Sansiri เผยแผนรุกธุรกิจครั้งสำคัญปี 2561 ก้าวแกร่งสู่โรดแมพการดำเนินธุรกิจ   “Tomorrow is Unfolded  ภายใต้ 7 กุญแจสำคัญ ได้แก่ รุกกว้างตลาดต่างชาติ – ผนึกกำลังพันธมิตรชั้นนำทั้งไทยและระดับโลก – ลุยตลาดทาวน์เฮาส์ – เปิดตัว Condo รูปแบบใหม่เพื่อสร้างประสบการณ์ฉีกจากกฎเกณฑ์เดิมๆ – รุกพัฒนาDigital Transformation ในทุกด้านต่อยอดความสำเร็จ – เดินหน้าขับเคลื่อนองค์กรด้วยวิธีการทำงานแบบ Agile เพื่อการเติบโตแบบก้าวกระโดด และมุ่งผลักดันวิสัยทัศน์ด้านความยั่งยืนให้เกิดขึ้นจริงในทุกมิติ พร้อมแผนเปิดโครงการใหม่รวม 31 โครงการ มูลค่ารวม 63,200 ล้านบาท รุกตั้งเป้าพรีเซลล์ 45,000 ล้านบาททุบทุกสถิติ New High นอกจากนี้ยังเผยผลประกอบการปี 2560 ที่แข็งแกร่งน่าพอใจ จากยอดพรีเซลล์ 38,600 ล้านบาท เติบโต 24% จากปี 2559

 

นายอุทัย อุทัยแสงสุข ประธานผู้บริหารสายงานปฏิบัติการ บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า “จากการดำเนินงานตามแนวคิด Journey for Tomorrow ที่มุ่งเน้นการปฏิวัติองค์กรอย่างรอบด้านในปีที่ผ่านมา ทำให้ก้าวแรกของ Journey ของเราประสบความสำเร็จทั้งในด้านยอดขายและรายได้เป็นอย่างมาก โดยเฉพาะการรุกตลาดต่างประเทศอย่างจริงจัง และมีความพร้อมความแข็งแกร่งที่จะเติบโตต่อเนื่องในปี 2561

ความสำเร็จที่สำคัญในปีที่ผ่านมา ได้แก่ การเปิดตัวโครงการทั้งสิ้น 14 โครงการรวมมูลค่า 37,200 ล้านบาท และทำยอดพรีเซลล์สูงถึง 38,600 ล้านบาทเพิ่มขึ้น 24% จากปีที่ผ่านมา สะท้อนให้เห็นถึงการตอบรับที่ดีเยี่ยมจากการทำการตลาดครอบคลุมทุกเซ็กเม้นต์ รวมทั้งยังประสบความสำเร็จจากการขยายฐานลูกค้าได้อย่างครอบคลุมทั้งกรุงเทพฯ และต่างจังหวัดรวมทั้งในกลุ่มลูกค้าไทยและกลุ่มลูกค้าต่างชาติ นอกจากนี้ การทยอยเปิดโครงการใหม่ตลอดทั้งปียังทำให้ แสนสิริมีรายได้กระจายต่อเนื่องตลอดทั้งปี สร้างความแข็งแกร่งทางด้านการเงินเป็นอย่างมากอีกด้วย

ปัจจัยสำคัญที่ผลักดันให้แสนสิริมีผลประกอบการที่แข็งแกร่งประกอบด้วย 6 ประการ คือ

  1. ตอกย้ำความสำเร็จจากตลาดต่างชาติและครองความเป็นผู้นำอันดับ ของอสังหาฯ ไทย ในกลุ่มลูกค้าต่างชาติมาอย่างต่อเนื่อง จากการรุกการทำการตลาดอย่างจริงจัง โดยแสนสิริสามารถทำยอดขายตลาดต่างชาติในปี 2560 ได้ถึง 9,300 ล้านบาท เกินจากเป้ายอดขายที่วางไว้ 7,500 ล้านบาท และเติบโตขึ้นถึง 72% เมื่อเทียบจากปี 2559
  2. การสานต่อการร่วมทุนกับพันธมิตร ทั้งกลุ่มบีทีเอส และโตคิวกรุ๊ป โดยในปี 2560 มีโครงการที่เปิดใหม่ทั้งหมด 4 โครงการรวมมูลค่า 14,100 ล้านบาท ได้รับผลตอบรับที่ดีจากลูกค้าทั้งไทยและต่างชาติ โดยเฉพาะโครงการ เดอะ ไลน์ สาทร ที่สามารถปิดการขายได้ทันที หลังเปิดขาย online booking  ในวันแรก
  3. ความสำเร็จจากการขยายฐานลูกค้าโดยเฉพาะกลุ่มลูกค้าต่างจังหวัด ซึ่งสามารถปิดการขายได้ 100% ในทั้ง 13 โครงการที่เปิดตัว รวมมูลค่าโครงการ 18,330 ล้านบาท เติบโตขึ้น 8,000 ล้านบาท หรือคิดเป็น 36% จากปี 2559
  4. ประสบความสำเร็จในการขายโครงการที่อยู่อาศัยทุกแบรนด์ ตั้งแต่โครงการบ้านเดี่ยวแบรนด์  เศรษฐสิริ  บุราสิริ และ คณาสิริ  โครงการคอนโดมิเนียมทุกโครงการ ได้แก่ แฟลกชิพคอนโดมิเนียม 98 Wireless, เดอะไลน์,   เดอะ เบส  คอนโดมิเนียมแบรนด์ เฮ้าส์  และดี คอนโด
  5. การเปิดประตูสู่การลงทุนในต่างประเทศรวมมูลค่า 80 ล้านดอลล่าร์ หรือประมาณ 2,650 ล้านบาท ใน บริษัทชั้นนำระดับโลกด้านเทคโนโลยีและไลฟ์สไตล์ ได้แก่ The Standard, One Night, JustCo, Hostmaker, Monocle และ Farmshelf
  6. การพัฒนาด้าน Digital Transformation ใน 2 ด้าน คือ

  •  การเปิดตัว สิริ เวนเจอร์ส” (SIRI VENTURES) บริษัทร่วมทุนกับธนาคารไทยพาณิชย์ เพื่อผลักดัน Property Technology อย่างเต็มรูปแบบ
  • Siri LifeTech ที่มอบประสบการณ์การอยู่อาศัยที่ครบครันและสะดวกสบายใน ทุกมิติ ได้แก่ Sansiri Home Service Application, AI Box, SAN:DEE Delivery Robot, Sansiri AI Box, Smart Move, Farmshelf และ Samitivej@Home

“ในปี 2561 เราเห็นเทรนด์สำคัญ 3 ด้าน ได้แก่ การฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลกและเศรษฐกิจไทยจะส่งสัญญาณที่ดีให้กับตลาดอสังหาฯ  ผู้บริโภคมีไลฟ์สไตล์เปลี่ยนไปให้ความสำคัญกับประสบการณ์แปลกใหม่ sharing economy trend มีผลต่อการใช้ชีวิตต่างจากรูปแบบเดิมๆ และการเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยีจะก่อให้เกิดทั้งโอกาสใหม่ๆและการ disruptionต่อหลายธุรกิจ ใครที่สามารถปรับตัว นำเสนอสิ่งที่โดนใจลูกค้าได้ก่อน และเป็นผู้กำหนด trend จะเป็นผู้ชนะในการทำธุรกิจ เราเชื่อว่าปัจจัยเหล่านี้จะกระตุ้นการขยายตัวของตลาดและเพิ่มกำลังซื้อของผู้บริโภค ดังนั้นในปีนี้เราจึงมุ่งนำเสนอโครงการรวมถึงการบริการที่หลากหลาย สร้างประสบการณ์แปลกใหม่ ให้สอดรับกับความต้องการของลูกค้าทุกกลุ่ม พร้อมเดินหน้าขยายฐานลูกค้าใหม่อย่างต่อเนื่อง ทั้งในกรุงเทพฯ ต่างจังหวัด และต่างประเทศ ที่สำคัญคือการสานต่อการเป็นพันธมิตรกับบริษัทชั้นนำทั้งไทยและต่างประเทศทั้งรายใหม่และเก่า นายอุทัย กล่าว

สำหรับแนวทางสำคัญในการดำเนินธุรกิจของแสนสิริในปี 2561 แสนสิริจะก้าวแกร่งครั้งใหญ่สู่ “Tomorrow is Unfolded” ประกอบด้วย

1)      รุกเพิ่มตลาดต่างชาติเพื่อเพิ่มส่วนแบ่งการตลาดและรักษาความเป็นที่หนึ่งในตลาดต่างประเทศ โดยมีการตั้งเป้ายอดขายเพิ่มขึ้นถึง 40% จากปี 2560 เป็น 13,000 ล้านบาท เพื่อรองรับแนวโน้มการขยายตัวของเศรษฐกิจโลกและเอเชีย โดยล่าสุดในช่วงต้นปีที่ผ่านมาบริษัทได้เปิดออฟฟิศในต่างประเทศเพิ่มขึ้นแห่งที่ ที่ฮ่องกง รวมทั้งกำลังมองความเป็นไปได้ที่จะขยายสู่ตลาดอื่นๆ เช่น เกาหลี ไต้หวัน และสร้างฐานที่แข็งแกร่งมากขึ้นในญี่ปุ่น

2)   สานต่อกลยุทธ์การเติบโตอย่างก้าวกระโดดด้วยการเป็นพันธมิตรกับบริษัทชั้นนำทั้งไทยและต่างประเทศ สำหรับกลุ่มโครงการที่อยู่อาศัย จะมีโครงการใหม่จากการลงทุนร่วมกับบีทีเอสและโตคิว กรุ๊ป อีกประมาณ 46 โครงการ มีมูลค่ารวมประมาณ 12,00019,000 ล้านบาท   รวมทั้งยังมีแผนเปิดโครงการที่พักอาศัย The Standard Residence และ Monocle Residenceเป็นครั้งแรกของโลก ส่วนในกลุ่มธุรกิจใหม่ๆ JustCo บริษัทได้เตรียมเปิด 4 สาขา โดยจะเปิด 2 สาขาแรกที่อาคาร AIA Sathorn ในเดือนพฤษภาคม และอาคาร All Seasons Place ในเดือนสิงหาคม โดยเล็งมอบสิทธิพิเศษให้ลูกบ้านแสนสิริเข้าใช้บริการ  ส่วน Hostmaker จะเข้ามาช่วยบริหารจัดการอสังหาริมทรัพย์ให้แก่ลูกบ้านและสร้างเพิ่มความสามารถในการแข่งขันในตลาดต่างประเทศ

3)      เดินหน้าลุยตลาดทาวน์เฮ้าส์ สอดรับกับเทรนด์คนรุ่นใหม่ที่มีแนวโน้มซื้อโครงการทาวน์เฮ้าส์มากขึ้นประกอบกับความต้องการของทาวน์เฮ้าส์ในตลาดนั้นสูงขึ้นอย่างเห็นได้ชัด โดยในปีนี้แสนสิริจะเปิดตัวโครงการทาวน์เฮ้าส์ใหม่ทั้งหมด 11 โครงการ รวมมูลค่า 9,600 ล้านบาท

4)      สร้างความแตกต่างด้วยดีไซน์ที่รังสรรค์เพื่อเติมเต็มประสบการณ์การใช้ชีวิตรอบด้าน ด้วยการเปิดตัวโครงการคอนโดมิเนียมเซ็กเม้นต์ใหม่จำนวน โครงการ ที่มีดีไซน์เฉพาะตัวออกแบบมาเพื่อรองรับความต้องการและไลฟ์สไตล์ของคนรุ่นใหม่โดยเฉพาะ นอกจากนี้ยังมีการสร้าง Lab Room และ Lab House ที่เราเรียกเป็นการภายในว่า Haus 2025 สำหรับการทดสอบห้องและบ้านเพื่ออนาคต โดยรวมถึงการทดสอบนวัตกรรมและเทคโนโลยี

5)      ก้าวสำคัญในการสานต่อ Digital Transformation Chapter 2 โดยมุ่งเน้น ด้านได้แก่

  • มุ่งพัฒนาเทคโนโลยีและมองหานวัตกรรมที่นำมาต่อยอดได้สำหรับลูกค้าทุกกลุ่ม
  • มุ่งลงทุนต่อยอดโดยมีสิริ เวนเจอร์สเป็นหน่วยงานหลัก ด้วยแผนลงทุนระยะยาว ปี งบประมาณทั้งสิ้น 1,500 ล้านบาท โดยจะเน้นงาน 3 ด้าน คือ การลงทุนในสตาร์ทอัพ ความร่วมมือในการผลักดันการสร้างระบบนิเวศสำหรับสตาร์ทอัพ ร่วมกับเครือข่ายนวัตกรรมระดับโลก อาทิ SOSA และ Plug and Play  รวมไปถึงการพัฒนาต่อยอดนวัตกรรมเพื่อพัฒนา Home Service Application ช่วยยกระดับความสะดวกสบายและการใช้ชีวิตของลูกค้า 
  • ปรับเปลี่ยนโครงสร้างภายในองค์กร เพื่อให้การทำงานนั้นมีความคล่องตัวและก้าวเท่าทันยุคดิจิทัล

โดยการมุ่งเน้นทั้ง ด้านนี้ จะทำให้เกิดผลงานเป็นรูปธรรมได้แก่

  • Product – นำเทคโนโลยีสุดล้ำอย่าง AI, IoT, Wearable และ Robot มาใช้สร้างนวัตกรรมเพื่อการใช้ชีวิตที่สะดวกขึ้นสำหรับลูกบ้านแสนสิริ
  • บริการ – ยกระดับการบริการลูกค้าเพื่อให้สะดวกสบาย รวดเร็วมากขึ้น ผ่าน Home Service Application 2.พร้อมฟังก์ชัน Thai Voice Command ที่พร้อมเปิดตัวให้ลูกบ้านทุกคนใช้ในไตรมาส ปีนี้
  • เพิ่มประสิทธิภาพการทำงานภายในองค์กร – โดยการนำระบบ Salesforce เข้ามาใช้ เพื่อพัฒนาระบบการทำการตลาด รวมถึงระบบการบริการลูกค้าให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น นอกจากนี้ยังมีการนำระบบ Primavera ที่ช่วยควบคุมขั้นตอนการก่อสร้าง มาใช้ในองค์กรเป็นครั้งแรก

6)      การเดินหน้าขับเคลื่อนองค์กรสู่อนาคต ผ่าน 3 แนวคิด ได้แก่ 1) การวิเคราะห์ข้อมูล (Data Analytics) เพื่อต่อยอดการพัฒนาโครงการและบริการในอนาคต 2) การปรับเปลี่ยนวิธีการทำงานแบบใหม่ที่สร้างแรงจูงใจให้บุคลากรพร้อมดึงดูดกลุ่มคนรุ่นใหม่ให้มาร่วมงานกับแสนสิริ หนึ่งในแนวคิดที่แสนสิริใช้ตอนนี้คือ Every Day is Friday ทำให้บุคลากรมีความสุขและมีความกระตือรือร้นในการทำงานในทุกๆ วัน นอกจากนี้ยังมีการนำวิธีการทำงานแบบ Agile way of working มาใช้ โดยเป็นรูปแบบการทำงานที่ตอบโจทย์คนรุ่นใหม่ ลดขั้นตอนการทำงานที่ยุ่งยาก มีอิสระทุกการทำงาน และเปิดรับทุกความคิดสร้างสรรค์โดยเอาความต้องการลูกค้าเป็นหัวใจสำคัญ  และ 3) การสร้างความมั่นคงในการทำงาน (Lifelong Employability) มุ่งสร้างเสริมพัฒนาบุคลากรของแสนสิริให้มีคุณค่า มีความสามารถเติบโตไปสู่ความสำเร็จพร้อมกับองค์กรอีกด้วย นอกจากนี้แสนสิริมีแผนเปิดตัวโครงการ “New Generation of Young Designer” เพื่อเปิดรับเด็กรุ่นใหม่ที่พกพาไอเดียที่น่าสนใจมาผนวกกับความรู้ความเชี่ยวชาญด้านการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ของแสนสิริ เพื่อพัฒนาโครงการและบริการที่ตรงใจคนรุ่นใหม่ได้ดียิ่งขึ้น

7)      เดินหน้าวิสัยทัศน์ขับเคลื่อนองค์กรสู่ความยั่งยืน (Sustainability) แสนสิริมุ่งสร้างความยั่งยืนภายในองค์กรผ่าน แกนหลัก ได้แก่

  • Environment – อาทิ ลดการใช้กระดาษ (Paperless) ลดคาร์บอน ฟุตพริ้นท์ (Carbon Footprint) ผ่านการลดขั้นตอนการทำงานที่ไม่จำเป็น เป็นต้น
  • Social – ที่ผ่านมาแสนสิริได้ร่วมกับยูนิเซฟเพื่อพัฒนาสิทธิเด็กในประเทศไทยมานานกว่า 7 ปีแล้ว และยังจัดกิจกรรมสำหรับเสริมสร้างความเป็นอยู่ที่ดีของเด็กในไซต์งานก่อสร้าง นอกจากนี้ยังเน้นการออกแบบโครงการต่างๆ ให้ทุกคนสามารถใช้งานได้เท่าเทียมกัน หรือที่เรียกว่า Universal Design
  • Good Governance  ยึดหลักธรรมาภิบาลในการดำเนินงานอย่างโปร่งใส ถูกต้อง

นับว่าปี 2561 นี้ เป็นอีกหนึ่งปีที่ท้าทายสำหรับแสนสิริ ด้วยทิศทางการรุกตลาดเต็มสปีดด้วยเป้าพรีเซลล์ 45,000 ล้านบาท นับเป็นเป้าหมายที่สูงที่สุดจากทุกปี รวมถึงแผนเปิดตัวโครงการใหม่ถึง 31 โครงการ รวมมูลค่า 63,200 ล้านบาท ซึ่งนับเป็นมูลค่าโครงการที่สูงที่สุด แบ่งเป็นโครงการคอนโดมิเนียม 12 โครงการรวมมูลค่า 33,500 ล้านบาทคิดเป็นสัดส่วน 53%  บ้านเดี่ยว 8 โครงการมูลค่ารวม 20,100 ล้านบาทคิดเป็น 32% และทาวน์เฮ้าส์รวม 11 โครงการรวมมูลค่า 9,600 ล้านบาทคิดเป็น 15%  ซึ่งจากเทรนด์การฟื้นตัวของเศรษฐกิจ ปัจจัยเกื้อหนุนในทางบวก รวมทั้งทิศทางที่เป็นรูปธรรมในการดำเนินธุรกิจสำหรับปี 2561 เรามั่นใจว่าจะสามารถบรรลุเป้าหมายพรีเซลที่ตั้งไว้อย่างแน่นอน นอกจากนี้แสนสิริยังพร้อมเดินหน้าสร้างปรากฎการณ์ใหม่ๆ ให้แก่วงการอสังหาริมทรัพย์ไทย ผ่านโครงการแนวใหม่ หรือ นวัตกรรมเพื่อการอยู่อาศัยที่ไม่เคยมีมาก่อน รวมถึงการสร้างชื่อให้แบรนด์แสนสิริกลายเป็นผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ที่น่าจับตามองในตลาดต่างประเทศอีกด้วย” นายอุทัยกล่าวปิดท้าย