นายณภัทร เจริญกุล กรรมการผู้จัดการกลุ่มรีเทล บริษัท ทีซีซี แลนด์ แอสเสท เวิรด์ จำกัด เปิดเผยถึงภาพรวมธุรกิจของบริษัทฯ ว่า ตลอด 10 เดือนที่ผ่านมา บริษัทฯ มีการเติบโตทางธุรกิจอย่างต่อเนื่อง ซึ่งคาดว่าในปี 2560 จะมีรายได้ประมาณ 3,000 ล้านบาท หรือเติบโตจากปีที่ผ่านมากว่า 15% สอดคล้องกับจำนวนลูกค้า      ที่เพิ่มขึ้นจากเดิมประมาณ 200,000 คน/วัน เป็น 250,000 คน/วัน จากทั้ง 10 โครงการในปัจจุบัน โดยแต่ละโครงการสามารถสร้างรายได้เป็นไปตามเป้าหมายที่กำหนดไว้ เป็นผลมาจากการพัฒนาให้ทุกโครงการสามารถตอบโจทย์ลูกค้าในทุกทุกไลฟ์สไตล์ทั้งยังสามารถเข้าถึงได้ง่าย จึงกลายเป็นรากฐานของธุรกิจที่แข็งแกร่งให้สามารถเติบโตได้อย่างยั่งยืน โดยในปี 2561 คาดว่าจะสามารถทำรายได้รวมเพิ่มขึ้นเป็น 3,500 ล้านบาท หรือเติบโตประมาณ 17% จากปัจจัยในการพัฒนาและปรับปรุงศูนย์การค้าในเครือ รวมถึงการเติบโตของตลาดท่องเที่ยวที่จะเป็นหัวใจสำคัญ

ทั้งนี้แผนพัฒนาในปี 2561 และ ปี 2562 จะดำเนินการปรับพื้นที่ของแต่ละศูนย์ฯ ให้สามารถเติมเต็มไลฟ์สไตล์ลูกค้าในยุคปัจจุบันได้เต็มรูปแบบยิ่งขึ้น ซึ่งศูนย์ฯ ที่อยู่ระหว่างการปรับโฉมและคาดว่าจะแล้วเสร็จในปี 2561 ได้แก่ พันธุ์ทิพย์ งามวงศ์วาน งบลงทุน 50 ล้านบาท, พันธุ์ทิพย์ บางกะปิ งบลงทุน 50 ล้านบาท และบ็อกซ์ สเปซ รัชโยธิน โดยจะปรับเปลี่ยนเป็น คอมมูนิตี้ มอลล์แนวใหม่ งบลงทุน 100 ล้านบาท นอกจากนี้ ยังใช้งบประมาณลงทุนในการพัฒนาโครงการ ประกอบด้วย ลาซาล งบลงทุน 500 ล้าน ศูนย์การค้าเกตเวย์ บางซื่อ งบลงทุน 4,000 ล้านบาท  บาท ตะวันนา บางพลี งบลงทุน 1,000 ล้านบาท และตะวันนา พระราม 2 งบลงทุน 2500 ล้านบาท รวมงบลงทุนทั้งสิ้น 8,200 ล้านบาท

เอเชียทีค เดอะ ริเวอร์ฟร้อนท์ ตอกย้ำความเป็นผู้นำธุรกิจท่องเที่ยวริมน้ำ

อัดกิจกรรมความสนุกตลอดปี 61 พร้อมเปิดโซนซิกเนเจอร์ใหม่ ดึงกลุ่มนักท่องเที่ยว

นายมานพ คำสว่าง  ผู้จัดการบริหารทรัพย์สิน แบรนด์เอเชียทีค เดอะ ริเวอร์ ฟร้อนท์ เปิดเผยว่า ปัจจุบัน เอเชียทีค เดอะริเวอร์ ฟร้อนท์ ประสบความสำเร็จและกลายเป็นแหล่งท่องเที่ยวสำคัญของไทย โดยได้รับรางวัลการันตีมากมาย อาทิ รางวัล ‘People’s Choice Award 2017’ สาขาแหล่งท่องเที่ยวยอดนิยม ซึ่งจัดขึ้นโดยการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.)

ในด้านการพัฒนาร้านค้าที่ผ่านมา มีร้านค้าและร้านอาหารเปิดใหม่กว่า 50 ร้าน อาทิ ร้าน Wine I Love You ร้านอาหารไวน์ชื่อดัง, ร้านลู่กัง คาเฟ่ร้านอาหารสัญชาติจีนระดับอินเตอร์แห่งแรกในไทย ที่รวมอาหารจานเด่นของแต่ละเมืองในจีนและไต้หวัน โดยแต่ละร้านมีจุดเด่นที่สามารถรองรับความต้องการของลูกค้าและนักท่องเที่ยวได้หลากหลายกลุ่มอย่างเต็มที่

โดยปัจจุบันมีนักท่องเที่ยวเข้ามาในโครงการเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง และคาดว่าจะทะลุเป้าหมายที่เคยตั้งไว้ 12 ล้านคน ภายในปี 2560 ทั้งจากการพัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์ตลอด 2 ฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยาจำนวนมากนั้นแสดงให้เห็นถึงโอกาสทางธุรกิจในย่านนี้ ซึ่งทางเอเชียทีคเองก็เป็นพันธมิตรกับผู้ประกอบการธุรกิจริมน้ำเจ้าพระยาทุกราย ในการร่วมกันพัฒนาศักยภาพทางธุรกิจ เพื่อช่วยกระตุ้นให้อุตสาหกรรมท่องเที่ยวและธุรกิจ MICE  ริมสองฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยามีความคึกคักและช่วยผลักดันสู่การเป็นหนึ่งใน Global Destination ที่นักท่องเที่ยวทั่วโลกต้องเดินทางมาเยือน ซึ่งเป็นสัญญาณว่าในปี 2561 อุตสาหกรรมท่องเที่ยวริม 2 ฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยา จะมีนักท่องเที่ยวมาเยือนเพิ่มขึ้นอย่างแน่นอน ซึ่งกลุ่มนักท่องเที่ยวที่เข้ามาในโครงการแบ่งเป็นนักท่องเที่ยวไทย 30% และนักท่องเที่ยวต่างชาติ 70% โดย 5 ประเทศหลักในโซนเอเชียที่มีนักท่องเที่ยวมาเยือนมากที่สุด ประกอบด้วย จีน ฮ่องกง ไต้หวัน เกาหลี และอินโดนีเซีย และยังมุ่งขยายตลาดไปยังโซนยุโรปด้วยเช่นกัน

“สำหรับภาพรวมอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวมีแนวโน้มไปในทิศทางที่ดีอย่างต่อเนื่อง  ทั้งในแง่ของจำนวนคนและยอดการใช้จ่าย โดยข้อมูลของกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา และการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย ระบุว่าจำนวนนักท่องเที่ยวที่เดินทางเข้ามาท่องเที่ยวในประเทศไทยมีจำนวนเพิ่มมากขึ้นกว่าปีที่ผ่านมา ไม่ว่าจะเป็นกลุ่มนักท่องเที่ยวจีน รัสเซีย เอเชียใต้ เกาหลีใต้ และกลุ่มประเทศ CLMV (กัมพูชา ลาว เมียนมา และเวียดนาม) รวมทั้งนักท่องเที่ยวจากอเมริกา ดังนั้นทั้งภาครัฐและภาคเอกชนจึงได้เตรียมจัดกิจกรรมทางการตลาดไว้มากมาย รวมถึงเอเชียทีคเองก็เตรียมโปรโมชั่นและกิจกรรมความสนุก เพื่อรองรับทั้งนักท่องเที่ยวชาวไทยและต่างประเทศ โดยคาดว่าในช่วงปลายปีนี้จนถึงปีใหม่จะมีนักท่องเที่ยวมากกว่าช่วงเวลาเดียวกันของปีที่ผ่านมาอย่างแน่นอน”

ด้านแผนการจัดกิจกรรมส่งท้ายปี 2560 นั้น นายมานพ กล่าวเสริมว่า ได้เตรียมไฮไลท์สุดพิเศษ                  กับกิจกรรม Countdown ส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดเท่าที่เคยจัดมา เพื่อเป็นการฉลองครบรอบ 5 ปีของเอเชียทีค เดอะริเวอร์ ฟร้อนท์ ที่จะมาพร้อมกับความอลังการทั้งแสง สี เสียง และคอนเสิร์ตจากเหล่าศิลปินชื่อดัง อาทิ นนท์ The Voice, The Parkinson, Mister Team, มอส ปฏิภาณ, หนุ่ย อำพล, นครินทร์ กิ่งศักดิ์ และวง Instinct               (อินสติงค์) และพลาดไม่ได้กับการจุดพลุอันเป็นสัญลักษณ์ของงาน ด้วยฝีมือนักออกแบบพลุชื่อดังจากประเทศญี่ปุ่น

“ในอนาคตอันใกล้เราได้เตรียมสร้างปรากฎการณ์ใหม่ๆ เพื่อสานต่อความเป็นผู้นำด้านธุรกิจรีเทลริมน้ำเพิ่มสีสันในการท่องเที่ยว อาทิ การต่อเรือใบสามเสา เพื่อเป็นสัญลักษณ์ของความสัมพันธ์ทางการค้าระหว่างไทยและอารยประเทศ ตอกย้ำความเป็นท่าเรือพาณิชย์นานาชาติแห่งแรกของสยาม ที่พร้อมจะนำความยิ่งใหญ่ด้านความรุ่งเรืองในสมัยรัชกาลที่ 5 ให้กลับมาปรากฎอีกครั้ง พร้อมยกระดับ Product mix ด้วยสินค้าแบรนด์ดัง เพื่อตอกย้ำความเป็นแหล่งท่องเที่ยวยอดนิยมที่มีสินค้าตอบสนองได้ทุกไลฟ์สไตล์ เช่น Beautrium ร้าน Beauty Mega Store ที่ตอบความต้องการกลุ่มลูกค้าทุกเพศวัย และ Owndays chain ร้านแว่นตาคุณภาพชื่อดังสุดฮิปจากประเทศญี่ปุ่น         ในพื้นที่ High Street Zone บริเวณด้านข้างโกดัง 4 ติดลานจอดรถ 2 รวมถึงร้าน Watsons ผู้นำร้านเพื่อสุขภาพและความงาม อันดับหนึ่งในประเทศไทยและเอเชีย บนพื้นที่กว่า 350 ตารางเมตร เพื่อให้ลูกค้าได้เลือกสรรสินค้าคุณภาพได้ตามความพึงพอใจอย่างครบครัน และ Watch Station ร้านนาฬิกา Multi Brand Store ที่รวบรวมนาฬิกาแบรนด์ดังระดับสากลไว้มากมาย” นายมานพ คำสว่าง กล่าวสรุป

เกตเวย์ เอกมัย สร้างปรากฎการณ์ใหม่ เติบโตสูงสุด 15% ท่ามกลางกระแสเดือด ธุรกิจรีเทลย่านเอกมัย-สุขุมวิท ตั้งเป้าปี’61 สร้างกิจกรรมขยายตลาดกลุ่มครอบครัว

 

นางสาวราชพฤกษ์ อุบลศรี ผู้จัดการบริหารทรัพย์สิน แบรนด์เกตเวย์ เอกมัย และเซ็นเตอร์พ้อยท์ ออฟ สยามสแควร์ เปิดเผยว่า ตลอดปี 2560 ศูนย์เกตเวย์ เอกมัย มุ่งมั่นในการพัฒนาอย่างไม่หยุดนิ่ง เพื่อตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ของกลุ่มลูกค้าที่หลากหลาย ทั้งร้านค้าและบริการที่ได้รับความนิยมไว้อย่างครบครัน  อาทิ Pepper Lunch ร้านสเต็กสไตล์ญี่ปุ่นที่ได้รับความนิยมอย่างมากจากประเทศญี่ปุ่น SunCosmate ศูนย์รวมเครื่องสำอาง         แบรนด์ชั้นนำจากทั่วโลกที่จำหน่ายในราคาพิเศษ Hompro S สโตร์รูปแบบใหม่สำหรับคนรักบ้าน ภายใต้คอนเซ็ปต์ ‘Small-Service-Select’ เพิ่มความสะดวกสบายในการเลือกซื้อสินค้าตกแต่งบ้าน  Bunka Fashion School โรงเรียนสอนออกแบบแฟชั่นในเครือ Bunka Fashion College จากญี่ปุ่น โดยตลอดปียังได้จัดกิจกรรมต่างๆ มากมาย และได้รับความสนใจมีผู้เข้าร่วมงานจำนวนมาก ซึ่งคาดว่าจะมีรายได้รวมอยู่ที่ 338 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 15% จากปี 2559 ทั้งนี้ ยังคงเดินหน้าสร้างสรรค์กิจกรรมดีๆ ตอบโจทย์กลุ่มลูกค้าร่วมกับพันธมิตรทางธุรกิจอย่างต่อเนื่องในปี 2561

“สำหรับภาพรวมตลาดในช่วงปลายปีนี้ คาดว่าลูกค้ายังคงมีการจับจ่ายใช้สอยอย่างคึกคัก จึงได้เตรียมกิจกรรมดีๆ เพื่อส่งมอบความสุขและการเฉลิมฉลองเทศกาลส่งท้ายปลายปี ประกอบด้วย กิจกรรม POWER RANGER DINO FORCE BRAVE วันที่ 24 – 26 พ.ย.นี้ เปิดตัวเป็นครั้งแรกในประเทศไทยกับ การแสดงไลฟ์แอ็คชั่นโชว์สุดตื่นเต้นใน ‘พาวเวอร์เรนเจอร์ ไดโนฟอร์ซ เบรฟ โชว์ ตอน Brave in! ศึกรวมผู้กล้าไดโนเสาร์’ ฟรีตลอดงาน! กิจกรรม URBAN HAPPINESS @ GATEWAY EKAMAI วันที่ 1 – 31 ธ.ค.นี้ เพื่อเฉลิมฉลองเทศกาลแห่งความสุข กับกิจกรรมพิเศษตลอดเดือนธ.ค. นี้ พบกับมินิคอนเสิร์ตจากศิลปินชื่อดังพร้อมประทับใจไปกับการประดับตกแต่งต้นคริสมาสต์สุดอลังการ และแคมเปญพิเศษแห่งปี กินช้อปภายในศูนย์การค้าฯ”

ขณะที่การแข่งขันในธุรกิจรีเทลย่านสุขุมวิท โดยรอบศูนย์ฯ นั้นมีการแข่งขันที่สูง ทำให้ต้องพยายามหาจุดเด่นเพื่อสร้างความแตกต่าง โดยมองว่ากลุ่มครอบครัวจะเป็นกลุ่มที่ตอบโจทย์กับการศูนย์การค้าฯ มากที่สุด จึงได้วางแผนขยายฐานลูกค้าไปยังกลุ่มครอบครัวเพิ่มขึ้น และคัดสรรร้านค้าที่สามารถสร้างประสบการณ์ใหม่ๆ เหมาะกับไลฟ์สไตล์ของครอบครัวรุ่นใหม่ใจกลางเมืองได้เป็นอย่างดี อีกทั้งยังรองรับการขยายตัวของโรงเรียน หมู่บ้าน             และที่พักอาศัยโดยรอบ โดยเฉพาะกลุ่มครอบครัวในย่านสุขุมวิทที่มีกำลังซื้อสูง และมีความถี่ในการเข้าใช้บริการอย่างต่อเนื่อง โดยตั้งเป้าให้ศูนย์การค้าเกตเวย์ เอกมัย กลายเป็น ‘Every Day Family Shopping Mall’ โดยในปี 2561  ได้เตรียมแผนการสร้างปรากฎการณ์ใหม่ พร้อมเปิดโซนและร้านค้าเพื่อรองรับกลุ่มครอบครัวที่จะเข้ามาใช้บริการ อาทิ KIDS & MOTHER ZONE เนรมิตพื้นที่ชั้น 3 ให้ครอบครัวได้ใช้เวลาร่วมกันอย่างเพลิดเพลิน กับ “Kid Space” สีสันสดใสแนวพาสเทล โดยการเลือกใช้วัสดุที่ปลอดภัยสำหรับเด็ก TOYS R US THAILAND แหล่งรวมความหลากหลายของสินค้าของเล่นแบรนด์ดังชั้นนำมากมาย ในพื้นที่ประมาณ 450 ตารางเมตรม,  TOM N TOMS COFFEE สาขา Flagship Store สาขาแรกในระดับ International ที่ศูนย์การค้าเกตเวย์ เอกมัย โดยได้รับการสนับสนุนหลักจาก           นักลงทุน ซึ่งเป็นนักแสดงแถวหน้าจากประเทศเกาหลี คือ Mr.Kim Myung Min และการประชาสัมพันธ์สาขานี้จะใช้ Mr.Kim Myung Min เป็นตัวแทนหลักด้วยเช่นกัน  สาขาใหม่นี้จะสร้างประสบการณ์ในการดื่มกาแฟไปอีกระดับ       โดดเด่นด้วยการออกแบบตกแต่งร้านที่สร้างบรรยากาศได้อย่างแตกต่าง ทันสมัย พร้อมสิ่งอำนวยความสะดวกรวมถึงเมนูกาแฟด้วยเมล็ดกาแฟที่นำเข้ามาจากทั่วโลก พร้อมเมนูอาหารที่มีความหลากหลายเพิ่มมากกว่าสาขาปกติ

เซ็นเตอร์พ้อยท์ ออฟ สยามสแควร์ สร้างรายได้ทะลุ 200 ล้านบาท พร้อมตอกย้ำความเป็น  Beauty & Fast Trend’ เปิดตัวร้านค้าใหม่ต่อเนื่อง ดูดลูกค้ารุ่นใหม่ย่านสยามสแควร์

สำหรับการดำเนินงานของศูนย์การค้าเซ็นเตอร์พ้อยท์ ออฟ สยามสแควร์นั้น นางสาวราชพฤกษ์ อุบลศรี เปิดเผยว่า การเดินหน้าพัฒนาศูนย์ฯ ภายใต้คอนเซ็ปต์ ‘Beauty & Fast Trend’ สามารถตอบสนองความต้องการของลูกค้ากลุ่มเป้าหมายได้อย่างดี นอกจากนี้ ยังมีการเปิดตัวร้านค้าใหม่มากมาย อาทิ It’s Skin แบรนด์เครื่องสำอางจากเกาหลี ที่เน้นความปลอดภัยต่อผิวหนังและเน้นการฟื้นคืนผิวสุขภาพดีตามธรรมชาติ Beautrium Beauty mega store แหล่งรวมสินค้าความงามจากแบรนด์ชั้นนำทั่วโลก Make Up Store  ร้านบิวตี้แบรนด์เครื่องสำอางชั้นนำจากประเทศสวีเดน และแบรนด์ local น้องใหม่ที่หลากหลาย ปรับโฉมใหม่บนพื้นที่กว่า 300 ตารางเมตร ถือเป็นการตอกย้ำความเป็น Beauty & Fast Trend ของศูนย์ฯ ได้อย่างชัดเจน นอกจากนี้ยังได้มีการปรับเปลี่ยนพื้นที่ของศูนย์ฯ ให้เป็น Co-on ground พื้นที่ outdoor รอบศูนย์การค้าฯ จุดนัดพบของชาวฮิปสเตอร์                 ที่รวมขนมของทานเล่น ให้ได้ช้อปกันอย่างจุใจ และ Co-Here Space พื้นที่ชั้น 4 ที่รวบรวมกิจกรรมงานโปรโมชั่น และอื่นๆ อีกหลากหลายรูปแบบ โดยกิจกรรมต่างๆ ประสบความสำเร็จ และดึงดูดคนเข้ามาใช้บริการได้เป็นจำนวนมาก

นอกจากนี้ ยังเตรียมจัดกิจกรรมส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่กับ Warm up Countdown 2018 โดยกิจกรรมดังกล่าวถือเป็นครั้งแรกกับการปิดถนนใจกลางสยามสแควร์กับการเค้าท์ดาวน์รูปแบบใหม่ ปาร์ตี้อุ่นเครื่องตลอดวันที่ 31 ธันวาคม เริ่มตั้งแต่ 18.00 น. และพบกับเป็ก ผลิตโชค, โอ๊ต ปราโมทย์ รวมทั้ง 2moons ขวัญใจวัยรุ่นและต่างชาติ พร้อมของรางวัลใหญ่ ตั๋วเครื่องบินกรุงเทพ-มัลดีฟ จากสายการบิน Bangkok Airways และ I phone รุ่นใหม่ล่าสุด และของรางวัลอื่นๆ อีกมากมาย กิจกรรม Warm up Sale แคมเปญส่งเสริมการขายพิเศษ เพื่อเป็นการขอบคุณลูกค้าที่มาช้อปปิ้งและใช้บริการกับร้านค้าต่างๆ ที่เข้าร่วมแคมเปญ และกิจกรรม Warm up Market มหกรรมรวบรวมร้านค้าที่คัดสรรเป็นพิเศษส่งท้ายปี ทั้งสินค้าแฟชั่น ของขวัญ สำหรับผู้ที่สนใจหาของขวัญให้คนพิเศษในช่วง       ปีใหม่ และบริการห่อของขวัญฟรี เพียงซื้อสินค้าร้านใดก็ได้ภายในศูนย์ฯ

“ภาพรวมตลาดในย่านสยามสแควร์ถือว่ามีการเติบโตอย่างต่อเนื่อง รวมถึงมีการแข่งขันที่มากขึ้น ศูนย์ฯ             จึงต้องคิดค้นกิจกรรมใหม่ๆ อาทิ กิจกรรม Valentine’s Day 2018 เอาใจสาวกคนโสด กับหนุ่มน่ากอดและสาวน่าเลิฟ ให้ฟินกันในสไตล์สยามสแควร์ กิจกรรม Hipster Market @ CENTERPOINT OF SIAM SQUARE หนึ่งในไฮไลท์ ที่รวบรวมสินค้าแฟชั่นสุดชิค นำเทรนด์ ใจกลางสยาม ไม่ว่าจะเป็น เสื้อผ้า เครื่องประดับ กระเป๋า รองเท้า สินค้า D I Y รวมถึงกิจกรรมมินิคอนเสิร์ต, meet & greet, workshop ตลอดทั้งปี นอกจากนี้ยังได้ดึงร้านค้าที่น่าสนใจ เพื่อตอบโจทย์กลุ่มลูกค้าอยู่เสมอ นางสาวราชพฤกษ์ อุบลศรี กล่าวสรุป

พันธุ์ทิพย์ เดินหน้าปรับโฉมสาขางามศ์วาน-บางกะปิ หลังดัน ‘พันธุ์ทิพย์ ประตูน้ำ’  ให้กลายเป็นศูนย์การค้าแห่งเทคโนโลยีไอที โดยชู อี-สปอร์ต เป็นตัวดึงกำลังซื้อ

นายวีรฤทธิ์ สมบูรณ์ทรัพย์ ผู้จัดการบริหารทรัพย์สิน แบรนด์พันธุ์ทิพย์ เปิดเผยว่า บริษัทฯ มีแผนการปรับโฉมศูนย์ฯ อย่างต่อเนื่อง เพื่อก้าวสู่ผู้นำศูนย์การค้าด้านเทคโนโลยีไอที นำร่องด้วยพันธุ์ทิพย์ ประตูน้ำ และล่าสุดกับพันธุ์ทิพย์ เชียงใหม่ ขณะนี้อยู่ระหว่างการดำเนินการปรับโฉมพันธุ์ทิพย์ งามวงศ์วาน และบางกะปิ ตลอดปีที่ผ่านมาพันธุ์ทิพย์ได้จัดกิจกรรมอย่างต่อเนื่องทุกเดือน รวมถึงการเปิดการแข่งขันกีฬา อี-สปอร์ต ซึ่งได้รับผลตอบรับที่ดีมาก รวมทั้งยังได้รับความร่วมมือจากพันธมิตร ได้มีการเปิดร้านที่เน้นการจำหน่ายสินค้าในกลุ่มเกมมิ่ง ที่ครบและมีสินค้าให้เลือกมากที่สุดในประเทศไทย อาทิ Lenovo, View Sonic, Corsair, Phanteks ตลอดจนร้าน  esports by Thermatake รวมถึงสินค้าในกลุ่มมือถือ อาทิ Oppo, Vivo, Huawei, Xiaomi  และ AIS BUDDY  และร้านค้าที่ปรับตัวเองมาทำเกมมิ่งอย่างจริงจัง เช่น ไอทีซิตี้ ที่ได้เปิดร้านเพื่อเน้นจำหน่ายสินค้าในกลุ่มเกมมิ่ง โดยจำนวนลูกค้าที่ได้เข้ามาใช้บริการที่ศูนย์การค้าพันธุ์ทิพย์ ประตูน้ำในปีนี้ มีปริมาณเพิ่มขึ้นกว่า 40% เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา และคาดว่า จะมีรายได้เติบโตประมาณ 15% จากปีที่ผ่านมา ซึ่งมีกลุ่มลูกค้าใหม่ๆ ที่ให้ความสนใจเข้าดูพื้นที่และเช่าพื้นที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ทั้ง Gaming Zone, Mobile Zone, และ Technology Lifestyle

ส่วนกลยุทธ์การพัฒนาธุรกิจนั้น นายวีรฤทธิ์ กล่าวเสริมว่า แผนในช่วงปลายปีนี้ ไปจนถึงต้นปีหน้า  ทางศูนย์การค้าพันธุ์ทิพย์ ประตูน้ำ จะมีการจัดงานแข่งขันเกมระดับภูมิภาคจากค่าย Point Bank และ True Digital Plus โดยที่การแข่งขันรอบชิงชนะเลิศจะจัดขึ้นที่ Pantip E-Sport Arena นอกจากนี้ ยังมีกิจกรรมส่งเสริมการขายให้กับร้านค้า เช่น งาน Notebook For Life  ในช่วงเดือนธันวาคม  รวมถึงกิจกรรมส่งเสริมการขายสำหรับลูกค้าชาวต่างชาติ และกิจกรรมส่งเสริมการขายจากร้านค้าต่างๆ เป็นต้น เพื่อสร้างการรับรู้ให้แก่ลูกค้าในแบบวงกว้างถึงความเชี่ยวชาญด้านเทคโนโลยีและไอทีแบบครบครันและครบวงจรที่สุดในประเทศ

ด้านมุมมองเกี่ยวกับพฤติกรรมและกำลังซื้อของผู้บริโภคนั้น นายวีรฤทธิ์ แสดงความเห็น                ในประเด็นดังกล่าวว่า “ในช่วงเทศกาลปีใหม่นี้คาดว่าจะมีกำลังซื้อเพิ่มขึ้นอย่างแน่นอน เนื่องจากพฤติกรรมของผู้บริโภคเริ่มเปลี่ยนมาซื้อของขวัญที่สามารถใช้ประโยชน์ได้และเป็นสินค้าที่อยู่ในกระแสมอบให้แก่กัน  จึงหันมาซื้อสินค้าไอที เช่น Notebook, Smartphone และอุปกรณ์ Gadget ต่างๆ และในช่วงต้นเดือนพฤศจิกายนได้มีการเปิดขาย iPhone8 และ iPhone 8 Plus นอกจากนี้ ทาง กกท.ได้รับรองให้อีสปอร์ตเป็นหนึ่งชนิดกีฬาอย่างเป็นทางการ ส่งผลให้ผู้บริโภคหันมาสนใจกีฬาประเภทนี้เพิ่มขึ้น ซึ่งคาดว่าสินค้าในกลุ่มคอมพิวเตอร์ประกอบจะได้รับความสนใจเพิ่มมากขึ้น ซึ่งเป็นสัญญาณที่ดีต่อศูนย์การค้าพันธุ์ทิพย์เป็นอย่างมาก เพราะเราเป็นศูนย์การค้าไอทีที่มีอุปกรณ์ชิ้นส่วนคอมประกอบให้เลือกมากที่สุดและครบที่สุดแห่งหนึ่งของไทย นอกจากนี้ กระแสไทยแลนด์ 4.0 จะกลายเป็นตัวขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยให้แข่งขันได้ในระดับโลก จึงมีความจำเป็นอย่างมากที่ต้องเปลี่ยนธุรกิจสู่โลกของดิจิตอลทั้งในระดับองค์กรและระดับประเทศ ซึ่งเทคโนโลยีที่สำคัญที่จะมาช่วยคือระบบคลาวด์ บิ๊กดาต้า โซเชียลเน็ตเวิร์ก อุปกรณ์พกพา รวมถึงอุปกรณ์ IoT  ซึ่งพันธุ์ทิพย์ ประตูน้ำ ได้เห็นถึงความสำคัญของการปรับตัวของเศรษฐกิจไทย    จึงเตรียมพร้อมให้บริการสินค้าและบริการเพื่อตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคที่หลากหลาย และไม่สามารถหาได้จากที่ใด อีกทั้งร้านค้าต่างๆ ยังเป็นร้านค้าจากผู้เชี่ยวชาญที่มีความรู้ และพร้อมให้ข้อมูลอย่างครบถ้วน เพื่อให้สามารถเลือกสินค้าได้ตรงกับความต้องการ ซึ่งจะเป็นปัจจัยที่สำคัญในการส่งเสริมการเติบโตในอนาคตด้วย”

ตะวันนา บางกะปิ ปรับคอนเซปต์เพิ่มความทันสมัย ดันสู่ตลาดชุมชนโมเดลใหม่เป็นรายแรกของเมืองไทย

นายศุภเดช เลิศพยับ ผู้จัดการบริหารทรัพย์สิน แบรนด์ตะวันนา เปิดเผยว่า ตลอดระยะเวลา 20 ปี ที่ผ่านมา ตลาดนัดตะวันนา ได้มีการพัฒนาปรับปรุงอย่างต่อเนื่องและได้รับกระแสตอบรับจากกลุ่มลูกค้าในฐานะ                 ตลาดนัดติดแอร์ที่ใหญ่ที่สุดในย่านบางกะปิ เป็นศูนย์รวมสินค้าแฟชั่นที่คุ้มค่าและทันสมัยอย่างครบครัน ท่ามกลางบรรยากาศที่ดึงดูดในการช้อปปิ้ง โดยในปี 2560 ยังได้มีแผนการปรับรูปแบบของตลาดนัดให้มีรูปแบบสอดคล้องกับไลฟ์สไตล์ของกลุ่มเหมายในปัจจุบันโดยปรับสู่การเป็นตลาดชุมชน ซึ่งเป็นการผสมผสานระหว่างคอมมูนิตี้มอลล์และตลาดนัด สามารถตอบโจทย์ผู้บริโภค 3 ประการ ได้แก่  ประการที่ 1 การตอบสนองความต้องการในการจับจ่ายสินค้าและบริการในชีวิตประจำวันของผู้บริโภค ประการที่ 2 รักษาความเป็นตลาดนัดยอดนิยมซึ่งลูกค้ายังสามารถมา สังสรรค์ได้ ประการที่ 3 ราคาสินค้าจะต้องเป็นราคาที่สามารถจับต้องได้และคุ้มค่า สำหรับกลุ่มเป้าหมายของลูกค้าจะอยู่ในพื้นที่  3-5 กิโลเมตร เป็นลูกค้าที่มีรายได้ตั้งแต่ C- ถึง B-

นอกจากนี้ ตลาดนัดตะวันนา ยังเป็นตลาดชุมชนที่มีแบรนด์หลักชั้นนำเช่นเดียวกับในศูนย์การค้าหรือคอมมิวนิตี้มอลล์ อาทิ ซุปเปอร์มาร์เก็ต, แฟชั่นเสื้อผ้ารายใหญ่, โรงภาพยนตร์, มีศูนย์ซ่อมขนาดใหญ่ เป็นต้น โดยบริษัทฯ จะดำเนินการพัฒนาและก่อสร้างโครงการตะวันนา พร้อมกัน 3 ทำเล ประกอบด้วย บางกะปิ  บางพลี และพระราม 2

ซึ่งในส่วนของ“ตะวันนา บางกะปิ เราได้มีการปรับปรุงภูมิทัศน์ให้สวยงามทันสมัย ทั้งบริเวณด้านหน้าโครงการ โดยการปรับปรุงเต้นท์ในรูปแบบใหม่เพื่อรองรับการเดินช้อปปิ้งในฤดูฝน การปรับภูมิทัศน์รอบโครงการเพื่อความร่มรื่นและดึงดูดสายตาของผู้สัญจรผ่านไปมา โดยอนาคตจะเพิ่มเติมร้านค้าเพื่อตอบสนองทุกไลฟ์สไตล์ของลูกค้า และสร้างสีสันให้กับการช้อปปิ้งมากขึ้น อาทิ Domino Pizza, Watsons, แว่นท๊อปเจริญ เป็นต้น เพื่อตอกย้ำยังความเป็นผู้นำด้านตลาดนัดเปิดท้ายรายแรกของเมืองไทยที่สร้างชื่อเสียงมาอย่างยาวนานและสามารถยืนหยัดอยู่ได้จนถึงปัจจุบัน

ทั้งนี้ หากให้วิเคราะห์ถึงภาพรวมการแข่งขันด้านธุรกิจรีเทลในไทย ทีซีซี แลนด์ แอสเสท เวิรด์ มีความเห็นต่อประเด็นดังกล่าวว่า “ปัจจุบันการแข่งขันในตลาดรีเทลทั้งกรุงเทพฯ และเมืองเศรษฐกิจมีอัตราที่เพิ่มขึ้นต่อเนื่องไปอีก 1-2 ปีข้างหน้า ดังนั้น ผู้ประกอบการที่จะประสบความสำเร็จได้ต้องอาศัยความต่างและศักยภาพในการตอบโจทย์ของลูกค้า แต่การลงทุนในเมืองขนาดใหญ่ในไทยยังมีความน่าสนใจและมีช่องทางในการลงทุน เนื่องจากการเติบโตของแต่ละเมือง ทั้งการขยายตัวของการท่องเที่ยวที่ยังมีอย่างต่อเนื่อง และเป็นจุดสำคัญในการดึงดูดนักลงทุน โดยบริษัทฯ จะเน้นการเพิ่มมิติใหม่ๆ ให้แก่วงการธุรกิจรีเทลในไทย ทั้งการใช้โมเดลตลาดชุมชน     ที่ผสมผสานความลงตัวระหว่างผู้เช่ารายใหญ่และรายย่อย เพื่อที่จะสามารถดึงดูดความสนใจของกลุ่มเป้าหมายได้อย่างต่อเนื่องเพื่อการเติบโตในระยะยาว รวมถึงต้องพัฒนารูปแบบศูนย์การค้าที่มีความหลากหลายมากขึ้น เพื่อเติมเต็มความต้องการของกลุ่มลูกค้าในปัจจุบันที่ต้องการแสวงหาความต่าง แปลกใหม่ ไม่จำเจ ที่สามารถตอบโจทย์ความต้องการได้โดยตรง” นายณภัทร เจริญกุล กล่าวสรุป