เมื่อเริ่มมีเก็บเงินได้ซักก้อน ทุกคนก็ต่างล้วนมีความฝันที่จะมีที่อยู่อาศัยเป็นของตัวเอง ซึ่งคอนโดมิเนียมก็เป็นอีกหนึ่งทางเลือกที่มนุษย์เงินเดือนสมัยนี้ให้ความสนใจ เนื่องด้วยความสะดวกในการเดินทาง ทำให้ในปัจจุบันมีคอนโดมิเนียมเกิดขึ้นมากมายตลอดแนวรถไฟฟ้าที่เปิดให้บริการและรวมไปถึงสายต่างๆ ที่จะเกิดขึ้นในอนาคต นอกจากสไตล์ความชอบส่วนตัวแล้ว เรายังสามารถใช้ฐานเงินเดือนเป็นตัวช่วยในการตัดสินใจเลือกซื้อคอนโดฯ ได้ โดยที่เราสามารถใช้พิจารณาเพื่อยื่นขอกู้สินเชื่อจากธนาคารและช่วยให้ภาระการผ่อนไม่เกินตัว

การปล่อยสินเชื่อหรือวงเงินกู้เพื่อซื้อที่พักอาศัยนั้นจะขึ้นอยู่กับฐานเงินเดือนของแต่ละคน ระยะเวลาการทำงาน รายได้เสริม และยอดหนี้สินที่แต่ละคนมีนั่นเอง โดยส่วนใหญ่แล้วจะเกิดคำถามว่าวงเงินที่จะกู้ธนาคารจะสามารถกู้ได้เท่าไหร่ โดยพื้นฐานแล้วก็จะอยู่ที่ประมาณ 50 เท่าของเงินเดือนหรืออาจจะมากกว่า 50 เท่าก็ได้ ขึ้นอยู่กับความมั่นคงในหน้าที่การงานความมีวินัยในการชำระหนี้สิน หรือประวัติทางการเงินของคุณนั่นเอง มาดูเรื่องสัดส่วนและความสามารถของการผ่อนชำระหนี้ของแต่ละคนนั้นไม่ควรที่จะเกิน 40% ของเงินเดือน ซึ่งส่วนใหญ่แล้วทางธนาคารจะประเมินว่าภาระหนี้สินประมาณ 40% ของเงินเดือน จะเป็นระดับของการผ่อนได้สบายๆ ตามฐานเงินเดือนในแต่ละช่วง ดังตารางต่อไปนี้

กู้ได้เท่าไหร่ แล้วแบบไหนที่เหมาะกับเรา
เพื่อที่จะอธิบายความสามารถในการยื่นขอสินเชื่อจากธนาคารตามรายได้ของโครงสร้างในแต่ละฐานเงินเดือนนั้น จะสามารถแบ่งได้เป็น 4 ระดับ ดังนี้
1. First jobber: ระดับพนักงาน พนักงานใหม่หรือเจ้าหน้าที่ปฎิบัติงานทั่วไป เงินเดือนตั้งแต่ 15,000-30,000 บาท
2. Senior: ระดับหัวหน้างาน หัวหน้าแผนก หรือพนักงานที่ทำงานมานาน เงินเดือนจะอยู่ที่ 30,000-70,000 บาท
3. Management: ระดับผู้จัดการ ทำหน้าที่บริหารแผนกต่างๆ และวางแผนงาน เงินเดือนจะอยู่ที่ 70,000-100,000 บาท
4. Top level: ระดับผู้บริหารองค์กร ทำหน้าที่กำหนดทิศทาง และวางนโยบายต่างๆ ขององค์กร เงินเดือนจะอยู่ที่ 100,000 บาทขึ้นไป

อ้างอิงระดับฐานเงินเดือนจาก Jobsdb thailand
ระดับพนักงาน (First Jobber) : เงินเดือน 15,000-30,000 จะสามารถกู้ได้ 750,000-1,500,000 บาท โดยประมาณ ซึ่งคอนโดที่อยู่ในเรทนี้มักจะเป็นคอนโดมิเนียมแบบโลว์ไรส์ที่อยู่บริเวณแถวชานเมืองที่ตั้งอยู่ภายในซอยต่างๆ ซึ่งจะไม่อยู่ติดถนนใหญ่ เรทราคาเฉลี่ยไม่ควรเกิน 50,000 –65,000 บาท/ตารางเมตร

ระดับหัวหน้างาน (Senior) : เงินเดือน 30,000-70,000 จะสามารถกู้ได้ 1,500,000 – 3,000,000 บาท โดยประมาณ ซึ่งจะเหมาะกับคอนโดมิเนียมแบบไฮไรส์ เป็นคอนโดแนวสูงวิวสวย อยู่ติดถนนใหญ่ ใกล้หรือติดแนวรถไฟฟ้ารอบๆ เมือง หรือบางคนต้องการความเป็นส่วนตัวขึ้นมาหน่อย ใจกลางเมืองขึ้นมาอีกนิด ก็เลือกเป็นคอนโดแบบโลว์ไรส์ ที่เน้นความหรูหราในย่านใจกลางเมือง มีสิ่งอำนวยความสะดวกครบครัน เรทราคาเฉลี่ยไม่ควรเกิน 100,000 – 120,000 บาท/ตารางเมตร

ระดับผู้จัดการ (Management): เงินเดือน 70,000-100,000 จะสามารถกู้ได้ 3,500,000 – 10,000,000 บาท โดยประมาณ ซึ่งฐานเงินเดือนระดับนี้ทางธนาคารจะมองว่าเป็นลูกค้าชั้นดี ทำให้สามารถกู้ได้ยอดที่สูง ซึ่งเหมาะกับคอนโดมิเนียมแบบไฮไรส์ ระดับลักชูรี่ ที่เพียบพร้อมไปด้วยสิ่งอำนวยความสะดวกระดับไฮเอนด์ มักจะมีทำเลอยู่ติดสถานีรถไฟฟ้าใจกลางเมือง เรทราคาเฉลี่ยไม่ควรเกิน 150,000 – 230,000 บาท/ตารางเมตร

ระดับผู้บริหารองค์กร(Top level) : เงินเดือน 100,000 บาทขึ้นไป จะสามารถกู้ได้ 10,000,000 บาท ขึ้นไปโดยประมาณ ซึ่งฐานเงินเดือนระดับนี้ ส่วนใหญ่ก็จะเหมาะกับ คอนโดมิเนียมแบบไฮไรส์ ระดับลักชูรี่ จนไปถึงซูปเปอร์ลักชูรี่ และสามารถเลือกเป็นห้องเพนท์เฮาส์ เน้นวิว เน้นพื้นที่ใช้สอย มีหลายห้อง อยู่ได้ทั้งครอบครัว เรทราคาเฉลี่ยก็ตั้งแต่ 230,000 บาท/ตารางเมตร ขึ้นไป
อ้างอิงการให้วงเงินสินเชื่อจากธนาคารอาคารสงเคราะห์

อย่างไรก็ตามการเลือกซื้อคอนโดแต่ละช่วงราคานั้นขึ้นอยู่กับ ความชอบ จึงสามารถปรับเปลี่ยนได้ตามความชอบส่วนตัวของแต่ละบุคคล และวัตถุประสงค์การซื้อ ซึ่งในระดับของผู้จัดการหรือผู้บริหารที่มีฐานเงินเดือนสูงๆ อาจจะมาซื้อโครงการในระดับล่างๆ เพื่อการปล่อยเช่า หรือซื้อในระดับกลางๆ เพื่อเป็นการจัดพอร์ทสำหรับนักลงทุนก็เป็นอีกหนึ่งตัวเลือกที่น่าสนใจ

ธนาคารส่วนใหญ่มักจะอนุมัติสินเชื่อให้ไม่เกิน 90% ของราคาขายหรือราคาประเมิน โดยจะเลือกราคาที่ต่ำกว่า ยกเว้นคอนโดมิเนียมบางโครงการที่เป็นของบริษัทผู้พัฒนาใหญ่ที่มีผลประกอบการดี เครดิตดี ธนาคารอาจพิจารณาอนุมัติสินเชื่อเงินกู้ให้ถึง 100% ส่วนใครที่ต้องการกู้เงินเพิ่มเพื่อนำมาใช้ในการตกแต่งห้องนั้นก็ขึ้นอยู่กับธนาคารว่าจะให้เรากู้หรือไม่ แต่ราคาดอกเบี้ยก็จะต่างจากราคาของดอกเบี้ยบ้าน ซึ่งต้องดูเงื่อนไขของแต่ละธนาคารกันอีกครั้งว่าจะได้เป็นสินเชื่อแบบไหนและกู้ได้กี่% แต่โดยส่วนใหญ่แล้วก็จะไม่เกิน10% และระยะเวลาในการผ่อนก็จะสั้นกว่าสินเชื่อบ้านนั่นเอง

ที่มา: PLUS PROPERTY