Sansiri เปิดรายได้ 9 เดือน 16,900 ลบ. พร้อมตุน backlog กว่า 59,000 ลบ. โชว์ผลงานขึ้นแท่นผู้ถือหุ้นใหญ่ใน The Standard แบรนด์โรงแรมระดับโลก

แสนสิริ เผยผลประกอบการรอบ 9 เดือน ประสบความสำเร็จจากการรุกตลาดแนวราบ โกยรายได้ 16,900 ล้านบาท กำไร 1,113 ล้านบาท โชว์ผลการดำเนินงานไตรมาส 3 เติบโตโดดเด่น มีรายได้ 6,000 ล้านบาท เติบโตขึ้น 40% และกำไร 424 ล้านบาท เติบโตขึ้นเกือบ 50% จากไตรมาสก่อน

ขณะเดียวกันยังทำผลงานการโอนที่โดดเด่นทั้งในแนวราบและแนวสูง โดยยอดโอนโครงการแนวราบเติบโตขึ้นจากไตรมาสก่อน 37% ขณะที่โครงการคอนโดมิเนียมยอดโอนพุ่งสูงกว่า 104% จากการโอนโครงการ 98 Wireless, ทากะ เฮาส์ และดีคอนโด หาดใหญ่ เป็นต้น นอกจากนี้ในไตรมาส 3

ยังโชว์ผลงานจากแผนการลงทุนในบริษัทระดับโลก ล่าสุดขึ้นแท่นผู้ถือหุ้นใหญ่ใน Standard International Holdings, LLC. หรือ SIH บริษัทแม่ของโรงแรม The Standard แบรนด์โรงแรมอเมริกันที่โด่งดัง มุ่งรังสรรค์ประสบการณ์อย่างถึงแก่นทั้งในด้านการ ออกแบบ ศิลปะ ดนตรี แฟชั่น อาหาร และการท่องราตรี ซึ่งเป็นจุดขายที่แตกต่างไปจากแบรนด์โรงแรมอื่น โดยมีการผสมผสานเอกลักษณ์ของ The Standard เองเข้ากับวัฒนธรรมและชีวิตความ เป็นอยู่ของคนในแต่ละย่านที่โรงแรมไปเปิด โดยแสนสิริถือหุ้นเพิ่มขึ้นเป็น 60.37% จากเดิม 37.26% เตรียมเปิดตัวอย่างยิ่งใหญ่ในเอเชียรวมถึงประเทศไทยเร็วๆ นี้ เผยแผนความเชื่อมั่นในธุรกิจ ตุนพรีเซลล์แบ็กล็อกในมือแน่นกว่า 59,000 ล้านบาท รองรับการเติบโตระยะยาวในอีก 3 ปีแกร่งทุกสภาวะเศรษฐกิจ

นายวันจักร์ บุรณศิริ ประธานผู้บริหารสายงานการเงินและสนับสนุนธุรกิจ บริษัท แสนสิริ จำกัด(มหาชน) (SIRI) เปิดเผยว่า ผลประกอบการในรอบ 9 เดือนของปี 2562 บริษัทมีรายได้รวมกว่า 16,900 ล้านบาท ขณะที่มีกำไรสุทธิอยู่ที่ 1,113 ล้านบาท นับว่ามีผลประกอบการที่น่าพอใจ โดยเฉพาะผลการดำเนินธุรกิจในช่วงไตรมาสที่ 3 ซึ่งมีรายได้รวมกว่า 6,000 ล้านบาท โตขึ้นจากไตรมาสก่อน 40% โดยรายได้จากการขายเติบโตขึ้นถึง 61% จากการทยอยโอนส่งมอบคอนโดมิเนียม อาทิ โครงการ 98 Wireless, Taka Haus และ DCondo หาดใหญ่ รวมถึงการโอนที่อยู่อาศัยคุณภาพให้แก่ลูกค้าตามแผนงานอย่างต่อเนื่อง

นอกจากนี้ บริษัทยังมีกำไรสุทธิเฉพาะไตรมาส 3 อยู่ที่ 424 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากช่วงไตรมาสก่อนถึงเกือบ 50% ความสำเร็จในช่วง 9 เดือนที่ผ่านมา มาจากกลยุทธ์ที่สำคัญในการขับเคลื่อนกลุ่มธุรกิจโดยการรุกตลาดแนวราบ ซึ่งเป็นตลาดที่มาจากเรียล ดีมานต์ ลูกค้ามีความต้องการซื้อเพื่ออยู่อาศัยจริง แสนสิริจึงสร้างความแตกต่างด้วยกลยุทธ์การพัฒนาโครงการที่ครอบคลุมแบรนด์แนวราบ ตอบโจทย์ลูกค้าทุกเซ็กเมนต์ พร้อมสร้างความแข็งแกร่งและจุดเด่นในแต่ละแบรนด์ที่ชัดเจน แตกต่างเหนือคู่แข่ง ส่งผลให้ผลประกอบการในช่วง 9 เดือนประสบความสำเร็จ

นอกจากนี้ บริษัทยังมีผลงานการโอนที่โดดเด่นทั้งในแนวราบและแนวสูง โดยยอดโอนโครงการแนวราบเติบโตขึ้นจากไตรมาสก่อน 37% ขณะที่โครงการคอนโดมิเนียมยอดโอนพุ่งโตกว่า 104% โดยบริษัทยังได้เตรียมโอนคอนโดมิเนียมอีก 6 โครงการในช่วงไตรมาสสุดท้ายของปีนี้ ได้แก่ Lacasita คอนโดฯ ตากอากาศพร้อมอยู่ สไตล์สแปนิช กลางหัวหิน, คอนโดมิเนียมภายใต้ความร่วมมือกับ บริษัท โตคิว คอร์ปอเรชั่น จำกัด ประเทศญี่ปุ่น ในโครงการ The Base สุขุมวิท 50 รวมถึงคอนโดภายใต้ความร่วมมือ บีทีเอส-แสนสิริ โฮลดิ้ง กรุ๊ป ใน 4 โครงการรวด

  1. The Base เพชรเกษม คอนโดใจกลางย่านชุมชนของเพชรเกษม-บางแคที่ตอบโจทย์เรียลดีมานด์ที่ซื้ออยู่เอง
  2. The Line สุขุมวิท 101 คอนโดไฮไรส์บนทำเลศักยภาพใกล้รถไฟฟ้าBTS ปุณณวิถีเพียง 250 เมตร, ‘เดอะ ไลน์ พหลฯ-ประดิพัทธ์
  3. Khun by Yoo

“ผลงานที่สำคัญในช่วงไตรมาสที่ผ่านมา แสนสิริยังได้เข้าซื้อเงินลงทุนจากผู้ถือหุ้นเดิมรายหนึ่งใน Standard International Holdings, LLC. หรือ SIH บริษัทแม่ของโรงแรม The Standard แบรนด์โรงแรมอเมริกันที่โด่งดังไปด้วยกลุ่มลูกค้าเปี่ยมไปด้วยรสนิยม การออกแบบล้ำสมัย และการมอบการบริการที่เหนือมาตรฐาน  โดยแสนสิริได้ถือหุ้นเพิ่มจากเดิม 37.26% เป็น 60.37% ส่งผลให้ SIH เป็นบริษัทย่อยทางตรงของ Sansiri (US), Inc. และเป็นบริษัทย่อยทางอ้อมของบริษัทฯ โดยปริยาย

ทั้งนี้ ในระยะเวลาไม่ถึง 2 ปีเต็มหลังจากที่แสนสิริได้เข้าเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ Standard International ได้ประกาศแผนการขยายธุรกิจสู่ระดับนานาชาติโดยการเปิดโรงแรมแห่งใหม่ทั่วโลก พร้อมขยายสู่ 25 โรงแรมภายใน 5 ปีข้างหน้า

โดยได้เปิดแห่งแรกนอกสหรัฐฯ ที่ย่านคิงส์ครอสในลอนดอนเมื่อเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา ล่าสุด ในวันที่ 1 พฤศจิกายน 2019 The Standard ได้เปิดตัว The Standard, Huruvalhi Maldives ซึ่งเป็นโรงแรม The Standard แห่งแรกในเอเชีย และเปลี่ยนภาพเดิมๆ ของมัลดีฟส์ เพื่อพร้อมต้อนรับกลุ่มเพื่อน ครอบครัว คู่รักที่มองหาความแตกต่าง รวมถึงคนโสดที่อยากจะมาเติมพลังให้กับชีวิตที่มัลดีฟท์ นอกจากนี้ยังพร้อมเปิดตัวอย่างยิ่งใหญ่ในเอเชีย รวมถึงประเทศไทยในเร็วๆ นี้อีกด้วย” นายวันจักร์ กล่าว

ไตรมาสสุดท้ายของปี 2562 ยังนับเป็นไตรมาสที่สำคัญของธุรกิจอสังหาริมทรัพย์จากการที่ลูกค้าจะมองหาและตัดสินใจซื้อที่อยู่อาศัยใหม่ นอกจากนี้ จากมาตรการกระตุ้นอสังหาริมทรัพย์ของรัฐที่ประกาศลดค่าโอน ค่าจดจำนอง จนถึงสิ้นปี 2563 คาดว่าจะช่วยกระตุ้นความต้องการที่อยู่อาศัยให้มีความคึกคักและกระตุ้นการตัดสินใจซื้อของลูกค้าที่กำลังมองหาที่อยู่อาศัยในช่วงปลายปีนี้ได้เป็นอย่างดี

ทั้งนี้ บริษัทยังมีแผนการเปิดตัวโครงการใหม่ทั้งในกรุงเทพฯ และต่างจังหวัดในช่วงไตรมาส 4 รวมอีก 10 โครงการ รวมมูลค่า 14,800 ล้านบาท เพื่อตอบรับเรียล ดีมานต์ รวมถึงบริษัทยังมีพรีเซลล์ แบ็กล็อก อีกกว่า 59,000 ล้านบาท ที่จะรองรับการเติบโตระยะยาวเป็นระยะเวลาอีก 3 ปี