ก่อนหน้านี้เมื่อช่วง 5-6 ปีก่อนที่พฤกษานำเทคโนโลยีการก่อสร้างแบบ Precast มาทำตลาดเป็นรายแรก ผู้ประกอบการเจ้าอื่นก็รุมโจมตีกันเรื่องโน้นนี้ไปเรื่อย สุดท้ายโดนพฤกษาทำตลาด Town House นำไปก่อนลิบลิ่ว ปัจจุบันทุกคนต้องการจะปรับให้แข่งขันได้จึงหันมาใช้เทคโนโลยีนี้กันหมด ทั้ง AP, L&H … ไม่เว้นแม้แต่ยักษ์ใหญ่ “แสนสิริ” ที่ทุ่มทุนสร้างโรงงาน Precast บนพื้นที่ 107 ไร่ที่ลำลูกกาคลอง 10 พร้อมค่านำเข้าเครื่องจักรอีก 600 ล้านบาท พร้อมเปิด Town House ใหม่อีก 7 โครงการ มูลค่า 7,000 ล้านบาท

ที่มา: หนังสือพิมพ์บ้านเมือง

นายวันจักร์ บุรณศิริ ประธานผู้บริหารฝ่ายปฏิบัติการ บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) หรือ SIRI เปิดเผยว่า บริษัทฯ ได้ลงทุนพัฒนาโรงงานพรีคาสท์ ภายใต้พื้นที่ของโรงงานทั้งหมด 107 ไร่ ทำการก่อสร้างในเฟสแรกประมาณ 47 ไร่ ในพื้นที่บริเวณลำลูกกา คลอง 10 จ.ปทุมธานี โดยใช้งบลงทุนก่อสร้างและนำเข้าเครื่องจักรประมาณ600 ล้านบาท เพื่อผลิตแผ่นสำเร็จรูปใช้ในการก่อสร้างที่อยู่อาศัยแทนการก่ออิฐ ฉาบปูนหรือการขึ้นรูปสำเร็จในไซต์งาน ด้วยเทคโนโลยีการผลิตแบบ Semi Automated Carousel System ซึ่งเป็นเทคโนโลยีที่ทันสมัยที่สุดจากประเทศเยอรมัน โดยกระบวนการผลิตทุกสถานีควบคุมด้วยคอมพิวเตอร์ และมีการนำเทคโนโลยีหุ่นยนต์มาใช้ในการประกอบแบบข้าง (Shuttering Robot) เพื่อให้เกิดความแม่นยำในการกำหนดขนาดชิ้นงานพรีคาสท์ ทำงานได้รวดเร็ว ประหยัดเวลา และลดระยะเวลาการก่อสร้าง

ทั้งนี้จากแผนการขยายธุรกิจ เพื่อให้สามารถรองรับทุกความต้องการที่อยู่อาศัยและครอบคลุมทุกเซกเมนต์ โดยปัจจุบันแสนสิริมีจำนวนโครงการที่อยู่อาศัยที่อยู่ระหว่างการพัฒนาจำนวนทั้งสิ้น 63 โครงการ มูลค่าโครงการรวมถึงประมาณ 76,412 ล้านบาท นอกจากนี้ในปี 2555 บริษัทยังมีแผนเปิดตัวโครงการที่อยู่อาศัยใหม่อีก 44 โครงการใหม่ ที่ครอบคลุมทุกเซกเมนต์ในทุกทำเล มูลค่าโครงการรวมกว่า 46,000 ล้านบาท

นายสุริยะ วรรณบุตร ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการฝ่ายบริหารโครงการและการตลาดบริษัทแสนสิริฯ ระบุว่า ภายในไตรมาส 3 จะมีการเปิด 2 โครงการใหม่ภายใต้แบรนด์ “การ์เด้นท์สแควร์” รองรับกลุ่มลูกค้าที่ต้องการอยู่ใกล้แหล่งศูนย์กลางธุรกิจ (ซีบีดี) โดยสนนราคาประมาณ 10 ล้านบาทบวก ล้านบาท ซึ่งในขณะนี้ยังไม่สามารถให้รายละเอียดได้

“ในนโยบายของโครงการทาวน์เฮาส์ที่ตนรับผิดชอบในปีนี้ จะเปิด 10 โครงการ มูลค่าประมาณ 7,000 ล้านบาท ในไตรมาส 3 มีแผนเปิด 7 โครงการ มูลค่าประมาณ 3,900 ล้านบาท โดยจะให้น้ำหนักกับแบรนด์ทาวน์ อเวนิว ในการเป็นหัวหอกรุกตลาด ซึ่งแบรนด์ดังกล่าวคิดเป็นรายได้ร้อยละ 60-70 ของมูลค่าโครงการ รองลงมาจะเป็นแบรนด์ใหม่ ในส่วนของแบรนด์ Residence สิ่งสำคัญในการทำโครงการ คือ เรื่องของที่ดินซึ่งบังเอิญโครงการแรกที่ทำไม่ใหญ่ งบการตลาดเลยยาก ถ้าจะให้คุ้มกับงบการตลาด ต้องมีโครงการอย่างน้อย 3-4 โครงการ ทั้งนี้ โดยภาพรวมของกลุ่มโครงการทาวน์เฮาส์จะมีสัดส่วนร้อยละ 20 ของรายได้รวมบริษัท”