Maestro สุขุมวิท 39 - 1008

รีวิวฉบับที่ 888 … ผ่านไป 2 ปี จากวันนั้นถึงวันนี้ ที่เราได้ไปเยี่ยมเยียนโครงการ Maestro 39 ในซอยสุขุมวิท 39 กันตั้งแต่ก่อนเปิดโครงการ [รีวิวที่ 387] ปั้นแบรนด์ใหม่ที่ชื่อว่า Maestro Residences จนวันนี้ตัวตึกก็ถูกสร้างเสร็จจนสมบูรณ์ที่ 90%++ กำลังอยู่ในช่วงโค้งสุดท้ายของการเตรียมความพร้อมเพื่อที่จะได้ให้ลูกบ้านโอนกรรมสิทธิ์ไปเป็นเจ้าของร่วมในโครงการแล้วนะครับ พร้อมเข้าอยู่ตั้งแต่ สิงหาคม 2015 เป็นต้นไป วันนี้ผมบีมก็จะทำหน้าที่พาผู้อ่านทุกท่านเดินดูรอบๆตึกไปด้วยกันล่ะ

Fact @ 5 August 2015

  • Maestro 39
  • บริษัท Major Development จำกัด (มหาชน)
  • HIGH CLASS (อ่านรายละเอียดของ Segment คอนโดได้ที่นี่)
  • คอนโด Low Rise 8 ชั้น 1 อาคาร รวม 107 ยูนิต
  • ยูนิตต่อชั้นสูงสุด 17 ยูนิต 
  • จอดรถชั้น G และใต้ดิน B1, B2 ที่จอดรถ 66 คัน คิดเป็น 62% ไม่รวมซ้อนคัน
  • ที่ดินประมาณ 1-0-4ไร่
  • คาดว่าจะแล้วเสร็จปลายปี 2558
  • Studio ไม่มี
  • 1 Bedroom 30 – 36 ตารางเมตร
  • 2 Bedrooms 51 – 70.5 ตารางเมตร
  • 3 Bedrooms 81.5 – 122 ตารางเมตร
  • ราคาเริ่มต้น 4.2 ล้านบาท
  • ราคาต่อตารางเมตรประมาณ 140,000 บาท
  • http://www.mde.co.th/maestro39
  • โทร 02 – 259 – 9911

เพียงแค่การกด Like ก็เท่ากับการสนับสนุนข้อมูลเชิงลึกจาก Think of Living แล้วครับ

สามารถเลือกอ่านตามหัวข้อต่างๆได้โดยกดปุ่มด้านล่างครับ


เจาะลึกเรื่องทำเลที่ตั้ง

พิกัด : 13.739776,100.57256

เรื่องทำเลที่ตั้งผมคงจะไม่ย้อนกลับไปอธิบายอีกครั้งนะครับ เนื่องจากในคราวก่อนน้องฝนก็ได้อธิบายไปค่อนข้างละเอียดแล้วในรีวิวฉบับที่ 389 ซึ่งก็ยังสามารถใช้ได้อยู่จนถึงทุกวันนี้ แต่สิ่งที่แตกต่างก็คือหน้าปากซอย ติดกับรถไฟฟ้าก็ได้มีห้างสรรพสินค้า EmQuartier มาเปิดให้บริการเป็นที่เรียบร้อย สร้างความสะดวกสบายให้กับคนในย่านนี้มากขึ้นโดยรวม แต่อาจจะมีเรื่องการจราจรที่ติดขัดมากขึ้นบริเวณหน้าห้างฯ ซึ่งก็เป็นเรื่องปกติที่ต้องยอมรับกันไปนะครับ และเพื่อไม่ให้เป็นการเสียเวลา เราไปดูตัวอาคารจริงๆกันเลยดีกว่า


เจาะลึกตัวโครงการ

ก่อนที่จะเข้าไปชมแต่ละส่วนของโครงการ Maestro 39 Residences เราต้องมาดูเรื่องความแตกต่างของตัวโปรเจคในปัจจุบันกับช่วงเปิดขายตอนแรกก่อนนะครับ เนื่องจากทางโครงการมีการปรับผัง Floor Plan แบ่งซอยห้องมากขึ้นจาก 90 ยูนิต เป็นจำนวน 107 ยูนิตด้วยกัน เหตุผลหลักๆเป็นที่ความต้องการของลูกค้าที่ต้องการห้องขนาด 1 Bedroom มากขึ้น และไม่ได้ต้องการห้อง 2 Bedrooms ที่ใหญ่ขนาด 91.5 ตารางเมตร จึงมีการปรับขนาดห้องกันใหม่ ทำให้จำนวนยูนิตงอกออกมาทั้งสิ้น 17 ยูนิต … หากเรามองเผินๆก็คงจะไม่มีความแตกต่างประการใดใช่ไหมครับ แต่จริงๆแล้วการที่จำนวนยูนิตมากขึ้นก็จะส่งผลกระทบกับโครงการโดยรวมเช่นกัน หลักๆสองประการคือ 1) ความหนาแน่นที่เพิ่มขึ้น ซึ่งจะส่งผลกับจำนวนผู้อยู่อาศัยที่มาใช้ Facility ส่วนกลาง และ 2) อัตราส่วนที่จอดรถที่ลดลง จำนวนที่จอดรถจริงๆไม่ได้ลดลงนะครับ 66 คันเท่าเดิม แต่เมื่อห้องมากขึ้นก็จะมีตัวหารมากขึ้น ทำให้ % ที่จอดรถปรับลงมาจาก 74% มาอยู่ที่ 62% ไม่รวมจอดซ้อนคันครับ

ทั้งนี้เหตุการซอยห้องเพิ่ม หรือปรับปรุง Layout ใหม่นั้นเกิดขึ้นเป็นบ่อยๆสำหรับโครงการคอนโดมิเนียมที่เปิดขายก่อนได้รับอนุญาต EIA (สิ่งแวดล้อม) อยู่แล้ว เนื่องจากหลายต่อหลายครั้งที่ต้องมีการปรับปรุงผังให้สอดคล้องกับข้อกำหนดของ EIA หรือบางโครงการอาจจะถึงขั้นต้องยกเลิกโปรเจคคืนเงินลูกค้าซึ่งเราก็เห็นกันเป็นประจำทุกปี ดังนั้นผู้ที่ซื้อโครงการในช่วง Pre-sales จะได้ซื้อในช่วงที่ราคาถูกกว่าเป็นสิ่งที่ชดเชยกันไปกับความเสี่ยงที่มีโอกาสที่จะเกิดขึ้นหรือไม่ก็ตาม อาทิเช่นโครงการ Maestro ที่เปิดขายในราคาช่วง Pre-sales ที่ตารางเมตรละ 110,000 – 120,000 บาท ราคาเริ่มต้น 3.2 ล้านบาท แต่ในปัจจุบันหลังจากก่อสร้างเสร็จสมบูรณ์ ราคาขายจะเป็นตารางเมตรละ 140,000 บาท ราคาเริ่มต้น 4.2 ล้านบาทนะครับ

มาเข้าที่ตัวโปรเจคกันดีกว่า หน้าโครงการ Maestro 39 ปัจจุบันมีจุดอ่อนเล็กน้อยตรงที่ไม้กระดกยังติดตั้งไม่สมบูรณ์ทำให้เลี้ยวรถเข้าออกลำบาก ในจุดนี้ทางโครงการรับทราบแล้วว่าเป็นปัญหาและกำลังอยู่ในช่วงปรับปรุงแก้ไข ใครมาเยี่ยมโครงการในช่วงที่ยังแก้ไขไม่เสร็จก็อาจจะสงสัยเล็กน้อยว่าทำไมรถเราตีวงเลี้ยวลำบากๆ ก็ต้องรอให้ทางโครงการปรับปรุงให้เสร็จก่อนนะครับ

หน้าตึกมีระยะเว้นห่างจากฟุตบาทอยู่ประมาณเท่านี้ ทางโครงการสร้างเป็นสวนและบ่อน้ำแนวยาว เพิ่มความร่มรื่นสวยงามให้กับทั้งลูกบ้านละผู้ที่สัญจรไปมา

ลานจอดรถส่วนใหญ่อยู่ที่ชั้นใต้ดินซึ่งจะมีทั้งหมด 2 ชั้น มีลิฟท์รับส่งตรงขึ้นมาที่ Lobby ได้ ส่วนถ้าใครเดินมาจากหน้าโครงการก็สามารถเปิดประตูที่ทำมือจับเป็น Logo ของโครงการ Maestro 39 เข้าไปได้เช่นกันครับ

สำหรับพื้นที่ส่วนกลางของโครงการมาเอสโทร 39 นี้มีอยู่สองส่วนหลักๆ คือบริเวณชั้น G และบริเวณชั้น Rooftop ซึ่งชั้น G จะแบ่งพื้นที่ด้านหลังเป็นยูนิตที่เสมือนมีสวนส่วนตัวของตัวเอง กันออกจากพื้นที่ส่วนกลางที่ลูกบ้านท่านอื่นสามารถมาใช้บริการได้ โดยจะมีฟังก์ชั่นหลักๆคือ

  • สระว่ายน้ำพร้อมสระเด็ก
  • Lobby รับรองลูกบ้านพร้อม Mail Box
  • ห้องนิติบุคคล
  • ฟิตเนส
  • ห้องสมุด
  • ห้องเด็กเล่น
  • Sauna สำหรับห้องน้ำชาย
  • Steam สำหรับห้องน้ำหญิง

สีที่โครงการ Maestro 39 เลือกใช้เป็นสีหลักคือทองแดง (Copper) โดยจะนำเข้ามาเสริมกับสีครีม สีดำ และวัสดุที่มีความมันวาว เพิ่มความหรูหราให้กับสถานที่ แม้ว่าจะไม่ใช่ Lobby ที่ใหญ่แบบตึก High Rise Condominium แต่ก็ดูดีในภาพรวมครับ

โคมไฟ Crystal ช่วยเพิ่มความหรูหราให้กับตัวตึก

ฟังก์ชั่นหลักๆของ Lobby ก็คือพื้นที่พักคอย ทั้งสำหรับลูกบ้านและสำหรับผู้ที่มาติดต่อ

Lobby ได้รับแสงธรรมชาติสองด้าน คือส่วนประตูทางเข้าและส่วนหน้าโครงการที่ติดกับถนนซอย ที่มีผ้าม่านกันแดดทิศตะวันตกไม่ให้ Lobby ร้อนจนเกินไป

ระยะพื้นถึงฝ้าเพดานของ Lobby ก็จะสูงกว่าห้องพักอาศัย 2 เท่า นั่งสบายๆได้ประมาณ 2 กลุ่มครับ

ด้านหลังโซฟาปัจจุบันวางโมเดลอยู่ อนาคตพอปิดการขายก็คงจะถูกย้ายออกไป เพิ่มพื้นที่ใช้สอยของ Lobby ให้มีที่นั่งได้มากขึ้น หรือมีพื้นที่โล่งเพิ่มขึ้น

ส่วนด้านในของ Lobby เป็นโซนตู้จดหมาย ยังคงเลือกใช้สีทองแดงซึ่งเป็นสีประจำแบรนด์ของค่าย Maestro Residences

ทางเดินไปสระว่ายน้ำค่อนข้างใหญ่ เลี้ยวซ้ายจะเป็นลิฟท์ ถ้าตรงทะลุประตูไปก็จะเป็นส่วนกลาง ซึ่งตรงนี้ต้องใช้บัตร Keycard สำหรับเข้าออก

ลิฟท์ที่นี่มีด้วยกัน 2 ตัว เป็นทั้งลิฟท์โดยสารและลิฟท์ขนของ ซึ่งเป็นลิฟท์ของ Schindler กดขึ้นลงได้ตั้งแต่ชั้น B2 จนถึงชั้น 9 (Rooftop) ครับ

ฟังก์ชั่นหลักๆอย่างที่ได้บอกไปแล้ว เราไปดูกันเลยดีกว่า

สระว่ายน้ำของตึก 8 ชั้นปกติจะเป็นสระเล็กๆที่ว่ายออกกำลังกายไม่ค่อยจะได้ แต่ที่ Maestro 39 ทำออกมาได้ดี สระว่ายน้ำใหญ่เมื่อเทียบกับขนาดของโครงการที่มีเพียง 107 ห้อง และมีสระเด็กอยู่ด้านหลังด้วย จึงทำให้ใช้งานได้ดี บริเวณสองฝั่งของสระว่ายน้ำมีการทำอ่างน้ำล้นและด้านหลังสระเด็กมีม่านน้ำตก ช่วยเพิ่มเสียงนำไหลเบาๆทำให้บรรยากาศให้ผ่อนคลายมากขึ้น สำหรับลูกบ้านที่ต้องการพักผ่อนสบายๆ

ที่ดินหลังสระว่ายน้ำที่ติดกับกับโครงการเป็นบ้านพักอาศัยสองชั้น ที่มีต้นไม้ร่มรื่น และมีช่องเปิดโล่งไม่ติดกับอาคารถัดไปในระยะประชิด ช่วยให้มีแสงธรรมชาติเข้ามาทางสระว่ายน้ำได้ดี

 

เนื่องจากสระว่ายน้ำตั้งอยู่ทางทิศใต้ มีตัวอาคารบังแดดตะวันตกและตะวันออกให้ทั้งสองด้าน ก็จะทำให้แดดไม่ร้อนจนเกินไปนะครับ

ฝั่งตรงข้ามของสระว่ายน้ำเป็นห้องออกกำลังกาย วางเครื่องเล่นได้ 3 เซ็ต แต่ได้วิวสระว่ายน้ำซึ่งก็ดีอยู่นะครับ

ฟิตเนสสำหรับลูกบ้านไม่ได้ใหญ่มาก ถ้าใครอยากจะเข้าคลาส ฟิตเต็มร้อยคงต้องเชิญไปที่ Virgin Active บน EmQuartier หน้าปากซอยนะครับ

ห้องสมุดดูสวยงามมีพื้นที่ให้ใช้สอยได้ 6 ที่นั่ง สำหรับเด็กๆสามารถลงมาทำการบ้านที่นี่ได้เวลาต้องการเปลี่ยนบรรยากาศ

พื้นที่กำลังดี แต่ถ้ามีโต๊ะอีกสักตัวจะใช้ประโยชน์ได้มากกว่านี้ ผมว่าชั้นวางของด้านหลังจริงๆไม่ค่อยจำเป็นเท่าไร นอกจากมีไว้แต่งเพื่อความสวยงามละครับ

ห้องเด็กเล่นดูเหมือนว่าจะมีประโยชน์ใช้สอยสูงสุดในบรรดาพื้นที่ส่วนกลางรอบสระว่ายน้ำ แม้ว่าห้องจะมีขนาดไม่ใหญ่แต่เด็กๆก็ตัวเล็กเช่นกัน พื้นที่ขนาดนี้เพียงพอให้เล่นได้เป็นชั่วโมงๆอยู่แล้ว ขึ้นกับว่านิติบุคคลจะซื้อของเล่นมาเติมขนาดไหน เมื่อเวลาผ่านไปครับ

ทางฝั่งด้านหลังห้องฟิตเนสเดินตรงๆไปตามทางเดินนี่ครับจะเป็นห้องน้ำซึ่งเป็นห้องเปลี่ยนเสื้อผ้าได้ด้วย

โดยภายในห้องน้ำคุณผู้ชายก็จะมีห้องซาวน่า

และภายในห้องน้ำคุณผู้หญิงก็จะมีห้องสตีม

สตีมและซาวน่าเป็นคนละอย่างกันนะครับ หลายๆคนจะเข้าใจผิดคิดว่าเป็นสิ่งเดียวกัน

ดูฟังก์ชั่นพื้นที่ส่วนกลางที่ชั้น G หมดแล้ว มาต่อกันที่ชั้นดาดฟ้าดีกว่า ที่นี่คือชั้น Roof Deckกดลิฟท์ขึ้นไปที่ชั้น 9 ได้เลยครับ

นานๆทีจะเห็นตึกที่มีลิฟท์ไปถึงชั้น Rooftop ปกติตึกทั่วไปจะให้ขึ้นแค่ชั้น 8 ซึ่งเป็นชั้นสุดท้ายที่ใช้พักอาศัยแล้วต้องเดินบันไดต่อไปยังดาดฟ้าเอง แต่เนื่องจากที่นี่จัดพื้นที่ดาดฟ้าทั้งหมดเป็นส่วนกลาง จึงอำนวยความสะดวกลูกบ้านให้ใช้ลิฟท์มาถึงได้เลย

ดูชื่อส่วนกลางข้างบนแล้วจะเห็นว่าจะเยอะไปไหน มีฟังก์ชั่นต่างๆดังภาพที่เห็นโดยส่วนกลางตรงนี้จะแบ่งออกเป็นสองส่วนหลักๆที่ไม่เชื่อมต่อกัน ก็คือ สระออนเซ็นและส่วนอื่นๆ ซึ่งจริงๆเวลาเราแช่น้ำออนเซ็นก็ไม่ควรให้ใครเดินผ่านไปผ่านมาจริงไหม

ส่วนออนเซ็นที่นี่เป็นบ่อน้ำร้อนกลางแจ้ง จำลองและหยิบยืมของชาวญี่ปุ่นมาใช้ ซึ่งก็มีชาวญี่ปุ่นอาศัยอยู่ในแถบพร้อมพงษ์เป็นจำนวนมาก น่าจะเป็นฟังก์ชั่นที่ดีหากจะปล่อยเช่าชาวญี่ปุ่นที่มาทำงานในประเทศไทยนะครับ

ออนเซ็นแบ่งเป็นสองส่วน ส่วนแรกคือที่อาบน้ำ เอาไว้อาบน้ำเย็น ถ้าเป็นของญี่ปุ่นแท้ๆตรงนี้ก็จะใส่ชุดวันเกิดกัน แต่ถ้าเป็นคนไทยคงจะใส่ชุดว่ายน้ำนะฮะ

อาบน้ำเสร็จก็สามารถเดินขึ้นไปแช่น้ำอุ่นได้ ทางโครงการบอกว่าทำอุณหภูมิได้ที่ 40 องศา C

ภายในสระก็จะมีหัวเจ็ตฉีดพร้อมกับที่นั่งชมวิวไปเรื่อยละครับ

มาต่อกันที่อีกฝั่งซึ่งเป็นส่วนของสวนสาธารณะใหญ่ๆ มีฟังก์ชั่นมากมาย

ตั้งแต่สนามพัตกอล์ฟบนหญ้าเทียม พัดได้แต่อย่าชิพนะครับ ลูกกอล์ฟหล่นจากชั้น 8 ลงหัวคนหรือรถยนต์ข้างล่างนี่ใช่เรื่องเล่นๆ

อาจจะซ้อมได้สนุกสนานตามประสาพ่อแม่ลูก แต่คงจะไม่ได้ฟีลลิ่งของจริงที่พัดบนหญ้าจริงแบบนักกอล์ฟอาชีพ

ต่อมาเป็นลานสวิงกอล์ฟ … เช่นกันเอาหัวไม้มาทดสอบวงสวิงได้ แต่ตีลูกไม่ได้นะครับ

ถัดมาเป็นพื้นที่คอร์ทใหญ่ตรงกลาง ซึ่งจัดเป็นสวนแบบ Formal Garden เอาไว้ ถ้าต้นไม้โตระดับหนึ่งคงจะร่มรื่นทีเดียว แต่อย่างไรก็ตามไม่ควรขึ้นมาก่อนบ่ายสี่โมงครึ่ง ไม่อย่างนั้นจะร้อนมากมาย

ลานโยคะอเนกประสงค์ พื้นทำด้วยวัสดุสังเคราะห์นิ่มๆ แต่อมความร้อนน่าดู เท้าเปล่ารอหลัง 6 โมงเย็นจะพอใช้งานได้ แต่ถ้าใครสวมรองเท้าผ้าใบมาออกกำลังตรงนี้ก็ใช้งานได้ตลอดเวลา

ส่วนของที่นั่งมีบริเวณเตาผิงจำลองด้วยนะ

สนามเด็กเล่นกลางแจ้ง ถ้าคนอยู่เยอะๆคงจะมีแกงค์เด็กๆแน่นอน

เตียงชิงช้า โยกไม่ได้มากเหมือนชิงช้าทั่วไป แต่ก็ให้ความรู้สึกที่ดีเวลาขึ้นไปนั่งๆนอนๆ

มุมนี้เป็นมุม BBQ เอาไว้จัดปาร์ตี้สำหรับลูกบ้าน หลายๆโครงการผมเห็นชอบมีมุม BBQ เขียนเอาไว้เก๋ๆ แต่ไม่มีฟังก์ชั่นรองรับ

แต่ที่นี่มีเก้าอี้ Stool พร้อมฟังก์ชั่นให้ใช้งานจริงๆ

ถ้าเอาจริงก็ต้องมีเตากับซิงก์แบบนี้ละครับ 😀

พื้นที่มุมเล็กๆก็เก็บเป็นที่นั่งชมวิวได้ทั้งหมด

ต่อมาเป็น Chess Court ที่นั่งดวลหมากรุก

ย้อนรำลึกวัยเด็กที่เอาฝากโค้กมาเล่นกัน

เรียบร้อยครับกับส่วนกลางของโครงการ Maestro 39 ผมว่าที่นี่ให้ส่วนกลางค่อนข้างเยอะ โดยเฉพาะชั้นดาดฟ้าเมื่อเทียบกับโครงการตึกเตี้ย 8 ชั้นที่มียูนิต 100 ห้องเศษๆ ถือว่าทำได้ดีครับ

 

และเนื่องจากอย่างที่บอกว่า Floor Plan มีการเปลี่ยนแปลง ดังนั้นผมก็จะแปะ Floor Plan ใหม่ทั้งหมดให้ลูกบ้านชมไว้ในรีวิวนี้นะครับ

 

 

 

 

 


Product Walkthrough

มาถึง Product Walkthrough ซึ่งเป็นช่วงพาเดินชมห้องกัน ในที่นี่เราจะพาไปชม 2 ห้องด้วยกัน คือ 1 Bedroom ขนาด 30.5 ตารางเมตร และ 2 Bedrooms ขนาด 64 ตารางเมตรครับ

 

ห้องแรกที่เราจะพาไปดูคือ 1 Bedroom ขนาด 30.5 ตารางเมตร บนชั้น 2F ที่หันหน้าระเบียงไปยังทิศเหนือ มีฟังก์ชั่นห้องน้ำอยู่ในห้องนอน

ห้อง 96/11 เป็นห้องที่เราจะพาทุกคนไปชมกัน

เปิดเข้าไปก็จะเจอส่วนของครัวที่เชื่อมกับโต๊ะกินข้าว ระเบียงและห้องนั่งเล่น คิดเป็นพื้นที่ประมาณครึ่งหนึ่งของห้องทั้งหมด โดยอีกครึ่งหนึ่งก็จะเป็นส่วนของห้องนอนและห้องน้ำครับ

เฟอร์นิเจอร์ที่เห็นนี้ได้ตามนี้ทั้งหมด ทั้งชุด Built-in และลอยตัว ยกเว้นเครื่องใช้ไฟฟ้าที่ไม่มีให้

ตู้เก็บของเปิดได้พอสมควร จัดเป็นระเบียบ มีที่ให้แขวนร่ม กุญแจ รองเท้า ฯลฯ

อีกฝั่งหนึ่งเป็นส่วนของครัวท๊อปหินแกรนิตสีดำ ที่เปิดได้ตามนี้เช่นกัน

แต่สิ่งที่ผมติดอยู่ก็คือชุดโต๊ะทานข้าวชุดนี้ที่ค่อนข้างเกะกะ เราควรจะเลื่อนมันไปแอบเอาไว้ตรงช่องว่างข้างครัวกับโซฟา นอกจากตอนที่จะกินข้าวจึงค่อยยกออกมาตั้ง ไม่อย่างนั้นจะทำให้พื้นที่ใช้สอยเสียไปหมดนะครับ

พื้นที่โซฟาและทีวีจัดว่าไม่กว้างเท่าไร เรียกได้ว่าเป็น Minimum Requirement เลยดีกว่า ว่าไม่ควรจะแคบไปกว่านี้แล้ว

ทีวีที่จะมาวางไม่ควรมีขนาดเกิน 42″ ซึ่งก็จะพอดีๆกับชั้นวางไม้ตัวนี้

โซฟาตั้งอยู่ข้างระเบียงพอดี มีช่องเปิดเล็กน้อยให้ปล่อยม่านลงมาเก็บได้

ระยะพื้นถึงเพดานที่ห้องรับแขกสูง 2.45 เมตร ที่ห้องครัวจะมีงานระบบจึงต้องดรอปฝ้าลงมาเหลือ 2.2 เมตร

ระเบียงด้านนอกได้ระเบียงที่ค่อนข้างใหญ่ สามารถวางโต๊ะน้ำชาหรือเก้าอี้สำหรับพักผ่อนได้เลย พื้นที่เพียงพอสำหรับการตากผ้าครับ

ด้านข้างที่ติดกันทางทิศเหนือมีการเช่าที่ดินมาเตรียมการก่อสร้างที่อื่น ไม่ใช่บนแปลงนี้ ต้นไม้ต้นนั้นสวยและร่มรื่นดีครับ

แอร์ที่นี่ใช้ของ Trane และมีการติดตั้งคอยล์ร้อนอยู่ที่บริเวณระเบียงแบบนี้ ด้านล่างวางเครื่องซักผ้าสามารถเปิดใช้งานได้โดยการเปิดประตูกริลออกไป

ระยะห่างมีเยอะแยะ ใครอยากจะใช้พื้นที่นี้ให้เป็นประโยชน์กว่านี้ก็ทำได้ แต่ถ้าเปิดแอร์ในห้องนอนหรือห้องนั่งเล่นก็ไม่เหมาะที่ใช้งานในเวลาเดียวกัน เพราะจะมีลมร้อนออกมาจากแอร์

โดยรวมห้องนั่งเล่นและครัวจัดว่าโอเค ยกเว้นชุดโต๊ะเก้าอี้ทานข้าวตรงกลางนั้นที่จะต้องเก็บชิดผนังให้เรียบร้อยเวลาอยู่อาศัย

ถัดมาเป็นห้องนอนที่อยู่ติดกัน กั้นด้วยผนังทึบไม่ใช่บานเลื่อนกระจกอย่างที่ห้อง Studio เขาทำกัน ทำให้ห้อง 1 Bedroom ที่นี่เป็นแบบห้องนอนจริงๆ แยกส่วนกับห้องนั่งเล่น โดยในห้องนอนก็จะมีกระจกบานใหญ่สูงจากพื้นถึงฝ้า

มุมทำงานมองออกไปที่กระจกทิศเหนือ ได้แสงธรรมชาติแต่ไม่มีแดดส่องเต็มๆเหมือนทิศตะวันตกและตะวันออก หากร้อนไปหรือต้องการความเป็นส่วนตัวก็สามารถติดฟิล์มฝ้าหรือสีชา ให้ดู Soft ลง

พื้นที่ห้องนอนประกอบด้วยเตียงใหญ่ โต๊ะข้างเตียง ตู้เสื้อผ้า และทีวีแขวนผนัง

ตู้เสื้อผ้าขนาดประมาณนี้ ถ้าใครข้าวของเยอะกว่านี้ก็ต้องทำเพิ่มละ

ห้องน้ำทำออกมาใช้งานได้จริงแบ่งพื้นที่เป็นส่วนเปียกและส่วนแห้งให้แยกออกจากกัน

มุมอ่างล้างมือถ้าสามารถทำ Counter จากเสาไปจนถึงผนังเพิ่ม เราก็จะวางของได้มากกว่านี้ โดยเฉพาะอุปกรณ์แต่งหน้าของสาวๆทั้งหลาย

โถสุขภัณฑ์ของ American Standard ตั้งวางอยู่ด้านนอกชิดกับตู้อาบน้ำกระจกบานเปลือย

พื้นที่ส่วนเปียกใช้กระจก Tempered Glass เพื่อความแข็งแรงและปลอดภัย

หัวฝักบัวกับก๊อกน้ำเป็นของ American Standard จัดทำเป็นก๊อกผสม

ต่อมาผมจะพาไปชมห้อง 2 Bedrooms กันบ้างนะครับ โดยจะเป็นห้องมุมทิศตะวันตกเฉียงเหนือ ขนาด 64 ตารางเมตร

ห้องหมายเลข 96/8 อยู่ชั้น 2F เช่นกัน

ห้องนี้มีฟังก์ชั่นพิเศษที่ห้อง 2 Bedrooms อื่นๆไม่มีกัน ก็คือเฉลียงและที่พักของหน้าบ้าน เวลาเราเปิดประตูเข้ามาก็จะมี Counter สำหรับวางของได้ เช่นกระเป๋าถือ ถุงช๊อปปิ้ง มีที่เก็บของและรองเท้า เนื่องจากทำพื้นเป็นพื้นกระเบื้อง แยกส่วนออกจากพื้นลามิเนตที่เป็นตัวบ้าน

ด้านขวาติดตั้งเครื่องซักผ้าได้ด้วย ตู้ทางขวาสามารถวางของใช้อย่างน้ำยาปรับผ้านุ่ม ผงซักฟอก ฯลฯ ที่ใช้สำหรับการซักผ้า

ตู้ด้านซ้ายเป็นตู้สูง ติดตั้งชั้นวางมาให้เก็บของได้เต็มที่ กระเป๋ารองเท้า แบ่งๆกันไปคนละช่อง

เดินเข้ามาก็จะเป็นส่วนห้องนั่งเล่นละครับ ตรงนี้แสงจะจ้านิดหนึ่งเนื่องจากเป็นทิศตะวันตก ตากผ้าสบาย แต่เวลาอยู่ก็จะร้อนหน่อย ผมแนะนำให้ติดฟิล์มกรองแสงจะช่วยได้มาก

พื้นที่ตรงนี้เป็นจุดต่อเชื่อมระหว่างห้องนั่งเล่น โต๊ะทานข้าว เฉลียงหน้าบ้าน และพื้นครัวเปิด รวมกันเป็นพื้นที่ใหญ่ สามารถใช้เป็นพื้นที่ครอบครัวได้อย่างดี

ตัวโต๊ะทานข้าวเองก็ได้แสงธรรมชาติเช่นกัน นั่ง 4 คนสบายๆ ผนังด้านหลังที่ติดกรอบรูปทั้งสองฝั่งนั้นยังว่าง สามารถทำ Built-in เป็นแผงตู้ขึ้นมาได้อีก หากบ้านไหนต้องการเก็บของก็จะมีพื้นที่เพิ่มขึ้นได้

ระยะระหว่างโซฟากับทีวีห้องนี้เหมือนจะกว้างไปมากหากติดตั้งทีวี 32″ ตามรูป ผมแนะนำว่าควรจะเป็นจอขนาด 50″ ได้เลยครับ

ระเบียงที่ได้นี้เป็นระเบียงใหญ่ กระจกบานกว้างและสูง ใช้งานได้เต็มที่ แต่ทิศตะวันตกนี้เป็นทิศเดียวที่ติดกับถนนซอยสุขุมวิท 39 ทำให้มีเสียงรถยนต์ที่ผ่านไปมาตลอด และเนื่องจากเป็นพื้นที่ที่ค่อนข้างเป็นสาธารณะ คนที่เดินผ่านไปมาก็สามารถมองขึ้นมาเห็นได้ง่าย ดังนั้นผมก็แนะนำให้ติดม่านโปร่งหรือมู่ลี่ซ้อนไปอีกชั้นหนึ่ง เวลาอยู่บ้านก็สามารถรับแสงธรรมชาติได้ และช่วยในเรื่องความเป็นส่วนตัวได้อีกระดับ

ครัวที่แยกส่วนมาอาจจะเล็กไปนิดหนึ่งสำหรับครอบครัวที่ชอบทำอาหาร แม่บ้านที่อยากโชว์ฝีมืออาจจะต้องทำแพนทรี่เพิ่มบริเวณด้านหลังโต๊ะทานข้าวสำหรับการเตรียมอาหารนะครับ

พื้นที่ที่เหมาะสมคงจะเป็นด้านหลังโต๊ะกินข้าว ที่เหลือพื้นที่อีกพอควร

เนื่องจากเตาครัวอยู่ในพื้นที่เปิด แม้ว่าจะมีเครื่องดูดควันมาให้แต่ก่อนที่จะทำอาหารก็ควรปิดประตูห้องนอนทุกบานให้เรียบร้อย และเปิดหน้าต่างบริเวณระเบียงเพื่อระบายอากาศออกไป โดยเตาจะใช้เป็นเตาของ Electrolux

ซิงก์ขนาด 1 หลุมของ Hafele มีพื้นที่ให้วางของเพิ่มอีกหน่อยบริเวณมุม

ชั้นวางมีประมาณที่เห็นนี้ ติดตั้งถังขยะกับหน้าบานใต้ซิงก์มาให้เรียบร้อย

ห้องนอนทั้งหมดหันไปทางทิศเหนือ ไม่เหมือนกับห้องนั่งเล่นที่หันไปทางทิศตะวันตก พื้นที่พอใช้งานได้ตามที่เห็น

ตู้เสื้อผ้าเพิ่มมาจากห้องนอน 1 Bedroom เป็นสองเท่า โดยฟังก์ชั่นอื่นๆยังอยู่ครบเหมือนเดิม

ห้องน้ำถูกจัดให้ลงตัวมากขึ้น แยกส่วนเปียกส่วนแห้งเช่นเคย

ซิงก์มีขนาดใหญ่ขึ้นกว่าเดิม ถ้าใครต้องการที่เก็บของเพิ่มขึ้นผมก็แนะนำให้ทำชั้นวางของติดผนังทางขวาได้ครับ

ด้านในส่วนเปียกของห้องน้ำจะติดตั้งอ่างอาบน้ำไว้ด้วย ซึ่งเป็นอ่างอาบน้ำที่ได้รับแสงธรรมชาติ นานๆจะเห็นทีในชีวิตคอนโด

ใครไม่ชอบอาบในอ่าง ก็ยังสามารถยืนอาบได้เหมือนเดิม ไม่มีประเด็น ทั้งยังมีที่วางสบู่ให้ครบถ้วนด้วยครับ

กระจกบานเล็กที่ติดกับอ่างอาบน้ำมีกริลกั้นไว้อีกชั้นหนึ่ง ดังนั้นเราสามารถอาบได้โดยไม่ต้องกังวลเรื่องจะมีใครมาแอบดูล่ะ

ห้องนอนเล็กที่นี่ก็มีขนาดเล็กตามระเบียบ เด็กๆใช้งานได้ไม่อึดอัด สำหรับผู้ใหญ่อาจจะแคบไปนิดหนึ่ง

โต๊ะข้างเตียงเหมาะเอาไว้ทำการบ้านนะครับ

ตู้เสื้อผ้าขนาดนี้

สุดท้ายเราจะไปสำรวจระเบียงบ้านกันอีกหน่อยนะครับ ห้องมุมแบบนี้มีข้อดีตรงที่เราจะได้แสงธรรมชาติเยอะๆ ห้องจะดูโปร่งและไม่อึดอัด

ระเบียงกว้างใหญ่ ติดตั้งราวกันตกเป็นกระจก Tempered Glass ส่วนราวสีทองแดงด้านนอกเป็นหน้ากากตึก ไม่ใช่พื้นที่ของห้องเรา อย่าเอาอะไรไปแขวนเชียวล่ะ

ฝั่งตรงข้ามไม่มีตึกสูง โชคดีไปครับ

ผมจะจบด้วยภาพครัวตัว L ของ Layout 2 Bedrooms ห้องอื่นๆ ที่ไม่มีเฉลียงหน้าบ้านเหมือนห้องที่พาไปชมครับ

ราคาและเงื่อนไขการขาย @ 5 August 2015

  • ห้อง 1 Bedroom 30.5 ตารางเมตร เริ่มต้น 4.2 ล้านบาท หรือประมาณ 140,000 บาทต่อตารางเมตร

  • Fully Furnished ไม่รวมเครื่องใช้ไฟฟ้า
  • ฝ้าเพดานสูง 2.45 & 2.2 เมตร
  • Kitchen & Sink
  • Hob & Hood
  • Shuttle Bus ไปกลับ BTS พร้อมพงษ์
  • จอง 50,000 – 100,000 บาท
  • ทำสัญญา 5% ของราคาขาย
  • พร้อมโอนกรรมสิทธิ์ 95% ไม่มีผ่อนดาวน์
  • ค่ากองทุน 500 บาท/ตร.ม.
  • ค่าส่วนกลาง 50 บาท/ตร.ม./เดือน ชำระล่วงหน้า 12 เดือน

**ราคาที่เอามาลงในบทความเป็นราคา ณ วันที่เข้าไปเก็บข้อมูลทำรีวิว ดังนั้นราคาต่างๆอาจมีการเปลี่ยนแปลงได้ครับ


เจาะลึกรวบยอด

ผมจะยกบทวิเคราะห์ของเดินที่คุณฝนทำเอาไว้ในปี 2013 มาแปะให้อ่านก่อน จากนั้นก็จะเพิ่มเติมในส่วนของปี 2015 ลงไปนะครับ

สำหรับโครงการ Maestro 39 เป็น โครงการอย่างที่เรียกได้ว่า Compact Low-rise จริงๆค่ะ เนื้อที่ของโครงการ 1 ไร่เกินไปนิดหน่อยเอง เน้นไปที่สถานที่ตั้งที่เข้าออกเชื่อมต่อได้หลายที่ ออกทั้งถนนเพชรบุรี หรือออกไปเส้นสุขุมวิท ถ้าสะดวกจะเดินทางโดยรถไฟฟ้าก็ควรใช้บริการ Shuttle Service

โครงการเน้นการเดินทางเข้าออกด้วยรถยนต์ เพราะมีที่จอดรถให้เยอะสำหรับขนาดโครงการขนาดนี้ การเลือกจับกลุ่มลูกค้าที่เป็นชาวญี่ปุ่น ถือว่าทำการบ้านเรื่องทำเลมาค่อนข้างดีทีเดียวละแวกนี้ ชาวญี่ปุ่นอาศัยกันมาก ใครที่ชื่นชอบอาหารญี่ปุ่นนี่จะทราบดีว่าในซอยสุขุมวิท 31 แล 39 นี่ขึ้นชื่อเรื่องอาหารญี่ปุ่น และอาหารอีกหลายชาติเช่นเกาหลี อิตาเลี่ยน ส่วนราคานั้นเป็นราคาหลักร้อยขึ้นไปค่ะ (ใครมีร้านไหนแนะนำฝนบ้างเนี่ย ^ ^)

ในเรื่องการสัญจรสำหรับคนที่ไม่คุ้นซอยแถวนี้อาจจะงงอยู่บ้างเพราะเป็นซอยที่ทะลุได้หลายที่ ต้องศึกษาเส้นทางดีดี จะมีทั้งเดินรถทางเดียว ซอยแคบ ซอยกว้าง ปนๆกัน ส่วนสถานพยาบาลที่ใกล้ๆก็มีอย่างโรงพยาบาลกรุงเทพและโรงพยาบาลสมิติเวช สถาบันการศึกษาที่ใกล้โครงการมีตั้งแต่อนุบาลจนถึงอุดมศึกษาเลยทีเดียว ภายในซอยนอกจากจะเจอสิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆอย่างซุปเปอร์ ร้านสะดวกซื้อ จะสังเกตุว่ามีคอนโดมิเนียมอยู่ภายในซอยจำนวนหลายโครงการเช่นกันคะ

บรรยากาศรอบๆโครงการดูไม่หนาแน่นด้วยผู้คนเท่าไหร่ จะมีรถที่ใช้เส้นซอยสุขุมวิท 39 ตลอดเรื่อยๆ อีกหน่อยโครงการ  Siamese 39 Condominium ก็จะเสร็จแล้วเป็นเพื่อนบ้านห่างไปประมาณ 1 ซอย จะมีแต่ฝั่งตรงข้าม ที่เป็นร้านคาราโอเกะ ซึ่งอาจจะมีเสียงรบกวนหรือไม่ อันนี้ฝนไม่ทราบเหมือนกันต้องนำมาพิจารณาด้วย

สำหรับคนที่ต้องการความเป็นส่วนตัว โครงการนี้น่าสนใจนะคะ เพราะด้วยจำนวนยูนิตแค่ 90 ยูนิต อัตราส่วนลิฟท์ที่ 1:45 อีกทั้งที่จอดรถก็มีเยอะ ซึ่งเป็นข้อดีสำหรับผู้อาศัยที่เดินทางโดยใช้รถยนต์ส่วนตัวและกลับมาพักผ่อนในบรรยกาศที่เป็นส่วนตัวแบบนี้ ซึ่งห้องส่วนใหญ่นั้นเป็นแบบห้อง 2 Bedrooms ไม่ใช่ 1 Bedroom เหมือนกับคอนโดทั่วๆไปนะคะ

รูปแบบอาคารและการตกแต่งภายใน ส่วนนี้แล้วแต่รสนิยมเลย ทางนี้เน้นคลาสสิคแต่แฝงโมเดิร์นซึ่งสำหรับฝน รู้สึกว่า โมเดิร์นที่ทางโครงการบอก จะอยู่ภายในอาคารและการใช้วัสดุบางประเภท

สาธารณูปโภคทำออกมาได้ดี ให้เยอะ เมื่อเทียบกับโครงการ Low Rise ด้วยกัน และไม่ได้น้อยหน้าโครงการ High Rise บางโครงการด้วยซ้ำ ทั้งในเรื่องของขนาดที่สามารถใช้ได้จริง และฟังก์ชั่นที่ครบถ้วน ยกตัวอย่างเช่น Kid’s Room ที่เราคงจะไม่ได้เห็นในโครงการขนาดเล็ก 90 ห้อง แน่ๆค่ะ

สิ่งเนื้อหาที่แตกต่างกันในปี 2013 และ 2015 อย่างมีนัยสำคัญคือความหนาแน่นและที่จอดรถที่ขยับจาก 90 ยูนิตเป็น 107 ยูนิต ถามว่าเพิ่มขึ้นมากไหมก็ราวๆ 20% แต่ก็ยังจัดว่าไม่หนาแน่นเท่าไรเมื่อเทียบกับโปรเจคทั่วๆไปและส่วนกลางที่ให้มา และแม้ว่าจำนวนยูนิตจะเพิ่มขึ้นขนาดนี้ผมก็ยังจัดว่าโครงการ Maestro 39 เป็นโปรเจคที่ให้สาธารณูปโภคส่วนกลางเป็นจำนวนมาก และพอไปดูของจริงแล้วก็ใช้งานได้ ตกแต่งสวยงาม อาทิเช่นสวนบนดาดฟ้า เตาปิ้ง BBQ สนามเด็กเล่น ออนเซ็นและสระว่ายน้ำขนาดเหมาะสม

ทำเลที่เปลี่ยนไปคงจะหนีไม่พ้นห้างสรรพสินค้าขนาดใหญ่อย่าง EmQuartier ที่ดึงลูกค้ากลุ่มใหม่และกลุ่มเดิมบางส่วนที่เดิน Emporium อยู่แล้ว มีร้านค้าใหม่ๆเปิดขึ้นมาก และเช่นเดียวกันก็มีโปรเจคคอนโดมิเนียม Luxury High Rise ที่หน้าปากซอยขึ้นกันเต็มไปหมด อย่างเช่น MARQUE ของเครือ Major Development เหมือนกัน ตัวตึกออกแบบสวยงามสมกับคำว่า Super Luxury แห่งย่านพร้อมพงษ์ ถัดๆเข้ามาก็มีทั้ง XXXIX, Diplomat, Galerie rue de 39 ที่จัดอยู่ในกลุ่มตลาดเดียวกันทั้งนั้น … ซึ่งสนนราคาก็ไม่มีต่ำกว่า 200,000 บาทต่อตารางเมตรกันแล้ว ถ้าใครงบไม่ถึงก็ต้องเข้ามาหาตึกในซอย ที่ขายในราคาย่อมเยาว์ลงมาหน่อย อย่าง Maestro 39 นี่ละครับ

Judgement

การให้คะแนน ให้แบบ Weight Average โดยมุ่งหาความคุ้มค่า เทียบกับราคาที่จ่ายไป โดยมีส่วนที่พิจารณาดังนี้

ทำเล 35%, การเดินทางโดยใช้รถ 15%, การเดินทางโดยไม่ใช้รถ 15%, วัสดุ 15%, การออกแบบ 10% และสาธารณูปโภค 10%

เทียบกับราคา 140,000 บาทต่อตารางเมตร, 5/08/2015

  • ทำเล 7.75/10 – ซอยสุขุมวิท 39 ลึกเข้าไป 1.2 กิโล หาของกินง่าย
  • เดินทางด้วยรถ 7.5/10 – ที่จอดรถ 62% เข้าออกได้หลายทาง แต่เป็นซอย One Way
  • ไม่ใช้รถ 7/10 – เดินจากรถไฟฟ้าไกล แต่มี Shuttle Service ให้
  • วัสดุ 8.5/10 – ใช้วัสดุมาตรฐานหรือดีกว่าเล็กน้อย เป็น Fully Furnished
  • แบบ 8.5/10 – เป็นส่วนตัว สงบ พื้นที่ใช้สอยกว้าง ยูนิตใหญ่
  • สาธารณูปโภค 9.5/10 – ให้เยอะกว่ามาตรฐานมาก

  • HIGH CLASS
  • 7.95 / 10.00

BOTTOM LINE

Maestro 39 เป็นตัวเลือกของคอนโดมิเนียมที่ราคาถูกลงมาจากคอนโดตึกสูงปากซอยสุขุมวิท 39 ผู้อยู่อาศัยก็จะต้องแลกเรื่องทำเลที่ลึกขึ้นให้มาได้ซึ่งพื้นที่ที่กว้างขึ้นในราคาที่เท่ากัน แต่ยังคงคุณภาพส่วนกลางที่ไม่ได้ด้อยกว่ากัน และถ้าใครสามารถเดิน 1 กิโลเมตรเศษๆไปกลับ BTS ได้สบายๆ ตัวเลือกนี้ก็น่าพิจารณาครับ

ถ้าเห็นว่ารีวิวนี้มีประโยชน์ ช่วยกด LIKE ให้ผมหน่อยนะครับ จะได้มีกำลังใจทำรีวิวถัดๆไปครับ

สมัครสมาชิกพร้อมรับข่าวสารเพิ่มเติม (คลิกที่นี่ )