Univentures เผย บริษัทฯ ตั้งเป้ารายได้หลักในปี 2563 (ตั้งแต่ 1 ตุลาคม 2562 ถึง 30 กันยายน 2563) ที่ 6,000 ล้านบาท และมีแผนเปิดโครงการใหม่ในปีนี้กว่า 7 โครงการ พร้อมศึกษาธุรกิจดาวรุ่งใหม่ ปรับ Portfolio การลงทุนให้สมดุลเพื่อการเติบโตอย่างยั่งยืน

นายวรวรรต ศรีสอ้าน กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ยูนิเวนเจอร์ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ในปีงบประมาณ 2563 บริษัทฯ ตั้งเป้ารายได้หลักอยู่ที่ 6,000 ล้านบาท (ไม่รวมธุรกิจใหม่ที่กำลังศึกษาอยู่) โดยวางแผนการเปิดตัวโครงการใหม่ จำนวน 7 โครงการ จาก บริษัท แกรนด์ ยูนิตี้ ดิเวลล็อปเมนท์ จำกัด หรือ GRAND UNITY มูลค่าโครงการกว่า 16,925 ล้านบาท และแผนการพัฒนาโรงแรมโมเดน่า บายเฟรเซอร์ บุรีรัมย์ (Modena by Fraser Buriram) ในเฟสที่ 2 โดยบริษัท แอล อาร์ เค ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด บนพื้นที่กว่า 2.8 ไร่ มูลค่าโครงการ 140 ล้านบาท เพื่อขยายการรองรับการจัดเลี้ยงได้เพิ่มถึง 800 -1,000 คน หลังมีรายได้เติบโตอย่างต่อเนื่องเป็นที่น่าพอใจ

ขณะนี้ บริษัทฯ ยังอยู่ในระหว่างการเตรียมการนำเงินจากการขายหุ้น GOLD ประมาณ 5,300 ล้านบาท (หลังการจ่ายเงินปันผล 1,912 ล้านบาท) มาลงทุนในธุรกิจใหม่ที่มีศักยภาพ อาทิเช่นแผนพัฒนาโครงการอาคารสำนักงานย่านทองหล่อ ซึ่งถือเป็นทำเลที่มีศักยภาพบนถนนสุขุมวิทตอนกลางที่มีทั้งถนนและรถไฟฟ้าเชื่อมต่อศูนย์กลางธุรกิจของกรุงเทพฯ นอกจากนี้บริษัทฯ ยังอยู่ในระหว่างการศึกษาธุรกิจที่มีศักยภาพในการเติบโต และการสร้างผลตอบแทนทางธุรกิจ โดยพิจารณาจากกลุ่มธุรกิจดาวรุ่งของปี 2563 เป็นหลัก อาทิเช่น กลุ่มธุรกิจพลังงานและสาธารณูปโภค กลุ่มธุรกิจขนส่งและโลจิสติกส์ เป็นต้น เพื่อเสริมความแข็งแกร่งของบริษัทฯให้เติบโตอย่างยั่งยืน เป็นการปรับ Portfolio ของบริษัทฯ เพื่อให้โครงสร้างสัดส่วนรายได้ของบริษัทฯให้สมดุล โดยรายได้จากธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ คิดเป็นสัดส่วน 50% และรายได้จากธุรกิจอื่นๆ คิดเป็นสัดส่วน 50% ภายในระยะเวลา 5 ปี ตามแผนกลยุทธ์ด้าน Diversification และ Opportunistic Investment

“ทั้งนี้ บริษัทฯ ยังมุ่งเน้นการเสริมสร้างความแข็งแกร่งตลอดทั้งภาพรวม เพื่อการพัฒนาองค์กรและเติบโตอย่างยั่งยืน โดยเพิ่มความเข้มข้นในการดำเนินการตามกลยุทธ์องค์กร ทั้ง 5 ส่วน ให้เห็นชัดเจนเป็นรูปธรรมอย่างต่อเนื่อง ไม่ว่าจะเป็น การ “Optimization” ความหลากหลายที่มี เพื่อสร้างประสิทธิภาพให้ดียิ่งขึ้น “Diversification” ปรับเปลี่ยน ต่อยอดไปสู่การลงทุนในธุรกิจใหม่ๆ นอกเหนือจากอสังหาริมทรัพย์เพื่อผลตอบแทนที่เหมาะสม

เรายังมุ่งเน้นการมองทั้ง “Supply Chain” เพื่อต่อยอดและสร้างความแข็งแกร่งให้กับองค์กรและการดำเนินธุรกิจ พร้อมทั้งวิเคราะห์และมองหาโอกาสที่ใช่ตลอดทั้งระยะทางบนพื้นฐานที่สำคัญของการเลือกธุรกิจที่จะลงทุน และระยะเวลาการลงทุนที่เหมาะสม ควบคู่ไปกับ “Synergy” ต่อยอดธุรกิจที่มีความเกี่ยวเนื่องกับธุรกิจเดิม รวมถึงสิ่งที่สำคัญที่สุด นั่นคือ “Opportunistic Investment” การขับเคลื่อนโอกาส (Opportunity) และพร้อมที่จะรองรับโอกาสใหม่ๆ ที่เห็นเป็นรูปธรรม อาทิ การเข้าลงทุนใน บริษัท สโตนเฮ้นจ์ อินเตอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ STI ซึ่งมีภาพรวมผลการดำเนินงานเป็นที่น่าพอใจ มีการเจริญเติบโตอย่างต่อเนื่องในเชิงของการรับรู้รายได้ เติบโตเพิ่มขึ้นประมาณ 10% ต่อปี พร้อมกับการพิจารณาการลงทุนในธุรกิจใหม่ในกลุ่มธุรกิจที่มีศักยภาพ ซึ่งจะเป็นการปรับ Portfolio การลงทุนให้สมดุล โดยมีสัดส่วนธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ และธุรกิจอื่น ๆ ตามเป้าหมาย ภายใน 5 ปี” นายวรวรรต กล่าว

นายวรวรรต กล่าวถึง ผลประกอบการในไตรมาส 1/2563 (1 ตุลาคม 2562 – 31 ธันวาคม 2562) ว่า บริษัทฯ มีรายได้รวมอยู่ที่ 1,133 ล้านบาท โดยมีสัดส่วนรายได้มาจากธุรกิจอสังหาริมทรัพย์เพื่อขาย 670 ล้านบาท คิดเป็น 59% ของรายได้รวม ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์เพื่อเช่าและโรงแรม 57 ล้านบาท คิดเป็น 5% ของรายได้รวม ธุรกิจที่ไม่เกี่ยวข้องกับอสังหาริมทรัพย์ 406 ล้านบาท คิดเป็น 36% ของรายได้รวม และมีกำไรสุทธิส่วนของบริษัท 35.3 ล้านบาท