รีวิวฉบับที่ 1774 … สวัสดีค่ะ วันนี้จะพาไปรีวิวโครงการ The Collection เป็นคอนโด High Rise โครงการใหม่ในย่านสุขุมวิท-อโศก จาก Siamese Asset ตัวโครงการตั้งในซอยสุขุมวิท 16 ห่าง BTSอโศก ที่เป็นจุด Interchange กับ MRTสุขุมวิท ประมาณ 650 เมตร อีกทั้งภายในซอยสามารถลัดออกได้หลากหลายเส้นทาง มาพร้อมกับวิวทะเลสาบและสวนเบญจกิติแบบเต็มๆ โครงการจะเป็นอย่างไรไปรับชมกันค่ะ

Fact @ 26 December 2018

  • Low Rise อาคาร A สูง 7 ชั้น
  • High Rise อาคาร B สูง 41 ชั้น

  • อาคาร A จำนวน 36 ยูนิต ร้านค้า 4 ยูนิต
  • อาคาร B จำนวน 443 ยูนิต
    • Low Zone ชั้นที่ 3-20 จำนวน 284 ยูนิต
    • High Zone ชั้นที่ 21-40 จำนวน 159  ยูนิต

  • ยูนิตต่อชั้นสูงสุด 13 ยูนิต
  • ที่จอดรถประมาณ 271 คัน หรือคิดเป็น 60%
    • แบ่งเป็นระบบ Automatic Parking 182 คัน
    • แบ่งเป็นช่องจอดปกติ 89 คัน

  • ที่ดินประมาณ 2-0-57.8 ไร่
  • เริ่มก่อสร้าง : พ.ย. 2562
  • คาดว่าจะแล้วเสร็จ : มิ.ย. 2565
  • 1 Bedroom 35.61 – 36.70 ตร.ม.
  • 2 Bedrooms 69.62 – 90.01 ตร.ม.
  • Penthouse 141.51 – 145.32  ตร.ม.
  • ฝ้าเพดานสูง 2.85 เมตร
  • ราคาห้องเริ่มต้น 6.2 ล้านบาท
  • ราคาเฉลี่ยต่อตารางเมตรทั้งโครงการ 250,000 บาท/ตร.ม.
  • EIA (การประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อม) : อยู่ระหว่างดำเนินการ
  • เวปไซต์โครงการ : คลิกที่นี่  
  • โทร  : 092-989-2459
  • เพียงแค่การกด Like ก็เท่ากับการสนับสนุนข้อมูลเชิงลึกจาก Think of Living แล้วค่ะ

    สามารถเลือกอ่านตามหัวข้อต่างๆได้โดยกดปุ่มด้านล่างค่ะ


    เจาะลึกเรื่องทำเลที่ตั้ง

    พิกัด : 13.731059, 100.560927

    แผนที่จากทางโครงการค่ะ โครงการ The Collection โครงการตั้งอยู่ในซอยสุขุมวิท 16 ที่ขนานไปกับถนนรัชดาภิเษก เป็นถนนที่เชื่อมต่อระหว่างสุขุมวิท และถนนพระราม 4 โดยภายในซอยสามารถลัดออกไปบริเวณซอย สุขุมวิท 18, 20,22 และ 24 ได้ รวมถึงเลี่ยงรถติดไปออกถนนพระรามที่ 4 ได้ นอกจากนี้ห่าง BTSอโศก ที่เป็นจุด Interchange กับ MRTสุขุมวิท ประมาณ 650 เมตร ถือว่าเดินได้สบายค่ะ ซึ่งตัวโครงการจะสามารถมองวิวทะเลสาบและสวนเบญจกิติแบบเต็มๆได้ค่ะ

    โครงการ The Collection ตั้งอยู่ในซอยสุขุมวิท 16 ใกล้กับแยกอโศกมนตรี และ ห่างBTSอโศกประมาณ 650 เมตร ถือว่าเดินได้สบายค่ะ ตัวโครงการตั้งอยู่ในซอยสุขุมวิท16 ที่ขนานไปกับถนนรัชดาภิเษก ซึ่งจะเชื่อมต่อระหว่างถนนสุขุมวิทกับถนนพระราม 4 สำหรับถนนฝั่งขาเข้า จะมีการจราจรค่อนข้างหนาแน่นพอสมควร เพราะเป็นถนนที่วิ่งเข้าถนนอโศกมนตรี และทะลุไปยังย่านพระราม 9 ส่วนถนนฝั่งขาออก สามารถวิ่งตรงไปย่านพระราม 3 ได้ หรือถ้าใครต้องการใช้ถนนพระราม 4 สามารถเลี้ยวซ้าย ไปบริเวณย่านคลองเตยและพระโขนง หรือเลี้ยวขวา ไปยังย่านสีลมและสาทร นอกจากนี้ซอยสุขุมวิท 16 จะมีความพิเศษที่สามารถลัดออกไปได้หลากหลายเส้นทาง อย่างซอยเศรษฐีทวีทรัพย์ ที่หลีกเลี่ยงรถติดไปออกถนนพระราม 4 หรือถ้าใครต้องการไปถนนสุขุมวิท สามารถออกไปยังซอยสุขุมวิท 18, 20,22 และ 24 ได้ค่ะ

    โดยทางเราเคยทำเจาะลึกทำเลโดยรอบโครงการไว้อย่างละเอียด สำหรับผู้ที่ต้องการอ่านข้อมูลเรื่องทำเลเพิ่มเติมได้ที่นี่เลยค่ะ พาชมทำเล The Collection

    มาดูในแง่ความอุดมสมบูรณ์กันบ้าง สำหรับตัวโครงการเองตั้งอยู่ในซอยสุขุมวิท 16 ใกล้กับแยกอโศกมนตรี ซึ่งย่านนี้เป็นที่รู้กันดีว่าเต็มไปด้วยอาคารสำนักงาน ซึ่งจะมีร้านค้าอยู่ภายในอาคารอย่าง Interchange21 และ Exchange Tower หรือถ้าใครต้องการเข้าห้างสรรพสินค้าใหญ่ๆ ก็จะมี Terminal21 หรือถ้านั่ง BTS ไปยังสถานี พร้อมพงษ์ก็มีห้างหรูอย่าง EmQuartier และ Emporium นอกจากนี้ถ้าวิ่งมาบริเวณถนนพระราม 4 จะมีห้างอย่าง K-Village, A square, Big C Extra และ Tesco Lotus เป็นต้น รวมถึงมีอาคารสำนักงานขนาดใหญ่ อย่างอาคารมาลีนนท์ของช่อง 3

    ส่วนบริเวณใกล้กับโครงการ จะมีอาคารสำนักงานใหญ่ๆ ที่หันหน้าออกถนนรัชดาภิเษก อย่าง C.T.I. Tower, Lake Ratchada Complex และ Ocean Tower รวมถึงฝั่งตรงข้าม จะมีสวนเบญจกิติซึ่งมีวิวทะเลสาบขนาดใหญ่ที่สวยงาม สามารถมาออกกำลังกายในบริเวณนี้ได้ ส่วนในระยะเดินใกล้กับโครงการก็จะมีร้านค้า ร้านอาหารค่อนข้างคึกคัก โดยเฉพาะวันทำงาน จันทร์-ศุกร์ ที่จะมีพนักงานมาทำงานในบริเวณนี้กันเยอะ จึงมีร้านอาหารที่หลากหลาย ไปจนถึงตลาดนัดที่เปิดในช่วงกลางวัน ให้เดินซื้อของกันได้ง่ายค่ะ

    สำหรับการเดินทางโดยใช้รถยนต์ จุดขึ้นทางด่วนที่ใกล้ที่สุดคือ ทางพิเศษเฉลิมมหานครที่ด่านพระราม 4 ถึงจะหลีกเลี่ยงรถติดที่แยกอโศกมาแล้ว แต่แยกพระราม 4 ในช่วงเวลาเร่งด่วนก็ติดพอๆกันเลย แต่เสียเวลากลับรถแค่จุดเดียว และติดไฟแดงเพียง 2 จุด โดยเส้นทางนี้มีระยะห่างจากโครงการมาประมาณ 4.7 กม. อาจจะต้องเผื่อเวลาด้วยนะคะ

    และเนื่องจากทำเลของเราเป็นทำเลในซอยสุขุมวิท 16 ซึ่งสามารถใช้เป็นทางลัดมาพระราม 4 ได้ ซึ่งจะรถติดน้อยกว่าถนนเส้นหลัก ฉะนั้นเราสามารถที่จะมาขึ้น ทางพิเศษเฉลิมมหานครที่ด่านท่าเรือ 1 อีกจุดหนึ่งได้ ซึ่งถึงแม้จะขับรถยากกว่าสักเล็กน้อยแต่ก็ช่วยประหยัดเวลาได้มากกว่าพอสมควร ไม่ต้องเสี่ยงรถติดที่แยกอโศกให้เสียเวลา มีระยะทางประมาณ 3.2 กม. ค่ะ

    ส่วนขากลับจาก ทางพิเศษเฉลิมมหานครก็ให้ใช้ทางลงอโศก-สุขุมวิท หลังจากลงมาให้เลี้ยวขวาเข้าถนนสุขุมวิท แล้วตรงไปบริเวณแยกอโศกมนตรี ให้เลี้ยวขวาเข้าถนนรัชดาภิเษก ซึ่งจะมีรถหนาแน่นในช่วงเวลาเลิกงานนะคะ มีระยะทางประมาณ 2.5 กม.ค่ะ

    การเดินทางโดยไม่ใช้รถ ก็สะดวกมากๆ เพราะแยกอโศกเป็นทำเลที่ตั้งของรถไฟฟ้า Interchange ของ BTS อโศก และ MRT สุขุมวิท ซึ่งอยู่ห่างจากโครงการประมาณ 650 m. ทำให้เรามีทางเลือกให้การเดินทางเพิ่มมากขึ้นนั่นเอง

    มาดูสภาพแวดล้อมโดยรอบที่ตั้งโครงการกันบ้างนะคะ โครงการ The Collection ตั้งอยู่ในซอยสุขุมวิท 16 ที่ขนานไปกับถนนรัชดาภิเษก ซึ่งถนนรัชดาภิเษกเป็นถนนหลักเส้นใหญ่ สำหรับฝั่งตรงข้ามโครงการจะมีสวนเบญจกิติ ที่เป็นพื้นที่สีเขียวขนาดใหญ่ มาพร้อมทะเลสาบขนาดใหญ่ สามารถมาออกกำลังกายในบริเวณนี้ได้ สำหรับฝั่งโครงการจะเห็นว่าบริเวณถนนรัชดาภิเษก จะมีอาคารสำนักงานใหญ่ๆ ตั้งเรียงรายกัน ซึ่งหลายๆอาคาร จะมีพื้นที่เชื่อมต่อกับซอยสุขุมวิท 16 ที่อยู่ทางด้านหลัง เนื่องจากภายในซอยเป็นย่านชุมชนที่อยู่อาศัย มีร้านค้า ร้านอาหารที่มีความอุดมสมบูรณ์มากกว่าฝั่งถนนรัชดาภิเษก นอกจากนี้ยังเต็มไปด้วยโรงแรมและร้านนั่งชิวอยู่พอสมควร ซึ่งย่านนี้จะมีชาวต่างชาติโดยเฉพาะ Expat หรือคนต่างชาติที่มาทำงานในไทยอาศัยกันอยู่หนาแน่น และที่สำคัญตัวโครงการยังสามารถมองเห็นวิวทะเลสาบขนาดใหญ่ของสวนเบญจกิติได้

    สำหรับการเดินทางในวันนี้เราจะเริ่มจาก BTSอโศก เดินผ่าน Skywalk มายังบริเวณหน้าตึก Exchange Tower หลังจากนั้นจะเดินมาถึงโครงการมีระยะทางประมาณ 600 เมตร ถือว่าเป็นระยะที่เดินได้สบายๆ ซึ่งระหว่างทางมีคนเดินไปเดินมาตลอดเวลาไม่เปลี่ยวแน่นอน  หรือถ้าใครขี้เกียจเดิน บริเวณหน้าปากซอยสุขุมวิท 16 ก็มีพี่วินให้เลือกใช้บริการได้ นอกจากนี้บริเวณตึกข้างๆโครงการ ก็มีวินมิไซค์ให้เลือกใช้บริการเช่นเดียวกันค่ะ

    เราจะเริ่มการเดินทางจากสถานีรถไฟฟ้า BTSอโศก เรามาช่วงสายเลยยังไม่ค่อยมีคน แต่ถ้าในช่วงเวลาเร่งด่วน จะมีคนหนาแน่นมาก เนื่องจากเป็นย่านอาคารสำนักงานหลายแห่ง รวมถึงเป็นจุด Interchange กับ MRTสุขุมวิท อีกด้วยค่ะ

    หลังจากลงบันไดมา ให้เราเลือกทางออกที่ 6 จะออกทางฝั่งเดียวกับอาคารInterchange21 และ Exchange Tower ที่จะต้องเดินผ่าน Skywalk ไปอีกฝั่งตรงข้ามถนน ซึ่งเป็นระยะที่เดินได้สบาย ปลอดภัยค่ะ

    เป็นที่ทราบกันดีว่า BTS อโศก เป็นสถานี Interchange กับ MRTสุขุมวิท ซึ่งจะมีคนเดินผ่านไปผ่านมาตลอดทั้งวัน นอกจากนี้ตัวสถานียังมีทางเชื่อมต่อกับห้างสรรพสินค้าขนาดใหญ่ อย่าง Terminal21

    ห้าง Terminal21 เป็นห้างที่มีตั้งแต่ร้านค้าแบรนด์เนม จนถึงร้านค้าขนาดเล็ก ให้เลือกกันได้หลากหลาย นอกจากนี้บริเวณชั้นบน จะมีโรงหนังและ Foodcourt ที่มีชื่อเสียงเรื่องราคาที่ถูกและอร่อยอีกด้วย รวมถึงเราจะเห็นชาวต่างชาติใช้บริการที่นี้ค่อนข้างเยอะ เนื่องจากบริเวณด้านบนจะเป็นตัวโรงแรมนะคะ

    ส่วนทางไปโครงการให้เดินต่อไปตามทาง Skywalk ตามป้ายอาคาร Exchange Tower ที่ข้ามไปอีกฝั่งตรงข้ามของถนน ที่ข้ามแยกอโศกมนตรี ที่ด้านล่างมีรถค่อนข้างเยอะ อาจจะทำให้เดินค่อนข้างลำบาก แต่เราเดินอยู่บน Skywalk ก็เดินข้ามไปได้สบายเลยนะคะ

    สำหรับบน Skywalk ถ้าเราหันหน้าออกถนนอโศกมนตรี ที่สามารถมุ่งหน้าไปได้ ทั้งย่านเพชรบุรีและย่านพระราม9 ซึ่งเป็นแหล่งสำนักงานออฟฟิศขนาดใหญ่ กลับมาบริเวณแยกอโศกมนตรี ฝั่งซ้ายมือจะมีห้างสรรพสินค้าอย่างTerminal21 แต่ไม่สามารถเข้า-ออกจากถนนเส้นนี้ได้นะคะ ส่วนฝั่งขวามือจะเป็นอาคารสำนักงาน Interchange21 ถนนเส้นนี้ในช่วงเวลาเร่งด่วน จะมีรถค่อนข้างหนาแน่นนะคะ

    แต่ถ้าเราหันกลับมาอีกฝั่งหนึ่ง เราจะหันออกถนนรัชดาภิเษก ที่มุ่งหน้าไปบริเวณคลองเตยได้ ฝั่งซ้ายมือจะเป็นตึกสำนักงาน Exchange Tower นะคะส่วนฝั่งตรงข้ามจะมีสวนเบญจกิติที่มาพร้อมกับทะเลสาบขนาดใหญ่นะคะ

    หลังจากนั้นให้เดินตรงไปสุดทาง Skywalk ถ้าเราเดินตรงไปจะเข้าตึก Exchange Tower แต่ถ้าเลือกลงบันไดทางขวามือ จะลงข้างล่างไปบริเวณแยกอโศกมนตรีนะคะ

    ถ้าเราเดินตรงมาจะเป็นทางเข้าตึก Exchange Tower ที่จะมีร้านค้า ร้านอาหาร และร้านกาแฟอย่าง Starbuck บริเวณที่ชั้น 1 ส่วนด้านบนจะเป็นอาคารสำนักงานนะคะ

    กลับมาบริเวณทางลงแยกอโศกมนตรี จะมีหลังคาคลุมตลอดทั้งทาง ทำให้สามารถใช้รับแดดและฝนได้ดีค่ะ

    ลงจากสถานีมาบริเวณทางออกหมายเลข 6 เมื่อลงบันไดจาก Skywalk มาแล้วจะมาอยู่ที่หน้าอาคาร Exchange Tower บริเวณสี่แยกอโศกพอดี ซึ่งมีคนใช้งานตลอดทั้งวันเลยนะคะ

    หันกลับมาบริเวณแยกอโศกมนตรี จะเห็นว่ามีรถเยอะตลอดทั้งวัน ทำให้ถ้าข้ามถนนบริเวณข้างล่าง อาจจะต้องระมัดระวังสักเล็กน้อย หรือถ้าใช้อยากเดินชิวๆ สามารถขึ้นไปใช้ทางเดิน Skywalk ได้นะคะ

    เดินต่อมาเรื่อยๆตามทางเดิน สังเกตได้ว่ามีต้นไม้ตลอดทางให้ความร่มเงาอยู่เป็นระยะๆ ซึ่งสามารถเดินได้สบาย ไม่ร้อนจนเกินไปนะคะ

    เดินต่อไป จะมีทางเข้าตึก Exchange Tower อยู่นะคะ ซึ่งถ้าใครไม่อยากเดินอากาศร้อนๆ จะสามารถเดินเข้าตึกจากบริเวณ Skywalk ได้ และใช้บันไดเลื่อนลง มาออกบริเวณหน้าอาคารได้นะคะ

    เดินมานิดเดียวเราก็มาถึงหน้าปากซอยสุขุมวิท 16 กันแล้ว ด้านหน้าปากซอย เราจะเห็นว่ามี ร้านสะดวกซื้ออย่าง 7-11 อยู่ให้เราเดินเข้าไปข้างในได้เลยค่ะ

    หน้าปากซอย จะมีพี่วินมอไซค์ตั้งเรียงรายอยู่ทั้ง 2 ข้างทาง มีอัตราค่าโดยสารจากปากซอยถึงตัวโครงการประมาณ 15 บาทเท่านั้น แต่ระยะทางไม่ได้ไกลมาก ถ้าอยากประหยัดตังค์ในกระเป๋าก็สามารถเดินได้นะคะ

    สำหรับถนนด้านใน รถสามารถวิ่งสวนกัน 2 เลน ซึ่งทางเดินค่อนข้างเล็ก แต่ก็มีขอบทางเดินเท้าให้ทั้ง 2 ฝั่งนะคะ

    ตึกสีเทาๆส้มๆทางขวามือ จะมีโรงแรมชื่อ Citadines สุขุมวิท 16 Bangkok ถัดเข้าไปด้านหลังโรงแรม จะมีตึก The Lake ที่เป็นคอนโดมิเนียมสูง 36 ชั้น และ Column Tower ซึ่งเป็นโรงแรมและอาคารสำนักงานสูง 20 ชั้น ซึ่งซอยนี้จะมีโรงแรมค่อนข้างเยอะ เนื่องจากมีชาวต่างชาติอยู่มากค่ะ

    บรรยากาศภายในซอยระหว่างทางก็มีทางเท้าให้เดินได้สะดวก ซึ่งมีคนเดินผ่านไปผ่านมาตลอดเวลาไม่เปลี่ยวนะคะ ส่วนถนนซอยนี้ก็มีรถผ่านเข้าออกอยู่ตลอดเวลา ค่อนข้างคึกคักมากเลยทีเดียว

    เดินต่อไปเรื่อย ฝั่งขวามือจะมี Food Land ที่เปิดบริการตลอด 24 ชม.อยู่ด้วย ภายในมีซุปเปอร์สามารถมาแวะซื้อของสดมาประกอบอาหารทานเองได้นะคะ

    ฝั่งตรงข้ามจะมีร้านสะดวกซื้ออย่าง 7-11 และมีร้านอาหารเล็กๆตลอดทาง ค่อนข้างอุดมสมบูรณ์เลยทีเดียวค่ะ

    เดินต่อไปเรื่อยๆจะมีทางเข้าตลาดปลาวาฬ จะเห็นว่ามีพนักงานออฟฟิศออกมาเดินกันเยอะมากๆ ภายในตลาดปลาวาฬมีทั้งของซื้อของขายและมีร้านอาหารอยู่ด้านหลัง เป็นตลาดสำหรับพนักงานออฟฟิศ เปิดทำการจันทร์-ศุกร์ เวลาประมาณ 6.00 – 14.00 น.

    เดินตรงมาเรื่อยๆ ฝั่งซ้ายมือจะมีร้านอาหารญี่ปุ่นชื่อ Tensui สำหรับทางเดินบริเวณนี้ จะมีทางเดินเท้ากว้างประมาณ 3 เมตร พร้อมทั้งมีต้นไม้ขนาดใหญ่ตลอดเส้นทาง ทำให้เดินได้สะดวกและร่มรื่นนะคะ

    บริเวณอาคารจอดรถของ Lake Ratchada Complex ที่ด้านล่างมีทั้งร้านสะดวกซื้ออย่าง Family mart , ร้านกาแฟ และคลีนิคนะคะ

    นอกจากนี้ยังมีพี่วินมอไซค์อยู่ด้านหน้าด้วย ซึ่งจะอยู่ใกล้กับโครงการมากที่สุด ห่างจากตัวโครงการมาแค่ประมาณ 40 เมตร ราคาค่าโดยสารตามนี้เลยนะคะ

    ติดกันอาคารจอดรถของ Lake Ratchada Complex ซึ่งเป็นที่ตั้งโครงการ The Collection ปัจจุบันได้สร้าง Sale Gallery เสร็จเป็นที่เรียบร้อยแล้วนะคะ

    มาดูภาพรวมจากทางด้านหน้า Site ที่ดินกันก่อน เริ่มจากทางด้านซ้ายมี Diyal Mansion สูง 9 ชั้น อาคารมูลนิธิพัฒนาระบบกองทุนสูง 13 ชั้น และอาคาร Ocean Tower สูง 32 ชั้นตั้งอยู่ ส่วนทางด้านขวามี Lake Ratchada Complex สูง 38 ชั้น และอาคารจอดรถสูง 13 ชั้นซึ่งตั้งโครงการ จะตั้งอยู่ตรงกลางเลยนะคะ

    ฝั่งตรงข้ามด้านซ้ายมือจะเป็นบ้านพักอาศัย และมีร้านอาหาร ที่ตั้งขายบริเวณริมทางอยู่

    หรือถ้าถัดเข้าไปฝั่งตรงข้ามด้านขวามือ จะมีร้านนั่งชิวและร้านกาแฟอยู่ ซึ่งราคาในย่านนี้ค่อนข้างสูงสักเล็กน้อย เพื่อตอบโจทย์กับกลุ่มลูกค้าชาวต่างชาติ ที่มีอยู่เยอะในย่านนี้นะคะ

    ส่วนทางด้านข้างโครงการ จะมีซอยที่เป็นทางเข้า Diyal Mansion สูง 9 ชั้น ซึ่งจะเป็นซอยตันนะคะ สำหรับบริเวณโครงการจะเห็นโครงสร้างเก่าของ Lake View Apartment สูง 8 ชั้น ที่ทางโครงการจะมีการทุบทิ้งเพื่อสร้างเป็นอาคารสูง 41 ชั้นแทนนะคะ

    เดินถัดไปฝั่งเดียวกับโครงการก็ยังคงเป็นร้านนั่งชิวทั่วไป ซึ่งทั้งตอนกลางวันและกลางคืนก็จะมีลูกค้าโดยเฉพาะชาวต่างชาติมานั่งกันอยู่เรื่อยๆนะคะ

    เดินเข้าไปเรื่อยๆ จะเจอโรงแรมชามา เลควิว อโศก ที่ด้านล่างจะมีร้านกาแฟและร้านสะดวกซื้ออย่าง Lawson ซึ่งถือว่าค่อนข้างสะดวกดี โดยห่างจากตัวโครงการประมาณ 100 เมตรเท่านั้น

    สภาพแวดล้อมรอบโครงการ The Collection ทางทิศใต้และทิศเหนือ จะมีตึกสูงในระยะประชิด ซึ่งเป็นอาคารสูงประมาณ 32-36 ชั้น ซึ่งอาจจะบังวิวของห้องพักอาศัยบางห้อง แต่ตัวโครงการเองก็มีความสูงมากกว่าเพื่ออยู่ที่ประมาณ 41 ชั้น สำหรับทิศตะวันออกจะเป็น City View ซึ่งจะยังไม่มีตึกสูงในระยะประชิด แต่จะมีตึกสูงที่มีระยะห่างพอสมควร ทำให้ไม่ค่อยอึดอัด ส่วนทิศที่ดีที่สุดคือทิศตะวันตก จะหันหน้าออก Lake View เป็นวิวเปิดโล่งพร้อมเห็นพื้นที่สีเขียวขนาดใหญ่

    • ทิศเหนือ ติดกับอาคาร Lake Ratchada Complex สูง 38 ชั้น
    • ทิศตะวันออก เห็นโครงการ Lake Avenue Condominium สูง 26 ชั้น โรงแรมชามา เลควิว อโศก และ Millenium Residence สูง 51 – 53 ชั้น
    • ทิศใต้ ติดกับ Diyal Masion สูง 9 ชั้น และอาคารมูลนิธิพัฒนาระบบกองทุน สูง 13 ชั้น
    • ทิศตะวันตก ด้านล่าง จะเป็นทางเดินเชื่อม Lake Ratchada สูง 4 ชั้น ซึ่งด้านบนจะเป็นพื้นที่เปิดโล่ง ที่เห็นวิวทะเลทราบบริเวณสวนเบญจกิติ

    ทิศตะวันออก เหมาะกับคนที่ชอบ City View มีระยะห่างอาคารสูงทั้ง 2 ด้านพอสมควร จึงทำให้ได้วิวที่เปิดโล่งอีกมุมหนึ่ง เพราะในระยะใกล้จะเป็นบ้านพักอาศัยที่มีเนื้อที่และมีการปลูกต้นไม้ทำให้ได้วิวพื้นที่สีเขียวอีกด้วย

    ถ้ามองออกไปทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ จะเห็นตึกสูงอย่างโรงแรมชามา เลควิว อโศก และคอนโด Millenium Residence สูง 51 – 53 ชั้น ซึ่งอาจจะบังวิวด้านหลังอยู่บ้าง

    ถัดไปทิศใต้ ก็ยังพอมีช่องมุมมองที่สามารถมองออกไปยัง City View ระยะไกลๆได้อยู่บ้างนะ ซึ่งจะไม่ได้โดน Ocean Tower บังหมดทีเดียวนะคะ

    สำหรับวิวทางทิศตะวันตกนี้ถือเป็นจุดขายของโครงการ มีช่องระหว่างอาคารสูงทั้ง 2 ด้านที่สามารถมองเห็นวิวทะเลสาบของสวนเบญจกิติ พร้อมเห็น City View ไกลๆ ที่ชั้นล่างอาจโดนบังวิวอยู่บ้าง ซึ่งด้านล่างจะเป็นชั้นจอดรถอยู่แล้วนะคะ

    คราวนี้เราลองมาดูวิวทะเลสาบของสวนเบญจกิติกันเต็มๆดูบ้าง ถือเป็นจุดเด่นที่สุดของโครงการเลยก็ว่าได้ ซึ่งมีพื้นที่เปิดโล่ง เห็นพื้นที่สีเขียวพร้อมเห็นตึก City View ระยะไกล เป็นวิวที่ดีเลยทีเดียวสำหรับโครงการใจกลางเมืองนะคะ ภาพที่ถ่ายนี้เป็นวิวจากชั้น 13 ค่ะ

    ทิศเหนือติดกับตัวโครงกา จะเป็นอาคาร Lake Ratchada Complex สูง 32 ชั้น หรือถ้ามองถัดไปจะเจอตึก C.T.I. Tower สูง 32 ชั้น และ Column Tower สูง 20 ชั้น ซึ่งมีตึกสูงหนาแน่น แต่ยังมีระยะพื้นที่เปิดโล่งอยู่นะคะ

    ต่อมาทิศตะวันออกเฉียงเหนือ เป็นทิศที่มองออกไปทางแยกอโศกมนตรีหรือปากซอยสุขุมวิท 16 จะได้วิวที่ค่อนข้างเปิดโล่งจากช่องระหว่างอาคารข้างเคียง แล้วยังเป็นทิศที่แดดไม่ร้อนอีกด้วยนะคะ

    สถานที่สำคัญใกล้เคียงต่างๆ เช่น

    • ประตูทางเข้าอุทยานเบญจกิติ : ~ 270 m.
    • Exchange Tower : ~ 600 m.
    • Interchange 21 : ~ 600 m.
    • BTS สถานีอโศก ~ 650 m.
    • Terminal 21 : ~ 650 m.
    • GMM Grammy : ~ 1.3 m.
    • One Bangkok : ~ 3.1 m.
    • Emporium : ~ 3.3 m.
    • สวนเบญจสิริ : ~ 3.6 m.
    • สถานฑูตญี่ปุ่น : ~ 3.5 m.
    • สวนลุมพินี : ~ 3.9 m.
    • Emquartier : ~ 4.0 m.
    • Central embassy : ~ 4.7 m
    • จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย : 4.8 กม.
    • Central ชิดลม : ~ 5.0 m
    • ห้าง Gaysorn : ~ 5.4 m.
    • รพ.จุฬาฯ : ~ 5.4 m.
    • Central World : ~ 5.7 m.
    • รพ.บำรุงราษฎร์ : ~ 6.4 m.
    • Siam Paragon : ~ 6.2 m.


    เจาะลึกตัวโครงการ

    โครงการ The Collection ตั้งอยู่บนที่ดิน 2-0-57.8 ไร่ เป็นคอนโดมิเนียม High Rise ระดับ ULTIMATE CLASS บนทำเลใจกลางเมืองย่านอโศก ตัวโครงการแบ่งออกเป็น 2 อาคาร จะมีทั้งอาคาร Low Rise สูง 7 ชั้น และ High Rise สูง 41 ชั้น ซึ่งความพิเศษอยู่ที่ ตัวอาคารสูง ที่แบ่งการใช้งานออกเป็น 2 ส่วน ส่วนแรกเริ่มที่ชั้น 3-20 จะเป็นส่วน Residence และชั้นที่ 21-40 จะเป็นส่วน Service Residence ซึ่งมีทางเข้า-ออก แยกออกจากกันชัดเจน ไม่ต้องห่วงเรื่องความเป็นส่วนตัวนะคะ สำหรับโครงการนี้ จะเน้นพัฒนาโครงการให้ตอบโจทย์ ทั้งกลุ่มผู้อยู่อาศัยจริงและกลุ่มนักลงทุน

    สำหรับหน้าตาอาคาร จะเน้นเรียบง่ายแต่โดดเด่นและทันสมัย ลักษณะเป็นสี่เหลี่ยมสูงที่เห็นได้ชัดเจน โดยเน้นวัสดุที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม หลักๆที่ใช้จะเป็นกระจก Low E มีคุณสมบัติ สามารถสะท้อนความร้อน ทำให้ช่วยอุณหภูมิภายในลดลง ส่วนฝั่งทิศตะวันตกจะเพิ่ม Insulated มาให้ เนื่องจากเป็นฝั่งที่โดนแดดมากที่สุด บริเวณชั้น Roof Top จะมี Solar Panel ที่ช่วยประหยัดพลังงานได้ในระยะยาว รวมถึงระบบฟอกอากาศภายในอาคาร ซึ่งสามารถกรองอากาศจากข้างนอก โดยผ่านตัวกรองอากาศ ที่จะเปลี่ยนเป็น Fresh Air ก่อนปล่อยเข้ามาภายในอาคาร โดยจุดขายอยู่ที่ห้องฝั่งทิศตะวันตก ที่สามารถมองเห็นวิวของสวนเบญจกิติ ซึ่งเป็นสวนสาธารณะ ที่มาพร้อมกับทะเลสาบขนาดใหญ่ ที่สามารถมาออกกำลังกานในบริเวณนี้ได้ด้วย

    สำหรับแปลนของชั้นพักอาศัย ได้ออกแบบทางเดินภายในเป็นแบบ Single Corridor ทำให้ไม่ต้องเปิดประตูมาพบกับเพื่อนห้องฝั่งตรงข้าม รวมถึงคนสัญจรไปมาหน้าห้องลดลง ทำให้ความเป็นส่วนตัวและเงียบสงบได้มากขึ้น สำหรับภายในห้องพักอาศัย จะมีระบบปรับอากาศภายในห้องแบบ VRV ที่เครื่องทำความเย็น สามารถปรับอุณหภูมิของน้ำยาตามสภาพอากาศ ทำให้ประหยัดค่าไฟได้มากยิ่งขึ้น ระบบท่อน้ำ จะแยกท่อของเสียกับท่อของก๊อกน้ำออกจากกัน เพื่อป้องกันไม่ให้กลิ่นย้อนกลับเข้ามาภายในห้องน้ำ

    นอกจากนี้ทางโครงการ ได้สั่งทำวัสดุพิเศษเฉพาะ และมีระบบ Smart Life เป็นเทคโนโลยีที่สั่งงานผ่านมือถือได้ ซึ่งทำมาเพื่อตอบโจทย์กับกลุ่มคนระดับ Hi-End ที่ทำให้โครงการดู Luxury มากยิ่งขึ้น

    ภาพจำลองจากทางโครงการ จะเห็นตัวโครงการเด่นสูงสง่า ซึ่งห้องที่หันออกไปบริเวณทิศตะวันตก จะเห็นวิวทะเลสาบและพื้นที่สีเขียวของสวนเบญจกิติ นอกจากนี้จะเห็น City View ในระยะไกลๆอีกด้วย

    ตัวโครงการตั้งอยู่ภายในซอยสุขุมวิท 16 อยู่ห่างจากหน้าปากซอยประมาณ 400 เมตร หรือถ้ามาจาก BTSอโศก ประมาณ 650 เมตร ซึ่ง Sale Gallery จะตั้งอยู่ในพื้นที่โครงการเลยค่ะ

    เข้ามาด้านใน Sale Gallery ตกแต่งค่อนข้างหรูหรา ภายในมีพนักงานต้อนรับหลายคนที่สามารถให้คำแนะนำและข้อมูลของโครงการ พร้อมชุดโซฟาหลากหลายชุด รวมถึงมีโมเดลของโครงการอยู่ตรงกลาง พร้อมห้องตัวอย่างทั้งหมด 3 ห้องค่ะ

    ภาพจำลองพื้นที่ Service Residence Lobby ซึ่งจะอยู่ในชั้น Ground Floor Plan จะแยกทางเข้า-ออก ระหว่างส่วน Residence และ Service Residence ชัดเจน ภายในออกแบบให้มีฝ้าเพดานที่สูง และใช้วัสดุนำเข้าจากต่างประเทศ ทำให้ภายในดูหรูหรามากยิ่งขึ้น โดยบริเวณนี้จะมีพนักงานต้อนรับตลอด 24 ชม.นะคะ

    ถัดมาที่บริเวณ Residence Lobby จะอยู่ชั้น Ground Floor Plan เช่นเดียวกัน แต่จะเข้ากันคนละทาง ซึ่งบรรยากาศภายใน Lobby จะดูเรียบง่าย มาพร้อมกับชุดโซฟาสำหรับนั่งพัก รวมถึงใช้วัสดุที่นำเข้าจากต่างประเทศเช่นเดียวกันค่ะ

    ภาพจำลองพื้นที่ Fitness ชั้นที่ 2 ของอาคาร จะใช้งานได้เฉพาะส่วน Residence เท่านั้น ภายในห้องจะมีพื้นที่ค่อนข้างกว้าง สามารถวางเครื่อง Fitness ได้หลายเครื่อง รวมถึงมีห้องอเนกประสงค์ ที่สามารถใช้เล่นโยคะ หรือกิจกรรมอื่นๆ โดยมีหน้าต่างขนาดใหญ่ ที่สูงตั้งแต่พื้นถึงฝ้า ทำให้สามารถเห็นวิวได้เต็มที่

    ภาพจำลองห้อง Meeting Room ชั้นที่ 2 ของอาคาร จะมีโต๊ะขนาดใหญ่ รองรับการใช้งานได้หลายคน โดยส่วนนี้จะใช้งานได้เฉพาะส่วน Residence เท่านั้นนะคะ

    ภาพจำลองพื้นที่ Sky Lounge ชั้นที่ 41 ของอาคาร เป็นพื้นที่นั่งชิลเอ้าท์กับเพื่อน ภายในตกแต่งด้วยบรรยากาศหรูหรา ประดับอะลูมิเนียมสี Rose Gold ที่ทำให้มีความอ่อนหวานและหรูหรามากยิ่งขึ้น มาพร้อมกับกระจกแนวยาว ที่สามารถรับวิวจากมุมสูงได้เต็มที่ เหมาะแก่การนั่งชิลยามค่ำคืนเป็นอย่างยิ่ง

    มาดูที่แบบจำลองตัวอาคารกันต่อนะคะ ตัวโครงการแบ่งออกเป็น 2 อาคาร โดยจะแบ่งเป็นอาคาร Low Rise สูง 7 ชั้น และ High Rise สูง 41 ชั้น ซึ่งจะแยกการใช้งานออกจากกันชัดเจนนะคะ

    Tower A เป็นอาคาร Low Rise สูง 7 ชั้น มีที่จอดรถชั้นใต้ดิน 5 ชั้น อาคารนี้จะเป็นคอนโดมิเนียมแบบ Hospitality Service  โดยใช้การบริหารจัดการในในรูปแบบ Chain โรงแรม โดยโครงการจะขออนุญาตเป็น Hotel license กับ Service apartment เปิดบริการสำหรับลูกค้าที่ซื้อโครงการในโซน Service Residence ของ Tower B โดยจะมีบริการ Cleaning, Laundry, Concierge service for check-in  check-out , Room service และร้านอาหาร

    Tower B เป็นคอนโดมิเนียมสูง 41 ชั้น โดยจะมีการแบ่งโซนชั้นพักอาศัย ออกเป็น 2 ส่วน ได้แก่

    • Residence Zone ( Low Zone) เริ่มที่ชั้น 3-20 เป็น Residence Zone จะเน้นเพื่อพักอยู่อาศัยเป็นหลัก โดยโซนนี้จะขายให้กับลูกค้าคนไทยเป็นหลัก โดยจะมี Facilities อย่าง Co-working Space, Fitness, Private Meeting Room, Co-kitchen Space ยกเว้นชั้น 8, 12A, 17 จะขายให้กับชาวต่างชาติที่ต้องการอยู่ระยะยาว
    • Service Residence Zone ( High Zone) เริ่มที่ชั้น 21-40 จะเป็นโซนที่รอบรับนักลงทุนจะเลือกอยู่อาศัยเองหรือปล่อยเช่าก็ได้ โดยจะมีทีมงาน Hospitality Service ของ Siamese Asset ช่วยดูแลการเช่าให้ นอกจากนี้ยังมีบริการเสริมอย่าง Laundry, Housekeeping, Room Service, Check in และ Check out โดยโซนนี้จะขายให้กับลูกค้าคนไทยและชาวต่างชาติ โดยจะมี Facilities เพิ่มเติม อย่าง Swimming Pool, Fitness และ Sky Lounge ยกเว้นชั้น 26, 28, 36 ที่สามารถพักอยู่อาศัยเองได้สำหรับคนไทยที่ต้องการอยู่ชั้นสูง และได้บริการแบบ Hospitality Service

    แปลนของชั้น Ground Floor Plan ทางเดินรถจะสามารถวนได้รอบอาคารสูง โดยด้านหน้าจะเป็นพื้นที่ Drop off โดยจะมี Lobby 2 จุดเพื่อแยกทางเข้า-ออก ระหว่าง Residence และ Service Residence ชัดเจน ถัดเข้ามาบริเวณกลางของอาคาร จะเป็น Core บันได ส่วนโถงลิฟต์จะอยู่ตรงกลางชิดไปทางทิศเหนือ ซึ่งตัวโครงการจะมีลิฟต์โดยสาร 4 ตัว ลิฟต์Service 1 ตัว โดยจะแบ่งการใช้งานออกเป็น 2 โซน สำหรับ Residence จะอยู่ด้านใน มีทั้งหมด 2 ตัว ขึ้นได้เฉพาะชั้นที่ 1-20 ส่วน Service Residence จะอยู่ทางด้านนอก ขึ้นได้ตั้งแต่ชั้นที่ 21-40 นอกจากนี้ยังมีลิฟต์ Service ที่แยกส่วนกับลิฟต์โดยสาร เพื่อความเป็นส่วนตัว สำหรับพื้นที่ฝั่งทิศตะวันตก จะเป็นที่จอดรถ Automatic Parking ที่สามารถจอดได้ 182 คันค่ะ

    แปลนชั้นที่ 2nd Floor Plan จะเป็นชั้น Facilities ของชั้น Residence สำหรับชั้นที่จะมีห้อง Co-working Space, Meeting Room และ Fitness พร้อมห้องอเนกประสงค์ภายใน สำหรับพื้นที่ฝั่งทิศตะวันตก จะเป็นที่จอดรถ Automatic Parking ค่ะ

    แปลนชั้นที่ 3 และ 5 Floor Plan จะเริ่มเป็นชั้นพักอาศัย มีจำนวน 6 ยูนิต ซึ่งจะอยู่บริเวณโซนฝั่งทิศตะวันออก เนื่องจากฝั่งทิศตะวันตกยังคงเป็นที่จอดรถ Automatic Parking อยู่ สำหรับทางเดินจะได้เป็นแบบ Single Corridor ทำให้ไม่ต้องเปิดประตูมาพบกับเพื่อนห้องฝั่งตรงข้าม รวมถึงคนสัญจรไปมาหน้าห้องลดลง ทำให้ความเป็นส่วนตัวและเงียบสงบได้มากขึ้น สำหรับตัวห้อง อาจจะติดวิวของอาคาร Low Rise ด้านหน้านะคะ

    แปลนของชั้นที่ 4 และ 6 Floor Plan โดยรวมจะเหมือนกับชั้นที่แล้ว แต่จะมีแบบห้องภายในที่ออกแบบมาแตกต่างกัน สามารถเลือกได้ตามใจชอบ

    แปลนชั้นเลขคี่ 7-37 Floor Plan จะเริ่มเป็นชั้นพักอาศัยเต็มชั้น มีจำนวน 13 ยูนิต/ชั้น ซึ่งตัวห้องพักจะหันออกรอบทิศทาง สำหรับทางเดินจะได้เป็นแบบ Single Corridor เช่นเดียวกัน จุดขายจะอยู่ที่ห้องฝั่งทิศตะวันตก ที่จะได้วิวฝั่งวิวทะเลสาบของสวนเบญจกิติ ส่วนห้องฝั่งทิศตะวันออก จะพ้นจากระยะของอาคาร Low Rise บริเวณด้านหน้าอาคารแล้ว สำหรับ Roof Top ของอาคาร Low Rise จะทำเป็นพื้นที่สีเขียว ทำให้สบายตามากยิ่งขึ้น

    แปลนชั้นเลขคู่ 8-36 Floor Plan โดยรวมจะเหมือนกับชั้นที่แล้ว แต่จะมีแบบห้องภายในที่ออกแบบมาแตกต่างกัน สามารถเลือกได้ตามใจชอบ

    แปลนชั้นที่ 38th Floor Plan จะเป็นชั้น Facilities ของ Service Residence ที่จะมี Sky Pool และ Fitness ซึ่งตัวสระว่ายน้ำจะหันออกทิศตะวันออกได้วิวฝั่งถนนเส้นสุขุมวิท สำหรับห้องพักอาศัยชั้นนี้จะหันออกฝั่งทิศตะวันตกเป็นหลัก ซึ่งมีจำนวน 6 ยูนิต นอกจากนี้ยังมีประตูกั้นแยกทางเข้า-ออก จากส่วน Facilities เพื่อความเป็นส่วนตัว

    แปลนชั้นที่ 39th Floor Plan จะเริ่มเป็นชั้นพักอาศัยอีกครั้ง โดยจะมีจำนวน 7 ยูนิต ทำให้มีความเป็นส่วนตัวมากขึ้น ซึ่งจะพ้นระยะประชิดจากตึกสูงรอบข้างแล้วนะคะ

    แปลนชั้นที่ 40th Floor Plan จะมีเพียง 3 ยูนิต ซึ่งชั้นนี้จะเป็นห้อง Penthouse ทั้งหมด ทำให้มีความเป็นส่วนตัวมากยิ่งขึ้น โดยฝั่งทิศตะวันตกจะได้วิวทะเลสาบ ส่วนฝั่งทิศตะวันออกจะได้วิวสระว่ายน้ำของชั้นที่ 38 นะคะ

    แปลนชั้นที่ 41th Floor Plan ซึ่งชั้นนี้จะเป็น Sky Lounge ที่ทำเป็นร้านอาหารซึ่งบุคคลภายนอกสามารถใช้งานในบริเวณนี้ได้นะคะ

    แปลนชั้น Roof Top ซึ่งชั้นนี้จะเป็น Sky Garden และ Bar ที่มีพื้นที่หญ้าสีเขียว สามารถขึ้นมาใช้งานในบริเวณนี้ได้ค่ะ

    สำหรับทางเข้า-ออกจะมีป้อมรปภ. ดูแลตลอด 24 ชม. ถนนภายในโครงการจะวิ่งริมซ้ายของอาคาร เป็นถนนกว้าง 2 เลน ซึ่งจะมีทางออก 2 ทาง บริเวณซอยด้านข้างและทางเข้าเดิม โดยรอบโครงการจะมีพื้นที่สีเขียว ทำให้ดูสบายตาและร่มรื่นมากยิ่งขึ้น

    สำหรับที่จอดรถภายในโครงการจะมีทั้งหมด  271 คัน หรือคิดเป็น 60% แบ่งการใช้งานเป็น

    • Tower A (อาคาร 7 ชั้น) มีที่จอดรถชั้นใต้ดิน 5 ชั้น จำนวน 89 คัน แบบ Conventional โดยแบ่งเป็น ที่จอดรถส่วนบุคคล ระบุในโฉนดจำนวน 48 ช่อง และที่จอดรถสำหรับ Sky Lounge ชั้น 41 และ ที่จอดสำหรับ Hotel อาคาร A โดยพื้นที่ทรัพย์สินส่วนกลาง
    • Tower B (อาคาร 41 ชั้น) เป็นที่จอดรถแบบ Automatic Parking จำนวน 182 คัน

    สำหรับทางเดินรถ High Rise จะเป็นทางเดินรถรอบตัวอาคาร ด้านหลังจะมีทางเข้าที่จอดรถแบบ Automatic Parking หลังจากนั้นสามารถวิ่งวนรอบอาคารไปบริเวณ Lobby ได้

    สำหรับด้านข้างอาคาร Low Rise ฝั่งทิศเหนือ มีการจัดสวนหย่อม พร้อม Step ขึ้น-ลง ที่สามารถเดินเล่นบริเวณนี้ได้ รวมถึงมีบ่อน้ำที่ทำให้อากาศเย็นสบายมากยิ่งขึ้น ข้อดีของตำแหน่งนี้คือ มีอาคาร Low Rise ช่วยบังแดดอยู่ ซึ่งใช้งานบริเวณนี้ได้ตลอดทั้งวันค่ะ

    สำหรับอาคาร High Rise มีห้องที่ได้ระเบียงและไม่ได้ระเบียง โดยห้องที่หันออกด้าน City View และ Lake View จะได้ระเบียงยื่นออกมา แต่ห้องที่อยู่ฝั่งทิศใต้และเหนือ จะไม่มีพื้นที่ระเบียง ซึ่งจะมีราคาที่แตกต่างกันนะคะ

    สำหรับ Facilities ของโครงการจะแบ่งเป็น

    • ชั้น 1 เป็น Lobby แยกโซนชัดเจนระหว่าง Lobby ของ Residence และ Service Residence รวมถึงลิฟต์ก็แยกโซนชัดเจนเช่นกัน
    • ชั้น 2 เป็นส่วน Facilities สำหรับ Residence  Zone สำหรับคอนโดมิเนียม ได้แก่ Fitness , Private Meeting Room , Co-Working Space และ Co-Kitchen Space
    • ชั้น 38 เป็นสระว่ายน้ำของ Service Residence ขนาดยาว 24.4 x 5.4 m. ลึก 1.2 m. ระบบน้ำเกลือ และ Fitness (โฉนดถือครองโดย Siamese Asset)
    • ชั้น 41 เป็น Facilities ของทาง Service Residence ได้แก่ Sky Lounge (โฉนดถือครองโดย Siamese Asset)

    สรุปสิ่งอำนวยความสะดวก

    Tower A

    • Lobby
    • Hospitality Service

    • Cleaning
    • Laundry
    • Concierge service for check-in  check-out
    • Room service

  • Parking 89 คัน
  • Tower B

    • Lobby Residence Zone
    • Facilities

    • Mailbox
    • Co-working Space
    • Fitness
    • Private Meeting Room

  • Lobby Service Residence Zone
  • Facilities
    • Swimming Pool
    • Fitness
    • Sky Lounge
    • Sky Bar
    • Sky Jogging
    • Sky Garden

    • Service Zone

    • ระบบ CCTV รอบๆโครงการ
    • Key Card Access แบบล็อกชั้น
    • อัตราส่วนลิฟต์รวมทั้งโครงการ Low Zone 142 : 1
    • อัตราส่วนลิฟต์รวมทั้งโครงการ High Zone 80 : 1
    • ที่จอดรถภายในโครงการจะมีทั้งหมด  271 คัน หรือคิดเป็น 60%


    Product Walkthrough

    วันนี้เราจะพาไปชมห้องแบบ 1 Bedroom 1 Bath ( UNIT 1G ) ขนาด 35.61 ตร.ม. กัน ซึ่งตำแหน่งห้องนี้จะเริ่มตั้งแต่ชั้น 7 ขึ้นไป โดยจะมีเพียงชั้นละ 1 ห้อง ตำแหน่งหันออกทิศใต้ ซึ่งเป็นห้องที่ไม่มีระเบียง หรือเรียกกว่า Glaze Balcony โครงการจะขายแบบ Fully-Fitted แต่สำหรับโปรโมชั่นในเดือนนี้จะขายแบบ Fully Furnished ซึ่งจะได้ตู้ Built-in ตามห้องตัวอย่าง แต่สำหรับเฟอร์นิเจอร์ อาจจะมีเปลี่ยนสักเล็กน้อย ซึ่งขายในราคาเดิม

    ลักษณะห้องเป็นสี่เหลี่ยมหน้ากว้าง โดยจะเน้นแบ่งพื้นที่เป็นสัดส่วนที่ชัดเจน ได้แก่ ห้องครัว ห้องน้ำ ห้องนั่งเล่น ห้องนอน พื้นที่อเนกประสงค์ และระเบียงเล็กๆ เริ่มจากด้านหน้าตัวห้องจะมีช่องเก็บของที่ผนังด้านข้าง เมื่อเข้าไปภายในห้องเราจะเจอห้องครัว ซึ่งจะเป็นครัวปิด ที่สามารถประกอบอาหารจริงจังได้ โดยจะมีประตูกระจกบานเลื่อนมาให้ สำหรับวัสดุปูพื้นจะเป็นพื้นกระเบื้องแยกพื้นที่การใช้งาน ทำให้ทำความสะอาดได้ง่าย ถัดเข้าไปฝั่งขวามือจะเป็นห้องน้ำ ซึ่งมีการแยกส่วนแห้งและเปียกชัดเจน โดยห้องน้ำจะมีทั้งอ่างน้ำและที่ยืนอาบน้ำ โดยบริเวณอ่างน้ำจะได้เป็นแบบ Sexy Bath ที่มีกระจกทางฝั่งห้องนอน ซึ่งจะทำให้ได้รับแสงธรรมชาติ และดูโปร่งโล่งมากขึ้น

    ออกมาด้านนอกห้องน้ำ ฝั่งตรงข้ามจะเป็นที่วางตู้เสื้อผ้า ซึ่งมีพื้นที่หน้าตู้ค่อนข้างกว้าง สามารถใช้งานได้สบาย ส่วนพื้นภายในห้องจะได้เป็น Engineering Wood โดยจะปูพื้นแบบลายก้างปลา ถัดเข้ามาจะเจอห้องนั่งเล่น ที่สามาวางโซฟาสำหรับ 2 ที่นั่งได้ ถัดเข้าไปอีก จะมีพื้นที่อเนกประสงค์เล็กๆ เพื่อใช้ทดแทนพื้นที่ระเบียง สามารถวางโต๊ะทานอาหารแบบ 2 ที่นั่งได้ ซึ่งบริเวณนี้จะติดกับหน้าต่างขนาดใหญ่ ที่สูงตั้งแต่พื้นถึงฝ้า ทำให้รับแสงธรรมชาติได้อย่างเต็มที่ พร้อมมีหน้าต่างบางกระทุ้ง ที่ช่วยระบายอากาศภายในห้องได้ และมีทางออกพื้นที่ระเบียง ซึ่งจะมีตัว Condensing unit ที่แขวนลอยอยู่ด้านบน ทำให้มีพื้นที่ด้านล่างเหลือ สามารถใช้งานได้บ้าง ส่วนห้องนอน จะมีประตูบานเลื่อนแบ่ง 3 ตอนมาให้ เพื่อกั้นสัดส่วนจากพื้นที่ห้องนั่งเล่น สามารถงวางเตียงขนาด King Size ได้ และมีพื้นที่รอบเตียงอยู่พอสมควร

    เริ่มจากบริเวณด้านหน้าตัวห้อง ซึ่งด้านหน้าห้องจะมีไฟส่องสว่างของแต่ละห้อง ประตูห้อง จะได้เป็น ประตูไม้ขนาด Oversize พร้อมทั้งมีการซีลรอบประตู เพื่อกันเสียงและกันฝุ่นไม่ให้เข้ามาภายในตัวห้อง สำหรับมือจับทางโครงการจะติดตั้ง Digital Door Lock มาให้ค่ะ

    ด้านหน้าประตู จะมีผนังยื่นออกมาสักเล็กน้อย ซึ่งทางโครงการได้ทำเป็นตู้ไว้ใช้สำหรับเก็บของ โดยจะมีขนาดประมาณ 1.70 x 0.25 เมตร

    โดยตัวตู้ได้ทำ Soft Close มาให้เพื่อป้องกันไม่ให้ตู้เกิดเสียง และลดแรงกระแทกก่อนที่หน้าบานจะปิดสนิท

    เมื่อเปิดประตูเข้ามาภายในห้องจะเจอกับห้องครัวก่อน ฝ้าเพดานห้องนี้สูง 2.85 เมตร แต่ห้องครัวจะเป็นส่วนที่ดรอปฝ้า มีความสูง 2.55 เมตร โดยผนังของห้องจะเป็นแบบ Insulated Wall ที่ช่วยเก็บเสียง และป้องกันเสียงภายนอกได้ ซึ่งพื้นที่ครัวจะเชื่อมต่อกับพื้นที่นั่งเล่น ทำให้ได้รับแสงธรรมชาตจากบริเวณห้องนั่งเล่นค่ะ

    สำหรับชุดห้องครัว จะได้เป็นครัวปิด มีบานเลื่อกั้นพื้นที่การใช้งานชัดเจน ซึ่งทางโครงการจะติดตั้ง Hob & Hood มาให้ ทำให้สามารถระบายอากาศได้ดียิ่งขึ้น ซึ่งจะสามารถประกอบอาหารจริงจังได้

    สำหรับชุดห้องครัวจะใช้ของจากแบรนด์ Snaidero ที่นำเข้าจากประเทศอิตาลี ครัวรุ่นนี้จะออกแบบหน้าบานตู้มาเป็นพิเศษ ซึ่งวัสดุปิดผิวหน้าบานนี้จะเรียกกว่า มิคาไลท์ เป็นพื้นผิวด้านและเงา ทำให้ไม่มีรอยนิ้วมือและยังสามารถทำความสะอาดได้ง่าย สำหรับอุปกรณ์ต่างๆ ภายในห้องครัวจะใช้ของจากแบรนด์ Kuppersbusch ที่นำเข้าจากประเทศเยอรมัน ทั้งตัวเตาไฟฟ้า, Hob & Hood, และ อ่างล้างมือ นอกจากนี้ Topครัว จะเป็นหินสังเคราะห์ลายกระเบื้อง สามารถทนความร้อนได้ดี

    ตู้ด้านบนของเคาน์เตอร์ จะแบ่งออกเป็น 2 ตอน สำหรับตู้ฝั่งซ้ายจะเป็นแบบบานเปิดเข้าหากัน ภายในจะมีชั้นวางของมาให้ สามารถใส่อุปกรณ์ครัวได้สะดวกค่ะ

    นอกจากนั้นตู้ทั้งหมดยังมีระบบโช๊ค Soft-close ป้องกันการกระทบรุนแรงของการเปิด-ปิด ทำให้หน้าบานไม่ต้องมีที่จับ หน้าบานเรียบเสมอกัน ดูเรียบร้อยสบายตาดีค่ะ

    ส่วนกลางเคาน์เตอร์ครัวคือมีลักษณะ สี่เหลี่ยมผืนผ้ายาว Topครัว วัสดุเป็นหินสังเคราห์  ลายหินอ่อน ที่ทนความร้อนได้ดี และทำความสะอาดได้ง่าย มาพร้อมกับพื้นที่เตรียมอาหารขนาดใหญ่ ที่สามารถใช้งานได้สะดวก

    บริเวณเคาน์เตอร์ ทางโครงการให้ซิงค์ล้างจานสแตนเลสหลุมเดี่ยวยี่ห้อ TEKA ขนาด 50 x 40 ซม. ก๊อกน้ำล้างจานโครเมียมทรงสูง ปรับโยกซ้าย-ขวาได้

    ส่วนพื้นที่ด้านล่าง บริเวณช่องใต้อ่างล้างจานเป็นช่องขนาดใหญ่ สำหรับเก็บของได้ ภายในมีถังขยะแบบยึดกับบานเปิด ซึ่งจะเปิด-ปิด ตามหน้าบาน ส่วนฝั่งด้านซ้ายเป็นชั้นเก็บของ ที่สามารถวางอุปกรณ์ครัวขนาดใหญ่ได้

    บริเวณมือจับ แบบเซาะร่องที่หน้าบาน เพื่อทำให้สามารถจับใช้งานได้ง่ายมากยิ่งขึ้น

    ฝั่งตรงข้ามจะเป็นตู้ Built-in ที่ใช้วัสดุเดียวกัน ฝั่งซ้ายจะเป็นที่วางตู้เย็น แบบซ่อนเข้าไปข้างในตู้ Built in สำหรับฝั่งขวาจะมีเตาทำอาหาร ด้านล่างของจริง จะตู้เป็นหน้าบานปกติ เนื่องจากทางโครงการจะไม่ได้ให้เครื่องใช้ไฟฟ้ามานะคะ

    บริเวณหน้าประตูทางเข้าห้อง จะมีเซนเซอร์ประตูของ Life Smart เพื่อจับการเปิด-ปิดของประตู ในกรณีที่มีการใช้งานประตู จะสามารถตั้งค่าให้มีการแจ้งเตือนไปยังโทรศัพท์มือถือได้อีกด้วยนะคะ

    ตู้ด้านบนของเคาน์เตอร์ จะเป็นที่วาง Hood ยี่ห้อ Kuppersbusch สำหรับดูดควันในครัว ซึ่งทางโครงการได้ทำที่ระบายอากาศออกด้านนอกอาคารไว้ ทำให้ชั้นวางของฝั่งนี้จะมีลักษณะค่อนข้างตื้น แต่ก็ยังสามารถวางอุปกรณ์ครัวได้ตามใจชอบค่ะ

    เตาไฟฟ้าจะได้มาเป็นแบบ 2 หัว ยี่ห้อ Kuppersbusch ซึ่งเป็นผู้จำหน่ายผลิตภัณฑ์เครื่องครัวระดับสูง (high-end product) จากประเทศเยอรมัน

    สำหรับด้านล่างของจริง จะได้เป็นตู้หน้าบานปกติ และมีลิ้นชักที่สามารถวางวางชุดช้อน-ส้อม บริเวณนี้ได้

    ฝั่งซ้ายมือ จะมีตู้เย็นยี่ห้อ TEKA แบบฝั่งเข้ากับตู้ Built in โดยด่างล่างจะเป็นช่องแช่แข็ง ตรงกลางจะเป็นช่องใส่อาหารปกติ และด้านบนจะมีพื้นที่วางของได้

    พื้นที่ภายในครัวหลังจากใส่ Built-in จะกว้างประมาณ 1.10  เมตร มีขนาดเหมาะสำหรับการใช้งาน 1-2 คน โดยพื้นห้องครัวจะเป็นกระเบื้อง Italian Tile ลายหินอ่อน ซึ่งมีลักษณะค่อนข้างหรูหรา และทำความสะอาดง่ายค่ะ

    ฝ้าเพดาน จะเป็นเพดานฉาบเรียบทาสีขาว พร้อมติดไฟ Downlight มาให้ค่ะ

    ถัดเข้าไป จะเจอฉากกั้นประตูห้องครัว ที่ทำเป็นบานเลื่อน 4 ตอน ซึ่งจะเป็นขอบอลูมิเนียมสี Rose Gold ดูหรูหราน่าใช้งาน มาพร้อมกับกระจกใส ทำให้ห้องครัวได้รับแสงจากภายในห้อง สำหนรับข้อดีของบานเลื่อน 4 ตอน ทำให้เปิดใช้งานได้กว้างกว่าปกติ พอเลื่อนเปิดสุดแล้ว จะได้พื้นที่เชื่อมต่อกันค่ะ

    บริเวณบานเลื่อน จะมีสักกะหลาดไว้สำหรับกันฝุ่น และทำให้เวลาปิดเสียงไม่ดัง สำหรับรางเลื่อนจะเป็นแบบแขวน โดยไม่ต้องมีรางข้างล่างพื้นเพื่อป้องกันการสะดุดล้มค่ะ

    ถัดเข้ามาด้านในของตัวห้อง จะเป็นโถงแยกไปห้องน้ำทางขวามือ ส่วนทางซ้ายจะเป็นตู้เสื้อผ้า ที่จะอยู่ตรงข้ามกับห้องน้ำพอดี ทำให้สามารถหยิบเสื้อผ้าและแต่งตัวในบริเวณนี้ได้

    ชุดตู้เสื้อผ้าแบบ Built in ฝั่งซ้ายมือสุดจะเป็นชั้นวางรองเท้า ซึ่งหน้าบานจะเป็นกระจกเงา ทำให้สามารถยืนแต่งตัวหน้าตู้เสื้อผ้าได้ สำหรับฝั่งขวาที่เป็นตู้เสื้อผ้า ที่เป็นกระจกใสสีชา ที่ให้มองเห็นภายในได้ง่าย มีพื้นที่เก็บของค่อนข้างเยอะ ทั้งแบบแขวน และลิ้นชัก ที่ให้เลือกใช้งานได้หลากหลาย

    ชั้นวางรองเท้า แบบซ่อนในตู้ โดยทางโครงการจะทำเป็นชั้นๆมาให้ ทำให้สามารถจัดวางรองเท้าได้ง่ายขึ้น

    ฝั่งขวามือ จะเป็นตู้เสื้อผ้าที่แบ่งช่องไว้ชัดเจน มาพร้อมกับไฟส่องสว่างภายใน จะมีทั้งแบบเป็นตู้ยาว ที่สามารถแขวนเสื้อผ้าขนาดยาวๆได้ มีทั้งที่แขวนเสื้อยืด รวมถึงมีลิ้นชัก สำหรับแยกเก็บของได้ตามใจชอบ

    ภายในตู้เสื้อผ้า จะมีระบบ Soft-close ป้องกันการกระทบรุนแรงของการเปิด-ปิด รวมถึงบริเวณหน้าบาน มีที่จับค่อนข้างถนัดมือ เป็นลักษณะแนวเส้นตรงนูนออกมาพร้อมใช้สี Rose Gold ทำให้ดูหรูหรามากยิ่งขึ้น

    บริเวณหน้าตู้เสื้อผ้า จะมีพื้นที่กว้างประมาณ 1.60 เมตร ซึ่งพื้นที่ค่อนข้างกว้าง อีกทั้งตู้เสื้อผ้ายังอยู่บริเวณหน้าห้องน้ำเลย ทำให้สามารถหยิบเสื้อผ้าและแต่งตัวในบริเวณนี้ได้

    สำหรับฝั่งตรงข้ามตู้เสื้อผ้า จะมีทางเข้าห้องน้ำ ซึ่งประตูจะเป็นบานไม้อัดกันชื้น ขนาด Over Size ทำให้ห้องดูหรูหรามากยิ่งขึ้น

    ถัดมาจะเป็นห้องน้ำ ซึ่งมีการแยกส่วนเปียกและส่วนแห้งไว้อย่างชัดเจน เป็นห้องน้ำแบบ Sexy Bath คือจะมีผนังกระจกทางฝั่งห้องนอน ทำให้ภายในห้องน้ำได้แสงธรรมชาติ และดูโปร่งโล่งมากยิ่งขึ้น วัสดุภายในทั้งพื้นและผนัง จะเป็นกระเบื้อง Italian Tile ลายหินอ่อน

    ห้องน้ำของโครงการจะพิเศษ โดยจะแยกท่อของเสียกับท่อของก๊อกน้ำออกจากกัน เพื่อป้องกันไม่ให้กลิ่นย้อนกลับเข้ามาภายในห้องน้ำ ซึ่งจะถูกออกแบบไว้ตั้งแต่ขั้นตอนการก่อสร้างเลย ส่วนการเดินท่อจะวางไว้ใกล้ช่อง Shaft เพื่อที่จะไม่ต้องดึงท่อไปอยู่บนฝ้า ทำให้สามารถวิ่งเข้าช่อง Shaft ได้โดยตรง ทำให้เวลาซ่อมแซมสามารถทำในบริเวณได้เลย

    ลักษณะห้องน้ำจะเป็นสี่เหลี่ยมผืนผ้าแนวยาว ขนาดค่อนข้างกว้างพอสมควร โดยจะมีระยะที่กว้างที่สุดประมาณ 1.12 เมตร ถือว่าใช้งานได้สบายค่ะ

    เข้ามาจะเจอกับตู้ Built-in ที่ด้านบนจะเป็นกระจกเงา เปิดข้างในจะเป็นชั้นวางของ ที่สามารถวางของใช้ได้ค่ะ

    จะมีอ่างล้างหน้ายี่ห้อ Lavenz ขนาด 70 x 50 ซม. โดยฝั่งซ้ายมือ จะมีที่สามารถวางของได้ ด้านล่างของตัวอ่างจะมีลิ้นชัก ซึ่งตรงกลางเจาะช่องว่าง เพื่อวางเครื่องทำน้ำร้อน และบริเวณภายในลิ้นชัก จะมีพื้นที่สามารถวางของได้

    โถสุขภัณฑ์ยี่ห้อ TOTO อยู่ในตำแหน่งที่ใช้งานสะดวก โดยรอบมีขนาดใช้งานพอเหมาะ ตัวโถสุขภัณฑ์เป็นแบบฝารองนั่งอัตโนมัติรุ่น Washlet จาก TOTO โดยจะมีหัวฉีด 2 หัว เป็นแบบเบาและแบบหนัก นอกจากนี้ยังติดตั้งที่ใส่ทิชชู่ ยี่ห้อ Hansgrohe มาให้บริเวณผนังทางด้านหลังค่ะ

    สำหรับโถสุขภัณฑ์ด้านหลัง จะเป็นที่กดชักโครก ที่สามารถวาของใช้ได้

    ด้านในสุด จะเป็นส่วนอาบมีทั้งแบบยืนอาบ และอ่างแช่ตัวแบบญี่ปุ่น มีการแยกโซนส่วนเปียกแห้ง ด้วยประตูฉากกั้นกระจก จะเป็นประตูกระจกเทมเปอร์ใส รวมถึงรอบตัวบานกระจก จะติดขอบยาง เพื่อป้องกันน้ำซึมย้อนมาอีกฝั่ง มือจับเป็นอลูมิเนียมรูปตัว L ที่สามารถแขวนผ้าเช็ดตัวด้านหน้าฉากกั้นห้องน้ำได้ค่ะ

    พื้นที่ยืนอาบน้ำ ขนาดประมาณ 1.03 x 1.17 เมตร มีพื้นกว้างพอสมควร สามารถใช้งานได้สะดวกค่ะ

    อุปกรณ์ชุดอาบน้ำจะมีทั้งแบบ Rain Shower และ Hand Shower ยี่ห้อ Hansgrohe โดยโครงการจะสั่งทำสี Rose Gold มาเป็นพิเศษ ทำให้ดูหรูหรามากยิ่งขึ้น จุดเด่นของวัสดุจะเป็นทองเหลือง ที่ทำความสะอาด และไม่เป็นคราบตะกอนเมื่อใช้ไปนานๆ นอกจากนี้รุ่นนี้ยังมี  Air Power Technology ซึ่งจะมีการดูดอากาศเข้าไปผสมกับน้ำ แล้วค่อยปล่อยน้ำที่มีฟองนุ่มๆออกมา ทำให้ผิวชุ่มชื้น ทางโครงการได้ติดตั้งเครื่องทำน้ำร้อนมาให้ เป็นทีเรียบร้อยแล้วนะคะ

    สำหรับตัวฝักบัวแบบ Hand Shower ยี่ห้อ Hansgrohe สีสั่งทำพิเศษ Rose Gold ใช้งานง่าย ขนาดพอดีมือค่ะ

    อ่างแช่ตัวแบบญึ่ปุ่นแบบ Solid Surface จะกว้างประมาณ 1.17 x 0.95 เมตร มีขนาดพอดีกับการใช้งาน 1 คน มาพร้อมกับระบบน้ำร้อน-เย็น ที่ติดตั้งการใช้งานมาให้แล้ว นอกจากนี้ความพิเศษอยู่ที่ จะมีกระจกขนาดใหญ่ ทำให้รับแสงธรรมชาติ และดูโปร่งโล่งมากยิ่งขึ้นค่ะ

    ฝ้าเพดานด้านบนจะได้ฉาบเรียบทาสี และไฟ Downlight แบบฝั่งฝ้า มาพร้อมกับพัดลมดูดอากาศอีก 1 ตัว ที่ช่วยระบายความชื้นภายในห้องน้ำได้ค่ะ

    กลับเข้ามาภายในห้อง จะมีห้องนั่งเล่น อยู่ด้านหน้าของเตียงนอน ซึ่งสามารถวางโซฟา สำหรับ 2-3 ที่นั่งได้ มีระยะการใช้งานกว้างพอสมควร ข้อดีสำหรับการวางแบบนี้ คือสามารถดูทีวีได้จากบริเวณเตียงนอนเลย นอกจากนี้บริเวณนี้ยังมีความสูงพื้นถึงฝ้า 2.85 เมตร ซึ่งจะทำให้ห้องดูโปร่งโล่งมากยิ่งขึ้น

    บริเวณห้องนั่งเล่น มีระยะห่างจากโซฟาถึงทีวี กว้างประมาณ 2 เมตร สามารถเลือกทีวีขนาด 50 นิ้วมาใส่กรณีสำหรับนอนดูทีวีจากบนเตียง โดยทางโครงการได้เตรียมช่องเสียบสัญญาณทีวีไว้ให้เรียบร้อย นอกจากนี้ยังได้รับแสงธรรมชาติจากบริเวณหน้าต่างอีกด้วย

    สำหรับโปรโมชั่นตอนนี้ จะได้ชุด Built in บริเวณตู้ทีวีแบบนี้เลย ฝั่งซ้ายมือสุดจะทำเป็นชั้นวางของ ส่วนด้านบนจะทำเป็นบานเปิด ด้างล่างจะทำเป็นลิ้นชักเก็บของ ซึ่งอาจจะต้องคุยกับทาง Sale อีกทีว่ายังได้โปรโมชั่นนี้อยู่รึเปล่านะคะ

    ถัดเข้ามาจะมีพื้นที่อเนกประสงค์ ที่ทำมาเพื่อทดแทนพื้นที่ระเบียง จะมีขนาดกว้างประมาณ 1.90 x 1.35 เมตร สามารถวางโต๊ะกินข้าวสำหรับ 2 ที่นั่งได้ หรือทำเป็นมุมทำงาน โดยจะชิดริมด้านนอกอาคาร ที่ได้หน้าต่างขนาดใหญ่ที่สูงตั้งแต่พื้นถึงฝ้า ทำให้สามารถมองวิวได้อย่างเต็มที่

    สำหรับหน้าต่างริมอาคาร ทางโครงการจะให้หน้าต่างบานกระทุ้ง 1 บาน เพื่อช่วยระบายอากาศภายในห้องได้ โดยจะมีตัวล็อคของบานกระทุ้ง ที่จะเปิดได้ไม่กว้างมากนัก เพื่อความปลอดภัยของคนใช้งาน ส่วนบริเวณด้านจับเป็นแบบก้านโยกสามารถเปิดใช้งานได้ง่าย นอกจากนี้ตัวกระจก จะใช้เป็นกระจก Low-E ช่วยลดความร้อนภายในห้องได้

    ฝ้าเพดานด้านบนจะได้ฉาบเรียบทาสี และไฟ Downlight แบบฝั่งฝ้า มาพร้อมกับ Smart Alarm  เป็นลำโพงแจ้งเตือนเมื่อมีเหตุฉุกเฉิน นอกจากนี้ยังสามารถรับคำสั่งเสียงได้อีกด้วย ส่วน IP Camera ที่สามารถดูผ่านโทรศัพท์ได้ ซึ่งเป็นภาพแบบ Real Time นะคะ

    สำหรับห้องนี้ จะไม่มีระเบียงที่ยื่นออกไป แต่จะมีพื้นที่ด้านนอก สำหรับวาง Condensing unit โดยทางโครงการจะแขวนเครื่องไว้ด้านบน ทำให้มีพื้นที่เหลือด้านล่าง ที่สามารถวางเครื่องซักผ้า และ เครื่องอบผ้าบริเวณนี้ได้

    พื้นที่ระเบียง จะมีขนาดกว้างประมาณ 1.80 x 0.95 ซม. พื้นเป็นกระเบื้องลายไม้ สามารถออกตากผ้าหรือใช้งานในบริเวณนี้ได้ โดยทางโครงการจะทำราวกันตก แบบผนังกระจกมาให้

    ฝ้าเพดาน จะเป็นเพดานฉาบเรียบทาสีขาว พร้อมติดไฟ Downlight มาให้ค่ะ

    ในส่วนของระบบปรับอากาศภายใน จะเป็นแอร์ระบบ VRV ยี่ห้อ Daikin เป็นระบบการทำงานที่เงียบกว่าแบบทั่วไป โดยจะปรับอุณหูภมิตามความเหมาะสมการใช้งาน ทำให้ประหยัดค่าไฟได้มากกว่าปกติประมาณ 20-30%

    สำหรับห้องนอน จะอยู่ด้านหลังห้องนั่งเล่น ทางโครงการได้ให้บานเลื่อน 3 ตอนขนาดใหญ่ เพื่อแบ่งห้องออกเป็นสัดส่วน ซึ่งจะได้เป็นขอบอลูมิเนียมสี Rose Gold ทำให้ห้องดูหรูหรามากยิ่งขึ้น มาพร้อมกับกระจกใส ข้อดีของบานเลื่อน 3 ตอน จะทำให้เปิดใช้งานได้กว้างกว่าปกติ พอเลื่อนเปิดสุดแล้ว จะได้พื้นที่เชื่อมต่อกัน นอกจากนี้ถ้าใครต้องการความเป็นส่วนตัว สามารถติดผ้าม่านเพิ่มเติมได้นะคะ

    พื้นที่ห้องนอน จะสามารถวางเตียงนอนขนาด King Size ได้ มาพร้อมกับโต๊ะหัวเตียง 2 ข้าง ข้อดีคือจะอยู่ชิดริมอาคาร ซึ่งจะได้หน้าต่างขนาดใหญ่ ที่สามารถรับแสงธรรมชาติได้ดี พร้อมทั้งสามารถมองวิวด้านนอกได้นะคะ

    ปลายเตียงหลังจากปิดบานเลื่อนแล้ว จะมีพื้นที่เหลือประมาณ 35 ซม. คือพอที่จะเดินไปเดินไปมาได้พอดีค่ะ

    บริเวณด้านข้างเตียงฝั่งห้องน้ำจะมีพื้นที่กว้างประมาณ 55 ซม. ส่วนฝั่งที่ติดริมหน้าต่าง จะมีพื้นที่กว้างประมาณ 75 ซม. ซึ่งสามารถวางโต๊ะหัวเตียงทั้ง 2 ฝั่งได้ ซึ่งถือมีระยะการใช้งานขนาดพอดีค่ะ

    สำหรับบริเวณห้องนอน จะสามารถมองเข้าไปในห้องน้ำได้ เนื่องจากมีหน้าต่างขนาดใหญ่ เพื่อรับแสงธรรมชาติจากบริเวณห้องนอนได้ กรณีที่ต้องการความเป็นส่วนตัว สามารถติดฟิล์มขุ่นในบริเวณเพิ่มเติมได้นะคะ

    ฝ้าเพดานห้องนอน จะเป็นเพดานฉาบเรียบทาสีขาว พร้อมติดไฟ Downlight มาให้ โดยฝั่งซ้ายมือ จะดรอปฝ้าลงมาเพื่อวางแอร์

    สำหรับฝั่งขวาจะติดตั้งระบบฟอกอากาศ ที่สามารถกรองอากาศจากภายนอก ผ่านตัวกรอง ที่สามารถกำจัดฝุ่นมลพิษ PM 2.5 ที่เป็นอันตรายต่อร่างกาย โดยจะเปลี่ยนให้เป็น Fresh Air ก่อนปล่อยเข้ามาในห้องทุกห้อง ซึ่งจะดีสำหรับคนที่เป็นโรคภูมิแพ้ และมีเด็กอยู่ภายในบ้าน ทำให้ในห้องมีอากาศหมุนเวียนไม่อึดอัดค่ะ

    ถัดมาจะเป็นห้องขนาดใหญ่ขึ้น อย่างห้องแบบ 2 Bedroom 2 Bath ( UNIT 2B-2 ) ขนาด 74.43 ตร.ม. กัน ซึ่งตำแหน่งห้องนี้จะเริ่มตั้งแต่ชั้น 7 ขึ้นไป โดยจะมีเพียงชั้นละ 1 ห้อง ตำแหน่งจะอยู่บริเวณหัวมุม ที่หันออกทิศไปทางทิศใต้และตะวันออก โดยจะมีพื้นที่ระเบียงยื่นออกไปจากตัวอาคาร ซึ่งจะได้เป็น Lake View เป็นวิวที่ดีที่สุดของโครงการเลยนะคะ

    ซึ่งข้อดีของห้องมุมคือมีกระจกรอบด้าน และสามารถเห็นวิวได้ทั้ง 2 ทิศทาง โดยแบบห้องจะเป็นพื้นที่การใช้งานไว้ชัดเจน เริ่มจากด้านหน้าตัวห้องจะมีช่องเก็บของเช่นเดียวกันกับห้องแรก โดยจะมีพื้นที่ Pantry เพิ่มขึ้นมาให้ โดยจะมีตู้ Built in บริเวณฝั่งซ้ายมือ ถัดเข้ามาจะเป็นห้องครัว จะได้เป็นครัวเปิด ไม่เน้นประกอบอาหารจริงจัง ถัดจากส่วนครัวจะเป็นพื้นที่รับประทานอาหาร ที่สามารถวางโต๊ะทานข้าวสำหรับ 4 ที่นั่งได้ ซึ่งจะเชื่อมต่อกับห้องนั่งเล่น ที่จะมีพื้นที่ยื่นออกไปจากนอกตัวอาคารเล็กน้อย โดยจะสามารถวางโต๊ะทำงานในบริเวณนี้ได้ ซึ่งจะติดกับหน้าต่างขนาดใหญ่ ที่สูงตั้งแต่พื้นถึงฝ้า ทำให้ได้สามารถมองวิว และรับแสงธรรมชาติได้อย่างเต็มที

    อีกฝั่งของตัวห้องจะเป็นส่วนพักอาศัย โดยจะแบ่งออกเป็น 2 ห้องนอน โดยห้องนอนใหญ่จะมีห้องน้ำภายในตัว ซึ่งถือว่ามีความเป็นส่วนตัว โดยตัวห้องน้ำจะติดกับพื้นที่ด้านนอกพร้อมทั้งมีหน้าต่าง ที่สามารถระบายอากาศ และความชื้นออกด้านนอกได้ นอกจากนี้ยังมีระเบียง ที่ขนาดค่อนข้างกว้าง สามารถวางโต๊ะสวนได้ พร้อมทั้งทางโครงการได้ทำประตูซ่อน  Condensing Unit  มาให้อีกด้วย ส่วนห้องนอนเล็ก จะได้หน้าต่างขนาดใหญ่เช่นเดียวกัน ซึ่งทำให้รับแสงและวิวได้อย่างเต็มที่ แต่สำหรับห้องน้ำ จะต้องเดินออกมาใช้งานบริเวณห้องนั่งเล่น ซึ่งต้องใช้ร่วมกับแขกที่มาบ้านด้วยนะคะ

    เริ่มจากบริเวณด้านหน้าตัวห้อง ซึ่งจะเหมือนกับห้องแรก มีผนังยื่นออกมาสักเล็กน้อย ซึ่งทางโครงการได้ทำเป็นตู้ไว้ใช้สำหรับเก็บของได้

    เข้ามาในตัวห้องแล้วส่วนแรกจะเป็นบริเวณ Pantry โดยด้านข้างจะทำเป็นตู้ Built in หน้าบานจะเป็นกระจกเงา ทำให้ห้องดูกว้างมากยิ่งขึ้น ฝ้าเพดานบริเวณนี้จะสูง 2.55 เมตร และมีพื้นกระเบื้อง Italian Tile ลายหินอ่อน เหมือนกับห้องแรกเลย

    สำหรับด้านหน้าทางเข้า จะมีตู้ Built in ฝั่งซ้ายมือสุดจะทำเป็นชั้นวางรองเท้า หน้าบานเป็น กระจกเงา ทำให้เราตรวจดูความเรียบร้อยก่อนออกจากห้องได้

    สำหรับฝั่งขวามือจะเป็นที่ซ่อนของตู้ซักผ้าและตู้อบผ้า โดยตรงกลางจะทำเปนชั้นๆ สามารถวางอุปกรณ์ซักผ้าในบริเวณนี้ได้ ส่วนด้านบนจะเป็นช่องขนาดใหญ่ ที่สามารถวางของชิ้นใหญ่ได้

    ส่วนห้องครัว จะได้เป็นครัวเปิด ลักษณะเคาน์เตอร์ครัวจะเป็นรูปตัว U Shape ทำให้สามารถใช้งานได้สะดวก สำหรับวัสดุทุกอย่างจะเหมือนกับห้องแรกค่ะ

    ตู้ด้านบนของเคาน์เตอร์ จะแบ่งออกเป็น 2 ตอน สำหรับตู้ฝั่งซ้ายจะเป็นแบบบานเปิดเข้าหากัน สำหรับภายในจะมีชั้นวางของมาให้ โดยฝั่งซ้ายมือสุดจะมีขนาดค่อนข้างตื้น เนื่องจะทางโครงการได้วาง Hood สำหรับดูดควันมาให้ค่ะ

    ส่วนกลางเคาน์เตอร์ครัวคือมีลักษณะ สี่เหลี่ยมผืนผ้ายาว Topครัว วัสดุเป็นแบบหินสังเคราะห์เช่นเดียวกับห้องแรก โดยห้องนี้จะวางเตาไฟฟ้าไว้ตรงกลาง ส่วนฝั่งขวามือจะเป็นอ่างล้างจาน ซึ่งจะมีลักษณะการใช้งานเป็นแนวทแยง ทำให้ใช้งานได้สะดวกมากยิ่งขึ้น

    เตาไฟฟ้าจะได้มาเป็นแบบ 4 หัว พร้อมเครื่องดูดควัน แบบเดียวกับห้องแรก ส่วนอ่างล้างมือ  ขนาด 50 x 40 ซม. ก๊อกน้ำล้างจานโครเมียมทรงสูง ปรับโยกซ้าย-ขวาได้ พร้อมมีพื้นที่การใช้งานโดยรอบค่อนข้างกว้าง สามารถวางของในบริเวณนี้ได้ รวมถึงมีการยกขอบเคาน์เตอร์ขึ้นเล็กน้อย เพื่อวางของเพิ่มเติมได้

    ส่วนตู้ด้านล่าง จะสามารถเก็บของได้ นอกจากนี้ยังมีลิ้นชัก ที่ชั้นบนสามารถวางชุดช้อน-ส้อม ส่วนชั้นอื่นก็สามารถวางจานชาม หรืออุปกรณ์ครัวได้ตามใจชอบค่ะ

    ฝั่งตรงข้ามชุดครัว ฝั่งซ้ายมือของจริงจะเป็นตู้วางของธรรมดา เนื่องจากโครงการไม่ได้ให้เครื่องใช้ไฟฟ้ามา ส่วนฝั่งขวามือจะมีตู้เย็นยี่ห้อ TEKA ที่ฝั่งเข้ากับตู้ Built in โดยด้านล่างจะเป็นช่องแช่แข็ง ตรงกลางจะเป็นช่องใส่อาหารปกติ และด้านบนจะมีพื้นที่วางสามารถวางของได้

    พื้นที่ภายในครัวหลังจากใส่ Built-in จะมีพื้นที่ให้ยืนทำครัวกว้างประมาณ 1.72  เมตร ที่สามารถใช้งานหลายคนได้ พื้นห้องครัวจะเป็นกระเบื้อง Italian Tile ลายหินอ่อน ซึ่งทำความสะอาดได้ง่ายค่ะ

    ฝ้าเพดาน จะเป็นเพดานฉาบเรียบทาสีขาว พร้อมติดไฟ Downlight มาให้ค่ะ

    ถัดจากส่วนครัวจะเป็นพื้นที่รับประทานอาหาร ที่สามารถวางโต๊ะกินข้าวแบบ 4 ที่นั่งได้ มีพื้นที่การใช้งานค่อนข้างกว้าง สามารถใช้งานได้สบาย โดยจะเชื่อมต่อกับห้องนั่งเล่น ซึ่งบริเวณนี้ยังคงปูพื้นด้วยกระเบื้อง Italian Tile ลายหินอ่อนเหมือนบริเวณห้องครัว

    ห้องนั่งเล่นค่อนข้างกว้าง สามารถวางชุดโซฟา และโต๊ะกลางได้ด้วย ซึ่งจะมีพื้นที่ทางเดินโดยรอบเหลือค่อนข้างกว้าง ความสูงพื้นถึงฝ้าจะเพิ่มขึ้นเป็น 2.85 เมตร

    บริเวณห้องนั่งเล่น จะมีระยะห่างจากโซฟาถึงทีวี กว้างประมาณ 2.74 เมตร สามารถเลือกทีวีขนาด 50 นิ้วมาใส่หรือขนาดมากกว่านี้ก็ได้นะคะ โดยทางโครงการได้เตรียมช่องเสียบสัญญาณทีวีไว้ให้เรียบร้อย นอกจากนี้พื้นที่ยังได้รับแสงธรรมชาติจากบริเวณหน้าต่างอีกด้วย

    ถัดเข้าไปจะเป็นพื้นที่อเนกประสงค์ จะมีขนาดกว้างประมาณ 1.85 x 1.30 เมตร ที่สามารถวางโต๊ะทำงานในบริเวณนี้ได้สบาย จะอยู่ติดกับหน้าต่าง ที่สามารถชมวิวได้

    สำหรับหน้าต่างริมอาคาร ทางโครงการจะให้หน้าต่างบานกระทุ้ง 1 บาน เพื่อช่วยระบายอากาศภายในห้องได้ โดยจะมีตัวล็อคของบานกระทุ้ง ที่จะเปิดได้ไม่กว้างมากนัก เพื่อความปลอดภัยของคนใช้งาน ส่วนบริเวณด้านจับเป็นแบบก้านโยกสามารถเปิดใช้งานได้ง่าย นอกจากนี้ตัวกระจกจะใช้เป็นกระจก Low-E ช่วยลดความร้อน แต่ถ้าห้องฝั่งทางทิศตะวันตกจะเพิ่มเป็นกระจก Insulated (IGU) เนื่องจากได้รับแดดมากเป็นพิเศษ

    ฝ้าเพดานด้านบนจะได้ฉาบเรียบทาสี และไฟ Downlight แบบฝั่งฝ้า มาพร้อมกับแอร์ระบบ VRV ที่เหมือนกับห้องแรกที่กล่าวไปนะคะ

    สำหรับทางเข้าห้องนอน จะมีทางเดินเข้าไปทำให้มีความเป็นส่วนตัวมากขึ้น โดยฝั่งซ้ายมือจะเป็นห้องน้ำเล็ก ตรงเข้าไปจะเป็นห้องนอนเล็ก และฝั่งขวามือจะเป็นห้องนอนใหญ่

    ทางเข้าห้องนอนใหญ่ จะเจอกับห้องน้ำก่อนเลย ซึ่งจะไม่เห็นบริเวณเตียงก่อน ทำให้มีความเป็นส่วนตัวเพิ่มมากยิ่งขึ้น

    ห้องน้ำใหญ่ จะติดกับริมด้านนอกอาคาร ซึ่งจะมีหน้าต่างขนาดใหญ่ที่มองเห็นวิว บริเวณด้านบนจะมีหน้าต่างบานกระทุ้ง ที่สามารถระบายอากาศและความชื้นได้ดี นอกจากนี้ยังได้รับแสงธรรมชาติ พร้อมทำให้ห้องน้ำดูโปร่งโล่งมากยิ่งขึ้น สำหรับวัสดุภายในทั้งพื้นและผนัง จะเป็นกระเบื้อง Italian Tile ลายหินอ่อน

    ลักษณะห้องน้ำจะเป็นสีเหลี่ยมผืนผ้าแนวยาว ขนาดค่อนข้างกว้างพอสมควร โดยจะมีระยะที่กว้างที่สุดประมาณ 1.18 เมตร ถือว่าใช้งานได้สบายค่ะ

    ตู้อ่างล้างมือ Built-in จะเหมือนกับห้องแรกนะคะ ด้านบนจะเป็นกระจกเงา ที่สามารถวางของข้างในได้ ตรงกลางจะอ่างล้างมือ ที่สามารถวางของด้านข้างได้ ส่วนด้านล่างจะทำเป็นลิ้นชัก พร้อมช่องวางของ ที่สามารถวางอุปกรณ์ห้องน้ำได้

    โถสุขภัณฑ์ยี่ห้อ TOTO อยู่ในตำแหน่งที่ใช้งานสะดวก มีพื้นที่หน้าโถสุขภัณฑ์ โดยรอบมีขนาดพอเหมาะ ตัวโถสุขภัณฑ์เป็นแบบฝารองนั่งอัตโนมัติรุ่น Washlet จาก TOTO โดยจะมีหัวฉีด 2 หัว เป็นแบบเบาและแบบหนัก นอกจากนี้ยังติดตั้งที่ใส่ทิชชู่ มาให้บริเวณผนังทางด้านหลังค่ะ

    ด้านริมหน้าต่างเป็นส่วนอาบ ให้ทั้งแบบยืนอาบและอ่างแช่ตัวแบบญี่ปุ่น มีการแยกโซนส่วนเปียกแห้ง ด้วยประตูฉากกั้นกระจก จะเป็นประตูกระจกเทมเปอร์ใส รวมถึงรอบตัวบานกระจกจะติดขอบยาง เพื่อป้องกันน้ำซึมย้อนมาอีกฝั่ง มือจับเป็นอลูมิเนียมรูปตัว L ซึ่งสามารถแขวนผ้าเช็ดตัวด้านหน้าฉากกั้นห้องน้ำได้ค่ะ

    พื้นที่ยืนอาบน้ำ มีขนาดประมาณ 1.09 x 1.17 เมตร โดยมีพื้นกว้างพอสมควร สามารถใช้งานได้สะดวก

    อุปกรณ์ชุดอาบน้ำจะมีทั้งแบบ Rain Shower และ Hand Shower ยี่ห้อ Hansgrohe โดยโครงการจะสั่งทำสี Rose Gold มาเป็นพิเศษ ระบบต่างๆจะเหมือนกับห้องแรกเลยนะคะ

    อ่างแช่ตัวแบบญึ่ปุ่นแบบ Solid Surface จะมีขนาดอ่างกว้างประมาณ 1.17 x 0.95 เมตร ซึ่งมีขนาดพอดีกับการใช้งาน 1 คน มาพร้อมกับระบบน้ำร้อน-เย็น ที่ติดตั้งการใช้งานมาให้แล้ว

    ฝ้าเพดานด้านบนจะได้ฉาบเรียบทาสี และไฟ Downlight แบบฝั่งฝ้า มาพร้อมกับพัดลมดูดอากาศอีก 1 ตัว ที่ช่วยระบายความชื้นภายในห้องน้ำได้ค่ะ

    ห้องนอนใหญ่ จะสามารถวางเตียงนอนขนาด King Size ได้ มาพร้อมกับโต๊ะหัวเตียง 2 ข้าง โดยจะมีระเบียงส่วนตัว ที่สามารถออกไปใช้งานได้สะดวกค่ะ

    เนื่อกจากห้องนี้เป็นห้องมุม ทำให้ด้านข้างเตียงจะมีหน้าต่างเพิ่มขึ้นมา ที่สามารถรับแสงได้จาก 2 ทิศทาง รวมถึงสามารถมองวิวบริเวณทิศใต้ได้อีกด้วย

    บริเวณปลายเตียง จะมีพื้นที่เหลือประมาณ 35 ซม. คือพอที่จะเดินไปเดินไปมาได้พอดีค่ะ

    ด้านข้างจะมีทางออกไปยังบริเวณพื้นที่ระเบียง ซึ่งตัวระเบียงจะหันออกไปบริเวณ Lake View ที่สามารถมองเห็นวิวทะเละสาบ และพื้นที่สีเขียวของสวนเบญจกิติได้

    บริเวณมือจับเซาะร่องให้จับได้ถนัดมือ พร้อมตัวล็อคแบบผลักขึ้น-ลง และมีสักกะหลาดไว้สำหรับกันฝุ่นบริเวณขอบประตูค่ะ

    อีกทั้งทางโครงการยังได้ฝั่งขอบพื้นกระจกอลูมิเนียม เพื่อทำให้เดินได้สะดวกมากยิ่งขึ้น โดยพื้นระเบียงจะต่ำกว่าพื้นที่ภายในห้องเล็กน้อย

    พื้นที่ระเบียงในห้องนอนใหญ่ จะมีขนาดกว้าง 2.88 x 1.18 เมตร ที่สามารถวางโต๊ะนั่งเล่นสำหรับ 2 ที่นั่งได้ ราวระเบียงจะเป็นกระจกนิรภัย ทำให้ได้วิวแบบมุมกว้างไม่บังวิว

    ทางโครงการได้ ทำประตูสำหรับซ่อน Condensing Unit มาให้ โดยตัว CDU จะเป็นแบบแขวน ทำให้เหลือพื้นที่ด้านล่าง สามารถนำมาผ้ามาตากบริเวณนี้ได้

    ฝ้าเพดาน จะเป็นเพดานฉาบเรียบทาสีขาว พร้อมติดไฟ Downlight มาให้ค่ะ

    ส่วนชุดตู้เสื้อผ้าเป็นแบบ Built in จะได้เป็นแบบเดียวกับห้องแรกเลยนะคะ

    บริเวณหน้าตู้เสื้อผ้า จะมีพื้นที่กว้างประมาณ 2.82 เมตร ซึ่งถือว่ากว้างสามารถใช้งานได้สบาย อีกทั้งตู้เสื้อผ้ายังอยู่ บริเวณหน้าห้องน้ำเลย ทำให้สามารถหยิบเสื้อผ้าและแต่งตัวในบริเวณนี้ได้

    ฝ้าเพดานห้องนอน จะเป็นเพดานฉาบเรียบทาสีขาว พร้อมติดไฟ Downlight มาให้ โดยฝั่งซ้ายมือ จะดรอปฝ้าลงมาเพื่อวางแอร์ค่ะ

    ห้องนอนเล็ก จะสามารถวางเตียงนอนขนาด 5ฟุตได้ โดยจะได้หน้าต่างขนาดใหญ่ ที่มาพร้อมกับหน้าต่างบางกระทุ้ง เพื่อช่วยระบายอากาศภายในห้องได้ โดยจะมีตัวล็อคของบานกระทุ้ง ที่จะเปิดได้ไม่กว้างมากนัก เพื่อความปลอดภัยของคนใช้งาน นอกจากนี้ยังสามารถชมวิวจากบริเวณนี้ได้โดยตรงเลยนะคะ

    ปลายเตียงจะมีพื้นที่เหลือประมาณ 35 ซม. คือพอที่จะเดินไปเดินไปมาได้พอดี นอกจากนี้ยังมีช่องที่สามารถใส่ตู้เสื้อผ้า Built in ได้ ซึ่งของจริงจะได้เป็นบานเลื่อนนะคะ

    ด้านข้างเตียงฝั่งด้านในจะมีพื้นที่กว้างประมาณ 60 ซม. ส่วนฝั่งริมหน้าต่าง จะมีพื้นที่กว้างประมาณ 70 ซม. ซึ่งสามารถวางโต๊ะหัวเตียงทั้ง 2 ฝั่งได้ ซึ่งถือมีระยะการใช้งานขนาดพอดี

    ฝ้าเพดานห้องนอน จะเป็นเพดานฉาบเรียบทาสีขาว พร้อมติดไฟ Downlight มาให้ โดยฝั่งซ้ายมือ จะดรอปฝ้าลงมาเพื่อวางแอร์ค่ะ

    ห้องน้ำเล็ก จะอยู่ระหว่างห้องนั่งเล่น และห้องนอนเล็ก ซึ่งสามารถใช้งานได้ทั้งคนภายนอกและผู้อยู่อาศัย โดยจะแยกส่วนเปียกและส่วนแห้งไว้อย่างชัดเจน วัสดุภายในจะได้แบบเดียวกันกับห้องแรกค่ะ

    ลักษณะห้องน้ำจะมีขนาดพอดีกับการใช้งาน โดยจะมีระยะหน้าโถสุขภัณฑ์ประมาณ 60 ซม. ถือว่าพอใช้งานได้ค่ะ

    สำหรับตู้อ่างล้างมือ Built-in จะคล้ายกับห้องแรก แต่จะมีขนาดเล็กกว่า ด้านบนจะเป็นกระจกเงา ที่สามารถวางของข้างในได้ ตรงกลางจะเป็นอ่างล่างมือ ส่วนด้านล่างจะทำเป็นลิ้นชัก พร้อมช่องเก็บของ

    โถสุขภัณฑ์ยี่ห้อ TOTO อยู่ในตำแหน่งที่ใช้งานสะดวก โดยรอบมีขนาดพอดีการใช้งาน ตัวโถสุขภัณฑ์ เป็นแบบฝารองนั่งอัตโนมัติรุ่น Washlet จาก TOTO โดยจะมีหัวฉีด 2 หัว เป็นแบบเบาและแบบหนัก นอกจากนี้ยังติดตั้งที่ใส่ทิชชู่ มาให้บริเวณผนังทางด้านข้าง

    ฝั่งซ้ายจะเป็นที่ยืนอาบน้ำ มีการแยกโซนส่วนเปียกแห้ง ด้วยประตูฉากกั้นกระจก จะเป็นประตูกระจกเทมเปอร์ใส รวมถึงรอบตัวบานกระจกจะติดขอบยาง เพื่อป้องกันน้ำซึมย้อนมาอีกฝั่ง มือจับเป็นอลูมิเนียมรูปตัว L ซึ่งสามารถแขวนผ้าเช็ดตัวด้านหน้าฉากกั้นห้องน้ำได้ค่ะ

    พื้นที่ยืนอาบน้ำ มีขนาดประมาณ 1.39 x 0.77 เมตร โดยมีพื้นกว้างพอสมควร สามารถใช้งานได้สะดวก

    อุปกรณ์ชุดอาบน้ำจะมีทั้งแบบ Rain Shower และ Hand Shower นะคะ

    ฝ้าเพดานด้านบนจะได้ฉาบเรียบทาสี และไฟ Downlight แบบฝั่งฝ้า มาพร้อมกับพัดลมดูดอากาศอีก 1 ตัว ที่ช่วยระบายความชื้นภายในห้องน้ำได้ค่ะ

    Kuppersbusch จะเป็นยี่ห้ออุปกรณ์ห้องครัวอย่าง เตาไฟฟ้า, อ่างSink และ  Hood ที่นำเข้าจากเยอรมัน

    Snaidero เป็นแบรนด์นำเข้าจากอิตาลี จุดเด่นคือรุ่นนี้จะเป็นวัสดุปิดผิว ที่เรียกกว่ามิคาไลท์ ซึ่งจะเป็นวัสดุเดียวกันกับที่ทำสีรถของเฟอรารี่ ซึ่งหน้าบานจะมีผิวด้านและเงา ซึ่งจับแล้วจะไม่เป็นรอยนิ้วมือ ที่สำคัญคือใช้ Water Coat เป็นเบสหลักในกระบวนการผลิต ดังนั้นครัวจะไม่มีกลิ่นสารเคมีที่เป็นอันตรายต่อร่างกาย และปลอดภัยต่อสุขภาพ

    Hansgrohe เป็นยี่ห้อฝักบัวในห้องน้ำ ซึ่งทางโครงการได้ทำสี Rose Gold มาเป็นพิเศษ ซึ่งจะทำมาจากทองเหลือง ซึ่งวัสดุหัวฝักบัวทำความสะอาดง่าย จะไม่มีพวกคราบตะกอน และรุ่นนี้มี Air Power Technology น้ำที่ออกมาจากฝักบัวนี้จะให้สำผัสที่นุ่ม เพราะมันจะมีระบบแอร์พาวเวอร์ ที่จะมีการดูดอากาศเข้าไปผสมกับน้ำ แล้วค่อยปล่อยน้ำที่มีฟองนุ่มๆออกมา ทำให้ผิวชุ่มชื้นมากยิ่งขึ้น

    Smart Plug เป็นระบบที่สามารถสั่งงานเปิด-ปิดอุปกรณ์ ที่เสียบเข้ากับตัว Smart Plug ผ่านโทรศัพท์ได้ นอกจากนี้ยังวัดปริมาณการใช้ไฟได้ ซึ่งจะใช้งานร่วมกับของ Life Smartได้

    Smart Touch Switch เป็นสวิตซ์ไฟที่สามารถสั่งเปิด-ปิด หรือตั้งเวลาเปิด-ปิด ผ่านโทรศัพท์ได้ โดยปุ่มกดจะเป็นไฟ LED ที่สามารถบอกตำแหน่งในเวลากลางคืนได้ ซึ่งจะใช้งานร่วมกับของ Life Smart ได้

    Smart Home WIFI Camera จะเป็นกล้อง IP Camera ที่สามารถดูผ่านโทรศัพท์ได้ตลอด 24 ชม. โดยจะหมุนอิสระ 2 แกน ขึ้นลง 120 องศา และซ้ายขวา 270 องศา ซึ่งจะถ่ายภาพแบบ Real Time ได้ด้วย ซึ่งจะใช้งานร่วมกับของ Life Smart ได้

    CUBE Motion Sensor จะเป็นเครื่องตัวจับการเคลื่อนไหว ซึ่งมีระยะการตรวจจับ 4-5 เมตร พร้อมทั้งแจ้งเตือนผ่านโทรศัพท์เมื่อมีการตรวจพบ นอกจากนี้ยังมี Function วัดปริมาณแสงสว่าง ซึ่งจะใช้งานร่วมกับของ Life Smart ได้

    CUBE Door/Window Sensor จะเป็นเซนเซอร์ที่ตรวจจับการเปิด-ปิดของประตู ในกรณีที่มีการใช้งานประตู ซึ่งจะสามารถตั้งค่าให้มีการแจ้งเตือนไปยังโทรศัพท์ได้ ซึ่งจะใช้งานร่วมกับของ Life Smart ได้

    Smart Alarm เป็นลำโพงแจ้งเตือนเมื่อมีเหตุฉุกเฉิน พร้อมทั้งสามารถรับคำสั่งเสียงได้ สามารถรองรับอุปกรณ์ได้ 24 ตัว ซึ่งจะใช้งานร่วมกับของ Life Smart ได้

    Smart Station เป็นอุปกรณ์หลักที่ใช้สำหรับเชื่อมต่ออุปกรณ์ Life Smart ทั้งหมดเข้าด้วยกัน สามารถรองรับอุปกรณ์ได้ถึง 400-500 ตัว พร้อมครอบคลุมพื้นที่ประมาณ 460 เมตร

    **รายละเอียดของวัสดุต่างๆเช่น ยี่ห้อ และรุ่น ของจริงอาจจะเป็นรุ่นนี้หรือเทียบเท่านะคะ

    ราคาและเงื่อนไขการขาย Fact @ 26 December 2018

    • ห้อง 1 Bedroom City View ขนาด 35.61-36.70 ตร.ม. ราคาเริ่มต้น 6.90 ล้านบาท
    • ห้อง 1 Bedroom Lake View ขนาด 35.61-36.70 ตร.ม. ราคาเริ่มต้น 12.10 ล้านบาท
    • ห้อง 2 Bedroom City View ขนาด 69.62-90.01 ตร.ม. ราคาเริ่มต้น 13.00 ล้านบาท
    • ห้อง 2 Bedroom Lake View ขนาด 69.62-90.01 ตร.ม. ราคาเริ่มต้น 21.80 ล้านบาท

    • Fully Furnished โปโมชั่นสำหรับตอนนี้ (สอบถามกับ Sale อีกรอบนะคะ)
    • ฝ้าเพดานสูง 2.85 เมตร
    • จองทำสัญญา 100,000 บาท
    • Residence

    • ค่าส่วนกลาง 70 บาท/ตร.ม/เดือน
    • ค่า Sinking Fund 5 บาท
    • รวมแล้วจะคิดค่าส่วนกลาง 75 บาท/ตร.ม/เดือน

  • Service Residence
    • ค่าส่วนกลาง 70 บาท/ตร.ม/เดือน
    • ค่า Sinking Fund 5 บาท
    • ค่า Hospitality Service 40 บาท/ตร.ม/เดือน
    • รวมแล้วจะคิดค่าส่วนกลาง 115 บาท/ตร.ม/เดือน

    **ราคาที่เอามาลงในบทความเป็นราคา ณ วันที่เข้าไปเก็บข้อมูลทำรีวิว ดังนั้นราคาต่างๆอาจมีการเปลี่ยนแปลงได้ค่ะ

    เจาะลึกรวบยอด

    ทำเล – โครงการ The Collection ตั้งอยู่ในซอยสุขุมวิท 16 ที่ขนานกับถนนรัชดาภิเษก ใกล้กับ BTSอโศก ที่เป็นจุด Interchange กับ MRTสุขุมวิท ซึ่งห่างจากโครงการประมาณ 650 เมตร ซึ่งย่านนี้มีความอุดมสมบูรณ์มาก เนื่องจากมีอาคารสำนักงานหลายแห่ง และห้างสรรพสินค้าใหญ่อย่าง Terminal 21 สำหรับซอยสุขุมวิท 16 จะมีทางลัดที่ไปออก ถนนพระราม4 และ ถนนสุขุมวิทได้ โดยสามารถหลีกเลี่ยงรถติดบริเวณถนนหลัก นอกจากนี้ภายในซอย สามารถหาของกินได้ง่าย และมีความอุดมสมบูรณ์ทั้งกลางวันและกลางคืน เนื่องจากมีตลาด ร้านค้า ร้านกาแฟ ซุปเปอร์มาเก็ต และ ร้านนั่งชิว ที่ทำให้เส้นนี้มีการใช้งานตลอดทั้งวันสำหรับตัวโครงการจุดเด่นคือจะมีห้องที่หันเข้า สวนเบญจกิติที่มาพร้อมกับวิวทะเลสาบขนาดใหญ่ ที่สามารถมาออกกำลังกายในบริเวณนี้ได้

    การเดินทางโดยใช้รถ – ตัวโครงการตั้งอยู่ในซอยสุขุมวิท 16 ซึ่งเป็นซอยที่สามารถลัดออกไป ถนนพระราม 4 บริเวณช่อง 3 หรือถนนสุขุมวิท ที่ออกไปยังบริเวณพร้อมพงษ์ได้ โดยหลีกเลี่ยงรถติดบริเวณถนนหลักได้ สำหรับบริเวณใกล้ๆโครงการจะมีทางขึ้น-ลง ทางด่วนหลายจุดสามารถเลือกใช้งานได้หลากหลายทีเดียว สำหรับตัวโครงการมีที่จอดรถทั้งแบบ Conventional Parking และ Automatic Parking รวมแล้ว 60%

    การเดินทางโดยไม่ใช้รถ – ถือว่าสะดวกเลยทีเดียว เพราะแยกอโศกเป็นทำเลที่ตั้งของรถไฟฟ้า Interchange ของ BTS อโศก และ MRT สุขุมวิท ซึ่งอยู่ห่างจากโครงการประมาณ 650 เมตร ทำให้เรามีทางเลือกให้การเดินทางเพิ่มมากขึ้น นอกจากนั้นยังมีวินมอเตอร์ไซต์ และ แท็กซี่วิ่งอยู่ตลอดทั้งวันค่ะ

    การออกแบบโครงการ – ตัวอาคาร มีลักษณะเป็นสี่เหลี่ยมสูงที่เห็นได้ชัดเจน ออกแบบมาเรียบง่ายแต่โดดเด่นและทันสมัย โดยตัวโครงการจะเน้นการใช้วัสดุ และเทคโนโลยีต่างๆที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม วัสดุหลักที่ใช้จะเป็นกระจก Low E มีคุณสมบัติ สามารถสะท้อนความร้อน ทำให้ช่วยประหยัดพลังงานได้ดี ส่วนฝั่งทิศตะวันตกจะเพิ่ม Insulated มาให้ เนื่องจากเป็นฝั่งที่ค่อนข้างร้อน นอกจากนี้ชั้น Roof Top จะมี Solar Panel ที่ช่วยประหยัดพลังงานได้ในระยะยาว รวมถึงจะมีระบบฟอกอากาศภายในอาคาร ซึ่งสามารถกรองอากาศจากข้างนอก โดยผ่านตัวกรองอากาศ ที่จะเปลี่ยนเป็น Fresh Air ก่อนปล่อยเข้ามาภายในห้องพักอาศัย ซึ่งความพิเศษอยู่ที่ ตัวอาคารจะแบ่งการใช้งานออกเป็น 2 ส่วน ชั้นที่ 3-20 จะเป็นส่วน Residence และชั้นที่ 21-40 จะเป็นส่วน Service Residence ซึ่งมีการแยกทางเข้า-ออกเจน ไม่ต้องห่วงเรื่องความเป็นส่วนตัว สำหรับโครงการนี้ จะเน้นพัฒนาโครงการให้ตอบโจทย์ ทั้งกลุ่มผู้อยู่อาศัยจริงและกลุ่มนักลงทุน นอกจากนี้ทางเดินจะเป็นแบบ Single Corridor ทุกชั้น ทำให้เปิดมาไม่เจอห้องตรงข้าม จะได้ความเป็นส่วนตัวมากขึ้น

    การออกแบบห้อง –  ทำออกมาได้ดีเลยค่ะ มีการแบ่งสัดส่วนชัดเจน โดยห้องที่ได้ระเบียงจะหันออกทางทิศตะวันออกและทิศตะวันตก ที่เป็นวิวเปิดโล่งของโครงการ ส่วนห้องทางทิศเหนือและใต้ จะมีตึกสูงในระยะประชิด ทำให้ไม่มีระเบียงยืนออกมา แต่จะมีการเพิ่มพื้นที่อเนกประสงค์ภายในห้องมาให้ทดแทนนะคะ ปัจจุบันโครงการขายแบบ Fully Furnished โดยมีการออกแบบและวางเฟอร์นิเจอร์ได้ดี ทำให้หลังจากวางแล้วมีพื้นที่การใช้งานค่อนข้างกว้าง สำหรับหน้าต่างของห้อง จะสูงตั้งแต่พื้นถึงฝ้า ทำให้ได้รับวิวภายนอกได้อย่างเต็มที่ สำหรับความสูงพื้นถึงฝ้าสูง 2.85 เมตร ทำให้ภายในห้องดูโปร่งโล่งมากยิ่งขึ้น นอกจากนี้บริเวณห้องน้ำมีการออกแบบมาเป็นพิเศษ โดยจะแยกท่อของเสียกับท่อของก๊อกน้ำออกจากกัน เพื่อป้องกันไม่ให้กลิ่นย้อนกลับเข้ามาภายในห้องน้ำ ซึ่งจะถูกออกแบบไว้ตั้งแต่ขั้นตอนการก่อสร้างเลย การเดินท่อจะวางไว้ใกล้ช่อง Shaft เพื่อที่จะไม่ต้องดึงท่อไปอยู่บนฝ้า ทำให้สามารถวิ่งเข้าช่อง Shaft ได้เลย ซึ่งถ้าเกิดมีปัญหาสามารถซ่อมจากบริเวณนี้ได้เลย

    วัสดุ – ถือเป็นจุดเด่นของโครงการนี้เลยค่ะ เนื่องจากวัสดุที่ให้มาเป็นแบบสั่งทำพิเศษเฉพาะโครงการ เริ่มจากวัสดุหน้าบานของชุดครัว ใช้วัสดุเดียวกันกับที่ทำสีรถของเฟอรารี่ ถัดมาที่อุปกรณ์ครัวใช้ของนำเข้าจากเยอรมัน ฝักบัวห้องน้ำจะใช้สี Rose Gold สั่งทำสีพิเศษ ใช้วัสดุทองเหลือง ทำให้ไม่มีคราบตะกอนติด ผนังภายในห้องเป็นแบบ Insulated Wall กั้นเสียงรบกวนภายนอก พื้นภายในห้อง มีทั้งกระเบื้อง Italian Tile ลายหินอ่อน และ Engineering Wood ที่ปูพื้นแบบก้างปลา ทำให้หรูหรามากยิ่งขึ้น รวมถึงระบบปรับอากาศแบบ VRV ทำให้ประหยัดค่าไฟได้มากยิ่งขึ้น ให้หน้าต่างขนาดใหญ่ สูงตั้งแต่พื้นถึงฝ้า พร้อมกระจก Low E ที่ช่วยลดความร้อนได้ นอกจากนี้ยังมี Life Smart เป็นเทคโนโลยีที่สั่งงานผ่านโทรศัพท์มือถือได้ สำหรับรายละเอียดสามารถดูจากรีวิวด้านบนได้นะคะ

    สาธารณูปโภค – สำหรับ Facilities ของโครงการจะมีความพิเศษที่แยกการใช้งาน ระหว่าง Residence กับ Service Residence ออกจากกัน โดยจะเริ่มตั้งแต่บริเวณชั้นล่าง ที่แยก Lobby ทางเข้าออกชัดเจน ถัดมาที่บริเวณชั้น 2 จะเป็นส่วนที่ใช้ได้เฉพาะ Residence โดยจะมีห้อง Co-working, Meeting Room และ Fitness สำหรับโซนด้านล่างจะไม่มีสระว่ายน้ำมาให้ ถ้าใครต้องการใช้บริการต้องขึ้นไปใช้ร่วมกับ Service Residence ซึ่งราคาทั้ง 2 โซนจะมีราคาที่แตกต่างกัน สำหรับ Facilities ของ Service Residence จะอยู่ที่ชั้น 38 จะมี Swimming Pool และ Fitness ที่หันหน้าออกทางทิศตะวันออก ซึ่งจะได้วิวฝั่งถนนสุขุมวิท  ถัดขึ้นไปที่ชั้น 41 จะเป็น Sky Lounge ซึ่งจะทำเป็นร้านอาหาร ที่สามารถเห็นวิวได้รอบทิศทาง โดยเปิดให้คนภายนอกสามารถใช้บริการส่วนนี้ได้  สำหรับชั้น Roof Top จะเป็นพื้นที่สีเขียว ที่สามารถขึ้นไปชมวิวหรือไปเดินเล่นในบริเวณนี้ได้


    สำหรับคนที่ต้องการอยู่อาศัย – เหมาะสำหรับเป็นบ้านหลังที่ 2 และใครถ้าไม่ซีเรียสเรื่องความเป็นส่วนตัวมากนัก เนื่องจากเป็นโครงการที่มีคนใช้งานเข้าออกตลอดเวลา แต่จะเน้นพื้นทีใช้สอยภายในห้องกว้าง ให้วัสดุมาดีสั่งทำเป็นพิเศษสำหรับโครงการนี้ รวมถึงมีเครื่อง Life Smart เป็นเทคโนโลยีที่เอามาใช้กับตัวห้องผ่านโทรศัพท์มือถือ โดยปัจจุบันจะขายเป็นแบบ Fully Furnished ถือว่าคุ้มค่าสำหรับราคาเลยทีเดียวนะคะ

    สำหรับคนที่ต้องการลงทุน– จัดเป็นโครงการที่น่าสนใจ บนทำเลใจกลางเมืองที่เดินทางได้สะดวก เป็นย่านธุรกิจ มีชาวต่างชาติในพื้นที่เยอะ รอบโครงการมีความอุดมสมบูรณ์ครบครัน มีส่วน Service Residence แยกออกมาเพื่อการลงทุนโดยเฉพาะ ซึ่งทาง Siamese จะเป็นผู้ดูแลการเช่าให้ โดยใช้ Chain โรงแรมที่มีชื่อเสียงมาบริหาร โดยจะเน้นให้มีบริการแบบ Hospitality Service เพื่อรองรับผู้อยู่อาศัยในกลุ่มนี้โดยเฉพาะ


    Judgement

    ราคาของคอนโดนี้ถือเป็นระดับ ULTIMATE CLASS ซึ่งความคุ้มค่าด้านราคาไม่ใช่ปัจจัยหลักเพียงอย่างเดียวในการตัดสินใจซื้อ ความคุ้มค่าด้านอารมณ์คือปัจจัยหลักอีกอย่างหนึ่ง ซึ่งตราบเท่าที่ทางเรายังไม่สามารถวัดค่ามาตรฐานทางอารมณ์ได้ ทาง Think of Living ขอไม่ให้คะแนนฟันธงในรีวิวเจาะลึกนะคะ เพราะมีตัวเปรียบเทียบน้อย เป็นสินค้าประเภท Unique เสียส่วนใหญ่ และเราก็เชื่อว่าลูกค้าที่พร้อมจะซื้อคอนโดระดับนี้ ไม่ตัดสินง่ายๆด้วยคะแนนแน่นอน

    BOTTOM LINE – เหมาะกับคนที่ต้องการอาศัยทำเลในเมืองย่านอโศก เดินทางสะดวก มีตัวเลือกในการเดินทางได้ทั้งรถยนต์และรถสาธารณะ ได้วิวทะเลสาบของสวนเบญจกิติ เน้นวัสดุคุ้มค่าตอบโจทย์การใช้งาน เลือกได้ทั้งอยู่อาศัยเองหรือลงทุน ส่วนกลางครบพร้อมบริการต่างๆ มีงบประมาณเริ่ม  6.2 ล้านบาทค่ะ