รีวิวฉบับที่ 1472 … วันนี้จะพาไปชมรีวิวหมู่ตึกคอนโด High Rise ที่ให้พื้นที่ส่วนกลางขนาดใหญ่และน่าใช้งานกับ Elio Del Nest จากอนันดา ซึ่งจัดเต็มสระว่ายน้ำ 2 สระที่ชั้น Ground และบนชั้น 10 มาพร้อมห้องฟิตเนสที่เปิดรับวิวแบบ 360 องศา ทำเลอยู่ในซอยอุดมสุข ห่างสถานี BTS ประมาณ 700 . ซอยนี้มีทั้งรถสองแถว พี่วิน วิ่งกันเพียบเข้าโครงการได้ไม่ยาก แถมระหว่างทางมีของกินให้เลือกช้อปกันหลากหลาย หรือจะขึ้นรถสองแถว นั่งพี่วิน เข้าโครงการก็มีวิ่งกันเพียบเลย ห้องพักมีขนาด 26-64 ตร.. ในราคาเริ่มต้น 2.29 ล้านบาท

Fact @ 14 November 2017

  • Elio Del Nest (เอลลิโอ เดล เนสท์)
  • บริษัท  อนันดา ดีเวลลอปเม้นท์  จำกัด
  • MAIN-UPPER CLASS (อ่านรายละเอียดของ Segment คอนโดได้ที่นี่)
  • โครงการตั้งอยู่ในเขต : บางนา
  • คอนโด High Rise 23-35 ชั้น 7 อาคาร 1,459 ยูนิต และร้านค้า 11 ยูนิต
  • อาคารจอดรถ 10 ชั้น
  • ยูนิตต่อชั้นสูงสุด 10 ยูนิตที่อาคาร B (ตามข้อมูลของอาคาร B,C,D และ G ที่เปิดขายตอนนี้)
  • ที่จอดรถประมาณ 635 คันคิดเป็น 44% (ไม่รวมจอดซ้อนคัน)
  • ที่ดินประมาณ 10-0-13 ไร่
  • เริ่มก่อสร้าง : เดือนกันยายน ปี 2560
  • คาดว่าจะแล้วเสร็จ : เดือนมีนาคม ปี 2563
  • Studio 26 ตร.ม. ราคาเริ่มต้น 2.29 ล้านบาท
  • 1 Bedroom 31.5-34.5 ตร.ม. ราคาเริ่มต้น 3.2 ล้านบาท
  • 1 Bedroom Plus 39-41.5 ตร.ม. ราคาเริ่มต้น 3.8 ล้านบาท
  • 2 Bedrooms 52-64 ตร.ม. ราคาเริ่มต้น 5.2 ล้านบาท
  • ฝ้าเพดานสูง 2.6 เมตร
  • ราคาเฉลี่ยต่อตารางเมตรทั้งโครงการ 100,000 บาท/ตร.ม.
  • ราคาเฉลี่ยต่อตารางเมตรต่ำสุด-สูงสุด 89,000-110,000 บาท/ตร.ม.
  • EIA (การประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อม) : อยู่ระหว่างดำเนินการ
  • เพิ่มเติมข้อมูลทำเลรอบๆ BTS อุดมสุข ได้ที่: มองหาทำเลน่าอยู่ใกล้รถไฟฟ้า: BTS อุดมสุข
  • เวปไซต์โครงการ : คลิกที่นี่
  • โทร  : 02-316-2222

เพียงแค่การกด Like ก็เท่ากับการสนับสนุนข้อมูลเชิงลึกจาก Think of Living แล้วค่ะ

สามารถเลือกอ่านตามหัวข้อต่างๆได้โดยกดปุ่มด้านล่างค่ะ


เจาะลึกเรื่องทำเลที่ตั้ง

พิกัด : 13.678762, 100.615861

แผนที่จากทางโครงการ Elio Del Nest ตั้งอยู่ในซอยอุดมสุข (สุขุมวิท 103) อยู่ระหว่างซอย 8 และ 15 แขวงบางนา เขตบางนา กทม. เพียง 750 เมตร ถึงรถไฟฟ้า BTS อุดมสุข นอกเหนือจากเส้นทางหลักทางซอยอุดมสุขยังสามารถลัดมาออกเส้นศรีนครินทร์ หรือบางนา-ตราดได้ หรือจะไปออกเส้นทางอ่อนนุช (สุขุมวิท 77)  ก็ได้เช่นกัน

ทำเลโครงการ Elio Del Nest อยู่บนถนนอุดมสุข (สุขุมวิท 103) เป็นถนนระยะสั้นๆ เชื่อมระหว่างถนนสุขุมวิทและถนนศรีนครินทร์ สภาพแวดล้อมในทำเลนี้เป็นแหล่งชุมชนขนาดใหญ่ที่อยู่กันมานาน คนอยู่อาศัยเยอะ มีความอุดมสมบูรณ์สูง ส่วนใหญ่จะเป็นบ้านที่อยู่กันในซอยเล็กซอยน้อย มีตึกแถวอาคารพาณิชย์ริมถนน แทรกด้วยร้านค้า ตลาด Community Mall เล็กๆ และคอนโดมิเนียมทั้ง High Rise และ Low Rise มีบรรยากาศคึกคักทั้งกลางวันและกลางคืน ดังนั้นเรื่องอาหารการกินบนถนนนี้เรียกว่าหาง่าย ฝากท้องกันได้สบาย สลับกินร้านนู้นนี้ได้เรื่อยๆ ไม่เบื่อ สำหรับที่ตั้งโครงการนี้จะอยู่ช่วงต้นของถนนอุดมสุข ห่างจากต้นซอยบริเวณทางขึ้นลงสถานีรถไฟฟ้าประมาณ 700 ม. บรรยากาศบริเวณโครงการก็จะเงียบสงบลงมาหน่อยเมื่อเทียบกับบริเวณต้นถนนที่เชื่อมเข้าถนนสุขุมวิท

การเดินทางด้วยรถยนต์ก็ถือว่าสะดวกระดับนึง เพราะสามารถเลือกใช้ถนนสุขุมวิทหรือถนนศรีนครินทร์ในการเช้าออกเมือง และลัดเลาะเข้าซอยย่อยเพื่อไปทะลุออกถนนคู่ขนานได้อย่างวชิรธรรมสาธิต หรือถนนบางนา-ตราดก็ได้ ช่วยประหยัดเวลาในการเดินทางช่วงเวลาเร่งด่วนได้บ้าง แต่ต้องยอมรับว่าถนนอุดมสุขนี้รถจะเยอะตลอดทั้งวัน เพราะนอกจากเป็นแหล่งชุมชนขนาดใหญ่แล้วก็ยังมีร้านอาหารที่เปิดกันทุกเวลาและมีค่อนข้างมากด้วย

ส่วนการเดินทางด้วยระบบขนส่งสาธารณะเข้า-ออกเมืองก็มีรถไฟฟ้าสายสีเขียวสายหลักรองรับอยู่ โดยมีสถานีอุดมสุขอยู่หน้าปากซอยถนนที่เชื่อมกับถนนสุขุมวิทเลย แต่จากโครงการไปถึงรถไฟฟ้าก็ไกลพอสมควร หลุดระยะเดินได้ไปแล้วเพราะมีระยะห่างประมาณ 700 ม. ดังนั้นก็ต้องเลือกพึ่งพารถสาธารณะอื่นๆ ไปขึ้นรถไฟฟ้าอีกที ซึ่งบนถนนนี้ก็มีให้เลือกครบครันทีเดียวค่ะทั้งรถสองแถว วินมอเตอร์ไซต์และแท็กซี่ เรียกไม่ยากและมีอยู่ตลอดเวลา

ความอุดมสมบูรณ์นอกเหนือจากบนถนนอุดมสุขที่มีความอุดมสมบูรณ์สูงในเรื่องอาหารการกิน เพราะจะมีร้านอาหารเปิดขายกันทั้งตอนกลางวันและกลางคืนแล้ว ยังมีตลาดสดอุดมสุขให้ซื้อหาของสดกันได้สะดวกอีกด้วย เขยิบออกมาหน่อยก็มีห้างใหญ่ๆ บนถนนศรีนครินทร์อย่าง Seacon Square , Paradise Park และช่วงวันหยุดก็มีตลาดนัดรถไฟ ศรีนครินทร์ที่เปิดกันตอนเย็นๆ ไปจนมืด หรือจะเป็นแถบถนนบางนา ก็จะมีศูนย์การค้าใหญ่หลายแห่งทั้งเซนทรัล บางนา, เมกะบางนา และเร็วๆ นี้ก็จะมีศูนย์การค้าใหม่เปิดตัวอย่าง Bangkok Mall โดยมีสายรถสองแถวจากถนนอุดมสุขไปยังห้างเลย ใครที่ไม่ได้ขับรถก็สะดวกในการเดินทางเช่นเดียวกันค่ะ

การเดินทางของเราในวันนี้ขอเริ่มต้นจากสถานีอุดมสุข และเดินจากปากซอยตรงไปเรื่อยๆ เพื่อชมบรรยากาศของแหล่งความอุดมสมบูรณ์ทั้งร้านค้า ตลาด ร้านอาหาร ร้านริมทาง ประมาณ 700 ม. โครงการจะอยู่ทางฝั่งซ้าย

จากสถานีรถไฟฟ้าอุดมสุขเดินให้เลือกทางออก 3 ค่ะ

บนสถานีอุดมสุขปัจจุบันมีร้านขายขนม ขายน้ำมาเปิดเพิ่มนะคะ นอกจากนั้นก็มีสำนักงานเขตมาเปิดให้บริการ ทำให้สามารถทำบัตรประชาชนบนสถานีได้แล้วด้วย

ในส่วนของขาขึ้นรถไฟฟ้าทางออก 3 นี้อยู่ติดกับปากทางถนนสุขุมวิท 103 เลย เรียกว่าออกมาจากปากซอยก็ขึ้นรถไฟฟ้าได้เลยและเป็นบันไดเลื่อนด้วย สะดวกดี ส่วนบันไดลงจะอยู่ฝั่งตรงข้าม ฝั่งขวาเห็นแนวก่อสร้างบนเกาะกลางไหมคะ นี่เป็นแนว Sky Walk เชื่อมไปถึงแยกบางนา ที่กำลังก่อสร้างอยู่ในปัจจุบันค่ะ

ลงมาจากสถานีในช่วงต้นถนนอุดมสุขตามทางเดินเท้าจะมีของขายทั้งรถเข็น ร้านริมฟุตบาท และร้านค้าในอาคารตึกแถวเรียงรายตลอดทาง มีทั้งของกินของขายมากมายทีเดียวค่ะ

ช่วงต้นซอยนี้มีมุมที่พี่วินจะมาจอดส่งคน ถ้านั่งวินมาจากหน้าโครงการก็จะต้องมาลงตรงนี้ แล้วเดินต่ออีกประมาณ 20 ม. ก็จะถึงบันไดเลื่อนขึ้นสถานี BTS แล้วค่ะ

 

เดินมาอีกหน่อยจะผ่าน One Udomsuk คอมมูนิตี้มอลล์ขนาดย่อมๆ มีร้านอาหารแบรนด์ต่างๆ และร้านค้าอื่นๆ อย่างคลินิก ช็อปเสื้อผ้า ให้ได้เดินเล่น กิน ซ็อปของเล็กๆ น้อยๆ ก่อนกลับบ้านโดยไม่ต้องไปไหนไกล

ร้านอาหารใน One Udomsuk ส่วนใหญ่จะเป็นร้านอาหาร มีที่นั่งทานเรียบร้อย จะให้เป็นจุดนัดพบกับเพื่อนๆ ก็ใกล้บ้านและใกล้สถานีรถไฟฟ้าดีค่ะ

เดินต่อมาอีกหน่อย พื้นที่ทางเดินบนฟุตบาทดูเรียบร้อยดี สมัยก่อนจะเห็นมีร้านค้าแผงลอยตั้งกันเต็มไปหมด แต่เดี๋ยวนี้เดินง่ายขึ้นมาก ร้านค้าจะตั้งอยู่แค่บริเวณหน้าร้านของอาคารพาณิชย์เท่านั้น ไม่ล้ำลงมาบนทางเดินค่ะ

เลยมาอีกหน่อยจะมีตลาดอุดมสุข ตลาดขายของสดให้เหล่าแม่บ้านที่ชอบทำกับข้าวมาจับจ่ายกันได้ค่ะ

ถัดไปก็มี Watsons และ Mini Big C ให้เลือกช้อปของกิน ของใช้ ได้อีกแห่งหนึ่งก่อนกลับบบ้าน

ในเรื่องของรถสาธารณะบนถนนเส้นนี้เรียกว่าครบครัน มีให้เลือกหลากหลายทั้งรถสองแถว พี่วินมอเตอร์ไซต์ รถตู้ และแท็กซี่ ที่คอยให้บริการตลอดเวลาค่ะ

ฝั่งตรงข้ามก็เป็นร้านค้าที่เปิดบริเวณชั้น 1 ของอาคารพาณิชย์เช่นกัน แต่พอเดินเข้ามาเรื่อยๆ บรรยากาศก็จะดูคึกคักน้อยลง ร้านค้าขายของมากมายก็จะน้อยลงตามลำดับ

 

เดินมาสักระยะ ฝั่งตรงข้ามก็จะมีอพาร์ทเม้นท์ ณ บ้านอุดมสุข ด้านข้างมีแหล่งรวมร้านอาหารอย่างชาบู ร้านขนมหวานปิงซู ต่างๆ

นอกเหนือจากร้านอาหาร รถเข็นริมฟุตบาทแล้ว ยังมีร้านนั่งกินแบบ Outdoor ใครชอบสังสรรค์หรือนั่งชิวแบบนี้ ก็มีตัวเลือกให้ฝากท้องอีกเยอะเลยค่ะ

ถัดไปไม่ไกลจะมี Makro Service ซึ่ง Makro นี้จะอยู่ตรงข้ามกับโครงการเลยค่ะ

ที่ตั้งโครงการจะอยู่ถัดจากร้านก๋วยเตี๋ยวไก่มะระ โดยจะอยู่ติดกับทางลงสะพานลอย ทำให้สามารถเดินข้ามไป Makro หรือจะข้ามไปเรียกรถฝั่งตรงข้ามก็ทำได้สะดวก

พื้นที่ภายในเส้นประสีเหลืองคือที่ตั้งของโครงการ Elio Del Nest ก็จะอยู่ติดถนนอุดมสุขแบบนี้เลย เวลาจะเรียกรถสองแถว แท็กซี่ หรือพี่วินก็เรียกได้ง่ายๆ เลยนะคะ

**รูปนี้จัดทำขึ้นเพื่อให้เห็นภาพรวมของโครงการแบบคร่าวๆไม่สามารถใช้อ้างอิงอย่างเป็นทางการได้นะคะ

สภาพแวดล้อมรอบๆโครงการส่วนใหญ่เป็นที่พักอาศัยแนวราบ อย่างบ้านพักอาศัย 2 ชั้น ตึกแถว และโรงแรมสูงไม่เกิน 10 ชั้น โครงการจึงไม่มีอาคารสูงบังวิวในระยะประชิดนะคะ

  • ทางทิศเหนือ ติดกับ หมู่บ้านมณียา
  • ทางทิศตะวันออก ติดกับ โรงแรม 5-10 ชั้น และอาคารตึกแถว 5 ชั้น
  • ทางทิศตะวันตก ติดกับ ตึกแถว 2-5 ชั้น
  • ทางทิศใต้ ติดกับ ถนนอุดมสุข ฝั่งตรงข้ามเป็น Makro Foof Service

ภายในที่ดินโครงการจะมีอาคาร 2 ชั้นตั้งอยู่ จริงๆ อาคารนี้เป็นอาคาร Shop ของโครงการ ซึ่งปัจจุบันตกแต่งภายในเป็นห้องตัวอย่างให้ชมกันชั่วคราวนะคะ

ด้านหน้าโครงการมีป้ายรอรถสาธารณะด้วย เห็นเป็นป้ายรถเมลล์แบบนี้แต่จริงๆ แล้วในซอยนี้ไม่มีรถเมลล์วิ่งผ่านเข้ามา จึงกลายเป็นจุดที่รถสองแถวมักจะแวะมาจอดแทนค่ะ

 

สถานที่สำคัญใกล้เคียงต่างๆ เช่น

  • Mini Big C สุขุมวิท 103 ~ 500 ม.
  • ตลาดอุดมสุข ~ 550 ม.
  • One Udomsuk ~ 650 ม.
  • ศรีวัฒนาบริหารธุรกิจเเละเทคโนโลยีนานาชาติ ~1.4 กม.
  • ไบเทคบางนา ~1.7 กม.
  • เซ็นทรัล ซิตี้ บางนา ~2.9 กม.
  • โรงพยาบาลไทยนครินทร์ ~3.5 กม.
  • พาราไดซ์ พาร์ค ~4.5 กม.
  • ตลาดนัดรถไฟ ศรีนครินทร์ ~4.8 กม.
  • ซีคอนสแควร์ ~5.1 กม.


เจาะลึกตัวโครงการ

สำหรับคิววันนี้เราจะพามาชมสำนักงานขายและห้องตัวอย่างของโครงการกันต่อ โดยสำนักงานขายจะอยู่บนแปลงที่ดินของโครงการเลย และอาคารนี้คืออาคาร I ซึ่งจะเป็นร้านค้าของโครงการในอนาคตจัดโชว์ห้องตัวอย่างไว้ชั่วคราวนะคะ

เข้ามาภายในสำนักงานขาย ได้รับการตกแต่งไว้ด้วยคอนเซปต์รังนก (Nest) ดูมีความอบอุ่นด้วยโทนสีน้ำตาล

ภายในสำนักงานขายจะจัดชุดโชฟาไว้หลายมุม ตกแต่งไว้เข้ากับคอนเซปต์โครงการเลยนะคะ

โมเดลโครงการ Elio Del Nest (เอลลิโอ เดล เนสต์) เป็นกลุ่มคอนโด High-Rise 23-35 ชั้น 7 อาคาร(A-G), อาคารจอดรถ 1 อาคาร(H) และ อาคารเชิงพาณิชย์ 1 อาคาร(I) พื้นที่โครงการขนาด 10-0-13 ไร่ ห้องพักอาศัยรวม 1,459 ยูนิต และ ร้านค้า 11 ยูนิต คาดว่าแล้วเสร็จทั้งโครงการปี 2563 ตัวอาคารจะวางตัวเรียงกันตามแนวยาวของที่ดิน คนที่อยู่อาคาร G ก็จะเดินไกลหน่อย แต่ก็จะได้ความเงียบและเป็นส่วนตัวเพิ่มมากขึ้น โดยห้องพักจะเริ่มที่ชั้น 1 ภายนอกตกแต่งโดยเน้นความร่มรื่นด้วยไม้ใหญ่และไม้พุ่ม ถึงแม้ว่าโครงการจะมีหลายอาคารและจำนวนยูนิตค่อนข้างเยอะ แต่การวางผังอาคารแทบจะไม่มีการบล็อควิวกันเลย ส่วนที่จอดรถจะจอดแยกที่อาคาร H เท่านั้น และFacilities ส่วนใหญ่ก็จะจัดให้อยู่บริเวณชั้น 1 และที่ชั้น 10 ของอาคาร H ค่ะ

ด้วยความที่แนวความคิด Urbanest ของโครงการคือต้องการให้บรรยากาศของที่พักอาศัยได้ความรู้สึกที่ใกล้ชิดกับธรรมชาติ การออกแบบจึงจัดพื้นที่สีเขียวและพื้นที่ส่วนกลางมาให้ค่อนข้างมากหน่อย ถ้าดูจากโมเดลของโครงการจะเห็นว่า ที่ดินของโครงการมีพื้นที่ประมาณ 10 กว่าไร่ แต่จะวางอาคารพักอาศัยแค่เพียงฝั่งเดียวเท่านั้น เพื่อเปิดให้พื้นที่อีกฝั่งหนึ่งเป็นพื้นที่ส่วนกลางแบบเต็มๆ จัดชั้นล่างเป็นพื้นที่สวนหย่อมขนาดใหญ่ มีทางเดินในสวนและสระว่ายน้ำ 2 สระ คือที่ชั้น 1 และบนชั้น 10 ของอาคาร H ส่วนอาคารพักอาศัยมีทั้งหมด 7 อาคารคืออาคาร A-G จะมีจำนวนชั้นที่ลดหลั่นกันไป ทำให้มีจำนวนยูนิตไม่เท่ากันในแต่ละอาคาร โดยปัจจุบันเริ่มขาย 4 อาคาร B-C-D-G นะคะ

สำหรับพื้นที่โดยรอบยังไม่มีตึกสูงบังวิวในระยะประชิดเลย ส่วนใหญ่เป็นอาคารพักอาศัยไม่เกิน 5 ชั้น แต่มีฝั่งขวานี้แหละที่จะติดกับ Niran Grand Hotel สูง 10 ชั้น แต่ก็จะติดกับอาคาร H ที่เป็นอาคารจอดรถ จึงไม่มีผลกับวิวห้องพักอาศัยนะคะ

ด้านหลังโครงการเปิดวิวโล่งๆ ไม่มีอาคารสูงมาบังเพราะติดกับหมู่บ้านมณียา เวลาเลือกห้องพักก็เลือกชั้น 3-4 ขึ้นไปจะได้วิวโล่งกว่าชั้นล่างๆ เพราะพ้นกลุ่มหลังคาของหมู่บ้านที่อยู่ติดกันค่ะ

ฝั่งซ้ายของโครงการติดกับหมู่ตึกแถว 2-3 ชั้น สูงสุดไม่เกิน 5 ชั้น เวลาเลือกชั้นก็เลือกให้พ้นความสูงของตึกข้างเคียงก็จะได้วิวที่โล่งขึ้น

ทางเข้าโครงการจะผ่านเข้าออกด้วยระบบ Key Card เส้นทางการวนรถก็มีให้เลือก 2 ทางคือถ้ามารับ-ส่งลูกบ้านให้วนซ้ายมาส่งบริเวณ Drop-Off ก็จะเป็นจุดที่ใกล้กับ Lobby ของโครงการที่อยู่บริเวณชั้น 1 ของอาคาร H

แต่ถ้าจะไปอาคารจอดรถให้เลี้ยวขวาตามทางมาเรื่อยๆ จะเจอทางขึ้นอาคารจอดรถทางซ้ายมือ หรือใครอยากจะขับรถไป Drop ของลงที่อาคารพักอาศัยก็ได้ แต่จะได้แค่จอดลงของชั่วคราวนะคะ เพราะที่ตึกพักอาศัยจะไม่ได้มีที่จอดรถให้ ต้องมาจอดที่อาคาร H เท่านั้นค่ะ

ทางวนรถรอบโครงการ เผื่อใครอยากซื้อของมาเยอะแล้วไม่อยากขนไกล ก็ขับรถมาที่อาคารได้เลยนะคะ แต่พอลงของเสร็จแล้วต้องขับไปจอดที่อาคาร H ค่ะ

สำหรับ Facilities ส่วนใหญ่ที่ชั้น 1 จะเป็นแนวทางเดินในสวนเพื่อแยกเข้าแต่ละอาคาร บรรยากาศบางส่วนจัดออกมาในรูปแบบของ Forest Park ให้ความรู้สึกที่ใกล้ชิดธรรมชาติ ถัดเข้าไปด้านในเป็นทางเดินริมน้ำ ซึ่งเป็นสระว่ายน้ำชั้นล่างของโครงการมีขนาดใหญ่ 40 x 10 ม. และมีทางเดินเชื่อมขึ้นอาคาร H ซึ่งจะจัด Facilities ส่วนกลางหลักๆ ไว้บนชั้น 10 อีก 1 ตำแหน่ง หลักๆ ก็จะมีสระว่ายน้ำขนาด 57 x 15 ม. และ Fitness แบบวิวรอบ 360 องศาเลย

จากสระว่ายน้ำชั้น 1 จะมีทางเชื่อมเป็นบันไดต้นไม้ให้เดินเปลี่ยนบรรยากาศขึ้นมาบนอาคารได้ โดยทางเดินบนอาคารก็จะทำเป็นเล่นระดับไว้เช่นกัน ทำให้พื้นที่ส่วนกลางดูเปิดโล่งเชื่อมถึงกัน

ขึ้นมาที่ชั้น 10 พื้นที่ส่วนใหญ่เป็นพื้นที่ของสระว่ายน้ำขนาดใหญ่ 57 x 15 ม. ภายในมีส่วนของสระเด็กขนาด 6 x 5 ม. โดยจะมีพื้นที่รอบสระที่จัดเป็นมุมนั่งเล่นชมวิว และส่วนที่เป็น Highlight อีกอย่างหนึ่งคือ ห้อง Fitness ที่เปิดมุมมองภายนอกแบบ 360 องศา

สำหรับทางเข้าอาคารพักอาศัยก็จะเป็นทางแยกออกจากทางเดินในสวนเพื่อเข้าแต่ละอาคาร จึงให้บรรยากาศที่ร่มรื่นตลอดทาง ระยะทางเข้าถึงของอาคารที่อยู่ในสุดอย่างอาคาร G ก็มีระยะประมาณ 240 ม. ส่วนอาคารอื่นก็ลดหลั่นไป แลกมากับความเป็นส่วนตัวที่เพิ่มมากขึ้นนะคะ

ผังรวมของโครงการ แบ่งออกเป็น 9 อาคาร อาคาร A-G เป็นอาคารพักอาศัยที่ถูกจัดวางไว้เป็นตัว L ล้อมพื้นที่ส่วนกลางบริเวณตรงกลาง รวมถึง อาคาร H และ I ไว้ โดยอาคาร I เป็น Shop 2 ชั้น จึงจะอยู่ด้านหน้าโครงการติดกับทางเข้าออกเลย ถัดเข้ามาที่อาคาร H ก็จะมี Shop อยู่ที่อาคารนี้ด้วยเช่นกัน รวมทั้งหมด 11 ร้าน ถือว่าเยอะทีเดียวนะคะ ส่วน Lobby จะอยู่ถัดเข้ามาจากร้านค้าอีกทีหนึ่งติดกับพื้นที่ส่วนกลางแบบ Forest Park จึงได้บรรยากาศของความร่มรื่นแบบสุดๆ นอกจากนี้ในอาคาร H ยังมี Facilities ส่วนกลางอื่นๆ อีกเช่น Kid’s Area, Co-Working Space, Meeting Room รวมถึงสระว่ายน้ำและ Fitness บนชั้น 10 ที่พาไปชมจากในโมเดลมาแล้ว ระหว่างอาคารทั้ง 9 มีการแทรก Facilities อยู่ตรงกลาง ที่ถูกออกแบบให้มีลักษณะเป็น Free Form และมีการจัดต้นไม้แทรกอยู่ ทำให้เมื่อเข้ามาภายในแล้วเราจะได้บรรยากาศทางเดินในโครงการที่ลัดเลาะสวนเข้ามาเรื่อยๆ จนมาเจอกับสระว่ายน้ำด้านใน ก็จะเป็นทางเดินลัดเลาะริมสระเข้าไปด้านในอีกทีหนึ่ง และการวางตัวอาคารพักอาศัยทั้ง 7 ตึกแทบจะไม่มีมุมไหนที่บังวิวกันเองเลย เพราะวางเป็นแนวยาวตามรูปร่างที่ดิน โดยแต่ละอาคารจะมีจำนวนยูนิตไม่มาก ประมาณ 160-240 ยูนิตเท่านั้น และข้อดีของการแบ่งเป็นอาคารย่อยๆ แบบนี้ ทำให้แต่ละชั้นบนอาคารมีจำนวนนยูนิตไม่มาก จึงได้ความเป็นส่วนตัวในแต่ละชั้นพักอาศัยมาก แม้ว่าจะอยู่ในโครงการใหญ่แบบ 1,400 ยูนิตกว่าๆ ก็ตาม สรุปจำนวนห้องพักของแต่ละอาคาร ดังนี้

  • อาคาร A : 23 ชั้น  มีจำนวนห้องพัก 241 ยูนิต
  • อาคาร B : 25 ชั้น  มีจำนวนห้องพัก 242 ยูนิต
  • อาคาร C : 30 ชั้น  มีจำนวนห้องพัก 231 ยูนิต
  • อาคาร D : 33 ชั้น  มีจำนวนห้องพัก 162 ยูนิต
  • อาคาร E : 35 ชั้น  มีจำนวนห้องพัก 204 ยูนิต
  • อาคาร F : 33 ชั้น  มีจำนวนห้องพัก 164 ยูนิต
  • อาคาร G : 25 ชั้น  มีจำนวนห้องพัก 215 ยูนิต

เนื่องจากโครงการยังไม่ได้เปิดขายทุกตึกเราจึงจะพามาดู Floor Plan เฉพาะอาคารที่เปิดขายกันก่อนนะคะ เริ่มที่อาคาร B ภายในอาคารจะมี Lobby แยกเป็นของแต่ละอาคารเลย แต่จะเป็น Lobby เล็กๆ การเข้าอาคารจะต้องใช้ Key Card แสกนในการผ่านเข้า-ออก และทุกอาคารก็จะมีลิฟต์โดยสารอาคารละ 2 ตัว ใช้เป็นทั้งลิฟต์โดยสารและ Service เลย โดยมีอัตราส่วนลิฟท์ตึก B อยู่ที่ 121 : 1 เทียบกับโครงการในปัจจุบันก็ถือว่าเป็นอัตราส่วนที่โอเค ส่วนที่เป็นจุดอ่อนของผังอาคารคือพื้นที่บริเวณโถงทางเดินส่วนกลางที่ไม่มีช่องเปิดให้แสงธรรมชาติเข้ามามากเท่าที่ควร บรรยากาศก็ดูทึบหน่อย ต้องอาศัยแสงจากดวงไฟล้วนๆ

ห้องพักจะเริ่มต้นที่ชั้น G เลยนะคะ มีทั้งหมด 7 ห้อง ส่วน Typical Floor Plan จะอยู่ที่ชั้น 2-24 มีห้องพักอาศัยชั้นละ 10 ห้อง ไปจนถึงชั้น 25 จะมีจำนวนห้องพักลดลงเหลือ 5 ห้อง ส่วนชั้น Rooftop ของอาคารจัดเป็นพื้นที่สีเขียวให้ลูกบ้านสามารถขึ้นมาชมวิว เปลี่ยนบรรยากาศได้ และมีข้อดีที่ช่วยกันความร้อนให้ห้องบนชั้น 25 ได้ดีนะคะ

ห้องพักของอาคารจะหันออก 2 ด้าน คือจะมีห้องทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือและตะวันตกเฉียงใต้ ซึ่งห้องทางทิศตะวันตกเฉียงใต้เป็นตำแหน่งห้องที่ดี จะได้วิวภายนอกโครงการ ได้ลมจากทางทิศใต้แต่มีข้อเสียที่จะโดนแดดบ่ายสักหน่อย จะร้อนกว่าห้องทางทิศตะวันออก แนะนำห้องตั้งแต่ชั้น 4 ขึ้นไปก็จะพ้นอาคารที่อยู่ข้างเคียงแล้วค่ะ ส่วนห้องทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือ จะได้วิวสระและสวนภายในโครงการ แต่จะถูกบล๊อกวิวห้องด้วยอาคารจอดรถจนถึงชั้น 10 พอถึงประมาณชั้น 11 ก็จะเปิดวิวเมืองโล่งๆ เช่นเดียวกันค่ะ

Floor Plan อาคาร C จัดผังออกมาคล้ายอาคาร B เลยคือวางห้องพักให้มีแค่ห้องทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือและตะวันตกเฉียงใต้ เรื่องวิวจึงเหมือนๆ กับอาคาร B จะเลือกอยู่อาคาร B หรือ C จึงได้วิวไม่ต่างกันมาก จะต่างกันที่จำนวนยูนิตของอาคาร C น้อยกว่า มีความหนาแน่นสูงที่สุดอยู่ที่ 8 ยูนิตต่อชั้น มีลิฟต์โดยสารอาคารละ 2 ตัว ใช้เป็นทั้งลิฟต์โดยสารและ Service เลย โดยมีอัตราส่วนลิฟท์ตึก B อยู่ที่ 116 : 1 น้อยลงมาจากอาคาร B อยู่หน่อยนะคะ แต่ก็ยังมีจุดอ่อนของผังอาคารคือพื้นที่บริเวณโถงทางเดินส่วนกลางที่ไม่มีช่องเปิดให้แสงธรรมชาติเข้ามามากเท่าที่ควร บรรยากาศก็ดูทึบหน่อย ต้องอาศัยแสงจากดวงไฟล้วนๆ อยู่เหมือนกันนะ

Floor Plan อาคาร D ก็จะคล้ายๆ อาคาร B,C ต่างกันที่อาคารนี้จะมีจำนวนยูนิตน้อยสุด และมีอัตราส่วนลิฟท์น้อยที่สุดในโครงการคืออยู่ที่ 81 : 1 มีความเป็นส่วนตัวต่อชั้นสูงสุดเพราะมีความหนาแน่นสูงที่สุดอยู่ที่ 5 ยูนิตต่อชั้น จึงเหมาะกับคนที่ชอบมีเพื่อนบ้านต่อชั้นน้อยๆ ส่วนเรื่องวิวไม่ต่างจากอาคาร B,C นะคะ เพราะอาคารอยู่ในระนาบเดียวกัน เรียงตัวตามกันมาเลยค่ะ

Floor Plan อาคาร G ตึกนี้มีความลงตัวของทิศห้องที่หันออกตามแนวเหนือใต้ ซึ่งเป็นทิศที่มักจะมีคนจับจองห้องมากที่สุด เพราะทั้ง 2 ทิศมีข้อดีกันคนละแบบ สำหรับห้องทิศเหนือก็จะได้แดดเช้า ไม่โดนแดดบ่ายทำให้ห้องไม่ร้อน ส่วนห้องทางทิศใต้แม้ว่าอาจได้แดดบ่ายบ้างแต่จะไม่โดนตรงๆ และจะได้ลมที่เข้ามาจากทางทิศใต้ด้วยค่ะ สำหรับแปลนชั้นพักอาศัยของอาคาร G ก็จะคล้ายอาคารอื่น ๆ ต่างกันที่จำนวนยูนิตของอาคารนี้ที่มี 215 ยูนิต จะมีความหนาแน่นสูงที่สุด โดยมีจำนวนยูนิตเท่ากับ 9 ห้องต่อชั้น และมีอัตราส่วนลิฟท์อยู่ที่ 108 : 1 ค่ะ

ภาพจำลองบรรยากาศบริเวณด้านหน้าโครงการ จะมีอาคาร I อยู่ด้านหน้าโครงการเปิดเป็น Shop จากการสอบถามโครงการก็น่าจะเป็น Max Value กับ Coffee Shop นะคะ นอกจากนี้ก็จะมี Shop ภายในโครงการอีก 9 ร้าน แต่จะอยู่ในอาคาร H ค่ะ

ภาพจำลองบรรยากาศบริเวณ Lobby ที่อาคาร H

ภาพจำลองบรรยากาศของห้อง Fitness บนชั้น 10 ซึ่งเปิดรับวิวแบบ 360 องศา

ภาพจำลองบรรยากาศของทางเดินภายในโครงการ ที่ลัดเลาะไปตาม Forest Park และริมสระว่ายน้ำ

 

สรุปสิ่งอำนวยความสะดวก

  • Shelter Lobby
  • สวนหย่อมรอบโครงการ
  • Co-Working Space
  • Kid’s Area
  • Laundry
  • Meeting Room
  • สระว่ายน้ำชั้น Ground Floor ขนาด 40 x 10 เมตร
  • สระว่ายน้ำบนชั้น 10 ของอาคาร Car Park ขนาด 57 x 15 เมตร และสระเด็กขนาด 6 x 5 เมตร
  • ห้องออกกำลังกาย 1 ห้อง แบบ 360 องศา
  • ลิฟท์โดยสาร 2 ตัว/อาคาร
  • อัตราส่วนลิฟท์รวมทั้งโครงการ 104 :  1
  • อัตราส่วนลิฟท์ตึก A 121 : 1
  • อัตราส่วนลิฟท์ตึก B 121 : 1
  • อัตราส่วนลิฟท์ตึก C 116 : 1
  • อัตราส่วนลิฟท์ตึก D 81 : 1
  • อัตราส่วนลิฟท์ตึก E 102 : 1
  • อัตราส่วนลิฟท์ตึก F 82 : 1
  • อัตราส่วนลิฟท์ตึก G 108 : 1
  • ที่จอดรถประมาณ 642 คันคิดเป็น 44% (ไม่รวมจอดซ้อนคัน)
  • ระบบ CCTV / Access Card

 


Product Walkthrough

ห้องพักอาศัยของโครงการนี้มีห้องให้เลือกหลายขนาด โดยมีห้องให้เลือกตั้งแต่ Studio 26 ตร.ม. – 2 Bedrooms 64 ตร.ม. รูปแบบการขายของโครงการเป็นแบบ Fully Furnished แต่งครบ โดยจะได้

  • เฟอร์นิเจอร์ลอยตัวและ Built-in
  • Pantry พร้อม Hob & Hood
  • เครื่องปรับอากาศ
  • ชุดสุขภัณฑ์ทั้งหมด

ห้องแรกที่จะพาไปดูคือ ห้องแบบ 1 Bedroom ขนาด 31.5 ตร.ม. ห้องนี้เน้นพื้นที่ทำอาหารที่เป็นแบบครัวปิด ติดระเบียง เหมาะกับคนที่อยากได้ครัวไทยแบบเป็นสัดส่วนระบายอากาศได้ดี และชอบห้องนอนที่มีช่องหน้าต่างในตัว ทำให้ได้ช่องรับแสงธรรมชาติแบบเต็มๆ แลกกับพื้นที่นั่งเล่นและห้องน้ำที่อยู่ด้านในอาคาร ในเวลากลางวัน หากไม่เปิดไฟ ก็ต้องอาศัยแสงที่ลอดผ่านห้องนอนและห้องครัวมาแทน ส่วนห้องน้ำที่อยู่ด้านในอาคารต้องอาศัยระบบระบายอากาศของอาคารล้วนๆ ค่ะ

เริ่มจากทางเข้าห้องนะคะ ประตูเป็นบาน HDF ขนาดมาตรฐาน 0.9 x 1.95 เมตร จากความสูงภายในห้อง 2.6 เมตร มือจับประตูได้แบบก้านโยกธรรมดาค่ะ

เข้ามาในห้องจะเจอ Common Area เป็นส่วนแรก จัดฟังก์ชันเป็นห้องรับแขก ส่วนพื้นที่ด้านในจะแบ่งเป็นห้องครัวแบบครัวปิด และห้องนอน ทำให้พื้นที่ส่วนกลางบริเวณนี้จะดูไม่ค่อยโปร่งโล่งเท่าไหร่ เพราะไม่มีหน้าต่างเป็นของตัวเองต้องพึ่งแสง พึ่งวิว ที่มองผ่านประตูห้องครัวออกมาอีกที พื้นห้องเป็นไม้ลามิเนตเกือบทั้งหมด ยกเว้นห้องครัวที่จะปูด้วยกระเบื้อง ส่วนผนังจะให้เป็นผนังฉาบเรียบทาสีขาว ไม่ได้ Wallpaper ค่ะ

ชุดโซฟาที่ได้เป็นโซฟาตัว L ตามรูปแบบในห้องตัวอย่าง มีขนาดใหญ่พอสมควรนั่งได้ 2-3 คน

จากขนาดพื้นที่ทำให้การจัดฟังก์ชันในห้องนี้ดูลงตัวดี โดยมีระยะดูทีวีอยู่ที่ 3 เมตร สามารถเลือกทีวีที่ใหญ่ถึง 60 นิ้วก็ได้

ชั้นวางทีวีจะได้เฉพาะตัวโต๊ะ ไม่รวมโครงเหล็กสีดำนะคะ สังเกตุว่าชั้นวางทีวีจะมีโต๊ะมาให้ 2 ตัว ตัวล่างมีฟังก์ชันพิเศษเป็นโต๊ะอเนกประสงค์ที่ดึงออกมาใช้งานได้

ฟังก์ชันของโต๊ะอเนกประสงค์ที่ให้มาสามารถนำมากางออก ให้เป็นโต๊ะขนาดใหญ่ได้ ก็สามารถปรับใช้งานได้หลากหลาย

ติดกับชั้นวางทีวีเป็นประตูทางเข้าห้องน้ำ ซึ่งบานประตูจะเล็กลงกว่าบานประตูหน้าห้องอีกนิดนึง โดยมีขนาดมาตรฐานอยู่ที่ 0.7 x 1.9 เมตร

ระหว่างห้องน้ำและพื้นที่ส่วนกลางจะมีธรณีประตูกั้นชัดเจน ไม่ให้น้ำจากในห้องน้ำไหลออกสู่พื้นที่อยู่อาศัยอื่นๆ วัสดุของธรณีประตูจะปิดผิวด้วยกระเบื้อง เป็นวัสดุที่เหมาะสมทนต่อความชื้นและน้ำได้ดี

ภายในห้องน้ำแบ่งแยกส่วนเปียกแห้งไว้ด้วยฉากกั้นอาบน้ำ ทำให้ได้การใช้งานที่เป็นสัดส่วน สุขภัณฑ์และอุปกรณ์ต่างๆ ที่ได้ ก็จะได้ครบตามอย่างห้องตัวอย่างเลย รวมถึงติดกระจกมาให้ด้วย ทำให้บรรยากาศภายในห้องน้ำดูโปร่งขึ้น

อ่างล้างหน้าของ American Standard หรือเทียบเท่า มีขนาดพอสมควรกับการใช้งาน มีขอบอ่างสำหรับวางของได้นิดหน่อย

โถสุขภัณฑ์แบบ 2 ชิ้นของยี่ห้อ American Standard หรือเทียบเท่า พร้อมสายฉีดชำระและแกนใส่กระดาษทิชชู่ตามมาตรฐานโครงการ

ต่อไปมาดูพื้นที่อาบน้ำกันบ้าง จะถูกกั้นด้วยฉากกั้นอาบน้ำซึ่งเป็นแบบบานเลื่อน 3 ตอน ช่วยกันไม่ให้น้ำจากพื้นที่ส่วนเปียกกระเด็นออกมาในพื้นที่ส่วนแห้ง ภายในพื้นที่อาบน้ำก็มีการติดตั้งอุปกร์อาบน้ำไว้เรียบร้อยเช่นเดียวกัน

บานประตูฉากกั้นจะมีมือจับให้สามารถเปิดได้สะดวก

พื้นที่อาบน้ำขนาดใช้งานได้สะดวกดี กว้างประมาณ 0.9 x 1.95 ม. ปูพื้นด้วยกระเบื้องแกรนิตโต้ผิวด้านเพื่อนกันลื่น

อุปกรณ์ที่ติดตั้งมาให้ภายในพื้นที่อาบน้ำ จะให้มาทั้งฝักบัวและ Rain Shower ของ American Standard

หน้าตาของฝักบัวที่ได้มีขนาดจับได้ถนัดมือดี ส่วนตัวก๊อกเปิดปิดจะได้ของ American Standard เช่นกันค่ะ

ด้านข้างฝักบัวมี Built-in ผนังเป็นช่องสำหรับวางของใช้ในห้องน้ำ จึงมีพื้นที่ให้วางของใช้เยอะพอดีนะคะ

ถัดไปมาดูห้องครัวกันต่อ เป็นครัวปิดกั้นจากพื้นที่ส่วนอื่นด้วยประตูกระจกบานเลื่อนกรอบบานอะลูมิเนียมสีดำ ทำให้ช่วยกันกลิ่นและควันเวลาทำอาหารได้

รางประตูห้องครัวจะถูกฝังลงบนพื้นเลยทำให้เดินเข้าออกได้สะดวก

ภายในห้องครัว เราจะได้ Pantry ครัวและเฟอร์ฯ มาตามแบบในห้องตัวอย่างนะคะ ยกเว้นพวกเครื่องใช้ไฟฟ้า เช่น ตู้เย็น เครื่องซักผ้า และ ไมโครเวฟ ที่จะไม่ได้แถมให้นะคะ

ห้องครัวมีขนาดพอเหมาะกับการใช้งาน มีพื้นที่พอให้วางเคาน์เตอร์ครัว รวมถึงโต๊ะทานอาหารก็สามารถวางในห้องนี้ได้ โดยจะเหลือพื้นที่ให้ยืนทำครัวประมาณ 80 เซนติเมตร พื้นปูด้วยกระเบื้องผิวด้าน เวลาที่ทำครัวแล้วมีคราบกระเด็น ก็สามารถทำความสะอาดได้ง่าย

ส่วนเคาน์เตอร์ด้านล่างจะมีตู้เก็บของใต้ซิงค์ล้างจานเป็นตู้ไว้ใช้เก็บของเล็กๆ น้อยๆ ได้ แต่ใส่ของเต็มไม่ได้นะคะเพราะต้องเว้นพื้นที่ไว้เผื่อซ่อมแซมอ่างล้างจาน ติดกันเป็นตู้ช่องโล่งสำหรับวางเครื่องซักผ้า ซึ่งเป็นตำแหน่งที่ดีนะคะเพราะอยู่ติดกับระเบียงเลย พอซักเสร็จก็เดินออกไปตากได้สะดวก

มาดูส่วนบนของเคาน์เตอร์ครัวกันบ้าง ให้ช่องเคาน์เตอร์มา 2 ช่องนะคะ ช่องหนึ่งเป็นซิงค์ล้างจาน อีกช่องเป็นเตาไฟฟ้า ทำให้เหลือพื้นที่สำหรับเตรียมอาหารไม่มาก เวลาทำอาหารหนักๆ อย่างที่ต้องใช้เขียงหั่นนู่นนี่ หรือเมนูที่มีส่วนผสมเยอะๆ ก็จะไม่ค่อยมีที่วางเท่าไหร่ ส่วน Backsplash ด้านหลังติดกระเบื้องแกรนิตโต้มาให้แบบห้องตัวอย่างเลย เวลาปรุงอาหารแล้วกระเด็นก็สามารถเช็ดทำความสะอาดได้ง่าย

โครงการให้เตาไฟฟ้ามาแบบ 2 หัว มาพร้อมเครื่องดูดควันของ Mex ซึ่งจะได้มาเป็นระบบหมุนเวียน แม้ว่าการระบายกลิ่นควันจะทำได้ไม่ดีเท่าระบบต่อท่อออกด้านนอก แต่เราสามารถเปิดประตูระเบียงเพื่อช่วยระบายอากาศได้เลยนะคะ

ซิงค์ล้างจานได้ของ Mex และก๊อกน้ำตามมาตรฐานโครงการ ตัวซิงค์มีขนาดกว้างพอสมควร และมีความลึกพอสมควรที่จะล้างแล้วน้ำไม่กระเด็นออกมา

ตู้ลอยสำหรับเก็บของด้านบนเป็นตู้บานเปิด 2 ตู้ ภายในแบ่งเป็นช่องย่อยๆ ไว้ พร้อมตู้ช่องโล่งสำหรับวางไมโครเวฟได้

ด้านข้างเคาน์เตอร์ครัวเว้นตำแหน่งสำหรับวางตู้เย็นไว้ให้ ห้องตัวอย่างจะวางตู้เย็นขนาด 9.5 คิวไว้ให้ดูเป็นตัวอย่าง ใครที่อยากได้ความจุมากกว่านี้ก็พอจะมีพื้นที่เหลือให้วางเครื่องใหญ่กว่านี้ได้ แต่ก็อย่าลืมคำนึงเรื่องพื้นที่วางให้ดีๆ อีกทีนะคะ

โต๊ะทานอาหารที่โครงการให้มาเป็นโต๊ะขนาด 2 ที่นั่ง ด้านข้างโต๊ะมีพื้นที่เหลือให้สามารถดึงเก้าอี้ออกมานั่งได้สะดวก

ด้านในสุดของห้องครัวจะมีประตูเปิดไปเชื่อมกับระเบียง เป็นข้อดีที่ทำให้สามารถเปิดระบายอากาศได้ โครงประตูเป็นอลูมิเนียมอบสีดำ มาพร้อมกระจกตัดแสง ที่ช่วยกรองความร้อนให้เข้ามาในห้องได้น้อยลง

โครงการเก็บรายละเอียดประตูไว้ดีนะคะ โดยจะติดเส้นกำมะหยี่เอาไว้ ช่วยกันเสียงและฝุ่นที่จะลอดเข้ามาในห้องพักอาศัย

ส่วนรางประตูจะอยู่บนขอบธรณีอีกทีหนึ่ง เพื่อช่วยกันไม่ให้น้ำจากบริเวณระเบียงไหลเข้ามาในห้องพักอาศัย

พื้นที่ระเบียงของห้องนี้กว้างพอสมควรให้วางราวตากผ้า และกระถางต้นไม้ได้อีกนิดหน่อย โดยมีขนาดอยู่ที่ 1 x 2.3 ม. ส่วนพื้นปูด้วยกระเบื้องเซรามิคเพื่อช่วยกันลื่น

Condensing Unit จัดวางตำแหน่งมาให้อยู่ชิดผนัง เวลามองผ่านประตูระเบียงออกมาจึงไม่มีอะไรบังสายตา โดยถูกออกแบบมาเป็นแบบแขวน ทำให้พื้นที่ระเบียงด้านล่างไม่ร้อนมากนัก แต่ก็ควรจะหาตัวปัดทิศทางลมร้อนออกด้านนอกเพิ่มนะคะ เพื่อช่วยให้ความร้อนไม่สะสมอยู่ที่ระเบียงค่ะ

ถัดจากห้องครัวก็คือห้องนอนที่อยู่ติดกัน ด้านในห้องนอนมีพื้นที่ใช้สอยกว้างพอสมควร พอวางเตียงขนาด 5 ฟุตติดหน้าต่างแล้วก็ทำให้เหลือพื้นที่สำหรับวางตู้เสื้อผ้าและโต๊ะเครื่องแป้งได้ลงตัว ด้านในมีหน้าต่างบานใหญ่ทำให้บรรยากาศภายในห้องดูโปร่ง ไม่อึดอัด และสามารถนอนมองวิวจากบนเตียงนอนได้เลย

หากใครอยากดูทีวีในห้องนอน แนะนำให้ติดทีวีแบบแขวนผนังแบบห้องตัวอย่าง ส่วนหน้าต่างเป็นบาน Fixed ผสมบานเลื่อน สามารถเปิดรับลมหรือระบายอากาศได้สบายๆ

จากเตียงนอนแล้วมองไปยังอีกฝั่งหนึ่งของห้อง จะมีพื้นที่ให้วางตู้เสื้อผ้าและโต๊ะเครื่องแป้งได้

มีพื้นที่ระหว่างเตียงและตู้เสื้อผ้าให้สามารถยืนแต่งตัวได้สบายๆ

ตู้เสื้อผ้าที่โครงการให้มาเป็นตู้บานเปิด 2 บาน Built-in มาให้แบบสูงถึงฝ้าเพดาน ภายในมีราวแขวนผ้า และแบ่งพื้นที่บนล่างออกเป็นชั้นเก็บของย่อยๆ

ติดกันเป็นโต๊ะเครื่องแป้งขนาดกระทัดรัดพร้อมเก้าอี้สตู ซึ่งจะให้มาแบบนี้เลยนะคะ

ห้องตัวอย่างอีกห้องหนึ่งเป็น 1 Bedroom Plus Suite ขนาด 39 ตร.ม. ฟังก์ชันของห้องจะคล้ายๆ กับแบบแรกคือมี 1 ห้องนอน 1 ห้องน้ำ ครัวได้เป็นครัวปิด ส่วนที่ต่างคือมีห้องเอนกประสงค์เพิ่มขึ้นมาอีก 1 ห้อง ซึ่งสามารถที่จะจัดเป็นห้องนอนเล็ก, ห้องทำงานหรือห้องแต่งตัว ก็แล้วแต่ไลฟ์สไตล์ของผู้อยู่อาศัยเลยค่ะ

จากประตูห้องมองเข้ามาด้านในจะเป็นโถงทางเดินเชื่อมห้องต่างๆ ฝั่งซ้ายมือห้องแรกคือห้องครัว ถัดไปเป็นห้องอเนกประสงค์ ส่วนฝั่งขวาห้องแรกคือห้องน้ำและติดกันจะเป็นห้องนอนค่ะ ส่วน Common Area จะอยู่ด้านในสุดของห้อง เป็นพื้นที่นั่งเล่น ดูทีวี ทานอาหารค่ะ

เริ่มดูจากห้องน้ำกันก่อน ภายในจัดเหมือนกับห้องน้ำในห้องแบบแรก ภายในติดตั้งสุขภัณฑ์และอุปกรณ์ต่างๆ ไว้ครบถ้วน หลักๆ จะได้ของ American Standard ค่ะ

พื้นที่ภายในห้องน้ำมีการแบ่งพื้นที่โซนเปียกและโซนแห้งไว้เรียบร้อย พื้นที่อาบน้ำจะได้ฉากกั้นอาบน้ำ 3 ตอน ภายในติดตั้งฝักบัวอาบน้ำ ที่วางสบู่ และติดตั้งเครื่องทำน้ำอุ่นไว้ให้แล้วเรียบร้อย

พื้นที่อาบน้ำมีขนาดกะทัดรัดกว่าห้องแบบแรกหน่อย ประมาณ 0.9 x 0.7 ม.

ในพื้นที่อาบน้ำทำชั้นวางของไว้ให้เหมือนห้องแบบแรก แต่มีขนาดเล็กลงกว่าหน่อย ถ้าของใช้เยอะก็หาซื้อชั้นวางของมาติดเพิ่มได้ ไม่ยากนะคะ

ถัดไปมาดูห้องครัว เป็นครัวปิดกั้นด้วยประตูกระจกบานเลื่อน 3 ตอน ทำให้ทางเดินเข้าออกกว้างดี เวลายกหม้อ ยกจานก็สามารถเดินผ่านเข้าออกได้สบายๆ และเนื่องจากเป็นห้องครัวปิดจึงสามารถกันกลิ่นและควันเวลาทำอาหารไม่ให้ฟุ้งออกไปพื้นที่อยู่อาศัยส่วนอื่นๆ นะคะ

ภายในห้องครัว เราจะได้ Pantry ตามแบบในห้องตัวอย่าง มีขนาดใหญ่กว่าห้องแบบแรกหน่อยทำให้มีพื้นที่สำหรับเตรียมอาหารมากขึ้น ส่วนสเปคของวัสดุอุปกรณ์ที่ได้มาก็เหมือนๆ กันนะคะ จะได้ตามนี้เลย ยกเว้นพวกตู้เย็น เครื่องซักผ้าและไมโครเวฟที่ไม่ได้แถมให้

ด้านของห้องครัวมีหน้าต่างให้สามารถเปิดระบายอากาศ และรับแสงธรรมชาติได้อีกด้วย

มือจับดูได้มาตรฐาน แข็งแรงดี

ถัดเข้ามาด้านในห้องตามโถงทางเดิน ก็จะพามาดูห้องอเนกประสงค์กันต่อ โดยตำแหน่งจะอยู่ทางซ้ายมือตรงข้ามกับห้องนอนค่ะ

ภายในห้องอเนกประสงค์มีพื้นที่ให้สามารถจัดเป็นห้องนอนเล็กๆ ได้ หรือจะจัดเป็นห้องทำงาน ห้องแต่งตัว ก็แล้วแต่ไลฟ์สไตล์ของผู้อยู่อาศัยเลย ภายในมีหน้าต่างสำหรับเปิดรับแสงธรรมชาติและระบายอากาศได้ด้วย จึงสามารถเลือกใช้พื้นที่ห้องนี้ได้หลายฟังก์ชัน

ภายในห้องนอนจัดวางเตียงขนาด 5 ฟุต พร้อม Built-in ตู้เสื้อผ้าไว้ให้ ผังห้องนอนจะเหมือนกับห้องนอนในห้องแบบแรกเลยนะคะ โดยปลายเตียงจะมีการเดินปลั๊กไฟไว้ให้สำหรับตั้งทีวีแบบติดผนัง ช่องแสงภายในห้องเหมือนห้องที่แล้วเป๊ะ คือเป็นแบบบาน Fix ผสมบานกระทุ้ง สำหรับรับลมและระบายอากาศได้

การจัดวางเฟอร์ฯ ในห้องนอนจะคล้ายๆ กับห้องแบบแรกเลยนะคะ โดยปลายเตียงจะมีการเดินปลั๊กไฟไว้ให้สำหรับตั้งทีวีแบบแขวนผนัง ช่องแสงภายในห้องเหมือนห้องที่แล้วเป๊ะ คือเป็นแบบบาน Fix ผสมบานกระทุ้ง ทำให้สามารถเปิดรับแสงรับลมได้ ทำให้บรรยากาศภายในห้องดูโปร่ง ไม่อึดอัด และสามารถนอนมองวิวจากบนเตียงนอนได้เลย

อีกฝั่งหนึ่งของห้องเป็นตำแหน่งของตู้เสื้อผ้า โดยสเปคของตู้เสื้อผ้าจะเป็นตู้บานเปิดปิดเหมือนในห้องแบบแรก แต่ขนาดตู้จะใหญ่กว่า และมาพร้อมโต๊ะเครื่องแป้งด้วยนะคะ

มาดูส่วนของ Common Area กันต่อ เป็นพื้นที่พักผ่อนหลักๆ ของห้อง ที่ไว้สำหรับนั่งเล่น รับแขก และทานอาหาร พื้นที่ส่วนนี้ดูโปร่งโล่งด้วยช่องแสงที่ได้มาหลายตำแหน่งทีเดียวนะ

พื้นที่ระหว่างชั้นวางทีวีถึงโซฟามีระยะประมาณ 3.1 ม. เฟอร์นิเจอร์จะได้มาครบตามแบบในห้องตัวอย่าง ยกเว้นพวกของตกแต่งเล็กๆ น้อย เช่น พรม แจกัน และเครื่องใช้ไฟฟ้า เช่น ทีวี ก็จะไม่ได้ให้มานะคะ ส่วนพื้นที่ติดกันกับโซฟาจะเป็นตำแหน่งของโต๊ะทานข้าว ก็ทำให้สามารถนั่งทานอาหารไป ดูทีวีไปด้วยได้ค่ะ

โต๊ะทานข้าวที่ห้องตัวอย่างจัดมาเป็นแบบ 2 ที่นั่ง ด้านข้างมีพื้นที่เหลือให้เลื่อนเก้าอี้เข้าไปนั่งได้สบายๆ

หน้าต่างของห้อง Type นี้ที่ให้มาจะเป็นแบบ Bay Window ช่วยเปิดมุมมองวิวด้านนอกให้สามารถมองได้กว้างขึ้น

ติดกับตำแหน่งของโต๊ะทานอาหารจะมีประตูเปิดออกไประเบียง

ประตูระเบียงเป็นประตูกระจกแบบบานสวิงเปิดปิด ทำให้แสงธรรมชาติสามารถลอดผ่านประตูกระจกเข้ามาได้

พื้นที่ระเบียงมีขนาด 2.65 x 1 ม. กว้างทีเดียวนะคะ สามารถมายืนรับลม ชมวิวจากมุมนี้ได้ และใช้วางราวตากผ้าหรือตั้งต้นไม้กระถางได้ ติดอยู่อย่างหนึ่งว่าระเบียงก็เป็นที่วางของ Condensing Unit เช่นกัน ทำให้พื้นที่ระเบียงนั้นค่อนข้างร้อนลมที่ระบายออกมา

หน้าตาของปลั๊กและสวิตซ์ไฟที่ได้ของ Schneider ตามาตรฐานโครงการค่ะ

**รายละเอียดของวัสดุต่างๆเช่น ยี่ห้อ และรุ่น ของจริงอาจจะเป็นรุ่นนี้หรือเทียบเท่านะคะ

 

ราคาและเงื่อนไขการขาย @ 14 November 2017

  • Studio เนื้อที่ 26 ตร.ม. ราคา 2.29 ล้านบาท หรือ 88,077 บาท/ตร.ม.
  • 1 Bedroom เนื้อที่ 31.5 ตร.ม. ราคา 3.2 ล้านบาท หรือ 101,587 บาท/ตร.ม.
  • 1 Bedroom Plus เนื้อที่ 39 ตร.ม. ราคา 3.8 ล้านบาท หรือ 97,436 บาท/ตร.ม.
  • 2 Bedroom  เนื้อที่ 52 ตร.ม. ราคา 5.2 ล้านบาท หรือ 100,000 บาท/ตร.ม

  • Fully Furnished
  • ฝ้าเพดานสูง 2.6 เมตร
  • Kitchen & Sink
  • Hob & Hood
  • Shuttle Bus ไปกลับ BTS อุดมสุข
  • จอง 20,000-30,000 บาท
  • ค่ากองทุน 500 บาท/ตร.ม.
  • ค่าส่วนกลาง 50 บาท/ตร.ม./เดือน

**ราคาที่เอามาลงในบทความเป็นราคา ณ วันที่เข้าไปเก็บข้อมูลทำรีวิว ดังนั้นราคาต่างๆอาจมีการเปลี่ยนแปลงได้ค่ะ


เจาะลึกรวบยอด

โครงการ Elio Del Nest เป็นคอนโด High Rise ที่เราไม่ค่อยได้เห็นกันบนเส้นอุดมสุข เพราะส่วนใหญ่ในซอยนี้จะเป็นคอนโด Low Rise นะคะ โครงการแบ่งห้องขนาดไม่ใหญ่มากทำให้มีราคาหยิบจับง่ายบนทำเลอุดมสุขตอนต้น จุดเด่นของโครงการคือ มีการจัดเต็ม Facility ส่วนกลางขนาดใหญ่ ให้ใช้งานกันได้แบบเต็มที่ แม้ว่าจะเป็นโครงการใหญ่ที่มีจำนวนเกือบถึง 1,500 ยูนิต แต่โครงการก็มีการออกแบบอาคารเป็นตึกพักอาศัยย่อยๆ 7 ตึก ทำให้ในแต่ละอาคารมีจำนวนผู้อยู่อาศัยไม่มาก และที่สำคัญมีจำนวนยูนิตต่อชั้นน้อยเพียงไม่ถึง 10 ยูนิตต่อชั้น และมีอาคารจอดรถแยกออกมาอีก 1 อาคาร และร้านค้าอีก 1 อาคาร

ทำเล – บนถนนอุดมสุขนั้นเป็นแหล่งที่อยู่อาศัยดั้งเดิม บรรยากาศคึกคักมากในช่วงต้นถนนที่เชื่อมกับถนนสุขุมวิท เพราะมีทั้งตลาดใหญ่ มีร้านค้า ร้านอาหาร ร้านรถเข็น Community mall และ Hyper Market เรียกว่าครบครัน ถัดออกมาช่วงบริเวณโครงการก็จะมีความคึกคักลดลงมาจากช่วงต้นซอยนะคะแต่ก็ยังมีร้านอาหารและสวนอาหารเล็กใหญ่เปิดให้เห็นอยู่เรื่อยๆ ตลอด 2 ฝั่งถนน โดยมีร้านที่เปิดในช่วงกลางวันและร้านที่เปิดตอนเย็น-ดึกด้วย ถือว่าเรื่องอาหารการกินครบครันไม่ต้องไปไหนไกล ส่วนพวกห้างหรือศูนย์การค้าก็ต้องขยับจากถนนอุดมสุขออกมาหน่อย ส่วนใหญ่ในละแวกนี้ก็จะเป็นห้างบนถนนศรีนครินทร์และถนนบางนา อย่างซีคอนสแควร์ พาราไดซ์ เซ็นทรัล บางนา เมกะบางนา และเร็วๆ นี้อย่าง Bangkok Mall

การเดินทางด้วยรถยนต์ส่วนตัว – ค่อนข้างสะดวกระดับนึง เพราะอยู่บนเส้นอุดมสุขที่เชื่อมระหว่างถนนสุขุมวิทและถนนศรีนครินทร์ จึงมีเส้นทางให้เลือกได้หลากหลาย รวมทั้งมีซอยที่ลัดเลาะเข้าถนนวชิรธรรมสาธิตและลัดออกถนนบางนา-ตราดได้ เพราะถนนอุดมสุขเป็นถนนที่มีตรอกซอกซอยเยอะและลัดไปนู่นนี่ได้ดี ถือว่ามีทางหนีทีไล่เวลารถติดดีพอสมควร แต่ก็ต้องยอมรับเรื่องรถติดบนถนนนี้ด้วยนะคะ ด้วยความที่เป็นทำเลที่มีคนอาศัยอยู่เยอะรวมทั้งมีร้านอาหารให้คนในละแวกมาฝากท้องได้ด้วย ดังนั้นก็มักจะมีปริมาณรถเยอะเป็นปกติตลอดทั้งวัน ดังนั้นเวลาจะไปไหนก็ต้องเผื่อเวลาไว้พอสมควรค่ะ ในส่วนของที่จอดรถที่ได้อยู่ที่ประมาณ 44% ถือว่าให้มาไม่เยอะเท่าไหร่ แต่พอเทียบกับโครงการในละแวกนี้แล้วก็ถือว่าเป็นอัตราส่วนปกติ ก็ยังพอหักลบกับการเดินทางด้วยรถสาธารณะอื่นๆ ที่มีให้เลือกค่อนข้างมากทั้ง วินมอเตอร์ไซต์ รถตู้ รถสองแถว และแท็กซี่ค่ะ

การเดินทางโดยไม่ใช้รถ – โครงการห่างจาก BTS สถานีอุดมสุขประมาณ 700 เมตร ดังนั้นก็ต้องเลือกพึ่งพารถสาธารณะอื่นๆ ไปขึ้นรถไฟฟ้าอีกที ซึ่งมีวินมอเตอร์ไซค์อยู่ติดกับรั้วโครงการ ที่ราคาค่าโดยสารไป BTS อุดมสุข 10 บาทเท่านั้น หรือจะเลือกขึ้นรถสองแถว แท็กซี่ก็มีผ่านไปมาอยู่ตลอด ส่วนการเดินทางด้วยระบบขนส่งสาธารณะเข้า-ออกเมืองก็มีรถไฟฟ้าสายสีเขียวสายหลักรองรับอยู่

วัสดุ – ที่โครงการให้เป็นไปตามมาตรฐานของโครงการอื่นทั่วๆไป พื้นกระเบื้องเซรามิค และ พื้นไม้ลามิเนต ผนังฉาบเรียบทาสี เฟอร์นิเจอร์ให้แบบ Fully – Furnished หน้าตาเฟอร์นิเจอร์ที่ให้ค่อนข้างดี เข้าชุดกัน

การออกแบบ – ถือว่าเป็นโครงการที่ออกแบบได้ดี ถึงแม้ว่าเป็นโครงการใหญ่ที่มีจำนวนยูนิตเยอะแต่โครงการแบ่งตึกย่อยๆ ทำให้ยูนิตในแต่ละอาคารไม่มาก และสามารถวางผังตึกให้ตัวโครงการไม่บังวิวกันเอง จุดเด่นในการออกแบบคือการจัดพื้นที่ส่วนกลางขนาดใหญ่รวมไว้ตรงกลางโครงการ จึงมีความน่าใช้งาน และยังเชื่อมพื้นที่ส่วนกลางขึ้นไปบนชั้น 10 ของอาคารจอดรถด้วย จึงเป็นพื้นที่ส่วนกลางที่ได้วิวโดยรอบด้วย  โดยการออกแบบสระว่ายน้ำมีการออกให้เป็น Free Form พร้อมแทรกการจัดสวนและปลูกต้นไม้ไว้รอบๆ ทำให้ได้บรรยากาศที่ร่มรื่นเหมาะกับการพักผ่อน

สาธารณูปโภค – จัดพื้นที่ส่วนกลางมาให้ค่อนข้างเยอะ เนื่องจากโครงการมีแนวความคิดเป็น Urbanest จึงได้บรรยากาศที่พักอาศัยที่ให้ความรู้สึกใกล้ชิดกับธรรมชาติ สระว่ายน้ำขนาดใหญ่ 2 สระ ที่กระจายตัวอยู่ชั้น 1 และ ชั้น 10 บนอาคารจอดรถ นอกจากนี้ก็มี Co-Working space, Meeting Room, Kid’s Area และ ฟิตเนสแบบ 360 องศา ซึ่งน่าจะเพียงพอต่อความต้องการของลูกบ้าน

 

Judgement

การให้คะแนน ให้แบบ Weight Average โดยมุ่งหาความคุ้มค่า เทียบกับราคาที่จ่ายไป โดยมีส่วนที่พิจารณาดังนี้

ทำเล 35%, การเดินทางโดยใช้รถ 15%, การเดินทางโดยไม่ใช้รถ 15%, วัสดุ 15%, การออกแบบ 10% และสาธารณูปโภค 10%

เทียบกับราคา 100,000 บาท/ตร.ม., 14 November 2017

  • ทำเล 7.75/10 – ใกล้แหล่งความอุดมสมบูรณ์ หาของกินง่าย
  • เดินทางด้วยรถ 8/10 – เดินทางสะดวก เชื่อมต่อไปได้หลายเส้นทาง ใกล้ทางด่วน แต่อัตราส่วนที่จอดรถมีเพียง 44%
  • ไม่ใช้รถ 7.5/10 – มีให้เลือกใช้หลายทางทั้งแท็กซี่ พี่วิน ส่วนรถไฟฟ้าต้องต่อรถไปอีกทีหนึ่ง
  • วัสดุ 7.25/10 – ให้มาแบบ Fully Furnished วัสดุตามมาตรฐานราคา
  • แบบ 7.5/10 – แบ่งออกเป็นอาคารย่อยๆ มีความเป็นส่วนตัวของแต่ละชั้นมาก
  • สาธารณูปโภค 8.25/10 – พื้นที่ส่วนกลางให้มาเยอะ และได้พื้นที่มากว้าง น่าใช้งาน

  • MAIN-UPPER CLASS
  • 7.7 / 10.00

BOTTOM LINE

Elio Del Nest เหมาะกับคนที่มองหาคอนโดย่านอุดมสุข ใกล้รถไฟฟ้าแต่ไม่ได้อยู่ในระยะเดินได้ต้องต่อรถสองแถว หรือมอเตอร์ไซค์ไปอีกทีหนึ่ง ชอบคอนโดที่มี Facility ส่วนกลางเยอะๆ จัดพื้นที่ส่วนกลางดูน่าใช้งาน เพื่อนบ้านเยอะแต่แบ่งเป็นอาคารย่อยๆ ทำให้มีความ Private แต่ละชั้นสูง มีงบประมาณระดับ 2.29-5.2 ล้าน หรือมีกำลังผ่อนประมาณ 16,000 – 36,000 บาท/เดือน