JLL เปิดเผยว่า ในปี 2560 ที่ผ่านมา กรุงเทพฯ มีการลงทุนซื้อขายอสังหาริมทรัพย์มูลค่าสูงเกิดขึ้นหลายรายการ ซึ่งในจำนวนนี้ มี 3 รายการที่จัดอยู่ในกลุ่มการซื้อขายที่มีมูลค่าสูงสุด และมีเจแอลแอลได้ทำหน้าที่เป็นตัวแทนขาย คิดเป็นมูลค่ารวม 7.9 พันล้านบาท ส่วนในปีนี้ เจแอลแอลเชื่อว่า จะมีการลงทุนซื้อขายอสังหาริมทรัพย์รายการใหญ่ๆ เกิดขึ้นอีก เนื่องจากราคาอสังหาริมทรัพย์ที่ปรับตัวสูงขึ้นมากและโอกาสการทำกำไร จะยังคงจูงใจมีการนำอสังหาริมทรัพย์ชั้นดีออกมาเสนอขายอีก
นางสุพินท์ มีชูชีพ กรรมการผู้จัดการ บริษัทที่ปรึกษาและบริการด้านอสังหาริมทรัพย์ เจแอลแอล กล่าวว่า “รายการลงทุนอสังหาริมทรัพย์มูลค่าสูงในกรุงเทพฯ ที่เจแอลแอลเป็นตัวแทนในปี 2560 ที่ผ่านมา ล้วนเป็นการเสนอขายกรรมสิทธิ์ขาด แตกต่างจากปี 2559 ที่เป็นดีลการให้เช่าระยะยาว”
ในปี 2559 เจแอลแอลได้รับมอบหมายให้เป็นตัวแทนปล่อยเช่าที่ดินใจกลางศูนย์กลางธุรกิจสองรายการ ได้แก่ ที่ดินขนาด 6 ไร่บนถนนสีลม อายุสัญญา 50 ปี โดยมีบริษัท นายณ์ เอสเตท จำกัด ร่วมกับบริษัท ไมเนอร์ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (มหาชน) เป็นผู้ชนะการยื่นเสนอค่าเช่า โดยทั้งสองบริษัทได้ร่วมลงทุนเพื่อพัฒนาโครงการอาคารสำนักงานเกรดเอบนที่ดินแปลงดังกล่าว ส่วนที่ดินอีกแปลงตั้งอยู่บนถนนเพลินจิต ขนาดราว 6 ไร่เช่นกัน อายุสัญญาเช่า 30 ปี โดยบริษัท ไรมอน แลนด์ จำกัด (มหาชน) เป็นผู้ชนะการยื่นเสนอค่าเช่า ทั้งนี้ การให้เช่าที่ดินทั้งสองรายการ มีมูลค่าสัญญาเช่ารวมกันทั้งสิ้นกว่า 1.5 หมื่นล้านบาท”
สำหรับปี 2560 ที่ผ่านมา เจแอลแอลได้รับหน้าที่เป็นตัวแทนในการเสนอขายกรรมสิทธิ์ขาดสำหรับอสังหาริมทรัพย์ซึ่งจัดอยู่ในกลุ่มที่มีมูลค่าสูงสุดแห่งปีในกรุงเทพฯ รวม 3 รายการ ได้แก่
- ที่ดินขนาด 7 ไร่ 382 ตารางวา บนถนนสาทร ซึ่งเดิมเป็นที่ตั้งของสถานเอกอัครราชทูตออสเตรเลีย ชนะการเสนอราคาโดยบริษัท ศุภาลัย จำกัด (มหาชน)
- โรงแรมพรีเมียร์ อินน์ ขนาด 224 ห้อง บนถนนสุขุมวิท ขายให้กับกลุ่มโฮเทล เอทตี้วัน ซึ่งหลังเปลี่ยนมือได้เปลี่ยนชื่อเป็นทราเวลลอดจ์ สุขุมวิท 11
- โครงการโรงแรมที่มีการก่อสร้างค้างไว้บนถนนสุขุมวิท ขายให้กับกลุ่มโรงแรมคาร์ลตันจากสิงคโปร์
ในบรรดาอสังหาริมทรัพย์ 3 รายการดังกล่าว ที่ดินอดีตที่ตั้งของสถานเอกอัครราชทูตออสเตรเลียบนถนนสาทร นับเป็นการขายรายการใหญ่สุดที่เจแอลแอลเป็นตัวแทนขายในปีที่ผ่านมา และยังเป็นรายการขายอสังหาริมทรัพย์ที่มีมูลค่าสูงสุดในเขตศูนย์กลางธุรกิจของกรุงเทพฯ ในปีที่ผ่านมาด้วยเช่นกัน
นางสุพินท์กล่าวว่า “ผู้ขายมีแรงจูงใจที่ต่างกันไป ตัวอย่างเช่น ที่ดินสถานเอกอัครราชทูตออสเตรเลียถูกเสนอขายหลังจากสถานเอกอัครราชทูตย้ายไปยังสถานที่ทำการใหม่ใกล้สวนลุมพินี ส่วนโรงแรมพรีเมียร์อินน์บนถนนสุขุมวิท เจ้าของเดิมคือบริษัทวิทเบรดที่อังกฤษ ซึ่งตัดสินใจขายโรงแรมพรีเมียร์อินน์ในประเทศไทยทั้งที่กรุงเทพฯ และพัทยา ตามแผนธุรกิจใหม่ของบริษัทที่ต้องการถอนการลงทุนออกจากเอเชีย เพื่อหันไปเน้นเฉพาะตลาดยุโรปและตะวันออกกลาง คล้ายกับกรณีที่บริษัท พริ้นซิเพิล แคปิตอล จำกัด (มหาชน) ที่ตัดสินใจขายโครงการโรงแรมที่สร้างยังไม่เสร็จบนถนนสุขุมวิทที่เคยซื้อไว้เมื่อสี่ปีก่อนหน้า หลังบริษัทเปลี่ยนแผนธุรกิจ”
เจแอลแอลคาดว่า ในปี 2561 นี้ จะยังคงมีการลงทุนซื้อขายอสังหาริมทรัพย์มูลค่าสูงในกรุงเทพฯ เกิดขึ้นให้เห็นอีก เนื่องจากยังมีอสังหาริมทรัพย์ชั้นดีเสนอขายอยู่ในขณะนี้ โดยในช่วงเริ่มต้นของปี เจแอลแอลได้เป็นตัวแทนปิดการขายที่ดินในย่านศูนย์กลางธุรกิจของกรุงเทพฯ ไปแล้วสองแปลง รวมมูลค่ากว่า 3.6 พันล้านบาท โดยแต่ละแปลงมีขนาดประมาณ 2 ไร่ อย่างไรก็ดี บริษัทไม่สามารถเปิดเผยรายละเอียดเพิ่มเติมได้ เนื่องจากต้องปฏิบัติตามสัญญาการรักษาข้อมูลการซื้อขายที่ตกลงไว้กับผู้ขายและผู้ซื้อ แต่เชื่อว่า ผู้ซื้อแต่ละรายจะมีการประกาศแผนการพัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์บนที่ดินดังกล่าวต่อสาธารณะในเร็วๆ นี้
“เป็นที่น่าสังเกตว่า แม้จะมีการคาดหมายว่า ความกังวลเกี่ยวกับพรบ.ภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างฉบับใหม่ที่รัฐบาลมีแผนประกาศใช้ จะกระตุ้นให้เจ้าของอสังหาริมทรัพย์นำอสังหาริมทรัพย์ออกมาเสนอขายมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นที่ดินเปล่าหรือที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้าง โดยเฉพาะอสังหาริมทรัพย์ที่มีมูลค่าสูงและไม่มีการใช้ประโยชน์ หรือใช้ประโยชน์ไม่เต็มศักยภาพ แต่จากการซื้อขายที่เกิดขึ้นจริงเมื่อเร็วๆ นี้ และที่กำลังอยู่ในระหว่างการดำเนินการในขณะนี้ สะท้อนให้เห็นว่า เหตุผลหลักที่กระตุ้นให้เกิดการขาย คือ โอกาสการขายในราคาสูง รวมถึงการทำกำไร” นางสุพินท์กล่าว
นางสุพินท์กล่าวต่อไปอีกว่า “ขณะนี้ ยังมีการเจรจาซื้อขายอีกสองสามรายการสำหรับแปลงที่ดินขนาดพอเหมาะสำหรับการพัฒนาโครงการในทำเลชั้นดี และโรงแรมที่มีคุณภาพ ซึ่งเจ้าของสนใจขายโดยมีแรงจูงใจจากการได้รับข้อเสนอราคาที่ดีจากผู้สนใจซื้อ ”
“เชื่อว่า พรบ.ภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างฉบับใหม่ จะเริ่มมีผลต่อการตัดสินใจขายมากขึ้น เมื่อมีความชัดเจนมากขึ้นเกี่ยวกับรายละเอียดและกำหนดเวลาที่จะประกาศใช้ แต่อาจไม่มีผลทำให้ผู้ซื้อสามารถกดราคาซื้อได้ โดยเฉพาะสำหรับอสังหาริมทรัพย์ชั้นดีที่เป็นที่ต้องการของตลาด เพราะทันทีที่มีการนำอสังหาริมทรัพย์เหล่านี้ออกมาเสนอขาย จะมีบริษัทพัฒนาอสังหาริมทรัพย์และนักลงทุนเข้าร่วมแย่งชิงอย่างแน่นอน” นางสุพินท์กล่าว