รีวิวฉบับที่ 1561 … สวัสดีค่ะ วันนี้จะพาไปชม VITTORIO คอนโดหรูระดับ ULTIMATE CLASS ตัว Top ที่สุดของ Ap ตั้งอยู่ในซอยสุขุมวิท39 ใกล้ BTS พร้อมพงษ์และศูนย์การค้าชั้นนำอย่าง The Em District ออกแบบภายใต้แนวคิด ‘LIVING IN THE MASTERPIECE’ มีระบบรักษาความปลอดภัยและความเป็นส่วนตัวสูง ห้องพักมีเพียง 88 ยูนิต ทุกห้องเป็นห้องมุมไม่มีผนังฝั่งไหนติดกันเลย พร้อม Private Lift และการจัดผังแบบ Day life /Night life แยกพื้นที่กิจกรรมออกจากพื้นที่พักผ่อน ราคาเริ่มต้น 31 ล้านบาท เราไปชมกันเลยค่ะ

Fact @ 22 March 2018

  • VITTORIO (วิตโตริโอ)
  • บริษัท เอพี (ไทยแลนด์) จำกัด (มหาชน)
  • ULTIMATE CLASS (อ่านรายละเอียดของ Segment คอนโดได้ที่นี่)
  • โครงการตั้งอยู่ในเขต : วัฒนา
  • คอนโด High Rise 28 ชั้น 1 อาคาร 88 ยูนิต
  • ยูนิตต่อชั้นสูงสุด 4 ยูนิต
  • ที่จอดรถประมาณ 142 คันคิดเป็น 161% ไม่รวมจอดซ้อนคัน
  • ที่ดินประมาณ 1-2-93 ไร่
  • เริ่มก่อสร้าง : มิถุนายน 2556
  • สร้างเสร็จ : กรกฎาคม 2561
  • สถานะโครงการ : สร้างเสร็จพร้อมอยู่
  • 2 Bedroom ขนาด 100-140 ตร.ม. 
  • Duplex ขนาด 167 ตร.ม. 
  • Penthouse ขนาด 270-306 ตร.ม. 
  • ฝ้าเพดานสูง 3 – 6.35 (Duplex)เมตร
  • ราคาห้องเริ่มต้น 31 ล้านบาท
  • ราคาเฉลี่ยต่อตารางเมตรทั้งโครงการ 350,000 บาท/ตร.ม.
  • เวปไซต์โครงการ :  www.vittorio-residence.com
  • เข้าชมโครงการ  : นัดหมายก่อนล่วงหน้าได้ที่ (061) 491 8888

เพียงแค่การกด Like ก็เท่ากับการสนับสนุนข้อมูลเชิงลึกจาก Think of Living แล้วค่ะ

สามารถเลือกอ่านตามหัวข้อต่างๆได้โดยกดปุ่มด้านล่างค่ะ


เจาะลึกเรื่องทำเลที่ตั้ง

พิกัด : 13.730827, 100.570817

แผนที่จากทางโครงการค่ะ

ทำเลของ VITTORIO มีจุดเด่นอยู่ตรงที่ ตั้งอยู่ใจกลางเมืองย่านพร้อมพงษ์ในซอยสุขุมวิท 39 ใกล้สถานีรถไฟฟ้าพร้อมพงษ์ เดินทางสะดวกใกล้ทางด่วน 3 สายและมีทางลัดที่สามารถเชื่อมต่อกับถนนใหญ่หลายเส้น เข้าถึงได้ทั้งย่านทองหล่อ เพชรบุรี สุขุมวิทและ อโศกมนตรี ตัวถนนสุขุมวิทเอง หากขับเข้าเมืองไปเรื่อยๆ(เลียบเส้นรถไฟฟ้า BTS) จะผ่านแยกอโศก ซึ่งระหว่างทางจะเจอ Terminal 21  ผ่านแยกราชประสงค์ ไปจะเป็น เซ็นทรัลเวิร์ล สยาม ถนนเพชรบุรี (ผ่านแยกเอกมัยเหนือ-เพชรบุรี) เป็นถนนที่มีอาคารสำนักงานอยู่ค่อนข้างเยอะเหมือนกัน โดยเป็นถนนเส้นคู่ขนานกับถนนสุขุมวิท ซึ่งมีถนนอโศกมนตรี และสุขุมวิทซอยย่อยๆเป็นตัวตัดผ่าน จากโครงการขับไปออกทางถนนเพชรบุรีไปผ่านแยกอโศก-เพชรบุรี เลี้ยวขวาก็จะไปทะลุถนนพระราม 9 ซึ่งสามารถไปห้างฟอร์จูน เซ็นทรัลพระราม 9 หรือเอสพลานาดได้ นอกจากนี้ถนนสุขุมวิทยังมี ถนนพระรามที่ 4 เป็นถนนคู่ขนานอีกด้าน สามารถใช้ไปยังแยกวิทยุ ไปราชเทวีได้ค่ะ

ซอยสุขุมวิท 39 จะมีบางช่วงที่เป็น One way และมีเส้นทางลัดอื่นๆภายในซอยที่สามารถลัดเลาะทะลุไปออกได้ตั้งแต่ อโศก ประสานมิตร สวัสดี พร้อมพงษ์ ทองหล่อ เอกมัย โดยไม่ต้องผ่านถนนใหญ่สุขุมวิท เป็นการหลีกเลี่ยงรถติดไปในตัว ทำให้การเดินทางสะดวกสบายมากยิ่งขึ้น

สำหรับความอุดมสมบูรณ์เป็นทำเลที่มีครบแทบทุกอย่าง ทั้งร้านค้า ร้านอาหาร ร้านขนม ร้านกาแฟ โดยเฉพาะร้านที่เป็นสไตล์ญี่ปุ่น เป็นแหล่งรวมของศูนย์การค้าชั้นนำระดับเวิร์ลคลาสใจกลางสุขุมวิทกับโครงการ The District Em อันประกอบด้วย ดิ เอ็มโพเรียม, ดิ เอ็มควอเทียร์ และดิ เอ็มสเฟียร์ ใกล้สวนสาธารณะอย่างสวนเบญจสิริ ใกล้สถาบันการศึกษาและโรงพยาบาลชั้นนำ ทำให้ทำเลนี้เป็นย่านการค้า แหล่งธุรกิจ โรงแรม ออฟฟิศที่พักอาศัย ศูนย์ความบันเทิงที่ครบครัน มีคนอาศัยอยู่ทั้งชาวไทยและต่างประเทศโดยเฉพาะชาวญี่ปุ่น ใกล้ ทองหล่อ ย่านที่มี lifestyle mall อยู่เยอะ คึกคักไปด้วยชาวต่างชาติและคนไทย และมีร้านอาหารนานาชาติหลากหลาย เป็นแหล่งท่องเที่ยวและศูนย์รวมธุรกิจบันเทิงแห่งหนึ่งของชาวต่างชาติในกรุงเทพฯ

การเดินทางในวันนี้ เราใช้รถไฟฟ้ามาลงสถานีพร้อมพงษ์ทางออกที่ 3 เพื่อมาลงทางสุขุมวิทฝั่งเลขคี่ เดินเข้าซอยสุขุมวิท39 จากหน้าปากซอยตรงมาอีกหน่อยก็จะถึงกับโครงการแล้วค่ะ

เริ่มต้นการเดินทางไปโครงการในวันนี้ที่สถานีรถไฟฟ้า BTS พร้อมพงษ์

เราเลือกออกทางออกหมายเลข 3 เพื่อมาลงทางฝั่งสุขุมวิทฝั่งเลขคี่

โดยสถานีนี้เป็นที่รู้จักกันดีว่ามี The District Em อันประกอบด้วย ดิ เอ็มโพเรียม, ดิ เอ็มควอเทียร์ และดิ เอ็มสเฟียร์ ศูนย์การค้าขนาดใหญ่ของย่านนี้

จากตัวสถานี เราเดินลงมาด้านล่างจะเจอกับถนนสุขุมวิทโดยฝั่งนี้จะเป็นซอยฝั่งเลขคี่

เมื่อลงมาที่ถนนสุขุมวิทแล้วให้เดินตรงไป จะเห็นตลอดข้างทางมีของขายร้านอาหาร ร้านสะดวกซื้อต่างๆ อยู่ตามทาง

มีร้านกาแฟ ร้านขายผลไม้ และ ร้านอาหาร

เดินถัดมาจะเจอกับซอยสุขุมวิท37 ที่เต็มไปด้วยร้านนวดและร้านอาหารแบบที่มีโต๊ะนั่งรับประทานได้

เดินตรงมาเรื่อยๆจะเจอกับซอยสุขุมวิท 39 จุดสังเกตคือหน้าปากซอยจะมี 7-11

ซอยสุขุมวิท 39 นี้เป็นซอยที่มีรถวิ่งผ่านเข้าออกตลอดเวลา เพราะเป็นซอยใหญ่ที่สามารถวิ่งไปทะลุออกเส้นทางหลักอื่นๆได้หลากหลายทั้ง ซอยสุขุมวิท ถนนอโศกมนตรี และถนนเพชรบุรี

เข้ามาในซอย ช่วงต้นซอยจะเจอกับวินมอเตอร์ไซค์และวินรถกะป้อ บรรยากาศในซอยนี้ค่อนข้างคึกคักเพราะเป็นซอยลัดเชื่อมต่อได้หลายเส้นทาง

ช่วงต้นซอยเป็นอาคารพาณิชย์และตึกแถวสูงประมาณ 3 ชั้น ด้านล่างมักเปิดเป็นร้านค้า รวมถึงมีคอนโดระดับหรูอยู่หลายโครงการด้วยค่ะ

จากหน้าปากซอยตรงเข้ามานิดหน่อยก็จะถึงกับโครงการ VITTORIO แล้วค่ะ

**รูปนี้จัดทำขึ้นเพื่อให้เห็นภาพรวมของโครงการแบบคร่าวๆไม่สามารถใช้อ้างอิงอย่างเป็นทางการได้นะคะ

 VITTORIO ตั้งอยู่ในซอยสุขุมวิท 39 ช่วงต้นซอย สภาพแวดล้อมโดยรอบจะมีทั้งฝั่งที่ติดกับบ้านพักอาศัย และฝั่งที่ติดกับคอนโด High Rise ข้างเคียงเรามาดูว่าแต่ละด้านติดกับอะไรบ้าง

  • ทิศเหนือ – ติดกับบ้านพักอาศัย ถัดไปจะเป็นคอนโดบ้านสวนเพชร
  • ทิศตะวันออก – ติดกับบ้านพักอาศัย ถัดไปประมาณสุขุมวิท41 เป็นโรงแรม Adelphi Grande
  • ทิศใต้ – ติดกับโครงการ MARQUE เป็นคอนโด High Rise สูง 50 ชั้น
  • ทิศตะวันตก – ติดกับถนนสุขุมวิท 39 (หน้าโครงการ) และตึกแถว 3-4 ชั้น

ทิศเหนือ ทางฝั่งหน้าโครงการติดกับตึกแถวสูงประมาณ 3 ชั้น

จากถนนใหญ่ถัดเข้ามาด้านในจะเป็นบ้านพักอาศัยซึ่งพอมองจากมุมบนจะเห็นวิวเป็นพื้นที่สีเขียวแบบนี้ ส่วนตึกขาวๆด้านหลังคือคอนโดบ้านสวนเพชรค่ะ

ทิศตะวันออก ติดกับบ้านพักอาศัยและพื้นที่สีเขียว อพาร์ทเม้นท์ ไม่บดบังวิวในระยะประชิด ตึกสูงๆหน่อยอยู่ประมาณซอยสุขุมวิท41 คือโรงแรม Adelphi Grande และ River Court

ทิศใต้ ติดกับโครงการ MARQUE เป็นคอนโด High Rise สูง 50 ชั้น

ทิศตะวันตก หรือฝั่งหน้าโครงการติดกับถนนสุขุมวิท 39 และตึกแถวสูง 3-4 ชั้น มีร้านค้า ร้านอาหารอยู่ด้านล่าง

สถานที่สำคัญใกล้เคียงต่างๆ เช่น

  • EmQuatier – 300 m.
  • Emporium – 300 m.
  • สวนเบญจสิริ – 500 m.
  • รพ.สมิติเวช – 1.4 km.
  • K Village – 1.6 km.
  • BigC พระราม 4 – 1.6 km.
  • Major เอกมัย – 1.8 km.
  • Max Value – 2 km.
  • Park Lane เอกมัย – 2.1 km.
  • รพ.สุขุมวิท – 2.3 km.
  • Trinity International School – 2.4 km.
  • รพ.เทพธารินทร์ – 3 km.
  • Gateway เอกมัย – 3.3 km.
  • Terminal21 – 3.7 km.


เจาะลึกตัวโครงการ

โครงการ  VITTORIO เป็นคอนโด High Rise สูง 28 ชั้น ตั้งอยู่บนที่ดินประมาณ  1-2-93 ไร่ ในซอยสุขุมวิท 39 มีความเป็นส่วนตัวด้วยจำนวนห้องพักเพียง 88 ยูนิต นอกจากนั้นยังมีการออกแบบวางผังให้ลูกบ้านมีความเป็นส่วนตัวสูงสุดพร้อมระบบรักษาความปลอดภัยที่ควบคุมด้วยระบบ RFID สำหรับภาพรวมของตัวอาคารชั้นล่างประกอบด้วย สวนหย่อมและ ที่จอดรถ จอดได้  142 คันหรือคิดเป็น 161% พร้อมที่จอดรถซูเปอร์คาร์ ในอาคารมี VITTORIO Concierge , ล็อบบี้ (Galleria Medici) , Lobby Lounge ชั้น 27-28 มี ฟิตเนส (Club Kinetic) , สระว่ายน้ำ (Arno Vitality Pool) และ Social Club (Salone 39) ห้องพักอาศัยเริ่มต้นที่ชั้น 3 ค่ะ

การออกแบบตัวอาคารถูกพัฒนามาจากสถาปัตยกรรมยุค Classic ที่มีการใช้รูปทรงเรขาคณิต เน้นแนวแกนและความสมมาตร มาผสมผสานกับความโมเดิร์น เรียบหรูแบบ Timeless Design โดยใช้สไตล์ Modern Classic ในการออกแบบ

แนวความคิดในการออกแบบของ VITTORIO เกิดขึ้นจากทางผู้บริหารมีความชื่นชอบในงานศิลปะและอยากทำโครงการที่มีมูลค่าเพิ่มขึ้นตามกาลเวลาเฉกเช่นเกียวกับงานศิลปะ จึงได้เกิดแนวคิด ‘LIVING IN THE MASTERPIECE’ ที่ผสมผสานงานศิลปะเข้ากับการใช้ชีวิต โดยได้นำเอางานศิลปะของ 9 ศิลปินชาวไทยที่มีชื่อเสียงระดับโลกมาตกแต่งภายในโครงการ โครงการได้รับแรงบันดาลใจในการออกแบบมาจาก  Uffizi Gallery พิพิธภัณฑ์ศิลปะด้านจิตรกรรมและประติมากรรมชื่อก้องโลกแห่งเมืองฟลอเรนซ์ ประเทศอิตาลี โดยได้นำเอา Space ที่หรูหราโอ่โถงและการเน้นจุดนำสายตามาใช้ในการออกแบบ การตกแต่งจะใช้ความสมมาตรและรูปทรงเรขาคณิตเข้ามาผสมผสานกับการจัดวางงานศิลปะได้อย่างลงตัว

อ่านบทความเจาะลึกการออกแบบและวัสดุเพิ่มเติมได้ที่นี่ค่ะ คลิก

จาก MASTERPLAN ของโครงการ ทางเข้า-ออกสามารถเข้าได้จากถนนซอยสุขุมวิท39 โดยโครงการมีระบบรักษาความปลอดภัยเทียบเท่าโรงแรม 5 ดาว ทางเข้า-ออกจะควบคุมด้วยระบบ RFID หรือ Radio frequency identification ที่รับสัญญาณระยะไกลจากตัวรับที่ติดอยู่ในรถ พอเราขับรถผ่านประตูทางเข้าก็จะเปิดออกโดยอัตโนมัติ ติดตั้งอยู่บริเวณทางเข้า-ออกหน้าโครงการ และอีกหนึ่งจุดบริเวณก่อนเข้าที่จอดรถ ถ้าลูกบ้านขับรถเข้ามาจะผ่าน Drop off และต้องวนไปจอดที่บริเวณด้านหลังโครงการ โดยที่จอดรถสามารถจอดได้ 142 คันหรือคิดเป็น 161% พร้อมที่จอดรถซูเปอร์คาร์ ทางเข้าอาคารสามารถเข้าได้ 2 ทาง คือบริเวณ Vittorio Concierge และ อีกทางอยู่ใกล้ๆกับ KHIEN RIVER บ่อน้ำหน้าอาคารที่มีงานประติมากรรมจัดแสดงอยู่ โดย Vittorio Concierge คือโถงสำหรับต้อนรับแขกผู้มาติดต่อและเพื่อปรับบรรยากาศให้เกิดความสงบและเป็นส่วนตัวก่อนเข้าไปยัง Galleria Medici หรือ โถงต้อนรับ ที่มีการจัดแสดงงานจิตรกรรมที่ดึงดูดสายตาจากศิลปินที่มีชื่อเสียง ทางฝั่งซ้ายมี Lobby Lounge ที่ออกแบบ Space ให้อยู่แกนกลางของ KHIEN RIVER พอดี เวลาที่เรามองออกไปก็จะเห็นงานประติมากรรมโดดเด่นอยู่ตรงกลาง นอกจากนั้นในส่วนของ โถงลิฟต์ก็จะมีจัดแสดงงานศิลปะด้วย ด้านหลังสุดเป็นห้องน้ำและส่วน Services ต่างๆ สำหรับระบบรักษาความปลอดภัยทางเข้าอาคาร จะต้องใช้คีย์การ์ดของ Ving card หลายจุดด้วยกัน ทั้งทางเข้าอาคารจุดต่างๆ รวมถึงบริเวณโถงลิฟต์และภายในลิฟต์ ตามที่ทำแถบสีแดงๆเอาไว้ค่ะ มีลิฟต์โดยสารอยู่ทั้งหมด 4 ตัวเป็น Private lift ที่เปิดออกมาจะเจอกับทางเข้าห้องพักของเราเลยและมีลิฟต์บริการและลิฟต์ที่จอดรถอีกอย่างละ 1 ตัวค่ะ

ทางเข้า-ออกสามารถเข้าได้จากถนนซอยสุขุมวิท39 โดยระบบรักษาความปลอดภัยของที่นี่จะเริ่มจากมีรปภ.ดูแลความปลอดภัยให้ตลอด 24 ชั่วโมง มีฉากกั้นเพื่อสแกนรถยนต์และบุคคลที่จะเข้ามาในโครงการก่อนที่จะผ่านเข้าไปยังประตูอัตโนมัติ

ทางเข้าหลักของโครงการ ซุ้มประตูถูกออกแบบมาโดยได้รับแรงบันดาลใจมาจากยุคเรเนสซองส์ โดยมีการดึงเอาสัดส่วนความสูงของโดมและการใช้เส้นแนวตั้งของโกธิคมาประยุกต์ใช้ผสมกับสไตล์โมเดิร์น เพื่อต้องการสร้าง Space ที่ Private โอบล้อมด้วยผนังทั้งสองฝั่งที่ตกแต่งด้วยหินอ่อนสีดำ ในตอนกลางคืนก็จะมีการตกแต่งด้วย Lighting ด้วยค่ะ ทางเข้า-ออกนี้จะควบคุมด้วยระบบ RFID หรือ Radio frequency identification ที่รับสัญญาณระยะไกลจากตัวรับที่ติดอยู่ในรถ พอเราขับรถผ่านประตูทางเข้าก็จะเปิดออกโดยอัตโนมัติ

สำหรับลูกบ้านที่ไม่ได้ใช้รถยนต์ก็จะมีประตูทางด้านข้างสำหรับให้เดินผ่านไปได้ โดยจะต้องใช้คีย์การ์ดในการผ่านเข้า-ออก

บริเวณประตูบานเลื่อนอัตโนมัติจะมี CCTV และระบบ RFID หรือ ตัวรับสัญญาณระยะไกลเพื่อควบคุมการเข้า-ออก

พอเข้าโครงการมาทางฝั่งซ้ายก็จะเจอกับ  KHIEN RIVER บ่อน้ำหน้าอาคารที่มีงานประติมากรรมจัดแสดงอยู่ ส่วนทางด้านขวาคือ Drop off และทางเข้า Lobby ส่วนที่จอดรถจะต้องวนไปที่ด้านหลังอาคาร

ด้านหน้าอาคารเป็น  KHIEN RIVER และ สวนหย่อม  สังเกตว่ารั้วโดยรอบของโครงการจะค่อนข้างสูงเพื่อสร้าง Space ที่มีความโอบล้อมและเป็นส่วนตัว

KHIEN RIVER มีลักษณะเป็น Court ที่มีบ่อน้ำที่ตรงกลางจัดแสดงงานประติมากรรมชื่อว่า “งอกงาม” ซึ่งเป็นผลงานชิ้นสุดท้ายของอาจารย์เขียน ยิ้มศิริ อยู่กลางบ่อน้ำ โดยรูปปั้นนี้จะเป็นแบบขยาย ส่วนของจริงจะถูกจัดแสดงอยู่ที่ Social Club (Salone 39) บนชั้น 28 การออกแบบบริเวณนี้จะมีการเน้นแนวแกน เพื่อให้เกิดความสมมาตรซึ่งเป็นเอกลักษณ์ของสถาปัตยกรรมยุโรป โดยรูปปั้นงอกงามนี้จะเป็นตัวนำสายตาเชื่อมต่อเข้าสู่บริเวณ Lobby ภายในอาคาร

อีกมุมหนึ่งของประติมากรรม “งอกงาม” หรือ “Growth” โดยอาจารย์เขียน ยิ้มศิริ ศิลปินชาวไทยที่สร้างผลงานอันโด่งดังมากมาย

ข้างๆกับ KHIEN RIVER จะมีทางเข้า Lobby ของอาคารโดยที่ไม่ต้องผ่าน Vittorio Concierge

ถัดเข้ามาด้านในทางฝั่งซ้ายจะเป็น Drop off และทางเข้า Vittorio Concierge ส่วนที่จอดรถจะต้องวนไปด้านหลังอาคารค่ะ

ขับรถมาที่ด้านหลังอาคารจะเจอกับทางเข้าที่จอดรถ

ทางเข้าที่จอดรถจะมีรั้วกั้นไม้กระดกที่ควบคุมโดย ระบบ RFID ที่รับสัญญาณระยะไกลจากตัวรับที่ติดอยู่ในรถอยู่อีกจุดหนึ่ง

ทางเข้า-ออกที่จอดรถ เป็นทางลาดลงไปที่ชั้นใต้ดิน บริเวณนี้มีติดตั้งไฟส่องสว่างมาให้พอเพียงต่อการใช้งาน

ที่จอดรถจะอยู่ในชั้นใต้ดิน สามารถจอดได้ 142 คันหรือคิดเป็น 161% พร้อมที่จอดรถซูเปอร์คาร์

จากที่จอดรถจะมี Private Lift ที่สามารถขึ้นไปยังห้องพักอาศัยได้เลย ซึ่งจะต้องใช้คีย์การ์ดในการผ่านเข้าไปยังโถงลิฟต์นี้ค่ะ

นอกจากนั้นยังมีลิฟต์ที่ใช้ขึ้นไปยัง Lobby ของอาคารแยกมาให้อีก 1 ตัว ลิฟต์ตัวนี้จะอยู่บริเวณโถงทางเข้าด้านข้าง KHIEN RIVER ซึ่งต้องใช้คีย์การ์ดในการเข้า-ออกบริเวณนี้เช่นเดียวกันเพื่อความปลอดภัยค่ะ

บรรยากาศภายในโถงลิฟต์ชั้นจอดรถ (Parking Lift)

กลับขึ้นมาที่ชั้น 1 บริเวณ Drop off ถัดจากประตูนี้เข้าไปจะเป็น Vittorio Concierge

ภายในตัวอาคารได้มีการนำเอาแนวคิดในการออกแบบของคนในยุคกลาง คือสร้าง Space บริเวณ Public Area ออกมาเป็น 2 ส่วนเข้ามาจะเจอกับ Foyer ที่มีชื่อเรียกว่า Vittorio Concierge ก่อน เพื่อให้คนที่เข้ามาในบริเวณนี้รู้สึกสงบ ผ่อนคลาย ก่อนจะเข้าไปในส่วนถัดไปคือ Lobby (Galleria Medici) ที่มีพื้นที่ที่ใหญ่กว่า โดยบริเวณ Vittorio Concierge นี้ทั้งพื้นและผนังตกแต่งด้วยหินอ่อน “Palissandro Bluette” ที่มีการต่อลายแบบสายน้ำ มีการจัดไฟด้วยแสง Warm เพื่อให้เกิดความรู้สึกที่สงบ โดยไฟที่กระทบกับหินจะเห็นเป็นประกายของสายแร่ที่มีความหลากหลายของสี บริเวณเคาน์เตอร์ตกแต่งด้วยโคมไฟจาก  Alexander Lamont ทั้งโคมไฟตั้งโต๊ะและโคมไฟแขวนฝ้าเพดาน ที่คัดสรรและออกแบบมาเพื่อโครงการนี้โดยเฉพาะ บนฝ้าเพดานใช้วัสดุเป็นกระจกสะท้อนรายละเอียดต่างๆ เสริมให้บรรยากาศให้ดูโดดเด่นมากยิ่งขึ้น

ระหว่าง  Vittorio Concierge และ Lobby (Galleria Medici) จะมีประตูกั้น สามารถเข้า-ออกได้ทั้ง 2 ฝั่ง

โดยจะต้องใช้คีย์การ์ดในการผ่านเข้าไปค่ะ ซึ่งตัวคีย์การ์ดที่เลือกใช้จะเป็นมาตรฐานเดียวกับโรงแรม 5 ดาว มีระบบการป้องกันการปลอมแปลงที่มากกว่าคีย์การ์ดทั่วๆไป ทำให้มีความปลอดภัยที่มากขึ้น

ถัดจาก Vittorio Concierge มาจะเจอกับ Galleria Medici โถงพักคอยที่จัดแสดงงานจิตรกรรมที่ดึงดูดสายตาจากศิลปินที่มีชื่อเสียง พื้นที่บริเวณนี้จะเป็นโถงสูง มีการออกแบบให้ทั้งสองฝั่งของห้องมีความสมมาตรกัน มีเส้นแนวแกนเพื่อนำสายตาไปสู่รูปภาพที่สำคัญที่สุดใน Space นี้คือ Venus and the silent scream ของคุณนที อุตฤทธิ์ ซึ่งเป็นภาพที่สื่อความหมายแทนโครงการ  นอกจากแกนกลางแล้วยังมีรายละเอียดในการออกแบบผนังโดยใช้ไม้ร่วมกับหินเพื่อให้บรรยากาศดูอบอุ่นมากยิ่งขึ้น ทางฝั่งขวาดีไซน์ผนังไม้ เว้นช่องที่ซ่อนไฟในจังหวะที่เท่าๆกัน ส่วนทางด้านซ้ายจะมีทางเข้าไปสู่ Lobby Lounge ที่มีมุมมองเชื่อมต่อไปเห็นงานประติมากรรม “งอกงาม” ของอาจารย์เขียนที่อยู่ด้านหน้าได้

สำหรับผลงานศิลปะที่นำมาจัดแสดงในส่วนของ Galleria Medici ได้แก่ ภาพแรก Venus and the silent scream ของคุณนที อุตฤทธิ์ ตีความวีนัสในอีกมุมมองหนึ่ง ส่วนภาพที่ 2 และ 3 เป็นซีรีย์ Live ที่วาดกันคนละปีของคุณเสนีย์ แช่มเดช การเลือกภาพบริเวณโถงจะเน้นให้มีสีสันค่ะ 

ฝั่งหน้าโครงการจะมี Lobby Lounge และ โถงทางเข้าอาคารจากบริเวณ KHIEN RIVER

Lobby Lounge เป็นพื้นที่นั่งเล่นที่มี Space โปร่งโล่ง ผนังด้านหนึ่งเป็นกระจกซึ่งถ้ามองออกไปจะเห็นงานประติมากรรม “งอกงาม”ของอาจารย์เขียน วางตัวอยู่แนวแกนกลางพอดี

พื้นที่บริเวณ Lobby Lounge เป็นแบบฝ้าเพดานสูง ตอนกลางคืนก็จะมีการจัด Lighting เพื่อความสวยงาม มีกล่องไฟล้อมรอบทำให้งานประติมากรรมดูเด่น

อีกฝั่งเป็นโถงทางเข้าอาคารค่ะ

ทางจะเข้า-ออกโถงนี้ต้องใช้คีย์การ์ดอีกเช่นกัน เพื่อความปลอดภัยของลูกบ้าน

สแกนคีย์การ์ดบริเวณนี้ค่ะ

โถงทางเข้านี้ก็ถูกออกแบบมาให้มีความโปร่ง โล่งด้วยฝ้าเพดานที่สูง และ ผนังที่เป็นกระจกโดยรอบ มีที่นั่งพักคอยและลิฟต์ที่ใช้ลงไปยังชั้นจอดรถได้ จากบริเวณนี้พอออกไปก็จะเป็นด้านข้างของ KHIEN RIVER ค่ะ

ด้านหลังสุดจะเป็นทางไปห้องน้ำ และ สำนักงานนิติบุคคล

ด้านหลังสุดของชั้นนี้คือห้องน้ำชั้น 1 ที่ออกแบบแบ่งพื้นที่ออกเป็น 2 ส่วน ส่วนแรกคืออ่างล้างหน้าที่ดีไซน์เป็นเคาน์เตอร์วางอยู่ตรงกลาง คล้ายกับพื้นที่จัดแสดงงาน Sculpture  อีกส่วนคือห้องน้ำที่แยกชาย-หญิงอยู่ตรงข้ามกันค่ะ บริเวณนี้ก็ใช้หินอ่อนในการตกแต่งเช่นเดียวกัน สังเกตว่างานที่ใช้หินทั้งหมดของโครงการนี้จะมีการต่อลวดลายที่ค่อนข้างประณีตค่ะ

เคาน์เตอร์อ่างล้างหน้าเป็นแบบ Stand alone ตั้งอยู่กลางห้อง ส่วนห้องน้ำตกแต่งด้วยหินอ่อนโดยรอบ

ทางเข้าลิฟต์มีกั้นด้วยประตูอีกชั้นหนึ่งที่ต้องใช้คีย์การ์ดในการผ่านเข้าไป

โถงลิฟต์ ของโครงการนี้ประกอบด้วยลิฟต์โดยสารทั้งหมด 4 ตัว เป็นแบบ Private lift สามารถขึ้นไปส่งที่ห้องใครห้องมัน ถึงหน้าห้องโดยไม่ต้องเดินผ่านโถงให้เสียความเป็นส่วนตัว โดยระบบของลิฟต์จะเป็นแบบรับผู้โดยสารแบบใครเรียกก่อนก็จะลำดับคิวไปส่งลูกบ้านห้องนั้นก่อน พอส่งแล้วลิฟต์จะค่อยลงมารับลูกบ้านห้องถัดไป (ลูกบ้านไม่เข้าลิฟต์ปนกัน) ดังนั้นจึงทำให้มีความเป็นส่วนตัวสูง และเนื่องจากโครงการนี้มีจำนวนยูนิตเพียง 88 ยูนิตจึงสามารถใช้ระบบนี้ได้โดยไม่กระทบกับระยะเวลาการรอลิฟต์เท่าไหร่นัก นอกจากนั้นยังมีลิฟต์บริการอีก 1 ตัว เพื่อใช้สำหรับขนส่งสิ่งของหรือในกรณีฉุกเฉินต่างๆ การตกแต่งพื้นที่บริเวณโถงลิฟต์นี้ใช้หินอ่อน “Palissandro Bluette” ที่ต่อลวดลายเป็นรูปตัว V สัญลักษณ์ของโครงการ Vittorio

บริเวณโถงลิฟต์จะมีการจัดแสดงผลงานของ คุณพินรี สัณฑ์พิทักษ์ ที่มีชื่อว่า Flower Fountain และ Flower Shower ที่ได้แรงบันดาลใจมาจากสรีระของผู้หญิงค่ะ

ภายในลิฟต์บริเวณพื้นก็มีการตกแต่งด้วยหิน  Palissandro Bluette เรียงลวดลายเป็นตัว V เช่นเดียวกันกับโถงลิฟต์ พร้อมนำผลงานสร้างของ Alexander Lamont อย่างหนังกระเบนมาใช้ตกแต่งในโถงไพรเวทลิฟต์ทุกตัวเพื่อเพิ่มมูลค่าให้ตัวโครงการอีกด้วย

การวางผังชั้นพักอาศัย จะเน้นการออกแบบให้มีความเป็นส่วนตัวซึ่งถือเป็นจุดเด่นของโครงการ โดยจัดให้ทั้ง 4 มุมของตัวอาคารเป็นตำแหน่งที่ตั้งของห้องพัก ทุกห้องในโครงการจะเป็นยูนิตหัวมุม ผนังของทุกห้องชุดจะถูกดีไซน์ให้แยกออกจากกัน ไม่มีผนังห้องไหนติดกันเลย ซึ่งจะทำให้มีความเป็นส่วนตัวมากขึ้น ช่วยลดเสียง ความร้อน และยังช่วยระบายอากาศได้ ความกว้างของโถงทางเดินในแต่ละชั้นที่กว้าง 1.6 เมตร แบ่งสเปซพักอาศัยให้แยกออกจากกัน แต่ละห้องจะมีพื้นที่เซอร์วิส (Back of House) พื้นที่ส่วนบริการที่แยกต่างหากและมีลิฟต์เฉพาะสำหรับเจ้าหน้าที่บริการ เช่น แม่บ้าน พี่เลี้ยงเด็ก และคนขับรถ ไม่ได้ใช้ลิฟท์ตัวเดียวกันกับผู้พักอาศัยเพื่อให้ความเป็นส่วนตัวอย่างเต็มที่ ในส่วนผู้พักอาศัยจะมี Private Lift ที่ขึ้นมาส่งถึงหน้าห้องเลย ก่อนเข้าห้องจะมีโถงเล็กๆสำหรับนั่งพักคอยได้ ภายในห้องมีการจัดผังแบบ Day Life /Night Life แยกส่วนกิจกรรมเช่นนั่งเล่น รับประทานอาหาร และส่วนพักผ่อนออกจากกัน

ส่วนในชั้นบนๆจะมี Palazzo VITTORIO เพนท์เฮาส์ 3 ชั้น ขนาด 270-306 ตร.ม. จำนวน 2 ยูนิต , Duplex Este: ดูเพล็กซ์แมนชั่น ขนาด 167 ตร.ม. จำนวน 6 ยูนิต และ VITTORIO Villa แมนชั่นขนาด 2 ห้องนอน ขนาด 100-140 ตร.ม. จำนวน 80 ยูนิตค่ะ

สำหรับ Facilities จะมีอยู่ที่ชั้นบนๆอีกส่วนหนึ่ง ได้แก่ สระว่ายน้ำที่อยู่บนชั้น 27 เป็นสระที่มีระบบ Water jet ในการนวดแบ่งออกเป็น Station ส่วนบนชั้น 28 มี Sky Lounge และ ฟิตเนสที่มีการออกแบบพื้นที่เพื่อความเป็นส่วนตัว

ขึ้นมาที่ชั้น 27 จะมีสระว่ายน้ำเป็นสระระบบโอโซน-เกลือ โดยมีแนวความคิดในการออกแบบมาจาก Roman Baths ที่มีการแบ่งการใช้งานของสระออกเป็นส่วนๆ มี Station สำหรับ Therapy หรือ นวดส่วนต่างๆของร่างกาย โดยในแต่ละ Station จะมี Water jet ในการนวด ถือเป็นสระว่ายน้ำที่ใช้กับระบบ Hydro spa pool แบบจัดเต็ม ซึ่งจะมีใช้อยู่ที่โรงแรม Ritz-Carlton ที่ประเทศบาหลี นอกจากนั้นชั้นนี้ก็มีห้องน้ำแยกชายหญิงแยกเป็นสัดส่วน และมีจุดชมวิว (Pool deck)ให้เรานั่งชมวิวเมืองมุมสูงได้ มีบันไดทางขึ้นไปที่ชั้น 28 ได้ ซึ่งบนชั้น 28 นั้นจะมีฟิตเนสและSocial Club อยู่ หรือถ้าขี้เกียจเดินก็สามารถขึ้นลิฟต์เอาได้ค่ะ

ขึ้นมาที่ชั้น 27 จะเป็น Facilities ทั้งชั้น ข้อดีของการจัดวางพื้นที่ส่วนกลางอยู่ชั้นบนๆนั้นคือจะไม่ไปกระทบกับความเป็นส่วนตัวในส่วนพักอาศัย และสามารถชมวิวเปิดโล่งมุมสูงบนชั้น Roof Top อีกด้วย

Arno Vitality Pool เป็นสระว่ายน้ำที่มาพร้อมกับระบบ Hydrotherapy ที่มี 7 สเตชั่น แบ่งการใช้งานของสระออกเป็นส่วนๆ ออกแบบภายใต้แนวคิดวารีบำบัดเพื่อบรรเทาอาการเมื่อยล้าหรือความเครียดจากการทำงาน ได้แรงบันดาลใจมาจาก Roman Baths โดยจะมี Station สำหรับนวดส่วนต่างๆของร่างกาย เช่น ไหล่ ตัว หัว คอ หลัง ขา โดยในแต่ละ Station จะมี Water jet ในการนวด Space บริเวณนี้เป็นแบบ Semi Outdoor ในตอนกลางวันก็สามารถมาว่ายเล่นได้ ไม่ร้อน ราวกันตกที่ผนังด้านข้างเป็นกระจกสามารถเปิดรับวิวได้โดยรอบ

แนวความคิดในการออกแบบสระว่ายน้ำคือ Roman Baths ที่แบ่งพื้นที่การใช้งานออกเป็นหลายๆส่วนค่ะ โดย 7 Station ของสระว่ายน้ำที่สามารถนวดได้ทั้ง นวดหลัง-หัวไหล่ , Swim jet , นวดหลัง , นวดขา , นวดน่อง ได้แก่

  1. Water Curtain & Cannon Massage Jet (Back , Shoulder)
  2. Swim Jet
  3. Water Curtain Massage jet (Back)
  4. Stand Hydrotherapy (Lower Body 45 , 85 cm.)
  5. Spa Seat (Back , Leg)
  6. Water Curtain Massage jet (Back , Shoulder)
  7. Walk Corridor (Lower Body H40 , 85 cm.)

สระว่ายน้ำมีวารีบำบัดแบ่งออกเป็น 7 Station พื้นที่บริเวณนี้เป็นแบบ Semi Outdoor ในตอนกลางวันก็สามารถมาว่ายเล่นได้ ไม่ร้อน ส่วนตอนกลางคืนก็มีการจัด Lighting ให้ บรรยากาศเหมือนในรูป เรามาว่ายเล่นได้ไม่ต้องกลัวว่าจะมืดเช่นกัน

Station ต่างๆแบบซูมใกล้ๆ โซนนี้จะเป็นนวดหลัง ไหล่ ขา น่อง

Station เป็นแบบนวดหลัง ผ่อนคลายความเครียดจากการทำงาน

ด้านข้างสระมีพื้นที่สำหรับอาบน้ำล้างตัว และ ห้องน้ำ

พื้นที่อาบน้ำก่อน-หลังลงสระอยู่ด้านข้างอาคาร มุมนี้สามารถอาบไปด้วย ชมวิวไปด้วยได้เลยค่ะ

ห้องน้ำมีให้แยกชาย-หญิงอยู่ฝั่งตรงข้ามกัน ห้องน้ำในชั้นนี้เป็นห้องเล็ก นอกจากตรงนี้แล้วยังมีห้องน้ำและห้องเแต่งตัวขนาดใหญ่กว่าอยู่ที่ชั้นล่างอีกจุดหนึ่งค่ะ

บรรยากาศภายในห้องน้ำตกแต่งด้วยหินอ่อน

ห้องนี้เป็นห้องน้ำที่มีอ่างล้างหน้าและห้องน้ำ ส่วนพวกห้องอาบน้ำ ห้องแต่งตัว Steam&Sauna อื่นๆจะอยู่ชั้นล่างที่มีบันไดเดินลงจากชั้นนี้ได้เลย ซึ่งเดี๋ยวเราจะพาไปชมกัน

ออกจากห้องน้ำ เราเดินไปดูอีกฝั่งหนึ่งของสระกัน ซึ่งจะประกอบด้วยพื้นที่นั่งชมวิว ทางเดินขึ้นไปฟิตเนส และ ทางลงไปห้องแต่งตัว

ด้านข้างสระอีกฝั่งหนึ่งเป็นพื้นที่นั่งกินลมชมวิว เป็น Double Space โปร่ง โล่ง

มีซุ้มสำหรับนั่งพักผ่อน ชมวิว และ ม้านั่งยาวที่ด้านข้างมีโต๊ะเอาไว้วางแก้วน้ำได้

บริเวณนี้จะมีทางขึ้นไปยังฟิตเนสที่อยู่ในชั้น 28 และ ทางลงไปห้องแต่งตัว , Steam&Sauna

เดี๋ยวเราลงไปดูห้องแต่งตัวและSteam&Sauna กันก่อนนะ

นอกจากห้องน้ำที่อยู่ข้างสระว่ายน้ำชั้น 27 แล้ว เดินลงมาอีกชั้นหนึ่งจะเจอกับห้องแต่งตัวแยกชายหญิง

ภายในห้องนั้นมีครบทั้งห้องน้ำ ห้องอาบน้ำ Steam&Sauna ในแง่ของการใช้งานแล้วมีครบและเป็นส่วนตัวมากกว่าห้องน้ำที่อยู่ชั้นบน

บริเวณหน้าห้องมีล็อคเกอร์พร้อมกุญแจมาให้

มีห้องน้ำ ห้องอาบน้ำ  Steam&Sauna

บรรยากาศภายในมีห้องน้ำและห้องอาบน้ำ อย่างห้องอาบน้ำที่นี่ดีมีแยกส่วนเปียกส่วนแห้งให้ด้วย เข้ามาจะเจอส่วนแห้งเอาไว้แต่งตัว วางเสื้อผ้าก่อน ไม่ต้องกังวลว่าอาบน้ำแล้วพื้นจะเปียกเวลาแต่งตัว ถัดเข้าไปจึงเป็นพื้นที่อาบน้ำที่กั้นฉากกั้นอาบน้ำมาให้

บรรยากาศห้อง Steam มีที่นั่งนั่งกันได้หลายคน

ส่วนนี่คือห้อง Sauna บริเวณหน้าห้องจะมีปุ่มเอาไว้ให้กดเปิด-ปิดไฟ หรือปรับอุณหภูมิค่ะ

ชั้น 28 จะเป็นส่วนของฟิตเนสที่มีชื่อว่า Club Kinetic และ Social Club ชื่อว่า Salone 39 ตั้งอยู่บนชั้นบนสุด ผนังโดยรอบจะเป็นกระจกสามารถใช้ชมวิวได้โดยรอบ ในฟิตเนสจะมีการออกแบบเพื่อเพิ่มความเป็นส่วนตัวให้กับผู้ที่มาใช้งานโดยการจัดให้เครื่องออกกำลังกายแต่ละชิ้นให้มีระยะไม่ติดกันจนเกินไป เช่นบริเวณเครื่องวิ่งจะมีผนังกั้นขึ้นมาบางส่วน ทำให้คนที่วิ่งอยู่ข้างๆมองไม่เห็นกัน ในส่วนของ  Social Club ก็มีจุดนั่งชมวิวเช่นเดียวกัน ชั้นนี้จะมีการจัดแสดงงานศิลปะด้วย โดยมีงานจิตรกรรมอยู่ 2 จุดในฟิตเนสและ Social Club ส่วนบริเวณโถงจัดแสดงเป็นงานประติมากรรม

ขึ้นมาที่ชั้น 28 ค่ะ การตกแต่งโถงลิฟต์และทางเดินไปพื้นที่ส่วนกลาง ออกแบบมาเหมือนกับชั้น 27

งานประติมากรรมชื่อว่า “PLENTY” หรือ “บันไดแห่งความสำเร็จ” ของคุณพิทักษ์ สง่า ตั้งโดดเด่นอยู่บริเวณโถงทางเดิน ระหว่างทางเข้า Club Kinetic และ Salone 39

มาดูต่อกันที่ฟิตเนสที่มีชื่อว่า Club Kinetic ตั้งอยู่บนชั้นบนสุด พื้นที่ออกกำลังกายที่มาพร้อมกับวิวพาโนรามา เนื่องจากผนังโดยรอบเป็นกระจกเปิดรับวิวได้เต็มที่ อีกทั้งยังมีพื้นที่อันเป็นส่วนตัวด้วยการออกแบบสเปซสำหรับเครื่องวิ่งที่แยกเฉพาะบุคคล ด้วยผนังกระจกที่กั้นแยกกันเวลาเราเล่นเครื่องวิ่งอยู่ก็จะมองไม่เห็นกัน

ฟิตเนสที่นี่จะมีนวัตกรรมเครื่องออกกำลังกายแนวใหม่ ‘Kinesis’ จาก Technogym ผู้ผลิตอุปกรณ์กีฬาชื่อดังของอิตาลี สามารถปรับน้ำหนักและใช้ออกกำลังกายได้หลายส่วนในร่างกายถึง 200 ท่า อีกทั้งยังมีรูปลักษณ์ที่สวยงามอีกด้วย

บรรยากาศอีกมุมหนึ่งค่ะ  การวางผังของฟิตเนสจะเน้นความเป็นส่วนตัว อุปกรณ์ต่างๆวางไม่ติดกันจนเกินไป โดยเครื่องเล่นและอุปกรณ์ทางโครงการเลือกใช้ของ Technogym แบรนด์ชั้นนำระดับโลกที่ทุกบริษัทในวงการฟิตเนสนิยมใช้เป็นส่วนใหญ่

ภายในห้องฟิตเนสจะมีเคาน์เตอร์สำหรับทานน้ำและมีห้องน้ำแยกชาย-หญิงมาให้ด้วย

บรรยากาศภายในห้องน้ำค่ะ การตกแต่งคล้ายๆกันกับห้องน้ำส่วนกลางอื่นๆ

Salone 39 แหล่งสังสรรค์ภายในบรรยากาศหรู ตั้งอยู่บนชั้น 28 ฝั่งตรงข้ามกับฟิตเนส ออกแบบให้มีผนังกระจกสามารถชมวิวได้โดยรอบ โดยห้องนี้จะมีระบบการจองออนไลน์ผ่านทาง Application เพื่อให้ลูกบ้านขึ้นมาใช้งานไม่ชนกัน

บริเวณหน้าห้องมีการจัดแสดงงานศิลปะ ภาพเขียน ซีรีย์ HARMONIA ของอาจารย์นุกูล ปัญญาดี เป็นภาพที่ได้แรงบันดาลใจมาจากรูปทรงของเครื่องดนตรี

งานประติมากรรม “งอกงาม” ของอาจารย์ เขียน ซึ่งเป็นของจริงที่เหมือนกับแบบขยายด้านล่างค่ะ

และภายในห้องนี้จะมีเคาน์เตอร์บาร์พร้อมตู้ wine sella ไว้บริการ สามารถนำไวน์จากห้องตัวเองขึ้นมาแช่ พร้อมนัดประชุมหรือนั่งคุยกับเพื่อนๆได้

ตู้แช่ไวน์ค่ะ

มีมุมที่นั่งชมวิวได้อย่างเป็นส่วนตัว

สำหรับวิวเราไปถ่ายมาได้ 2 ฝั่งคือ วิวทางฝั่งทิศเหนือ มองออกไปเห็นอาคารสูงคือคอนโด THE XXXIX  , Le Raffine39 และ บ้านสวนเพชร นอกนั้นเป็นวิวของบ้านพักอาศัย

วิวฝั่งทิศตะวันออก เป็นวิวทางฝั่งทองหล่อ-เอกมัย รอบๆมีที่ดินเปล่า อพาร์ทเม้นท์ ทางฝั่งขวาคืออาคารสำนักงาน Metropolis Bangkok

สำหรับวิวทางฝั่งทิศใต้ มองออกไปจะเห็นโครงการ MARQUE คอนโด High Rise สูง 50 ชั้นที่อยู่ข้างเคียง และวิวทางทิศตะวันตก เป็นวิวฝั่งมุ่งหน้าไปทางอโศกจะมองเห็น The District Em และสวนสาธารณะอย่างสวนเบญจสิริด้วยค่ะ

สรุปสิ่งอำนวยความสะดวก

  • Vittorio Concierge
  • Lobby (Galleria Medici)
  • Lobby Lounge
  • สระว่ายน้ำ (Arno Vitality Pool )  1 สระ ระบบโอโซน-เกลือ พร้อมระบบ Hydrotherapy
  • Changing Rooms
  • Steam&Sauna
  • ห้องออกกำลังกาย (Club Kinetic) 1 ห้อง 
  • Social Club (Salone 39)
  • สวนหย่อมรอบโครงการ
  • ลิฟต์โดยสาร 4 ตัว/อาคาร
  • Service Lift 1  ตัว
  • Parking Lift 1  ตัว
  • ที่จอดรถประมาณ 142 คันคิดเป็น 161% แบบไม่รวมจอดซ้อนคัน
  • ระบบ CCTV / Access Card


Product Walkthrough

โครงการนี้ขายแบบ Fully Fitted ให้ชุดครัว Built-in พร้อมเตาไฟฟ้า , เครื่องดูดควัน , เตาอบ , ตู้เย็น และสุขภัณฑ์ สำหรับห้องตัวอย่างที่จะพาไปชมจะมี 2 ห้องนอน 140 ตารางเมตร และ 2 ห้องนอน 135 ตารางเมตรค่ะ

ห้องตัวอย่างห้องแรกที่เราจะพาไปชมคือ 2 ห้องนอน 140 ตารางเมตร การออกแบบห้องพักอาศัยของโครงการนี้จะให้ความสำคัญเรื่องความเป็นส่วนตัวของลูกบ้านเป็นหลัก โดยทุกห้องจะมี Private Lift ขึ้นมาส่งถึงหน้าห้อง ก่อนเข้าห้องจะมีโถงเล็กๆสำหรับนั่งพักคอย ภายในห้องมีการจัดผังแบบ Day Life /Night Life แยกส่วนกิจกรรมเช่นนั่งเล่น รับประทานอาหาร และส่วนพักผ่อนออกจากกัน ทุกห้องจะมีพื้นที่เซอร์วิส (Back of House) พื้นที่ส่วนบริการที่แยกต่างหาก และมีแยกลิฟต์ที่ใช้เฉพาะเจ้าหน้าที่บริการเช่น แม่บ้าน คนขับรถโดยเฉพาะ ซึ่งเจ้าหน้าที่จะเข้ามา Service ได้โดยไม่ต้องใช้ลิฟต์ตัวเดียวกันกับผู้พักอาศัย

เข้าห้องมาจะเจอกับพื้นที่ต่อเนื่องกันของห้องนั่งเล่นและรับประทานอาหาร เชื่อมต่อกับระเบียงขนาดใหญ่ที่กั้นด้วยประตูบานเลื่อน เนื่องจากทางโครงการจัดตำแหน่ง Condensing Unit ของแอร์ไว้ในห้องงานระบบบริเวณเดียวกับส่วน Service ของตัวห้อง เราจึงสามารถออกมาใช้ระเบียงได้เต็มที่ จะวางโต๊ะหรือเก้าอี้พักผ่อนก็ได้ ไม่มีอะไรมาบดบังวิวค่ะ ฝั่งตรงข้ามโต๊ะรับประทานอาหารเป็นครัว ที่มีลักษณะเป็นครัวเปิด เคาน์เตอร์เป็นรูปตัวแอล มีพื้นที่ด้านหน้าที่สามารถจัดครัวแบบเกาะกลาง (Island Kitchen) ได้ พร้อมติดตั้งอุปกรณ์ต่างๆมาให้ครบครัน พื้นที่บริเวณนี้จะใกล้กับส่วน Service ซึ่งในแง่ของการใช้งานถือว่าสะดวกในกรณีที่แม่บ้านเข้ามาทำงานหรือทำครัว มีห้องน้ำแบบ Powder room คือไม่มีพื้นที่อาบน้ำมาให้ใช้เป็นห้องน้ำส่วนกลางสำหรับแขกหรือใช้ทำธุระเวลาที่เราอยู่นอกห้องนอน สำหรับพื้นที่พักผ่อน (Night Life)จะอยู่อีกฝั่งหนึ่งของตัวห้อง แยกเป็นสัดส่วน แบ่งออกเป็นห้องนอนเล็กและห้องนอน Master Bedroom แต่ละห้องจะมีห้องน้ำในตัว โดยห้อง Master Bedroom จะมีขนาดใหญ่กว่า ห้องน้ำจัดอ่างล้างหน้าแบบ His&Her และมีพื้นที่วางอ่างอาบน้ำ

ทุกห้องของโครงการนี้พอเราเปิดลิฟต์ออกมาก็จะเจอกับทางเข้าห้องของเราเลย โดยบริเวณหน้าห้องจะมีโถงส่วนตัวสำหรับให้นั่งพักคอย ถอดรองเท้า ด้วยขนาดพื้นที่สามารถวางม้านั่งยาวหรือทำตู้รองเท้าแบบในห้องตัวอย่างได้

บริเวณโถงหน้าห้องสามารถ Built-in ทำเป็นชั้นวางรองเท้าได้ทั้งผนังเลย สำหรับหน้าบานตู้ถ้าทำเป็นกระจกเงาแบบในห้องตัวอย่างก็สามารถส่องดูตรวจเช็คความเรียบร้อยก่อนออกจากบ้านได้ เป็นไอเดียในการตกแต่งห้องค่ะ

ประตูทางเข้าห้องเป็นแบบบานเปิดคู่ มีบานใหญ่ 1 บานและบานเล็กอีก 1 บาน พอเปิดทั้งสองบานแล้วจะได้ช่องเปิดขนาดใหญ่

Digital Door Lock ทางโครงการให้เป็นของ Ving Card ค่ะ

เข้าห้องมาจะเจอกับพื้นที่นั่งเล่นต่อเนื่องกับพื้นที่รับประทานอาหารและครัว ทางฝั่งซ้ายคือระเบียงกั้นด้วยประตูกระจกบานเลื่อน บริเวณนี้จะเป็นช่องแสงขนาดใหญ่ สามารถใช้ชมวิวและเปิดรับลมได้เต็มที่ ฝ้าเพดานห้องนี้สูง 3 เมตร พื้นปูด้วย Composite Marble ขนาด 60 x 60 cm. ได้แอร์เป็นระบบฝังฝ้าเพดาน

ห้องนั่งเล่นวางโซฟาได้ขนาดประมาณ 3-4 ที่นั่ง และยังมีพื้นที่เหลือสำหรับวางเก้าอี้ Armchair ได้อีก จากมุมนี้เราสามารถนั่งชมวิวได้ด้วยค่ะ

ประตูทางออกไปที่ระเบียงเป็นบานเลื่อนกระจกพอเปิดออกทั้งหมดก็จะได้ช่องเปิดขนาดใหญ่ ให้เรารับลมชมวิวได้เต็มๆ

เราสามารถออกมาใช้งานระเบียงได้เต็มที่ โดยจะวางโต๊ะ-เก้าอี้ หรือจัดสวนก็ได้ ไม่ต้องเสียพื้นที่ให้กับ Condensing Unit ของแอร์ที่ถูกจัดวางให้อยู่ในส่วน Service ของห้อง ราวกันตกของระเบียงออกแบบมาเป็นกระจกใส จึงเปิดมุมมองให้เราได้เห็นวิวได้เต็มที่แบบไม่มีอะไรมาบดบัง

พอเปิดประตูบานเลื่อนแล้วก็จะเกิด Space ที่ต่อเนื่องกันระหว่างระเบียง และห้องนั่งเล่นกับห้องอาหาร สามารถใช้พื้นที่นี้จัดปาร์ตี้กันในครอบครัวได้

พื้นที่รับประทานอาหารจัดได้ประมาณ 4-6 ที่นั่ง ฝั่งตรงข้ามโต๊ะอาหารคือครัว พอทำอาหารเสร็จก็ยกมาเสิร์ฟได้สะดวก

ครัวออกแบบมาเป็นครัวเปิด ชุดครัวเราได้ตามในห้องตัวอย่างเลยโดยเคาน์เตอร์เป็นรูปตัวแอล มีพื้นที่ด้านหน้าที่สามารถจัดครัวแบบเกาะกลาง (Island Kitchen) ได้ สำหรับวัสดุเคาน์เตอร์ปิดผิวด้วยลามิเนตสีขาว Top เป็นหิน Quartz หน้าบานตู้เป็น Metallic White Glass ส่วนผนังด้านหลัง (Backsplash) กรุด้วยกระเบื้อง ทำความสะอาดง่าย เหมาะกับการใช้งานค่ะ

ครัวแบบเกาะกลาง (Island Kitchen) ด้านหน้ามีตู้เปิดออกมาเก็บของได้

ส่วนด้านหลังของ Island Kitchen ก็ออกแบบมาให้มีฟังก์ชันสำหรับใช้สอย โดยตู้ด้านล่างอ่างล้างจานมีซ่อนถังขยะเอาไว้ด้านใน ส่วนอีกฝั่งหนึ่งเป็นลิ้นชักที่เปิดออกมาเก็บของได้ ภายในติดตั้งอุปกรณ์ต่างๆมาให้พร้อม เก็บได้เป็นสัดส่วนทั้งจาน ชาม ช้อน ส้อม

อ่างล้างจานเป็นแบบที่เลื่อน Top ที่อยู่ด้านบนมาปิดเพื่อเพิ่มพื้นที่ใช้สอยได้

ก๊อกน้ำสามารถดึงสายให้ยาวออกมาได้เพื่อเพิ่มความสะดวกในการใช้งาน ด้านข้างก๊อกมีที่กดสบู่มาให้ด้วย

พวกชุดตู้ด้านล่าง สามารถเก็บของได้เยอะมากๆ แถมมีการแบ่งช่องเก็บของใช้งานเอาไว้เบ็ดเสร็จ พวกระบบการปิดนี่เป็น Soft Close ทั้งหมด

เตาไฟฟ้าและเครื่องดูดควันได้ของ GAGGENAU

ทางฝั่งนี้เป็นตู้เย็นแบบ Built-in ของ Siemens และ เตาอบของ GAGGENAU

บริเวณหัวมุมของเคาน์เตอร์มีช่องสำหรับวางเครื่องปิ้งขนมปัง ด้านในติดตั้งปลั๊กไฟเอาไว้ เวลาใช้งานสามารถเลื่อนฉากด้านบนลงมาปิดเพื่อกันกลิ่นและควันได้

อีกฝั่งหนึ่งของครัวเป็นทางออกไปยังส่วน Service และ ห้องน้ำ

เราเข้ามาดูในส่วนของพื้นที่ Service กันก่อนค่ะ ภายในจะประกอบด้วยห้องงานระบบ ห้องซักรีด และทางเข้าห้องสำหรับแม่บ้าน โดยจะเป็นคนละทางกันกับประตูทางเข้าหลัก

ภายในห้องงานระบบเป็นพื้นที่สำหรับวาง Condensing Unit ของแอร์ด้วย มีติดตั้งระแนงสำหรับระบายอากาศมาให้เรียบร้อย ห้องนี้ยังมีที่เหลือสำหรับใช้เก็บของได้ด้วย ส่วนห้องซักรีดเราสามารถ Built-in วางเครื่องซักผ้าและตู้เสื้อผ้าได้ตามในห้องตัวอย่าง

ถัดมาเป็นห้องน้ำส่วนกลางที่ทุกคนใช้แชร์กัน เป็นแบบ Powder room คือมีเฉพาะอ่างล้างหน้าและโถสุขภัณฑ์

อ่างล้างหน้าและโถสุขภัณฑ์มีระยะห่างกันในระยะที่ใช้งานได้สะดวก

อีกฝั่งหนึ่งของห้องจะเป็นส่วน Night Life หรือ ส่วนนอนพักผ่อนซึ่งแยกเป็นสัดส่วนออกมาจากฝั่ง Day Life เลย  ประกอบด้วยห้องนอนเล็กและ Master Bedroom ตรงกลางจะเป็นโถงทางเดินสำหรับแยกไปยังห้องต่างๆ ซึ่งบริเวณปลายสุดของทางเดินมีช่องแสงทำให้โถงนี้สว่างและโปร่ง ไม่ต้องเปิดไฟในเวลากลางวัน ช่วยให้มีการระบายอากาศที่ดี

ห้องนอนเล็ก เป็นห้องนอนที่จัดฟังก์ชันการใช้งานต่างๆได้ครบ ตรงกลางวางเตียงได้ขนาด 6 ฟุตและมีพื้นที่วางโต๊ะหัวเตียงได้ทั้ง 2 ฝั่ง ปลายเตียงวางตู้วางทีวีได้ ข้างเตียงเป็นหน้าต่างบานใหญ่เปิดรับแสงธรรมชาติและวิว มีหน้าต่างบานกระทุ้งที่ใช้เปิดระบายอากาศได้อีกด้วย ในส่วนของห้องนอนนี้พื้นจะเปลี่ยนเป็นไม้ Engineer หนา 12 มม.

เครื่องปรับอากาศภายในห้องได้แบบ Concealed Split Type หรือแอร์แบบฝังฝ้าเพดาน ซึ่งทำให้ห้องดูเรียบร้อยดี ภายในห้องนอนอีกฝั่งหนึ่งเป็นส่วนของ Walk-in Closet และห้องน้ำค่ะ

Walk-in Closet อยู่หน้าห้องน้ำ เวลาอาบน้ำเสร็จก็ออกมาแต่งตัวได้สะดวก ห้องน้ำออกแบบมาให้เป็นแบบ Sexy Bath คือมีผนังเป็นกระจก คล้ายๆกับห้องน้ำในโรงแรม ถ้าใครอยากได้ความเป็นส่วนตัวก็สามารถติดตั้งม่านหรือติดฟิลม์เพิ่มเติมได้ค่ะ

ห้องน้ำแบ่งการใช้งานเป็นส่วนเปียก-ส่วนแห้งเป็นสัดส่วน และได้ความโปร่งจากการที่มีผนังบางส่วนเป็นกระจกที่ทำให้แสงธรรมชาติส่องผ่านเข้าไปถึงในห้องน้ำได้เลย ภายในติดตั้งสุขภัณฑ์ต่างๆมาให้ครบ พื้นเป็นหิน Quartz ขนาด 60×60 cm. ส่วนผนังกรุหิน Compose Marbke ขนาด 60×60 cm. และ โมเสกสีขาว

พื้นห้องน้ำลดระดับลงมาจากพื้นห้องนอนอีกนิดหนึ่ง เพื่อกันน้ำจากภายในห้องน้ำไหลออกไปส่วนอยู่อาศัยอื่นๆ จบขอบด้วยธรณีหินอ่อน

อ่างล้างหน้าจะได้พร้อมกับตู้ลอยติดผนังที่ด้านในมีชั้นสำหรับเก็บของ หน้าบานตู้เป็นกระจก ซึ่งห้องจริงที่ส่งมอบให้ลูกบ้านก็จะได้แบบนี้เลย

อ่างล้างหน้าได้ของ Kasch มีขนาดใหญ่พอสมควร ด้านล่างมีชั้นสำหรับวางผ้าเช็ดตัว

โถสุขภัณฑ์ได้ของ Kohler พร้อมติดตั้งอุปกรณ์มาให้พร้อม รอบๆมีระยะการใช้งานที่สะดวก

พื้นที่อาบน้ำกั้นเป็นสัดส่วนด้วยฉากกั้นบานกระจกนิรภัยของ Riviera ช่วยกันไม่ให้น้ำจากพื้นที่ส่วนเปียกกระเด็นออกมาในพื้นที่ส่วนแห้งค่ะ

หน้าตาชุดฝักบัวและ Rain Shower ของ Grohe

ซูมฝักบัวที่โครงการให้มา

ถัดมาเป็น Master Bedroom พื้นที่ของห้องนอนนั้นถือว่ากว้างทีเดียว ดูจากพื้นที่ทางเดินทั้งรอบเตียงและปลายเตียงมีการวางเฟอร์นิเจอร์ใช้งานต่างๆลงไปแล้ว สามารถเดินไปมาได้อย่างสะดวกอยู่ อีกทั้งจุดเด่นอย่างหน้าต่างช่องแสงที่สูงมาก และกว้างเต็มผนังทำให้ห้องนอนดูสว่างและโปร่งโล่งสบายตา

บริเวณผนังฝั่งข้างเตียงสามารถจัดเป็นมุมโต๊ะเครื่องแป้งหรือโต๊ะทำงานขนาดใหญ่ได้เลย มีพื้นที่ทางเดินเหลือสะดวก

มีมุม Walk in Closet พื้นที่แต่งตัวที่อยู่ก่อนประตูทางเข้าห้องน้ำ

ภายในห้องน้ำแบ่งเป็นส่วนเปียกส่วนแห้ง ห้องมีพื้นที่กว้างและยังได้แสงธรรมชาติจากหน้าต่างบานใหญ่ มีเคาน์เตอร์อ่างล้างหน้ายาวตลอดแนวผนัง พื้นที่อาบน้ำมีให้ทั้งแบบยืนอาบและอ่างอาบน้ำ วัสดุต่างๆใช้เหมือนห้องก่อนหน้า

ชุดเคาน์เตอร์อ่างล้างหน้าเราได้แบบนี้เลยพร้อมตู้กระจกด้านหลัง

อ่างล้างหน้าเป็นแบบ His&Her รองรับการใช้งานได้มากกว่า 1 คน มีพื้นที่รอบๆและชั้นด้านล่างที่สามารถวางของได้

มุมตรงหน้าต่างนี้จัดเป็นอ่างอาบน้ำ เวลาเหนื่อยล้าจากการทำงานก็สามารถมานอนแช่น้ำพร้อมชมวิวเมืองไปด้วยได้

อ่างอาบน้ำเป็นของ Kasch นอนแช่ได้สบายๆ

ฝักบัวบริเวณอ่างอาบน้ำสามารถดึงออกมาได้ค่ะ ทั้งชุดเป็นของ Grohe

โถสุขภัณฑ์ของ Kohler

มีพื้นที่อาบน้ำแบบยืนอาบกั้นด้วยฉากกั้นมาให้เป็นสัดส่วน ฝักบัวมีให้ทั้งแบบมือจับและ Rain Shower

ชุดฝักบัวของ Grohe

ปลั๊กและสวิตซ์เป็นของ  Schneider

ต่อมาคือห้อง 2 Bedroom 135 ตารางเมตร พอขึ้น Private Lift มาก็จะเจอกับห้องของเราเลยเช่นกัน โดยมีพื้นที่โถงส่วนตัวสำหรับนั่งพักคอยก่อนเข้าไปยังตัวห้อง เข้ามาในห้องจะเจอกับส่วน Day Life หรือพื้นที่ทำกิจกรรมในครอบครัวประกอบด้วย พื้นที่นั่งเล่น พื้นที่รับประทานอาหาร และครัว ทั้งหมดจะต่อเนื่องกันเชื่อมต่อกับระเบียงขนาดใหญ่ มีส่วน Service (ซักล้าง , งานระบบ) ที่แยกประตูทางเข้าออกมาต่างหาก มีห้องน้ำแบบ Powder room ให้ใช้ร่วมกัน 1 ห้อง ส่วนพื้นที่นอนพักผ่อน หรือ Night Life อยู่อีกฝั่งหนึ่งประกอบด้วยห้องนอนเล่นและห้อง Master Bedroom มีห้องน้ำและWalk-in Closet ในตัวทุกห้อง สามารถใช้งานได้สะดวกและเป็นส่วนตัว

พอออกจากลิฟต์มาก็จะเจอกับโถงที่สามารถวาง Built-in ตู้รองเท้าและวางเก้าอี้สำหรับนั่งพักคอยหรือนั่งใส่รองเท้าได้ สำหรับผู้มาติดต่อหรือแขกสามารถมานั่งรอบริเวณนี้ได้ก่อนจะเข้าห้อง

ห้องจะกั้นด้วยผนังและประตูอีกชั้นหนึ่ง ในห้องจริงจะเป็นผนังทึบนะคะ

ภายในห้องมีการจัดผังแบบ Day Life /Night Life เช่นเดียวกันกับห้องอื่นๆ โดยเข้ามาด้านในห้องจะเจอกับพื้นที่ Day Life สำหรับทำกิจกรรมร่วมกันในครอบครัว ประกอบด้วยครัว ห้องรับประทานอาหาร ห้องนั่งเล่น ห้องน้ำและส่วน Service ต่างๆ เดี๋ยวเราค่อยๆไล่ดูกันทีละห้องนะ

ห้องแรกเป็นห้องน้ำแบบ Powder room มีอ่างล้างหน้าและโถสุขภัณฑ์ สำหรับใช้ร่วมกันในครอบครัวหรือใช้เป็นห้องน้ำแขกผู้มาติดต่อ

ส่วน Service จะประกอบด้วยห้องซักรีด+ห้องงานระบบอยู่ทางฝั่งซ้าย และ ตรงกลางคือประตูทางเข้าของแม่บ้าน

เดินเข้าประตูทางฝั่งซ้ายมาจะเจอกับห้องซักรีดและถัดไปเป็นห้องงานระบบ

สำหรับพื้นที่ Service หรือ (Back of House) จะแยกออกมาต่างหากจากตัวห้อง มีแยกลิฟต์ที่ใช้เฉพาะเจ้าหน้าที่บริการเช่น แม่บ้าน คนขับรถโดยเฉพาะ โดยเจ้าหน้าที่จะเข้ามา Service ได้โดยไม่ต้องใช้ลิฟต์ฝั่งเดียวกันกับผู้พักอาศัยและไม่ต้องผ่านเข้ามาในห้อง

โดยประตูทางเข้าห้องของแม่บ้านนั้นจะเชื่อมต่อกับโถงลิฟต์ที่เป็นโถงรวม ใช้สำหรับเจ้าหน้าที่เข้ามา Service เท่านั้น

บรรยากาศของโถงลิฟต์ส่วนกลางเป็นประมาณนี้ค่ะ ลิฟต์ที่เปิดออกมาจะเป็นคนละฝั่งกับลิฟต์ที่เข้าโถงลิฟต์ส่วนตัวของลูกบ้าน

ครัวของห้องนี้ก็เป็นครัวเปิด เคาน์เตอร์ครัวแบบตัวแอลเข้ามุม ด้านหน้ามีเคาน์เตอร์แบบ Island ที่สามารถใช้เตรียมอาหาร ล้างผัก ล้างจาน แล้วนำไปประกอบอาหารที่เคาน์เตอร์ด้านหลัง เนื่องจากเป็นครัวเปิดจึงเหมาะกับทำอาหารเบาๆหรือใช้จัดปาร์ตี้มากกว่า เครื่องครัวและอุปกรณ์ต่างๆทางโครงการมีให้ครบทั้ง อ่างล้างจาน เตาไฟฟ้า เครื่องดูดควัน เตาอบ ตู้เย็น

ตรงข้ามกับครัวเป็นพื้นที่ของส่วนรับประทานอาหารและนั่งเล่น ซึ่งโซนนี้บรรยากาศจะโปร่งโล่งด้วยช่องแสงขนาดใหญ่

ฝั่งหน้าห้องเป็นพื้นที่นั่งเล่นรับแขก วางชุดโซฟาได้ขนาดใหญ่

มุมนี้สามารถนั่งเล่นพักผ่อนหรือทานข้าวพร้อมชมวิวไปด้วยเลยได้ค่ะ เนื่องจากประตูบานเลื่อนเป็นบานกระจกขนาดใหญ่เปิดรับวิวได้เต็มที่

พอเลื่อนประตูเปิดออกแล้วก็จะได้พื้นที่เชื่อมต่อกับระเบียงแบบนี้ สามารถออกมานั่งเล่นชมวิวหรือใช้จัดปาร์ตี้ได้ โดยการเลือกใช้ฟังก์ชั่นบริเวณระเบียงนั้นอาจปรับเปลี่ยนได้หลากหลายตาม “ไลฟ์สไตล์ การใช้งาน ความชอบ” ของเจ้าของห้องนะ

ห้องพักอาศัยที่อยู่ทางฝั่งนี้ ถ้ามองจากระเบียงมองออกไปจะได้วิวเป็นพื้นที่สีเขียวสบายตา จากบ้านข้างเคียงค่ะ

พื้นที่รับประทานอาหารรองรับได้ประมาณ 6 ที่นั่ง ด้านหลังมีพื้นที่ทำเป็นตู้แช่ไวน์ค่ะ

อีกฝั่งหนึ่งของตัวห้องเป็นส่วน Night Life หรือนอนพักผ่อน แยกออกต่างหากจากส่วน Day Life เพื่อความเป็นส่วนตัว

เข้ามาดูห้อง Master Bedroom กัน พอเข้ามาก็จะเจอกับ Walk-in Closet และ ห้องน้ำก่อน ด้านในสุดจึงจะเป็นพื้นที่นอนพักผ่อน การจัดพื้นที่แบบนี้ห้องนอนด้านในจะได้ความเป็นส่วนตัวสูงและสามารถออกมาใช้ห้องน้ำได้โดยไม่รบกวนอีกคนที่กำลังหลับอยู่

ทางเข้าห้องน้ำขนาบข้างด้วยตู้เสื้อผ้าทั้งสองฝั่ง

ห้องน้ำมีฟังก์ชันการใช้งานทั้งอ่างล้างมือแบบ His & Her ที่แยกการใช้งานของคุณผู้ชายและคุณผู้หญิงสองฝั่งชัดเจน ด้านล่างทำเป็นชั้นวางพวกของใช้อย่างผ้าขนหนูและมีลิ้นชักเก็บของให้ด้วย มีอ่างอาบน้ำ โถสุขภัณฑ์ และ พื้นที่ยืนอาบน้ำกั้นด้วยฉากกั้นเป็นสัดส่วน

พื้นที่ส่วนเปียกกั้นเป็นสัดส่วนไม่ให้น้ำจากพื้นที่ส่วนเปียกกระเด็นออกมาในพื้นที่ส่วนแห้งค่ะ ภายในติดตั้งมาให้ครบทั้งฝักบัวและRain Shower

พื้นที่สุขภัณฑ์ ติดตั้งสายฉีดชำระและที่ใส่ทิชชู่มาให้ครบ ระยะการหยิบจับใช้งานค่อนข้างง่าย

บริเวณช่องหน้าต่างจัดเป็นอ่างอาบน้ำแบบนอนแช่ตัวชมวิว

ถัดเข้ามาด้านในห้องจึงเป็นพื้นที่นอนพักผ่อน โดยตำแหน่งของเตียงจะวางหันหน้าเข้าหาบานหน้าต่างขนาดใหญ่แบบ Bay Window (หน้าต่างแบบเข้ามุม) เปิดรับวิวได้เต็มที่

ด้านข้างเตียงยังมีพื้นที่สามารถวางเก้าอี้ Armchair สำหรับนั่งอ่านหนังสือพักผ่อนก่อนเข้านอนได้

อีกฝั่งหนึ่งวางเป็นโต๊ะทำงานที่ชมวิวไปด้วยได้

อีกห้องหนึ่งคือห้องนอนเล็ก แบ่งพื้นที่ออกเป็นส่วนนอนพักผ่อน ห้องน้ำและ Walk-in Closet

อีกฝั่งหนึ่งของห้องเป็น ห้องน้ำและ Walk-in Closet ค่ะ โดยห้องน้ำเป็นแบบ Sexy Bath มีหนังเป็นกระจก

ห้องน้ำแยกการใช้งานเป็นสัดส่วนทั้งส่วนแห้ง ส่วนเปียก พร้อมติดตั้งอุปกรณ์ต่างๆมาให้ครบ

**รายละเอียดของวัสดุต่างๆเช่น ยี่ห้อ และรุ่น ของจริงอาจจะเป็นรุ่นนี้หรือเทียบเท่านะคะ

ราคาและเงื่อนไขการขาย @ 22 March 2018

  • 2 Bedroom ขนาด 135 ตร.ม. ราคาเริ่มต้น 43 ล้านบาท
  • 2 Bedroom ขนาด 135 ตร.ม. (ห้องตัวอย่างพร้อมตกแต่ง) ราคา 53 ล้านบาท
  • 2 Bedroom ขนาด 140 ตร.ม. ราคาเริ่มต้น 46 ล้านบาท
  • 2 Bedroom ขนาด 140 ตร.ม. (ห้องตัวอย่างพร้อมตกแต่ง) ราคา 63 ล้านบาท

  • Fully Fitted
  • ฝ้าเพดานสูงประมาณ 3 เมตร
  • Kitchen & Sink
  • Hob & Hood
  • จอง+ทำสัญญา n/a บาท
  • ดาวน์ n/a% ผ่อนดาวน์ n/a งวด
  • ค่ากองทุน n/a บาท/ตร.ม.
  • ค่าส่วนกลาง 120 บาท/ตร.ม./เดือน

**ราคาที่เอามาลงในบทความเป็นราคา ณ วันที่เข้าไปเก็บข้อมูลทำรีวิว ดังนั้นราคาต่างๆอาจมีการเปลี่ยนแปลงได้ค่ะ


เจาะลึกรวบยอด

VITTORIO เป็นคอนโดมิเนียมแบรนด์สูงที่สุดของ AP ที่ออกแบบโดยผสมผสานงานศิลปะเข้ากับการใช้ชีวิต มีความเป็นส่วนตัวด้วยจำนวนห้องพักเพียง 88 ยูนิต นอกจากนั้นยังมีการออกแบบวางผังให้ลูกบ้านมีความเป็นส่วนตัวสูงสุด ทำเลของ VITTORIO มีจุดเด่นอยู่ตรงที่ ตั้งอยู่ใจกลางเมืองย่านพร้อมพงษ์ในซอยสุขุมวิท 39 ใกล้สถานีรถไฟฟ้าพร้อมพงษ์ สำหรับความอุดมสมบูรณ์เป็นทำเลที่มีครบแทบทุกอย่าง ทั้งร้านค้า ร้านอาหาร ร้านขนม ร้านกาแฟ โดยเฉพาะร้านที่เป็นสไตล์ญี่ปุ่น เป็นแหล่งรวมของศูนย์การค้าชั้นนำระดับเวิร์ลคลาสใจกลางสุขุมวิทกับโครงการ The District Em อันประกอบด้วย ดิ เอ็มโพเรียม, ดิ เอ็มควอเทียร์ และดิ เอ็มสเฟียร์ ใกล้สถาบันการศึกษาและโรงพยาบาลชั้นนำ ทำให้ทำเลนี้เป็นย่านการค้า แหล่งธุรกิจ โรงแรม ออฟฟิศที่พักอาศัย ศูนย์ความบันเทิงที่ครบครัน มีคนอาศัยอยู่ทั้งชาวไทยและต่างประเทศโดยเฉพาะชาวญี่ปุ่น ใกล้ ทองหล่อ ย่านที่มี lifestyle mall อยู่เยอะ คึกคักไปด้วยชาวต่างชาติและคนไทย และมีร้านอาหารนานาชาติหลากหลาย เป็นแหล่งท่องเที่ยวและศูนย์รวมธุรกิจบันเทิงแห่งหนึ่งของชาวต่างชาติในกรุงเทพฯ

การเดินทางโดยใช้รถ สะดวกใกล้ทางด่วน 3 สายและมีทางลัดที่สามารถเชื่อมต่อกับถนนใหญ่หลายเส้น เข้าถึงได้ทั้งย่านทองหล่อ เพชรบุรี สุขุมวิทและ อโศกมนตรี ตัวถนนสุขุมวิทเอง หากขับเข้าเมืองไปเรื่อยๆ(เลียบเส้นรถไฟฟ้า BTS) จะผ่านแยกอโศก ซึ่งระหว่างทางจะเจอ Terminal 21  ผ่านแยกราชประสงค์ ไปจะเป็น เซ็นทรัลเวิร์ล สยาม ถนนเพชรบุรี (ผ่านแยกเอกมัยเหนือ-เพชรบุรี) เป็นถนนที่มีอาคารสำนักงานอยู่ค่อนข้างเยอะเหมือนกัน โดยเป็นถนนเส้นคู่ขนานกับถนนสุขุมวิท ซึ่งมีถนนอโศกมนตรี และสุขุมวิทซอยย่อยๆเป็นตัวตัดผ่าน จากโครงการขับไปออกทางถนนเพชรบุรีไปผ่านแยกอโศก-เพชรบุรี เลี้ยวขวาก็จะไปทะลุถนนพระราม 9 ซึ่งสามารถไปห้างฟอร์จูน เซ็นทรัลพระราม 9 หรือเอสพลานาดได้ นอกจากนี้ถนนสุขุมวิทยังมี ถนนพระรามที่ 4 เป็นถนนคู่ขนานอีกด้าน สามารถใช้ไปยังแยกวิทยุ ไปราชเทวีได้ค่ะ

การเดินทางโดยไม่ใช้รถ  ถือว่าสะดวกมาก มีตัวเลือกค่อนข้างหลากหลาย เช่น BTS พร้อมพงษ์ อยู่ในระยะที่เดินถึงได้สะดวก ซึ่งรถไฟฟ้าสายนี้เป็นสายหลักที่ใช้เดินทางไปยังแหล่งท่องเที่ยว ทองหล่อ ชิดลม สยาม หรือแหล่งอาคารสำนักงานอย่างเพลินจิต อโศกได้โดยไม้ต้องเปลี่ยนสายและเนื่องจากโครงการอยู่ไม่ไกลจากถนนใหญ่จึงสามารถเรียกรถสาธารณะต่างๆได้สะดวก

วัสดุ พื้นที่ส่วนกลางมีการคัดสรรวัสดุตกแต่งที่พิเศษอย่างเช่นหินอ่อน Palissandro Bluette ที่จัดว่ามีความงาม หายากด้วยสีและลวดลายที่สวยงาม และ ได้ร่วมกับ Alexander Lamont แบรนด์เฟอร์นิเจอร์ระดับ Luxury ที่สร้างสรรค์ผลงาน Craftsmanship หรืองานศิลปะที่ทำด้วยมือ ส่วนในห้องพักอาศัยวัสดุได้ดังนี้ ผนังฉาบเรียบทาสี พื้นปูด้วย Composite Marble ขนาด 60 x 60 cm. ฝ้าเพดานสูง 3 เมตร ได้แอร์เป็นระบบฝังฝ้าเพดาน ชุดครัวได้ตามในห้องตัวอย่างวัสดุเคาน์เตอร์ปิดผิวด้วยลามิเนตสีขาว Top เป็นหิน Quartz หน้าบานตู้เป็น Metallic White Glass ส่วนผนังด้านหลัง (Backsplash) กรุด้วยกระเบื้อง  เตาไฟฟ้าและเครื่องดูดควันได้ของ GAGGENAU ตู้เย็นแบบ Built-in ของ Siemens และ เตาอบของ GAGGENAU ห้องน้ำพื้นเป็นหิน Quartz ขนาด 60×60 cm. ส่วนผนังกรุหิน Compose Marbke ขนาด 60×60 cm. และ โมเสกสีขาว อ่างล้างหน้าได้ของ Kasch โถสุขภัณฑ์ได้ของ Kohler ชุดฝักบัวและ Rain Shower ของ Grohe ค่ะ

การออกแบบ ตัวอาคารถูกพัฒนามาจากสถาปัตยกรรมยุค Classic ที่มีการใช้รูปทรงเรขาคณิต เน้นแนวแกนและความสมมาตร มาผสมผสานกับความโมเดิร์น เรียบหรูแบบ Timeless Design โดยใช้สไตล์ Modern Classic ในการออกแบบ ตัวโครงการมีการคำนึงถึงความเป็นส่วนตัวทั้งระบบรักษาความปลอดภัย การสร้าง Space ที่ปิดล้อม การวางผังห้องพักให้ไม่มีผนังด้านใดเลยที่ติดกันเลยซึ่งจะทำให้มีความเป็นส่วนตัวมากขึ้น ช่วยลดเสียง ความร้อน และยังช่วยระบายอากาศได้ ทั้ง 4 มุมของตัวอาคารเป็นตำแหน่งที่ตั้งของห้องพักอาศัย จึงทำให้เป็นห้องมุมทุกห้อง มีการแยกพื้นที่Back of House และ มี Private Lift เพื่อให้ความเป็นส่วนตัวอย่างเต็มที่ ภายในห้องมีการจัดผังแบบ day life /night life แยกส่วนกิจกรรมออกจากส่วนพักผ่อน ทำให้โครงการมีเอกลักษณ์เฉพาะตัว และมีแนวคิดในการออกแบบที่น่าสนใจ

สาธารณูปโภค ในอาคารมี VITTORIO Concierge คือโถงสำหรับต้อนรับแขกผู้มาติดต่อและเพื่อปรับบรรยากาศให้เกิดความสงบและเป็นส่วนตัวก่อนเข้าไปยัง ล็อบบี้ (Galleria Medici) , Lobby Lounge ที่ออกแบบ Space ให้อยู่แกนกลางของ KHIEN RIVER พอดี เวลาที่เรามองออกไปก็จะเห็นงานประติมากรรมโดดเด่นอยู่ตรงกลาง  ชั้น 27-28 มี ฟิตเนส (Club Kinetic) ที่จัดวางเครื่องเล่นให้มีระยะห่างจากกันเพื่อเพิ่มความเป็นส่วนตัว , สระว่ายน้ำ (Arno Vitality Pool) ระบบ Hydrotherapy และ Social Club (Salone 39)

Judgement

ราคาของคอนโดระดับ ULTIMATE CLASS ความคุ้มค่าด้านราคาไม่ใช่ปัจจัยหลักเพียงอย่างเดียวในการตัดสินใจซื้อ ซึ่งผู้ที่ต้องการซื้อคอนโดในระดับนี้คงต้องมีความพึงพอใจและความชอบจนมองข้ามราคาไปอย่างแน่นอน ดังนั้นความคุ้มค่าด้านอารมณ์คือปัจจัยหลักอีกอย่างหนึ่ง ซึ่งตราบเท่าที่ทางเรายังไม่สามารถวัดค่ามาตรฐานทางอารมณ์ได้ จึงมิอาจให้คะแนนได้ค่ะ

BOTTOM LINE

VITTORIO เหมาะกับคนที่มองหาคอนโดระดับ ULTIMATE CLASS ใจกลางเมืองในย่านพร้อมพงษ์ ใกล้รถไฟฟ้าและศูนย์การค้าชั้นนำ ต้องการความปลอดภัยและความเป็นส่วนตัวสูง มี Private Lift มีที่จอดรถพอเพียง ชื่นชอบการออกแบบและงานศิลปะ มีงบประมาณ 31-128 ล้านบาท