิสสระฯ ได้รับความเชื่อมั่นมาตลอดระยะเวลาเกือบ 40 ปี การันตีได้จากรางวัลต่างๆ ที่เราได้รับ ไม่ว่าจะเป็น ‘The Best Condominium in Thailand’ และ ‘Highly Commended Leisure Development Thailand’ จากงานประกาศผลรางวัล The International Property Awards ประจำปี 2557-2558 ในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก ที่บริษัท ร่วมอิสสระ จำกัด ได้รับยกย่องให้เป็นผู้เป็นเลิศด้านพัฒนา คอนโดมิเนียมที่ดีที่สุดในประเทศไทยถึง 2 ปีซ้อน จาก 2 โครงการ Aquamarine และ Blue Sapphire นอกจากนี้ เรายังเน้นนวัตกรรมใหม่ๆ เพื่อพัฒนาโครงการต่างๆ ใช้เทคโนโลยีที่ทันสมัยให้สอดคล้องควบคู่กับการรักษาสิ่งแวดล้อม ซึ่งเป็นประเด็นที่ทั่วโลกให้ความใส่ใจเป็นพิเศษ เราไม่เคยหยุดนิ่ง เราใส่ใจในรายละเอียดทุกอย่างในทุกโครงการด้วยความพิถีพิถัน”
โดยในปีนี้ ทางบริษัทฯ จะมีการก่อสร้างโรงแรมศรีพันวาเพิ่มเติมอีก 2 อาคาร รวมมูลค่ากว่า 900 ล้านบาท รวมทั้งมีโครงการน้องใหม่อย่าง บาบา บีช คลับ (Baba Beach Club) ที่จังหวัดพังงา ซึ่งเป็นการร่วมทุนระหว่างบริษัท ชาญอิสสระ ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) และบริษัท Junfa Real Estate ซึ่งเป็นบริษัทอสังหาริมทรัพย์ชั้นนำจากประเทศจีน โดยโครงการประกอบไปด้วยโรงแรมสไตล์บีชคลับ บ้านพักติดทะเล พูลวิลล่า ซึ่งรวมมูลค่าโครงการร่วมกว่า 3,000 ล้านบาท โดยทางบริษัท ชาญอิสสระ ดีเวล็อปเมนท์ จำกัด (มหาชน) จะเป็นผู้ถือหุ้น 70 เปอร์เซ็นต์ รวมทั้งมีการลงทุนทำโรงแรมที่ชะอำ โดยใช้แบรนด์น้องใหม่ “บาบา บีช” โดยมูลค่าของโครงการดังกล่าวอยู่ที่ประมาณ 1,029 ล้านบาทและคาดว่าจะเปิดให้บริการได้ในช่วงต้นปี 2560
ปิดท้ายด้วยสถานการณ์ปี 2558 ซึ่งทางบริษัทมองว่า น่าจะเป็นปีที่ดีขึ้นสำหรับตลาดอสังหาริมทรัพย์ รวมทั้งยังคงมีความท้าทายเนื่องจากผู้พัฒนาอสังหาฯ รายอื่นๆ ก็ต่างแข่งขันกันทั้งในด้านราคา คุณภาพ ความสวยงาม ทำเลที่ตั้ง ฯลฯ ซึ่งสิ่งเหล่านี้เป็นแรงบันดาลใจให้บริษัทในเครือชาญอิสสระยิ่งมุ่งมั่นพัฒนาธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ให้สามารถชนะใจกลุ่มเป้าหมายให้ได้