Altitude Development ตอกย้ำกลยุทธ์ Turnkey Asset Management สู้ศึกอสังหาฯ เปิดรับพันธมิตรธุรกิจดันบริษัทเติบโตต่อเนื่อง ปี 63 ลุยตลาดแนวราบ เจาะกลุ่มผู้ซื้อที่อยู่อาศัยเพื่ออยู่จริง (Real Demand) มองตลาดเป็นโอกาสของผู้ซื้อ เตรียมแจกประกันภัยโควิด-19 สำหรับผู้เข้าชมโครงการ ตั้งเป้าเปิดโครงการใหม่ 2 โครงการ รวมมูลค่า 1,855 ล้านบาท ยอดขาย 2,000 ล้านบาท
นายชยพล หรรรุ่งโรจน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท อัลติจูด ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด ผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ภายใต้แบรนด์ ‘ALTITUDE’ เปิดเผยว่า ภาคธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ในปีนี้แม้จะได้รับผลกระทบจากภาวะเศรษฐกิจโดยรวมที่ชะลอตัว และจากการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ที่กระทบกับทั้งประเทศไทยและทั่วโลก บริษัทฯ ได้ตระหนักและคำนึงถึงสถานการณ์ที่เกิดขึ้น โดยมีการปรับตัวในการดำเนินธุรกิจมาตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา ส่งผลให้ อัลติจูด ประสบความสำเร็จด้วยดีจากการวางตำแหน่งในฐานะผู้เชี่ยวชาญที่มีประสบการณ์รอบด้านในธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ ดังนั้นในปี 2563 จึงยังเน้นย้ำกลยุทธ์การเติบโตด้วยธุรกิจร่วมทุนและรับจัดการและพัฒนาสินทรัพย์ (Turnkey Asset Development) เป็นการขับเคลื่อนธุรกิจด้วยโครงการร่วมทุนและร่วมค้า เพื่อเป็นการแก้เกมเศรษฐกิจช่วงขาลง
โดยร่วมมือกับผู้มีที่ดินเปล่า หรืออาคาร ที่ปัจจุบันไม่ก่อเกิดรายได้ หรือทำรายได้น้อยไม่คุ้มกับมูลค่าปัจจุบัน และยังไม่ต้องการลงทุนเพิ่ม หรือสร้างภาระหนี้ผูกพันใดๆ หรือรวมไปถึงผู้ที่มีเงินทุนสะสมจากการดำเนินธุรกิจ และมองหาโอกาสทางธุรกิจอื่นที่ให้ผลตอบแทนได้ไม่น้อยกว่าธุรกิจปัจจุบัน เพื่อขยายฐานธุรกิจ หรือบริหารทุนสะสมที่มีอยู่จำนวนมาก ในการร่วมพัฒนาโครงการ โดยบริษัทฯ ได้ใช้โมเดลนี้มาตั้งแต่ปลายปี 2561 ปัจจุบันบริษัทฯ มีโครงการที่ร่วมลงทุนแล้ว 3 โครงการ มูลค่าโครงการรวม 4,600 ล้านบาท และกิจการร่วมค้า 2 โครงการ มูลค่ารวม 800 ล้านบาท กับกลุ่มครีท กรุ๊ป (Creed Group) จากญี่ปุ่น, บริษัทในเครือบิวตี้ เจมส์ (Beauty Gem) และทีคิวเอ็ม(TQM) และบริษัทในเครือออโรร่า เป็นต้น
ส่วนธุรกิจรับบริหารจัดการพัฒนาโครงการปีนี้ บริษัทฯ ได้เริ่มเจรจาหาคู่ค้าที่ต้องการจะให้บริษัทเป็นผู้พัฒนาโครงการแบบครบวงจร ในโครงการของคู่ค้า ทั้งในรูปแบบมิกซ์ยูสที่ต่อยอดโครงการพักอาศัยติดโครงการเชิงพาณิชย์ในรูปแบบต่างๆ หรือนายหน้าที่มีกลุ่มลูกค้าต่างชาติพร้อมซื้อ หรือต้องการว่าจ้างให้ บริษัทฯ พัฒนาโครงการให้ ซึ่งโมเดลบริหารจัดการพัฒนาโครงการของบริษัทฯ มีที่ดินแล้วเสร็จ 2 โครงการ และอยู่ระหว่างดำเนินการ 1 โครงการ
ด้านทิศทางการพัฒนาโครงการใหม่ปีนี้ มุ่งพัฒนาสินค้าแนวราบเพื่อรองรับความต้องการของกลุ่ม ผู้อยู่อาศัยจริง (Real Demand) โดยจะเปิดตัวทาวน์โฮม ระดับราคา 2.59-3.99 ล้านบาท ภายใต้แบรนด์ลูกของ อัลติจูด ในย่านบางนา ซึ่งเป็นเซกเมนต์ใหม่ หลังประสบความสำเร็จอย่างดียิ่งจากการขายคอนโดระดับราคา 2.5-4.5 ล้านบาท กับโครงการยูนิคอร์น ภายใต้คอนเซปต์ ‘Personalized Development’ นอกจากนั้น ยังมีบ้านเดี่ยวระดับลักซ์ชัวรี่ ย่านอุดมสุข โดยมีแผนเปิดตัวโครงการใหม่ไตรมาส 3-4 รวมมูลค่า 1,855 ล้านบาท ส่งผลให้อัลติจูด มีสินค้าครอบคลุมตลาดในทุกเซกเมนต์ โดยได้ปัจจัยหนุนจากสถานะการเงินของบริษัทจะมียอดรับรู้รายได้จากเงินโอนโครงการที่ก่อสร้างแล้วเสร็จพร้อมโอนในปีนี้กว่า 1,000 ล้านบาท
สำหรับเป้าหมายยอดขายปี 2563 ตั้งเป้ายอดขายไว้ที่ 2,000 ล้านบาท ใกล้เคียงกับปีที่ผ่านมา นับเป็นการเติบโตแบบก้าวกระโดดจากปี 2561 ซึ่งเป็นผลมาจากการดำเนินตามกลยุทธ์ธุรกิจและกลยุทธ์การตลาดที่บริษัทฯ วางไว้ได้อย่างถูกต้อง และจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 บริษัทฯ ได้ตระหนักและให้ความสำคัญด้านความปลอดภัยกับผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องทุกภาคส่วน จึงได้ซื้อประกันภัยโควิด-19 มอบให้กับพนักงาน และผู้เข้าเยี่ยมชมโครงการของอัลติจูด ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป โดยผู้ต้องการเข้าชมโครงการต้องลงทะเบียนผ่านเว็บไซต์ของบริษัท www.altiude.co.th
“ปีนี้ถือเป็นโอกาสของลูกค้าที่มีความต้องการแท้จริงในการซื้อที่อยู่อาศัย ด้วยอัตราดอกเบี้ยที่ลดต่ำลง บวกกับทางบริษัทฯ ได้จัดโปรโมชั่นต่างๆ ผ่านช่องทางการตลาดออนไลน์ที่ออกมากระตุ้นอย่างต่อเนื่อง ทำให้ลูกค้าที่ได้ซื้อสินค้าที่คุ้มค่ายิ่งกว่า แม้จะมีความไม่แน่นอนจากภาวะเศรษฐกิจ แต่ผู้บริโภคส่วนหนึ่งที่เป็นพนักงานประจำที่มีเงินเดือนมั่นคงยังไม่ได้รับผลกระทบมาก และกลุ่มคนที่ประสบความสำเร็จจากการประกอบธุรกิจยุคใหม่ กลุ่มครอบครัว High-Network ครอบครัวกงสีที่มีสินทรัพย์สะสม ที่มีความต้องการ ซื้อจริง เช่น จำเป็นต้องซื้อที่อยู่ที่ใกล้สถาบันการศึกษาของบุตรหลาน ใกล้ที่ทำงาน การขยายครอบครัว และผู้ซื้อบ้านหลังแรก ทำให้ยอดขายในปี 2562 ประมาณ 2,100 ล้านบาท และใน 2 เดือนแรกของปีนี้ 200 ล้านบาท ได้มาจากลูกค้ากลุ่มนี้มากกว่า 85% จากยอดขายทั้งหมด” นายชยพลกล่าว
นายขวัญชัย ยิ่งเจริญถาวรชัย กรรมการผู้จัดการ บริษัท อัลติจูด ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด กล่าวว่า กลยุทธ์ธุรกิจร่วมทุนและรับจัดการและพัฒนาสินทรัพย์ทุกรูปแบบที่สร้างความสำเร็จให้บริษัท มีองค์ประกอบของความสำเร็จอยู่ 3 ด้าน อันได้แก่ 1) ที่ดิน 2) เงินทุน และ 3) ทีมงาน ซึ่งต้องยอมรับว่าประสบการณ์ทำงานของบริษัทฯ ที่ผ่านมา บริษัทฯ มีโอกาสในการทำธุรกิจ ทั้งแบบพันธมิตรร่วมทุน ร่วมค้า ความเชี่ยวชาญของทีมงานตอบโจทย์พันธมิตรธุรกิจได้ทั้ง 3 กลุ่มเป้าหมาย อันได้แก่ 1) เจ้าของที่ดิน (Landlord) 2) กลุ่มทุน (Hi-Network) กลุ่มผู้มีกระแสเงินสดเหลือที่ต้องการบริหารพอร์ตลงทุน หรือกลุ่มทุนที่คาดหวังผลตอบแทนส่วนทุนมากกว่า 15% ต่อปี ซึ่งมีน้อยธุรกิจที่สามารถทำได้ 3) ตัวแทนนายหน้า (Connector) ที่สามารถรวมผู้ซื้อมาเป็นกลุ่มได้ หรือตัวแทนนายหน้าจากต่างประเทศที่มาร่วมลงทุนพร้อมกับซื้อห้องในโครงการส่วนหนึ่งขึ้นมาด้วย
“ในกลุ่มของเจ้าของที่ดินส่วนใหญ่อยากทำโครงการ อยากพัฒนาโครงการบนที่ดินที่ตนเองเป็นเจ้าของที่อยู่แล้ว เมื่อเรานำเอาความเชี่ยวชาญ และทีมงานเข้าไปร่วมทำธุรกิจ การดำเนินโครงการจึงเกิดขึ้นไม่ยากในกลุ่มของเจ้าของที่ดิน เช่นเดียวกันกับเจ้าของทุน ซึ่งคือคนในกลุ่มไฮเนทเวิร์คที่มีเงินลงทุน และต้องการลงทุนในธุรกิจ โดยเฉพาะธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ที่ให้ผลตอบแทนมากว่าการพักเงินลงทุนในสินทรัพย์อื่น ส่วนกลุ่มสุดท้ายคือกลุ่มที่เห็นโอกาสธุรกิจอยู่แล้ว เช่น นายหน้าที่เห็นโอกาสการลงทุน ทั้งที่หาที่ดินมาขายให้ หรือมาร่วมทุนในลักษณะพันธมิตร เมื่อมาประกอบกับองค์ความรู้ที่อัลติจูดมีจะเห็นได้ว่าเราประสบความสำเร็จกับหลายโครงการเป็นอย่างดี ซึ่งประสบการณ์ทำงานมากับทั้ง 3 กลุ่ม นี้จะเป็นโมเดลธุรกิจที่สร้างโอกาสต่อยอดธุรกิจที่แข็งแกร่งให้กับอัลติจูดต่อไป” นายขวัญชัยกล่าว