ทีซีซี แลนด์ ผงาดรับเออีซี ดึงทีม ‘เอเชียทีค’ เป็นหัวหอกหลักพัฒนาพร้อมปรับโฉม 3 โปรเจคยักษ์ ‘เอเชียทีค เฟส 2, ดิจิตอล เกทเวย์ สยาม สแควร์ และเกทเวย์ เอกมัย’ หลังปั้น ‘เอเชียทีค’ ติดอันดับสถานที่ท่องเที่ยวระดับโลกได้สำเร็จอย่างรวดเร็ว เดินหน้านำเสนอคอนเซปต์ ‘ไลฟ์สไตล์ ช้อปปิ้ง’ รูปแบบใหม่ตอบช่องว่างตลาด คาดกระแสตอบรับไม่แพ้ ‘เอเชียทีค’
นายณภัทร เจริญกุล กรรมการผู้จัดการกลุ่มรีเทล บริษัท ทีซีซี แลนด์ จำกัด บริษัทผู้นำด้านการพัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์ในรูปแบบรีเทลที่ประสบความสำเร็จอย่างมากในประเทศไทย เปิดเผยว่า จากความสำเร็จของการพัฒนาโครงการเอเชียทีค เดอะ ริเวอร์ฟร้อนท์ จนกลายเป็นแหล่งท่องเที่ยวระดับโลกสำเร็จ ทำให้บริษัทฯ มั่นใจ ในประสบการณ์และความเชี่ยวชาญของทีมงาน พร้อมเห็นโอกาสและช่องว่างในการพัฒนาโครงการในเชิง ‘Community Shopping Center’ คอนเซปต์ใหม่ของแหล่งช้อปปิ้งในไทยที่มีขนาดใหญ่กว่า Community Mall แต่เล็กกว่า Shopping Center เพื่อเสนอเป็นทางเลือกใหม่ที่ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ของคนในยุคปัจจุบัน โดยคอนเซปต์ใหม่ดังกล่าวจะถูกนำมาพัฒนาใช้กับโครงการเกทเวย์เอกมัย นอกจากนี้ ยังได้วางแผนพัฒนาโครงการในระยะที่ 2 เพื่อเสริมศักยภาพของเอเชียทีคในปัจจุบัน ตบท้ายด้วยการพลิกฟื้นตำนานศูนย์กลางของวัยรุ่นด้วยการปรับโฉม ‘ดิจิตอล เกทเวย์ สยาม สแควร์’ สู่ ‘เซ็นเตอร์ พอยท์ ออฟ สยาม สแควร์ (Center Point of Siam Square)’ เพื่อเจาะกลุ่มวัยรุ่นและวัยเริ่มต้นของการทำงานดังเช่นในอดีตที่ผ่านมา
โดยตั้งแต่ปลายปี 2557 เป็นต้นไป ทีซีซี แลนด์ ได้วางแผนในการพัฒนาโครงการใหม่รวม 3 โครงการ ประกอบด้วย การพัฒนาและเนรมิตการกลับมาของ ‘เซ็นเตอร์ พอยท์ ออฟ สยามสแควร์’, การนำเสนอคอนเซปต์ใหม่ของธุรกิจไลฟ์สไตล์ ช้อปปิ้งในไทยที่จะเกิดที่ เกทเวย์ เอกมัย และสุดท้ายกับการพัฒนาโครงการในระยะที่ 2 เพื่อเสริมแกร่งให้โครงการเอเชียทีค เดอะ ริเวอร์ฟร้อนท์ โดยรายละเอียดการพัฒนาของทั้ง 3 โครงการนั้น นายณภัทร กล่าวเสริมในรายละเอียดดังกล่าวว่า การปรับรูปแบบของ เกทเวย์ เอกมัย เป็นการปรับในเชิง Market Repositioning คือการคงชื่อแบรนด์และลูกค้ากลุ่มเป้าหมายเดิมของโครงการไว้ หากแต่ปรับส่วนผสมภายในของโครงการให้ตอบสนองต่อพฤติกรรมของลูกค้ากลุ่มเป้าหมายให้มากที่สุด กล่าวคือรูปแบบของ เกทเวย์ เอกมัย จะปรับเปลี่ยนเป็น Community Shopping Center แห่งแรกของเมืองไทย โดยรูปแบบดังกล่าวเป็นรูปแบบลูกผสมระหว่าง Community Mall และ Shopping Center โดยรูปแบบดังกล่าวประสบความสำเร็จอย่างสูงในต่างประเทศเพราะสามารถตอบโจทย์ลูกค้าชุมชนได้อย่างลงตัวที่สุดและสามารถลดจุดอ่อนของรูปแบบ Community Mall ซึ่งมีขนาดเล็กเกินไป (พื้นที่ขายประมาณ 6,000-8,000 ตรม) ทำให้มีร้านค้าในโครงการน้อยจนเกินไปไม่สามารถตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้ากลุ่มเป้าหมายได้อย่างครบถ้วน
ในขณะเดียวกันก็พยายามที่จะลดจุดอ่อนของรูปแบบ Shopping Center ที่มีขนาดใหญ่เกินไป (พื้นที่ขายประมาณ 60,000-100,000 ตรม) ทำให้ลูกค้าเสียเวลาในการเข้าไปใช้บริการ โดย Community Shopping Center ส่วนใหญ่จะมีขนาดพื้นที่ขายประมาณ 25,000-35,000 ตรม ตอบโจทย์ครบครันทั้งในส่วนของความต้องการพื้นฐานและตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ที่เปลี่ยนแปลงไปตลอดเวลา มีความหลากหลายในจำนวนร้านค้าทำให้ลูกค้าสามารถมาใช้บริการได้บ่อยขึ้น และที่สำคัญคือลูกค้าไม่ต้องใช้เวลานานการตอบสนองความต้องการในบรรยากาศเป็นกันเองเหมือนบ้านที่สองของกลุ่มลูกค้าเป้าหมาย ซึ่งพื้นที่ย่านเอกมัยเป็นพื้นที่ที่เหมาะสมกับรูปแบบใหม่ของ เกทเวย์ เอกมัย อย่างมากเพราะเป็นพื้นที่อยู่อาศัยหนาแน่นครอบคลุมตั้งแต่ทองหล่อ เอกมัย พระรามที่ 4 และพระโขนงเชื่อมต่อกับรถไฟฟ้า BTS โดยตรง อีกทั้งยังไม่มีศูนย์การค้าขนาดใหญ่ในรัศมี 5 กิโลเมตร นี่คือจุดได้เปรียบของ เกทเวย์ เอกมัย Community Shopping Center ใหม่ บ้านที่สองของชุมชน ซึ่งจะเปิดตัวอย่างเป็นทางการในช่วงกลางปี 2558
ในส่วนของดิจิตอล เกทเวย์ สยามสแควร์ นั้น นายณภัทรเปิดเผยว่า ต้องการสร้างแบรนด์ใหม่ให้เกิดขึ้นภายใต้ชื่อ Center Point of Siam Square โดยจะตกแต่งในบรรยากาศใหม่ ร้านค้าใหม่ และกลุ่มลูกค้าเป้าหมายใหม่ ซึ่งถือเป็นการปลุกตำนานจุดศูนย์รวมของวัยรุ่นที่มีชื่อเสียงที่สุดกลับมาอีกครั้งหนึ่ง โดย Center Point of Siam Square จะนำเสนอบรรยากาศ ความเป็นสถานที่สำหรับวัยรุ่นอย่างแท้จริง โดยโครงการจะเน้นไปที่วัยรุ่นอายุตั้งแต่ 15 ปี จนถึง First Jobber อายุประมาณ 25 ปี ดังนั้นร้านค้าและการตกแต่งทั้งภายในและภายนอกจะมุ่งเน้นความเป็น Beauty Fashion เป็นสำคัญ ร้านค้าภายในจะเริ่มทยอยปรับเปลี่ยนตั้งปลายปี 2557 นี้ไปจนถึงกลางปี 2558 โดยพื้นที่ด้านหน้าโครงการได้จัดให้เป็นสถานที่จัดกิจกรรมของเหล่าวัยรุ่นและสถานที่พบปะและ Hang Out ของวัยรุ่นอีกด้วย ทีมงานเชื่อมั่นว่าการกลับมาของ Center Point of Siam Square จะยิ่งใหญ่เหมือนในอดีตสมดั่งการเป็นจุดศูนย์กลางของสยามสแควร์ต่อไป
นอกเหนือไปจากนี้ยังมีแผนการการพัฒนาโครงการในเฟสที่ 2 ของ เอเชียทีค เดอะ ริเวอร์ฟร้อนท์ ซึ่งนอกจากจะปรับรูปแบบร้านค้าในโครงการปัจจุบันให้สอดคล้องกับลูกค้ากลุ่มเป้าหมายทั้งนักท่องเที่ยวต่างชาติและลูกค้าคนไทยแล้ว โครงการ Asiatique จะขยายเฟส 2 ในบริเวณที่จอดรถด้านข้างโครงการติดกับลานกิจกรรมใหญ่ริมน้ำ โดยแนวคิดในการทำเฟส 2 คือการเติมเต็มในสิ่งที่ยังขาดหาย เช่น ร้านอาหารสำหรับครอบครัว ร้านค้าแฟชั่น สินค้าดีไซน์สำหรับลูกค้าคนไทย และสินค้า แบรนด์บางประเภทที่เป็นที่ต้องการของทั้งลูกค้าคนไทยและนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติ นอกจากนี้ยังมีการสร้างโรงแรมเพื่อรองรับปริมาณนักท่องเที่ยวต่างชาติที่เดินทางเข้ามาพักริมแม่น้ำเจ้าพระยาที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง รวมไปถึงห้องจัดประชุมสัมนา เพื่อรองรับกลุ่มลูกค้า MICE จากทั้งในประเทศและต่างประเทศซึ่งต้องการจัดกิจกรรมทั้งในช่วงกลางวันและกลางคืนที่ Asiatiqueอีกด้วย จากประสบการณ์ทำให้ทีมงานทราบถึงความต้องการในหลากหลายรูปแบบที่มีเข้ามายังอย่างต่อเนื่อง ดังนั้นทีมงานจึงมั่นใจเป็นอย่างยิ่งสิ่งที่เราจะพัฒนาเพิ่มในเฟส 2 นี้ เพื่อให้ เอเชียทีค กลายเป็น Landmark ริมน้ำที่ลูกค้าสามารถสัมผัสได้อย่างแท้จริง และวางแผนเตรียมเปิดตัวในช่วงปลายปี 2559