รีวิวโครงการ

CELES ASOKE คอนโด High Rise ตึกเสร็จระดับ LUXURY ติดถนนอโศกมนตรี ใกล้ MRT สุขุมวิท 150 เมตร จาก Lucky Living [Walk-in Review]

4 เมษายน 2021

อ่านรีวิวล่าสุด

รีวิวฉบับที่ 1458 … สวัสดีครับ วันนี้จะพาไปชมคอนโดหรูระดับ Ultimate Class กับโครงการ “CELES ASOKE” เป็นคอนโดที่เรียกได้ว่าอยู่ใจกลางเมืองมาก อยู่ติดถนนอโศกใกล้แยกอโศก ที่คราวนี้ Lucky Living กระโดดจากการทำคอนโด Low Rise ขึ้นมาเป็นระดับพรีเมียมกันเลย งานนี้ใช้สถาปนิกชั้นนำของประเทศทั้งหมด ตัวโครงการออกแบบด้วย Timeless Design สูง 40 ชั้น และจัด Facilities หรูหราไว้หลากหลาย ไปชมกันเลยครับ

Fact @ 24 October 2017

  • CELES Asoke (เซอเลส อโศก)
  • LUCKY LIVING PROPERTIES CO.,LTD.
  • ULTIMATE CLASS (อ่านรายละเอียดของ Segment คอนโดได้ที่นี่)
  • โครงการตั้งอยู่ในเขต : วัฒนา
  • ที่ดินประมาณ 1-1-20 ไร่
  • คอนโด High Rise 40 ชั้น 1 อาคาร 217 ยูนิต
  • ระบบจอดรถ Automatic Parking ที่ชั้น B1-B2 และชั้น 2-8
  • ที่จอดรถประมาณ 177 คันคิดเป็น 82%
  • เริ่มก่อสร้าง : Q4 ปี 2017 / คาดว่าจะแล้วเสร็จ : Q2 ปี 2020
  • ยูนิตต่อชั้นสูงสุด 9 ยูนิต ที่ชั้น 9-29
  • Unit Size : 34.70 – 138.92 ตร.ม.
  • แบบห้อง 1-3 Bedroom
  • แบบห้อง Crown Penthouse
  • แบบห้อง Capella Penthouse
  • แบบห้อง Crown Duplex
  • ฝ้าเพดานสูง 3 เมตร, ส่วนงานระบบแอร์ลดลงเหลือ 2.60 เมตร
  • ราคาเฉลี่ยต่อตารางเมตรทั้งโครงการ AVG 265,000 บาท/ตร.ม. (จากราคาห้องปัจจุบัน)
  • EIA (การประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อม) : อยู่ระหว่างดำเนินการ
  • เวปไซต์โครงการ : คลิกที่นี่
  • Call Center : 02-259-4444

เพียงแค่การกด Like ก็เท่ากับการสนับสนุนข้อมูลเชิงลึกจาก Think of Living แล้วครับ

สามารถเลือกอ่านตามหัวข้อต่างๆได้โดยกดปุ่มด้านล่างครับ


เจาะลึกเรื่องทำเลที่ตั้ง

พิกัด : 13.738781, 100.561805

แผนที่จากทางโครงการครับ ด้วย Location ที่เป็น Center of Business อยู่ติดถนนหลักและใกล้แยกอโศกหนึ่งในพื้นที่ CBD แห่งหนึ่งของประเทศไทย อีกทั้งใกล้กับระบบขนส่งรถไฟฟ้า Interchange BTS-MRT

ถนนอโศกมนตรี เป็นถนนที่เชื่อมระหว่างถนนสุขุมวิท และถนนเพชรบุรี บริเวณแยกอโศกยังเป็น Interchange รถไฟฟ้าทั้ง 2 สาย อย่าง BTS สถานีอโศก, MRT สุขุมวิท ในช่วงเวลาทำงาน การจราจรแถวนี้เรียกว่าติดกันสุดๆจริงๆ.. เป็นเรื่องธรรมดาของพื้นที่ใจกลางเมืองใหญ่ ขยับไปที่ปลายถนนอโศกมนตรีนั้น มี Airport Link สถานีมักกะสัน ที่นอกจากจะจอดตามป้ายปกติแล้วก็ยังพาเราไปถึงสนามบินสุวรรณภูมิได้โดยไม่ต้องพึ่งรถยนต์ เวลาจะไปส่งใครที่สนามบินช่วงที่รถติดๆ (หรือไม่มีรถขับ) ก็ต้องบอกว่าเวิร์คใช้ได้เลย บนถนนอโศกมนตรีเป็นแหล่งรวม Office Building อยู่แล้ว ทำให้มี Taxi ผ่านไปมามากสุดๆ เรียกง่ายตลอดเวลาแม้กระทั่งยันดึกดื่น ส่วนรถเมล์และวินมอเตอร์ไซต์นั้นก็หาง่ายมากจากที่ผมเดินสำรวจ หรือตัวเลือกเสริมอย่างเรือด่วนแสนแสบก็มีคนใช้เป็นจำนวนมากเช่นกัน

สำหรับใครที่มองหาที่อยู่อาศัยในย่านอโศกนี้เรียกครบครันเลยทีเดียว ค่าครองชีพในย่านนี้จัดว่ามีหลากหลายนะครับ ไม่ใช่ว่าจะแพงตามที่ดินในย่านนี้เสมอไป เนื่องจากย่านอโศกนี้เป็นแหล่งงานขนาดใหญ่ มีพนักงานจำนวนมาก ดังนั้นในย่านนี้ช่วงกลางวันก็จะมีเต็นท์อาหารและตลาดช่วงกลางวันเปิดกันอย่างคึกคักเลยทีเดียวค่ะ สามารถหาข้าวกินได้ในราคาไม่เกินร้อยได้เหมือนกัน

พูดถึงความอุดมสมบูรณ์ของย่านนี้ เรียกว่ามีครบเครื่องทุกอย่างหาได้ในย่านนี้ มีความครบครันของสิ่งอำนวยความสะดวก ทั้งห้างสรรพสินค้าอย่าง Terminal 21 ที่อยู่บริเวณแยกอโศกมนตรีตัดกับถนนสุขุมวิท โรงแรมห้าดาวต่างๆ อาคารสำนักงานชื่อดัง สถาบันการศึกษา ตลาด ร้านอาหาร รองรับความต้องการของผู้คนในพื้นที่ได้ครบถ้วนโดยหลักๆจะอิงถนนหลัก 3 เส้นทาง คือ ถนนอโศกมนตรี ถนนสุขุมวิท และถนนเพชรบุรีตัดใหม่ มีแหล่งช็อปปิ้งครบตั้งแต่ตลาดนัดไปจนถึงศูนย์การค้าชื่อดัง อย่าง Terminal 21, Central Embassy, Central ชิดลม, Central World, เกษร พลาซ่า, Siam Paragon ได้ตามใจชอบ

และถึงแม้จะอยู่ในพื้นที่ใจกลางเมืองก็ยังมีพื้นที่สีเขียวอย่างสวนสาธารณะให้ใช้ที่ไม่ไกลจากโครงการเลย โดยจะมีสวนขนาดใหญ่อย่าสวนเบญจกิตติที่คนนิยมมาวิ่งออกกำลังกายเป็นอย่างมาก และสวนรองลงมาที่ใกล้ๆก็คือสวนเบญจสิริติดถนนสุขุมวิทแถว EM District

อีกโซนที่สามารถนั่งรถไฟฟ้าไปได้ถึงในสถานีเดียวคือ ย่านรัชดา-พระราม 9 ที่มีศูนย์การค้าและแหล่งช็อปปิ้งขนาดใหญ่ค่อนข้างคึกคัก ตั้งแต่แยกเทียมร่วมมิตร ไปจนถึงแยกพระราม 9 อย่าง Central พระราม 9, ห้างฟอร์จูนทาวน์, Esplanade รัชดา ที่มีตลาดรถไฟอยู่ด้านหลัง, Big C รัชดาภิเษก และศูนย์การค้าที่เพิ่งเปิดตัวไปเมื่อปีที่แล้วอย่าง The Street ที่เปิดให้บริการ 24 ชั่วโมง ส่วนสาธารณูปโภคอื่นๆ ก็มีโรงพยาบาลเอกชนชื่อดังใกล้เคียงหลายแห่ง อย่างเช่น รพ.บำรุงราษฎร์ และ รพ.กรุงเทพ เป็นต้น

อย่างที่กล่าวไปนะครับ อโศก ถือเป็น Central Business District(CBD) ย่านธุรกิจที่สำคัญที่สุดของประเทศไทย จากภาพด้านบนจะเห็นว่าบนถนนอโศกมนตรีนั้น ประกอบด้วยอาคารสำนักงานจำนวนมาก เช่น อาคาร Interchange21, Exchange Tower, GMM Grammy, BB Tower, ชิโนไทย ทาวน์เวอร์, 253 Asoke เสริมมิตรทาวเวอร์ และอื่นๆอีกมากมายเต็มไปหมด (จิ้มดูในแผนที่เลยครับ พยายามหามาใส่ให้ได้เห็นภาพมากที่สุด) รวมไปถึงในย่านนี้ยังมีมหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒที่เป็นมหาวิทยาลัยขนาดใหญ่ และมีโรงแรม 4-5 ดาวใหญ่ๆ อีกเพียบที่รองรับชาวต่างชาติทั้งที่มาทำงานและท่องเที่ยว

แต่ใช่ว่าถนนเส้นนี้จะมีแต่ข้อดีนะครับ มันก็มีข้อจำกัดอยู่บ้าง อย่างว่าเป็นหนึ่งในเส้นที่มีคนแห่เข้ามาทำงานเป็นจำนวนมากมหาศาล การใช้รถยนต์ส่วนตัวเดินทางเข้ามานี่ต้องบอกว่า สาหัสแน่นอน ยิ่งถ้าใครไม่เรียนรู้ทางลัด ทางเลี้ยวซิกแซกต่างๆละก็วันๆหมดไปกับการอยู่ในรถเลย

ถนนอโศกมนตรี เป็นถนนที่รถติดขึ้นชื่อสูงสุดจุดหนึ่งในกรุงเทพฯ เนื่องจากเป็นย่านที่มีแหล่งอาคารสำนักงานเยอะเหลือเกิน และแก้ไขปัญหาการจราจรมาหลายต่อหลายครั้งแล้ว จนปัจจุบันล่าสุดมีการปรับเปลี่ยนใหม่อีกครั้ง หลังจากที่กรุงเทพหมานครได้เข้ามาดำเนินการติดตั้งเกาะกลางถนนบริเวณถนน อโศกตลอดแนวเพื่อเป็นการแก้ไขปัญหาการจราจรรถเลี้ยวขวาตัดกระแสการจราจรเข้า อาคารสำนักงานทำให้รถทางตรงติดขัด โดยรูปแบบมีดังนี้

  • รถที่มาจากแยกอโศก-เพชรบุรี มุ่งหน้าแยกอโศก-สุขุมวิท สามารถใช้จุดกลับรถได้ที่ บริเวณจุดกลับรถใกล้แยกอโศก
  • รถที่มาจากแยกอโศก-เพชรบุรี มุ่งหน้าแยกอโศก-สุขุมวิท สามารถเลี้ยวขวาได้แค่ 2 ซอยเท่านั้นคือ ซ.สุขุมวิท 21-1 และ 21-3
  • รถจากซอยมุ่งหน้าออกถนนอโศกมนตรี ห้ามเลี้ยวขวาเข้าถนนอโศกมนตรีตลอดสาย
  • รถที่มาจากแยกอโศก-เพชรบุรี มุ่งหน้าแยกอโศก-สุขุมวิท สามารถวิ่งได้ 3 ช่องจราจร (ระหว่างเวลา 06.00-09.00 น.)
  • รถที่มาจากแยกอโศก-สุขุมวิทให้เดินรถมายังแยกอโศก-เพชรบุรี จำนวน 1 ช่องทาง (ระหว่างเวลา 06.00-09.00 น. เช่นกัน) ส่วนเวลาอื่นๆให้เดินรถด้านละ 2 ช่องทาง

**ทีนี้ถ้าเราดูจากแผนที่ ถ้าคนเลือกจะมุ่งหน้าเข้าเมืองทางแยกอโศกก็สบายเลยไม่มีปัญหา แต่ว่าใครจะไปฝั่งเพชรบุรี เจ้าจุดกลับรถ ดันอยู่หน้าโครงการพอดี ไม่แนะนำให้ปาด 3 เลนไปกลับรถนะครับ วิธีการใช้ผมทำเส้นสีขาวไว้แล้ว คือ มุ่งหน้าไปถนนสุขุมวิท เลี้ยวเข้าซอยสุขุมวิท 23 วนลูปมาออกถนนอโศกอีกทีตรงตึกชิโนไทย แล้วให้ชิดขวาเอาไว้เตรียมกลับรถแถวหน้าโครงการเรา เพื่อจะไปทางฝั่งถนนเพชรบุรีได้นั่นเอง

การใช้เส้นทางพิเศษลัดเลาะในย่าน อย่างที่ผมบอกไปถ้าใครคิดจะอยู่ย่านนี้ “ทางลัดเลาะ” ถือเป็นหัวใจสำคัญ โดยผมตั้งใจทำแผนที่ให้ดูประกอบ จะมีบางช่วงที่เป็นวันเวย์ด้วยนะ ค่อยๆทำความเข้าใจไปกับมัน จะสามารถประหยัดเวลาได้มาก โดยไม่ต้องผ่านทางสัญจรหลักที่รถติดมากอย่างสุขุมวิท

มาดูฝั่งด้านหลังโครงการกันบ้าง ข้ามจากถนนอโศกมาอีกฝั่ง ก็สามารถลัดเลาะทะลุไปออกได้ตั้งแต่ อโศก ประสานมิตร สวัสดี พร้อมพงษ์ ทองหล่อ เอกมัย โดยไม่ต้องผ่านถนนใหญ่สุขุมวิทเลย เป็นการหลีกเลี่ยงรถติดไปในตัว แต่ถ้าจะต้องออกนอกบริเวณไปย่านอื่นก็ต้องใช้ถนนใหญ่อย่างอโศกหรือเพชรบุรี ก็ต้องมีข้อให้ระวังในเรื่องของเส้นทางการเดินรถอยู่บ้าง จากภาพได้ทำลูกศรกำหนดเส้นทางการเดินรถเอาไว้ให้แล้วครับ

เส้นทางในวันนี้จะเป็นรูทสั้นๆโดยผมมาจาก MRT สุขุมวิท ทางออกที่ 2 นะครับ เดินขึ้นเหนือไปโครงการราว 150 เมตร (วัดจาก Google Maps)

แยกอโศกนั้น เป็นแยกใหญ่ ความจริงแล้ว ซอยสุขุมวิท 21 นี้ก็คือ ถนนอโศกมนตรี นี่แหละครับ แต่เดิมก็เคยเป็นซอยเล็กๆ แต่เนื่องจากมีการตัดสะพานข้ามคลองแสนแสบเกิดขึ้นบริเวณนี้ ความเจริญของที่ดินบริเวณนี้จึงเพิ่มขึ้น จากซอยเลยพัฒนากลายไปเป็นถนน และก็มีการขยายความกว้างถนนเพิ่มขึ้นจนเป็นอย่างที่เห็นอยู่ทุกวันนี้ ทางซ้ายมือสุดเราจะเห็นส่วนที่เป็น Interchange กันระหว่าง BTS อโศก และ MRT สุขุมวิท(ทางออก 3)

รถที่มาจากแยกอโศก-เพชรบุรี มุ่งหน้าแยกอโศก-สุขุมวิท สามารถวิ่งได้ 3 ช่องจราจร (ระหว่างเวลา 06.00-09.00 น.)  รถที่มาจากแยกอโศก-สุขุมวิทให้เดินรถมายังแยกอโศก-เพชรบุรี จำนวน 1 ช่องทาง (ระหว่างเวลา 06.00-09.00 น. เช่นกัน) ส่วนเวลาอื่นๆให้เดินรถด้านละ 2 ช่องทาง

ที่ด้านหน้า MRT สุขุมวิททางออกที่ 2 นั้นอยู่ติดกับ Family Mart เลย อีกทั้งด้านข้างยังเป็นทางเข้าตัวอาคารออฟฟิศอย่างตึก Interchange 21

เราจะมุ่งหน้าเดินไปทางเหนือบนริมฟุตบาท ซึ่งจะเปียกฝนนิดหน่อยนะครับ ฝนพึ่งตกตอนเช้าแต่ตอนผมเดินไปหยุดแล้ว

เดินมานิดเดียวเท่านั้น เราจะเห็นปากทางของซอยเล็กๆ ที่มีชื่อว่า “ซอยคาวบอย”

ซอยคาวบอย เป็นซอยที่ชื่อโด่งดังในยามค่ำคืนเป็นแหล่งของนักดื่มที่เน้นเฉพาะชาวต่างชาติเป็นหลัก ที่สุดซอยสามารถไปทะลุซอยสุขุมวิท 23 ได้นะครับ แต่รถยนต์เข้าไปไม่ได้เดินเท่านั้น

พ้นซอยคาวบอยมานิดเดียว เจอกับมินิมาร์ทอีกเจ้าอย่าง 7-Eleven

หลังจากนั้นจะเป็นป้ายรถเมล์มีหลังคากันแดดคลุมฝน

มองข้ามไปฝั่งตรงข้ามเราจะเห็นแนวตึกแถวริมทางฝั่งโน้น ด้านหลังเป็นห้างขวัญใจของย่านี้อย่าง Terminal 21 ที่มีส่วนโรงแรมด้วยประมาณ 20 กว่าชั้น และขวามือเห็นตัวคอนโด Ashton Asoke อยู่ใกล้กัน

มาเดินกันต่อครับ ริมฟุตบาทตรงนี้ค่อนข้างโล่งเดินง่าย ขวามือเป็นบ้านคน

พอพ้นรั้วกำแพงบ้านก็ถึงแปลงที่ดินโครงการแล้ว จากที่เดินมาราวๆ 150 เมตรเท่านั้นเอง เรียกว่าการใช้รถไฟฟ้าในการไปไหนมาไหน สะดวกสุดๆ

ยืนตรงๆที่หน้าแปลงที่ดินโครงการอีกครั้ง เราจะอยู่ตรงข้ามช่วงท้ายของห้าง Terminal21 กึ่งกลางระหว่างอาคารสูงทั้งสอง

Visitor ที่ขับรถมาก็มีพื้นที่จอดรถให้อยู่ด้านหลัง Sale Gallry นะครับ

ตัว Sale Office Gallery นั้นถูกสร้างยกเหนือระดับพื้นมาหน่อย หน้าตาดู Luxury สวยงามทีเดียว อีกทั้งยังใช้วัสดุก่อสร้างรวมถึงการตกแต่งบางส่วนให้เสมือนกับตัวคอนโดเองด้วย (เดี๋ยวจะมีอธิบายด้านล่างครับ)

จุดกลับรถ ที่อยู่ก่อนถึงแยกอโศก ดันอยู่หน้าโครงการพอดี ไม่แนะนำให้ปาด 3 เลนไปกลับรถนะครับ วิธีการใช้อย่างที่บอกไปข้างบนคือ มุ่งหน้าไปถนนสุขุมวิท เลี้ยวเข้าซอยสุขุมวิท 23 วนลูปมาออกถนนอโศกอีกทีตรงตึกชิโนไทย แล้วให้ชิดขวาเอาไว้เตรียมกลับรถแถวหน้าโครงการเรา เพื่อจะไปทางฝั่งถนนเพชรบุรีได้นั่นเอง

สถานที่สำคัญใกล้เคียงต่างๆ เช่น

  • โรงแรม Pullman Bangkok ~ 60 .
  • 7-Eleven ~ 80 .
  • สภาวิชาชีพบัญชี ~ 120 .
  • MRT สุขุมวิท ~ 150 .
  • Family Mart ~ 150 .
  • BTS อโศก & Terminal 21 ~ 280 .
  • ตลาดสดอโศก ~ 240 .
  • ตึก GMM & BB Tower ~ 650 เมตร
  • ตลาดรวมทรัพย์ ~ 700 .
  • โรงเรียนวัฒนาวิทยาลัย ~ 800 .
  • ..สาธิตฯประสานมิตร ~ 1.2 กม.
  • ..วัฒนาวิทยาลัย ~ 1.3 กม.
  • EM District ~ 1.4 กม.
  • โรงพยาบาลจักษุ รัตนิน ~ 1.4 กม.
  • สวนเบญจสิริ ~ 1.5 กม.
  • มศว ประสานมิตร ~ 1.5 กม.
  • NIST National School ~ 1.7 กม.
  • โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ ~ 2 กม.
  • Park Ventures ~ 2 กม.
  • ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ ~ 2.2 กม.
  • สวนเบญจกิติ ~ 2.4 กม.
  • Central World ~ 2.9 กม.
  • Siam Paragon ~ 3.5 กม.
  • สวนลุมพินี ~ 3.9 กม.


เจาะลึกตัวโครงการ

CELES ASOKE  เป็นคอนโด High Rise จำนวน 1 อาคาร ความสูง 40 ชั้น พื้นที่โครงการขนาด ห้องพักอาศัยรวม 217 ยูนิต มีห้องพักให้เลือกแบบ 1 Bedroom, 2 Bedrooms, 3 Bedrooms ขนาดเริ่มต้น 34.7 – 138.92 ตร.ม. และมีห้องรูปแบบพิเศษอย่าง Crown Penthouse และ Crown Duplex โดยคาดว่าแล้วเสร็จไตรมาส 4 ปี 2563 ด้วย Location ที่เป็น Center of Business อยู่ติดถนนหลักและใกล้แยกอโศกหนึ่งในพื้นที่ CBD แห่งหนึ่งของประเทศไทย อีกทั้งใกล้กับระบบขนส่งรถไฟฟ้า Interchange BTS-MRT อีกด้วย

หน้าตาอาคารออกแบบมาในลักษณะของ “Timeless” ที่ตั้งใจออกมาให้ดูเรียบๆ ไม่หวือหวาเกินไป เป็นรูปแบบของการมองไปแล้วยังสวยหรูได้นานแม้เวลาจะผ่านไปหลายปีแล้วก็ตาม ตัวโครงการยังเลือกเหล่าสถาปนิกชั้นนำของประเทศมาออกแบบในโครงการ ซึ่งทั้ง 3 เจ้ามีผลงานในโครงการระดับ Super Luxury มากมาย ได้แก่  Architect : A49  /  Interior : DWP  /  Landscape : Shma

เข้ามาที่ด้านใน Sale Gallery จะบอกว่า การตกแต่ง Interior ด้านในนี้ จะพยายามจำลองในส่วนของ Lobby Lounge ของจริงในโครงการให้ได้มากที่สุดอย่างดีไซน์ล็อบบี้ตกแต่งหรูโอ่โถงด้วยเพดานสูงถึง 5 เมตร ประดับแชนเดอเลียคริสตัลชุดใหญ่กลางห้อง วัสดุปูพื้น สีผนัง หินอ่อนที่ใช้ตกแต่ง

ตัวพื้นที่นั่งเล่นที่อยู่ติดกับผนนังกระจกแบบ Full High ที่ใน Lobby Lounge จะทำสูงถึง 5 เมตร (แต่ใน Sale Gallery สูง 6 เมตรนะครับ)

มุมโต๊ะนั่งเล่น หรือสามารถรับแขกได้ เวลาเพื่อนหรือแขกมาหาก็มีพื้นที่รองรับ พร้อมทั้งการตกแต่งที่ผนังมีการใช้ไฟ LED แนวนอนมาช่วยตกแต่ง

ที่ชั้นล่างก็จะมีทางเดินไปดูในส่วนของห้องตัวอย่าง 1 Bedroom และมี Lift ขึ้นไปชั้นบนได้ด้วยข้างๆกัน

ในมุมนี้เราจะเห็นส่วนของหินอ่อนที่อยู่หลัง Reception ของจริงจะอยู่ใน Lobby เช่นกัน คือ ผนังหินอ่อนฮันนีออนิกซ์ที่ใช้เส้นไฟมาเสริมให้ดูสวยงามเพิ่มขึ้นไปอีก ตัวหินอ่อนนำเข้าจากอิตาลีส่วนใหญ่ที่จะพบเห็นได้ในโรงแรมหรู ส่วนทางขวามือจะเป็นบันไดเวียนปูพื้นหินอ่อนเล่นไฟซ่อนเอาไว้ ของจริงจะเป็นทางขึ้นไปชั้น Mezzanine

สุดท้ายทางเซลล์บอกผมว่าให้ลองออกไปดู Facade ด้านนอกของ Sale Gallery ตัวที่เป็นแท่ง Fin แนวตั้งยื่นออกมาจะใช้ตกแต่งที่ตัวอาคารจริงด้วย วัสดุเป็น stainless steel เคลือบดูสวยงาม

มาดูส่วนของ Model กันบ้าง ผมทำกราฟฟิคแบ่งความเข้าใจอย่างง่ายๆกันก่อน เริ่มจากพื้นที่จอดรถที่เป็นระบบ Automatic Parking จอดในตัวอาคารที่ชั้น B1-B2 และ 2-8 นะครับ ที่ชั้น 1 ด้านนอกจะมีส่วนของ Sanctuary Garden ส่วนด้านในอาคารจะเป็น Lobby Lounge / ส่วนของพักอาศัยจะเริ่มที่ชั้น 9-29 เป็น Typical Plan ที่มีห้องแบบ 1-2 Bedroom / ขยับขึ้นไปที่ชั้น 30-32 จะเป็นห้องพักแบบ 3 Bedroom เป็นหลัก

Sky Facilities ที่จัดอยู่ที่ชั้น 33-35 (แต่ที่ชั้น 35 มีส่วนของห้องพักด้วย) ตั้งแต่ชั้น 35-40 ไปส่วนของห้องพักจะเรียกว่าแบบ CROWN นะครับ เพราะเป็นห้องพักแบบพิเศษขนาดใหญ่หน่อย มีทั้ง Penthouse และ Duplex สุดท้ายชั้นดาดฟ้า Rooftop จะเป็นพื้นที่สีเขียวชมวิวเมืองรอบด้าน

ซุ้มรปถ.จะอยู่ติดกับรั้วทางเข้าออกของโครงการคอยสแกนทั้งลูกบ้านและ Visitor ตัวพื้นของโครงการทั้งหมดจะปูด้วยสแตมป์คอนกรีตให้ดูสวยงาม

ผมทำลูกศรทางเดินรถไว้ให้ดูแล้ว โดยจะเป็นแบบเดินรถทางเดียว(วันเวย์) แต่สามารถ Drop Off และวนออกที่มุมอาคารได้เลย ที่ชั้นล่างจะประกอบไปด้วย Sanctuary Garden, มีช่องจอดบิ๊กไบค์, ช่องจอดรถ EV (ชาร์จไฟ), ทางเข้าจอดรถลิฟท์ไฮโดรลิค และด้านในอาคารเป็นส่วนของ Lobby Lounge เพดานสูงถึง 5 เมตร

ทางเดินรถวันเวย์อ้อมด้านหลังอาคาร รอบๆริมรั้วกำแพงปลูกต้นไม้สูงขนานกับแนวรั้วเอาไว้

ขึ้นมาในส่วนของ Sky Facilities ก็จัดมาให้ยกชั้นเลย เริ่มกันที่

ชั้น 33 – ยกทั้งชั้นดีไซน์เป็น Sky Water Club ผืนน้ำขนาดใหญ่เต็มชั้น ประกอบด้วยสระว่ายน้ำความยาว  25 เมตร และส่วนพักผ่อนที่ออกแบบให้ลอยตัวอยู่ท่ามกลางบรรยากาศผืนน้ำ  อาทิ  180 Panoramic Lap Pool, Reflective Shallow Pool, Sky Edge Social Jacuzzi, Jacuzzi Twin Beds, Personal Jacuzzi, Hydro Jet Seat, Floating  Sky Loungers และ Pool Pavilions ที่สามารถเปิดรับวิวจากถนนอโศกด้านหน้าโครงการได้เต็มสายตา ที่โดดเด่นอีกหนึ่งบริการคือ Wet Spa แยกชายหญิง มอบเป็นประสบการณ์ใหม่เพื่อการผ่อนคลายได้ทุกวันด้วย Experiential Shower & Water Jet Massage รวมทั้ง Steam/Sauna ให้เลือกใช้บริการตามความชอบ และ Personalized Service Room  ก็มีบริการอยู่ที่ชั้นนี้

ชั้น  34  ก็ยกทั้งชั้นออกแบบเป็น Fitness Club บริการครบทุกรูปแบบการออกกำลังกาย ทั้ง Cardio & Spin, Weights, Boxing ที่แตกต่างไม่เหมือนใครก็คือ Yoga Pod & Virtual Fitness เพียงเชื่อมสัญญาณบลูทูธเพื่อหาเนื้อหาภาพประกอบในการออกกำลังกายจากแอพพลิเคชั่น หรือยูทูป ผนังห้องฟิตเนสจะเปลี่ยนโฉมไปตามความต้องการของผู้ใช้

ในชั้นนี้ยังมี CELES  Residential  Club ที่มีการออกแบบตกแต่งเลือกใช้แต่วัสดุอุปกรณ์คุณภาพสูงทั้งเฟอร์นิเจอร์ และพื้นผนังที่เป็นหินอ่อนฮันนีออนิกซ์นำเข้าจากอิตาลี ด้วยคุณสมบัติเป็นหินโปร่งแสงจึงสะท้อนความงามของสีสันจากแสงไฟภายในพื้นที่ให้บรรยากาศดูหรูหรา บริการพิเศษในพื้นที่ส่วนกลางชั้น 34 มี Skyline Gallery, Reading Corner และ Private Dinning & Meeting Room 

ชั้น 35 – ที่ด้านนอกอาคารกลางแจ้งดีไซน์เป็น The Celestial Terrace  ใช้พื้นที่ส่วนด้านหน้าอาคารทำเป็นสนามหญ้าในสวนพักผ่อนลอยฟ้า เปิดวิวเมืองแบบพาโนรามา หรือกลางคืนจะมานอนดูดาวก็ได้ให้สมกับชื่อ Celestial โรแมนติกดี

ชั้นดาดฟ้า ชั้นนี้อยู่เหนือชั้น 40 เรียกว่า Alfresco Rooftop  ออกแบบดาดฟ้าเป็น 2 ชั้น  ดาดฟ้าชั้นหนึ่งมีจุดชมวิว (viewing point), Sky Dinning และ Horizon BBQ เคาน์เตอร์สำหรับทำบาร์บีคิว และโต๊ะอาหาร เตรียมไว้สำหรับจัดปาร์ตี้เล็กๆ ยามค่ำคืนกับครอบครัวหรือเพื่อนสนิท  และดาดฟ้าชั้น 2  ตกแต่งด้วย Loose Furniture เพื่อการพักผ่อนสบายๆ ดีไซน์สวยหรูเป็น Sky Lounge เปิดมุมมองวิวรอบด้าน 360 องศา ทั้งหมดนี้ CELES Asoke  จัดให้ถูกใจไลฟ์สไตล์คนเมืองที่ชื่นชอบทำกิจกรรมบนเส้นขอบฟ้าโดยแท้ 

Master Plan โครงการที่ชั้น Ground Floor : ทางเดินรถภายในโครงการจะเป็นแบบวันเวย์(ตามลูกศร) เข้ามาถึงจะเจอกับส่วน Drop Off ก่อน และอ้อมไปด้านหลังอาคารจะมีทางเข้าลิฟท์ไฮโดรลิคจอดรถ Automatic Parking รอบๆอาคารจะจัดเป็นสวนหย่อม และ Sanctuary Garden ด้านหน้าติดกับรั้วกำแพง ภายในอาคารจะประกอบไปด้วย Lobby Lounge High Ceiling สูง 5 เมตร และมีบันไดเวียนทางขึ้นไป Mezzanine / ส่วนของลิฟท์โดยสารมีมาให้ 2 ตัว และแยกลิฟท์เซอร์วิสอีก 1 ตัว (โครงการแจ้งมาว่าลิฟท์เซอร์วิสจะแต่งให้เหมือนกับส่วนลิฟท์โดยสาร) อัตราส่วนลิฟท์อยู่ที่ 109 : 1 ถือว่ากลางๆไม่น้อยไม่มาก

Mezzanine (ชั้นลอย) : เชื่อมต่อมาจากบันไดเวียนที่ชั้นล่าง โดยจะเป็นพื้นที่ของ Management Concierge & Business Center

ชั้น 9-29 เป็น Typical Plan ส่วนของพักอาศัยที่มีห้องแบบ 1-2 Bedroom ด้วยรูปทรงของอาคารที่ต้องการให้มีห้องพักอาศัยทุกมุมรอบด้าน ทำให้ Corridor โถงทางเดินจะเป็นแบบปิดไม่มีช่องแสงธรรมชาตินะ ต้องอาศัยใช้ไฟเปิดส่องสว่างทั้งเวลากลางวันและกลางคืนเอา

ตำแหน่งของห้อง 1 Bedroom (สีนำ้ตาลอ่อน) จะถูกวางเอาไว้ทิศเหนือ ใต้เป็นหลัก มีไปอยู่ทิศตะวันออกห้องนึง ส่วนของห้อง 2 Bedroom จะเอาไว้ตามมุมอาคารทั้งหมด เพื่อที่จะได้มุมที่เปิดกว้างมากกว่า ที่ชั้นนี้จะมีอัตราส่วนห้องพัก 9 ยูนิตต่อชั้น

ชั้น 30 – 32 จำนวนห้องพักอาศัยจะลดลงเหลือเพียง 5 ยูนิตต่อชั้นเท่านั้น โดยห้องหลักๆจะกลายมาเป็นแบบ 3 Bedroom ขนาด 106-138 ตร.ม. แต่จะเหลือห้อง 1 Bed มาหนึ่งห้องที่ตำแหน่งทิศเหนือ

ชั้น 33 จัดพื้นที่ส่วนกลางแบบยกชั้น : Sky Water Club [180 Panoramic Lap Pool], Reflective Shallow Pool, Sky Edge Social Jacuzzi, Jacuzzi Twin Beds, Personal Jacuzzi, Hydro Jet Seats, Floating Sky Loungers, Pool Pavilions, WET SPA(Male&Female), Steam&Sauna, Experiential Shower, Water Jet Massage, Personalized Service Room

สระว่ายน้ำ Lap Pool ระบบเกลือ ส่วนความกว้าง 4.5 เมตร ด้านยาวสุด 25 เมตร ลึก 1.2 เมตร

ชั้น 34 : Fitness Club [Cardio & Spin], Weights, Boxing, Yoga Pod, Virtual Fitness / Celes Residential Club [Skyline Gallery], Reading Corner, Private Dinning & Meeting Room

ขึ้นมาชั้น 35 : ที่ด้านในตัวอาคารกลับมามีห้องพักอาศัยอีกครั้ง แต่จะเป็นห้องพิเศษ Crown Penthouse ขนาด 133 – 137 ตร.ม. แค่ 2 ห้องเท่านั้น และที่ด้านนอกอาคารยังจัดพื้นที่ส่วนกลางไว้อย่าง The Celestial Terrace ใช้พื้นที่ส่วนด้านหน้าอาคารทำเป็นสนามหญ้าในสวนพักผ่อนลอยฟ้า เปิดวิวเมืองแบบพาโนรามา หรือกลางคืนจะมานอนดูดาวก็ได้ให้สมกับชื่อ Celestial โรแมนติก

ชั้น 36 – 38 ยังคงเป็นห้องแบบ Crown Penthouse เหมือนกันกับที่ชั้น 35

ชั้น 39 – 40 จะเป็นส่วนห้องพักชั้นสุดท้ายที่เป็นรูปแบบ Duplex Crown ไซส์ตั้งแต่ 90 – 101 ตร.ม. ซึ่งมีจำนวน 5 ยูนิตเท่านั้น

นอกจากนี้ยังมีส่วนของ Rooftop ด้วยแต่ไม่ได้มีผังแปลนมาให้ไปย้อนดูที่ Model เอานะครับ

**รูปนี้จัดทำขึ้นเพื่อให้เห็นภาพรวมของโครงการแบบคร่าวๆไม่สามารถใช้อ้างอิงอย่างเป็นทางการได้นะครับ

มาดูบริบทโดยรอบของโครงการกันบ้างนะครับ ขึ้นชื่อว่าใจกลางอโศก นั้นเต็มไปด้วยเหล่าอาคารสูงมากมายอยู่แล้ว ยิ่งอยู่ติดกับถนนใหญ่ด้วย เพราะฉะนั้นเรื่องวิวก็จะมีส่วนที่ติดกับอาคารสูงเพื่อนบ้านบ้างเช่นกัน ในแผนที่ผมลองเอาตำแหน่งอาคารต่างมาแปะเพื่อให้ง่ายต่อการเห็นภาพมากที่สุด อาจจะมีเหลื่อมๆสักเล็กน้อยนะครับ แต่พวกระยะผมดึงเอาจาก Google Maps ลองมาดูไปพร้อมกัน

  • ทิศเหนือ : ในระยะที่ห่างไปประมาณ 60 เมตร จะเห็นตัวโรงแรม Pullman Grand ความสูงราวๆ 30 ชั้น+นิดหน่อย
  • ทิศตะวันออก : ถ้าเฉียงไปทางเหนือจะติดกับ TaiPan Hotel 17 ชั้น แต่ถ้ามองตรงๆเลย ฝั่งนี้จะค่อนข้างได้วิวที่โล่งเคลีย เห็นพวกชุมชนบ้านพักอาศัยในซอยสุขุมวิท 23
  • ทิศใต้ :  ในระยะประชิดเป็นชุมชนบ้านพักอาศัย แต่ห่างออกไปราวประมาณ 70 เมตร จะเห็นคอนโด LePrenier1(21ชั้น) และ Las Colinas(44 ชั้น)
  • ทิศตะวันตก : ฝั่งนี้ตัวอาคารจะมีระยะที่ถอยห่างจากถนนหลักอย่างอโศก กลับกลายเป็นคอนโด Ashton Asoke(50 ชั้น) นั้นอยู่ข้าฝั่งห่างออกไปราว 120 เมตร เป็นระยะที่ไม่ได้ใกล้มากเท่าไร

ผมลองยืนจากใน Site ที่ดินที่กำลังจะเตรียมก่อสร้างของโครงการ หันให้ดูทั้ง 4 ด้าน

ภาพ Panorama View 360 องศาจากโครงการ ผมตีเส้นปะแบ่งออกเป็นวิว 4 ด้านให้ดูกันว่าจะเห็นประมาณไหน [อันนี้จากความสูงที่ชั้น 23]

[อันนี้จากความสูงที่ชั้น 40] ซึ่งเป็นวิวจาก Garden Rooftop พื้นที่ส่วนกลางในโครงการ

https://www.youtube.com/watch?v=E7JqbS62Q-M

หรือใครจะลองชมตัว VDO Presentation จากโครงการดูประกอบเพลินๆก็ได้ครับ เห็นพื้นที่ส่วนกลางทั้งหมด

Image 1/18
BUILDING-EXTERIOR

BUILDING-EXTERIOR

กดคลิกที่รูปเพื่อชมภาพขนาดใหญ่ได้

สรุปสิ่งอำนวยความสะดวก

  • Ground Floor : Sanctuary Garden, Lobby Lounge (Ceiling 5 M.), Visitor’s Parking, EV Charging Dock
  • Mezzanine : Management Concierge & Business Center
  • Floor 33 : Sky Water Club 180 Panoramic Lap Pool, Reflective Shallow Pool, Sky Edge Social Jacuzzi, Jacuzzi Twin Beds, Personal Jacuzzi, Hydro Jet Seats, Floating Sky Loungers, Pool Pavilions, WET SPA(Male&Female), Steam/Sauna, Experiential Shower, Water Jet Massage, Personalized Service Room
  • Floor 34 : Fitness Club Cardio & Spin, Weights, Boxing, Yoga Pod, Virtual Fitness / Celes Residential Club [Skyline Gallery], Reading Corner, Private Dinning & Meeting Room
  • Floor 35 : The Celestial Terrace
  • Rooftop : Alfresco Rooftop Observatory, Sky Dining, Horizon BBQ, 360 view Sky Lounge
  • Other : Wifi in Lobby & all Facility Floors, Mail Room. Dry Cleaning, Pick-up & Drop off, Driver’s Lounge, Superbike Parking, EV Charging Dock
  • สระว่ายน้ำ Lap Pool ระบบเกลือ ส่วนความกว้าง 4.5 เมตร ด้านยาวสุด 25 เมตร ลึก 1.2 เมตร
  • ลิฟท์โดยสาร 2 ตัว / Service Lift 1 ตัว (ตกแต่งให้เหมือนลิฟท์โดยสาร)
  • อัตราส่วนลิฟท์รวมทั้งโครงการ 109 : 1 (นับเฉพาะส่วนลิฟท์โดยสาร)
  • ระบบจอดรถ Automatic Parking ที่ชั้น B1-B2 และชั้น 2-8
  • ที่จอดรถประมาณ 177 คันคิดเป็น 82%
  • ระบบ CCTV / Access Card / Proxy Lift / รปภ.24 ชม.


Product Walkthrough

รูปแบบการขายของโครงการที่นี่จะมีให้เลือกทั้ง 2 แบบ นะครับ คือแบบ Fully Fitted หรือเลือกเป็น Fully Furnished ก็ได้

แต่จะอธิบายส่วนมาตรฐานคือ Fully Fitted ก่อนโดยเราจะได้ (แอร์ฝังฝ้า), Built-In ตู้เก็บรองเท้า หน้าบานตู้เย็น และตู้เสื้อผ้า, ฝ้าเพดานสูง 3 เมตร (ส่วนงานระบบลดเหลือ 2.6 เมตร), Kitchen & Sink (ท๊อปหินสังเคราะห์), Hob & Hood, Microwave by PHILIPPE STARCK, ตู้เย็น Gorenje แบบ Bulit-In, Digital Door Lock – YALE และ Home Automation (สั่งการเปิดปิดไฟและแอร์)

เริ่มจากห้อง 1 Bedroom type A4 ขนาด 50.59 ตร.ม. ห้องจะเป็นแบบหน้ากว้าง(ราว 7.90 เมตร) โดยเปิดเข้ามาในห้องจะเจอกับส่วนครัวเปิดก่อน พื้นที่ค่อนข้างกว้างและไปเชื่อมต่อกับส่วนของ Living มีพื้นที่โต๊ะทำงานในตัว ด้านนอกเป็นส่วนของระเบียงที่ใช้งานจริงจังได้ ประตูกระจกบานเลื่อนกั้นระเบียงเป็นแบบ Floor to ceiling ที่ด้านนอกระเบียงมีห้องเก็บ Compressor Air แยกมิดชิด ส่วนของห้องนอนกินพื้นที่ประมาณ 40% ของห้อง โดยด้านในมีฟังก์ชั่นการใช้งานที่ครบมีหน้าต่าง Bay Window นอนมองวิวมุมกว้างได้ มีพื้นที่ Walk in Closet ด้านหน้าทางเข้าห้องน้ำ ในห้องน้ำแยกมุมการใช้งานเป็นสัดส่วนโดยพื้นที่สุขภัณฑ์และพื้นที่อาบน้ำจะได้กระจกนิรภัยฉากกั้นมาด้วย

เริ่มจากประตูทางเข้าด้านหน้าก่อน เป็นประตูบานไม้ขนาดใหญ่ถึง Ceiling เลยมีการใช้ลวยลายเส้น Copper เป็นกรอบลายเส้นมาช่วยตกแต่ง อุปกรณ์ที่ได้มาจะเป็น Digital Door Lock ของ YALE ที่ได้ทั้งสามฟังก์ชั่คือ กดรหัส, แตะบัตร, สแกนนิ้ว รูปแบบการเปิดแบบนี้ เวลาเรายกของใช้เข้าห้องมาสามารถดันตัวไปข้างหน้าแล้วเปิดได้เลยสะดวกดี

เปิดเข้ามาจะติดกับพื้นที่โซนครัวเปิดก่อน และค่อเขยิบไปเป็นพื้นที่โล่งอย่างโซนนั่งเล่นรับแขก ด้วยช่องแสงขนาดใหญ่จะทำให้แสงธรรมชาติส่องผ่านมาได้ทั่วถึงทั้งห้อง

มองย้อนกลับไปที่ประตูทางเข้าสักนิด ด้วย Floor to ceiling ของห้องนี้คือ 3.0 เมตร (ในส่วน Living) แต่ส่วนครัวจะติดกับงานระบบของแอร์ฝังฝ้าเพดาน ทำให้ความสูงลดลงมาเหลือ 2.60 เมตร ดังนั้นประตูนี้จะเป็นแบบ Full High ที่สูง 2.60 เมตรนั่นเอง / ด้านข้างของประตูทั้งสองฝั่งเราจะได้เป็นชุดเฟอร์นิเจอร์ Built-In ที่โครงการทำมาให้

(รูปซ้าย – เป็นฝั่งที่เปิดประตูมาอยู่ทางขวามือ) ได้เป็นชุดตู้เก็บเครื่องซักผ้า ที่มีการจัดแบ่งชั้นเก็บของให้ใช้งาน

(รูปขวา – เป็นฝั่งที่เปิดประตูมาอยู่ทางซ้ายมือ) ได้เป็ชุดตู้แบบทั้งเปิดโล่งและแบบปิด ด้านล่างสามารถเก็บรองเท้าได้

พวกสวิทช์และปลั๊กไฟต่างในห้องนี้ทั้งหมดจะเป็นของ Schneider ซึ่งมีหน้าตาประมาณนี้

ในห้องจะมีส่วนของ Ipad วางตั้งโชว์ให้เห็นถึงระบบ Home Automation by Schenider ที่ติดตั้งร่วมกับการสั่งงานของไฟห้อง มีทั้งส่วนห้องนั่งเล่น และห้องนอน หรือแม้กระทั่งสั่งเปิดปิดแอร์รวมไปถึงควบคุมอุณหภูมิได้ด้วย

พอเข้ามาแล้วทางซ้ายมือจะเป็นพื้นที่ช่องทางเดินเข้าไปยังมุมครัว ที่ได้ Pantry เชื่อมต่อกันเป็นตัว U เลย ตัวพื้นส่วนนี้จะได้เป็นพอร์ชเลนแผ่นใหญ่ เป็นลายหินอ่อนสีขาวครับ

ที่อยู่ติดกับตู้เก็บของใกล้ประตู จะเป็นส่วนของตู้เย็นที่มีการ Built-In หน้าบานแบบเดียวกับตู้ข้างๆ ส่วนของตู้เย็นยังได้ของ Gorenje เช่นกัน สามารถเก็บอาหารเครื่องดื่มได้พอสมควร

พวกชุดตู้ด้านล่าง สามารถเก็บของได้เยอะมากๆ แถมมีการแบ่งช่องเก็บของใช้งานเอาไว้เบ็ดเสร็จ พวกระบบการปิดนี่ไม่ต้องห่วง Fitting เป็น Soft Close ทั้งห้องเลยในส่วนที่เป็นพวกหน้าบานตู้ทั้งหลาย

ในส่วนของตู้ด้านบนก็จัดเต็มในเรื่องของพื้นที่ใช้สอยติดผนังมาให้ โดยหน้าบานตู้จะต่างไปหน่อย เป็นไฮกลอสสีขาวมุก ตัดกับหน้าบ้านลายไม้ข้างๆ

มุมนี้เราจะได้ตัวไมโครเวฟแขวนที่ด้านบนมาด้วย ของ gorenje ดีไซน์โดยผู้ออกแบบชั้นนำของโลกอย่าง PHILIPPE STARCK

ในส่วนของ Top ครัว, ผนัง Backsplash และ Top Island ทั้งหมดจะได้เป็น Composite Stone สีขาวออกแนวคล้ายๆหินอ่อน

ชุดอ่างล้างจานแบบ Single ของ TEKA ที่โฉมดูดีกว่าเป็นตัวท๊อปหน่อย

หน้าตาของ Hob & Hood ของ gorenje ดีไซน์ PHILIPPE STARCK เช่นกัน ซึ่งตัวห้อง 1 Bed จะที่ดูดควันได้ไม่เหมือนกับห้อง 2 Bed นะ

หันไปทางขวาจะเป็นพื้นที่ของ Island ที่นอกจากจะเป็นพื้นที่เตรียมอาหารขนาดใหญ่แล้ว ยังสามารถใช้เป็นโต๊ะรับประทานอาหารไปในตัวแบบนี้ได้เลย

มุมฝั่งที่นั่ง นั่งได้ 2 คนพร้อมวางอาหารได้เต็มที่

ทีนี้พอจะเปลี่ยนโซนเข้าสู่ Living ตัววัสดุปูพื้นก็เปลี่ยนไปเป็น Engineering Wood ครับ ดูตัดโทนกันอย่างชัดเจนเป็นการปรับอารมณ์ในการเปลี่ยนพื้นที่

ด้วยความที่ห้องเป็นแบบหน้ากว้าง ทำให้ Living Area ถูกจัดฟังก์ชั่นรวมเป็น 2 in 1 ทั้งมุมนั่งเล่นรับแขก และมุมโต๊ะทำงานได้อยู่ในพื้นที่ใกล้กัน และเป็นสัดส่วนเดินไปมาง่ายไม่มีพื้นที่ติดขัด อีกทั้งเราเข้ามาสู่โซน Living แล้ว Floor to ceiling จะปรับเป็น 3.0 เมตรทีเดียว

มุมของโต๊ะทำงานที่ตำแหน่งถูกจัดวางไว้หลังโซฟาแบบนี้ พื้นที่ด้านหลังยังสามารถทำ Built-In เป็นชั้นโชว์หรือชั้นวางหนังสือได้อีก

ตำแหน่งของโต๊ะมองตรงไปจะอยู่แนวเดียวสายตากับการดูทีวีได้อีกด้วย เวลาทำงานนานๆก็พักสายตามองตรงไปดูทีวีชั่วคราวบ้างก็ได้

ในส่วนของพื้นที่นั่งเล่นหรือรับแขก จัดระยะได้ดี ระยะดูทีวีประมาณ 2.70 เมตร การใช้พื้นที่ใช้สอยแนวตั้งบริเวณมุมชั้นวางทีวีจะทำให้เราได้พื้นที่เก็บของเพิ่มมาอีกเยอะ / จากมุมนี้มองไปที่ด้านนอกจะเป็นส่วนของระเบียงซึ่งจุดเด่นอีกอย่างคือได้ช่องแสงแบบ to ceiling 3 เมตรเลย / อ้อ.. ที่โครงการนี้เค้าให้ ม่านมาด้วยเป็นมาตรฐานนะเป็นแบบ Dimout เพราะฉะนั้นพวกรางด้านบนฝ้าเค้าจัดการมาให้เรียบร้อยเลยเช่นกัน

รูปแบบของประตูกระจกบานเลื่อนแบบ 3 ตอน ผมลองเปิดออกให้ดู ทำให้เวลาเวลาเดินเข้าออก สามารถเข้าได้ทั้งสองฝั่ง

ให้ดูอีกมุมนึงครับ สามารถยกเฟอร์นิเจอร์ชิ้นใหญ่ไปวางที่ระเบียงได้ด้วย

ที่ระเบียงพื้นจะเปลี่ยนเป็นกระเบื้องลายไม้ธรรมชาติ ซึ่งเหมาะกับการดูแลที่สะดวกกว่า อีกทั้งยังทนฝนและทำความสะอาดได้ง่าย

มุมซ้ายจะเป็นประตูในส่วนของห้องเก็บคอมเพรสเซอร์แอร์ที่ปิดเอาไว้เป็นสัดส่วน / ส่วนมุมขวาเเราจะเห็นกระจกที่เป็นส่วน Bay Window (เข้ามุม) มาจากในห้องนอนนั่นเอง ม่านบังอยู่ ถ้าม่านไม่บังเราจะเห็นเตียงนอนจากมุมนี้เลย

ห้องเก็บคอมเพรสเซอร์แอร์ที่ปิดเอาไว้เป็นสัดส่วน มีระแนงเหล็กแนวตั้งบางสายตาจากภายนอก

รูปแบบของตัวกันตกจะเป็นกระจกนิรภัยทำให้แสงส่องผ่านเข้ามาในห้องพักได้ และมีราวจับเป็น stainless steel ถ้าดูดีๆ เราจะเห็นช่อง Gap เล็กๆระหว่างกระจก เป็นส่วนที่ทำให้ลมวิ่งผ่านได้เล็กน้อยด้วย

ระบบแอร์แบบฝังฝ้าเพดานครับ อย่างที่บอกไปในส่วนนี้จะดรอปความสูงลงไป 40 ซม.

ในส่วนของห้องนอน จริงๆจะมีประตูอยู่ตรงกลางนี้ ใกล้กับชั้นวางทีวี ห้องตัวอย่างไม่ได้ติดมา

ผมทำลูกศรแปะมุมฟังก์ชั่นในห้องนอนไว้แล้ว เดี๋ยวเราไปดูตรงโซนเตียงกันก่อน

พื้นที่ของห้องนอนนั้นถือว่ากว้างทีเดียว ดูจากพื้นที่ทางเดินทั้งรอบเตียงและปลายเตียงมีการวางเฟอร์นิเจอร์ใช้งานต่างๆลงไปแล้ว สามารถเดินไปมาได้อย่างสะดวกอยู่ อีกทั้งจุดเด่นอย่างหน้าต่างช่องแสงที่สูงมาก และกว้างเต็มผนังทำให้ห้องนอนดูสว่างและโปร่งโล่งสบายตา

พื้นที่ระยะด้านข้างเตียงทั้งสองฝั่ง

ที่ปลายเตียงสามารถจัดเป็นมุมโต๊ะเครื่องแป้งขนาดใหญ่ได้เลย มีพื้นที่ทางเดินเหลือสะดวก หรือใครชอบนอนดูทีวีก็จัดมาแขวนได้เลยครับ

รูปแบบของหน้าต่างจริงๆในห้องตัวอย่างนั้นติดม่านแล้วผมเลื่อนสุดได้เท่านี้ ช่องแสงนั้นให้มาสูงอีกทั้งกว้างมาก จากผนังชนผนังเลย ทั้งหมดจะเป็นบานฟิค ที่เปิดออกตรงกลางได้ที่เดียว

รูปแบบการเปิดจะเป็นบานกระทุ้ง ที่เปิดออกได้ไม่มากนักให้พอลมวิ่งผ่าน เพราะกันในเรื่องของเซฟตี้ความปลอดภัยของผู้อยู่อาศัย

มองย้อนกลับไปอีกฝั่งอันดับแรก ห้องนอนก็ได้เป็นแบบแอร์ฝังฝ้าเพดานเช่นกัน, อย่างที่สองเราจะเห็นถึงกระจกเข้ามุมในส่วนของ Sexy Bath ที่ทำให้แสงธรรมชาติส่องผ่านเข้าไปถึงในห้องน้ำได้เลย

มุม Walk in Closet พื้นที่แต่งตัว ที่อยู่ก่อนประตูทางเข้าห้องน้ำ ชุดตู้เสื้อผ้า Built-In 2 จุดนี้ โครงการให้เรามาตรฐานเลยนะครับ ไม่ต้องไปทำเพิ่ม อีกทั้งหน้าตายังดูดีทีเดียว สูงถึงฝ้าเพดาน ตัวกระจกเป็นแบบใสสีชาดำและมีกรอบเฟรมบานเลื่อนเป็นสี Cooper ดูหรูหรา

ให้ดูพวกชั้นและการแบ่งช่องเก็บของสักหน่อย ที่ด้านบนก็มีที่เก็บของอีกนะ

มาดูในส่วนของห้องน้ำกันบ้าง ตัวพื้นห้องน้ำจะลดสเต็ปลงเล็กน้อย ตัวพื้นของห้องน้ำรวมไปถึงผนังที่กรุทั้งหมดจะใช้เป็นกระเบื้อง COTTO ITALIA แบบลวดลายเสมือนชั้นลายหินอ่อน Earth Tone

มองตรงไปจะเห็นกระจกนิรภัยกั้นในส่วนทั้งสองห้องอย่าง มุมสุขภัณฑ์​ และ มุมพื้นที่อาบน้ำ

มุมสุขภัณฑ์​ ตำแหน่งระยะต่างๆมาตรฐานนะ ด้านหลังมี Low Wall ที่เป็นงานระบบซึ่งด้านบนเราสามารถวางพวกของใช้จำเป็นได้ ตัวสุขภัณฑ์ จะได้เป็นของ ​Duravit

ในส่วนพื้นที่อาบน้ำพื้นก็จะลกระดับลงไปอีกขั้นนึง ตัวเดรนระบายน้ำมีฝาปิดมิดชิด

หน้าตาชุดฝักบัวและ Rain Shower แบบฟูลออฟชั่นจัดเต็มที่ได้ของ Hansgrohe thermostat

Thermostatic เป็นระบบซึ่งสามารถตั้งอุณหภูมิ และควบคุมได้ค่อนข้างแม่นยำ ระบบแบบนี้ถือว่าค่อนข้างดีมากทีเดียวเวลาใช้งาน

ออกมาจากบริเวณพื้นที่อาบน้ำ ซ้ายมือจะเป็นมุมอ่างล้างมือแบบนี้ ด้านล่างมีชุดตู้ Built เก็บของมาให้ด้วย 3 ตอน

ที่ด้านหลังของกระจกเงามีการเล่นซ่อนไฟส่องสว่างเอาไว้ให้ / Top เคาน์เตอร์รอบๆอ่างก็ไม่ธรรมดาจัดเป็นหินอ่อนมาให้ซะเลย / อีกทั้งตัวอ่างได้เป็นของ Duravit ด้วยครับ

กลับหลังหันไปมุมนี้จะเป็นส่วนของอ่างอาบน้ำมาให้แบบนี้ชุดอ่างจะได้ของ Cristina มีหมอนรองหนุนคอให้ด้วย

ชุดก๊อกสามาถเปิดตรงหรือเลือกเป็นฝักบัวก็ได้

จุดเด่นอีกอย่างที่นี่ใช้นวัตกรรมอย่าง Intelligent Glass Film เป็นสวิทช์ไฟในการเปิดปิด หลายๆคงเคยประสบปัญหาที่ไม่ชอบ Sexy Bath เพราะมันไม่ส่วนตัว ต้องไปติดม่านมูลี่เอง แต่โครงการเค้าจัดมาให้เลยครับ ดีจริงๆ 😀

 

ห้องตัวอย่างอีกห้องที่จะพาไปดูเป็นแบบ 2 Bedroom Type B2A ขนาด 86.12 ตร.ม. ห้องนี้ก็ยังเป็นแบบหน้ากว้างเช่นเดียวกัน (รวมหน้ากว้างทั้งหมดประมาณ 10.20 เมตรเลย) เราเปิดเข้าห้องมาจะเจอกับโซนครัวเปิดที่เชื่อมต่อกับ Living ขนาดใหญ่ มีทางออกไประเบียงด้านนอก ทีนี้ตรงกลางจะมีทางเดินแจกออกไป 3 ห้องก็คือ ห้องน้ำ ห้องน้ำห้องนี้ใช้ร่วมกันกับนั่งเล่นและห้องนอนเล็กโดยมีฟังก์ชั่นอาบน้ำมาให้ด้วย ห้องนอนเล็กอยู่ฝั่งตรงข้ามมีระเบียงในตัว และสุดท้าย Master Bedroom ที่กินพื้นที่ฝั่งซ้ายทั้งหมดราวหนึ่งในสามของห้อง โดยมุมเตียงนอนจะนอนเห็นหน้าต่างเข้ามุมรับ City View เต็มๆสุดสายตา มี WalkinCloset อยู่ก่อนทางเข้าห้องน้ำ และห้องน้ำฟังก์ชั่นครบแยกเป็นสัดส่วนเหมือนกัน

พื้นที่ทางเข้าห้องเป็นพื้นที่ยื่นออกมาเล็กน้อยก่อน ทางขวามือเราจะเห็นส่วนของตู้เก็บรองเท้า Built-In มาให้

ตู้เก็บรองเท้า Built-In ที่สูงจรดฝ้าเพดานโครงการทำมาให้เลย สามารถเก็บรองเท้าได้หลายคู่อยู่ หน้าบานไม้ลามิเนตเหมือนกับห้องก่อน

พอเข้ามาในตัวห้องแล้วพื้นที่จะขยายออกเป็นหน้ากว้างดูโปร่งโล่งสบายตา จะเจอกับครัวเปิดที่มีพื้นที่ขนาดกว้างโดยมี Island ตั้งเด่นอยู่กลางห้อง

มาดูตรงโซนครัวเปิดกันก่อน ผมลองใส่คำให้ดูว่าอะไรอยู่ตรงไหนกันบ้าง เนื่องจากมีการทำหน้าบานตู้ปิดให้เป็นสัดส่วนเรียบร้อยนะครับ

ด้านขวามือสุดจะเป็นส่วนของตู้เก็บเครื่องซักผ้า แบ่งชั้นวางเป็นชั้น

ในห้อง 2 Bed นี้ หน้าตาของ Hob & Hood ของ gorenje design by PHILIPPE STARCK  จะได้เป็นตัวอัพเกรด ซึ่งจะเป็นแบบกระจกเงาระบบสัมผัสทั้งหมด

ไฟส่องสว่างในพื้นที่ครัวมีทั้งจากตัวดูดอากาศ และมีการซ่อนไฟ LED  เพิ่มในพื้นที่เตรียมอาหารทั้งหมด

Oven ของ gorenje โดย PHILIPPE STARCK เช่นกันเข้าเซ็ตทั้งชุด หน้าบานเป็นกระจกเหมือนกัน ตัวเตาอบนี่จะได้เฉพาะห้องแบบ 2 Bed ขึ้นไปนะ

ลองเปิดออกให้ดู ช่องการใช้งานเตาอบซะหน่อย

พวกวัสดุทั้งหลายจะเหมือนกับห้องก่อนหน้าที่พาไปดูเลยนะครับ ช่องต่างๆด้านในชั้นวางแขวนด้านบนมีการแบ่งช่องๆเล็กๆเอาไว้ให้เก็บเป็นหมวดหมู่ได้หลากหลาย

อ่างล้างจานของ TEKA ที่อัพมาเป็นแบบ Double Sink

ตัวตู้เย็น Built-In หน้าบานตู้เหมือนกัน ทำแบบนี้แล้วดูเข้ากับชุดครัวดียิ่งนัก

Island ที่ตั้งอยู่อีกฝั่งนึงกลางห้อง เป็นได้ทั้งพื้นที่เตรียมอาหาร ของว่าง เครื่องดิ่ม แล้วยังสามารถเป็นได้ทั้งโต๊ะอาหารแยกส่วนออกมาในตัวอีกด้วย ตัว Top ยังคงเป็น Composite Stone สีขาวหินอ่อนเหมือนกับส่วน Pantry

ที่ตัว Island มีลูกเล่นนิดหน่อย โดยเจาะช่องวงกลมเอาไว้ ดึงขึ้นมาเป็นส่วนของปลั๊กไฟที่ซ่อนเก็บการใช้งานได้

ยืนจากพื้นที่โซนครัว มองข้ามไปยังส่วน Living Area ขนาดใหญ่ ค่อนข้างกว้าง เชื่อมต่อกันทั้งหมด และได้อานิสงค์จากประตูกระจกบานเลื่อนสูงจรดเพดานซึ่งเป็นช่องแสงขนาดใหญ่ส่องผ่านเข้ามา

มุมนั่งเล่นรับแขกของโซฟาที่สามารถจัดได้ราว 3-4 ที่นั่ง และเอามุมชั้นวางทีวีชิดผนังเอาไว้ ระยะของการดูทีวีประมาณ 2.6 เมตร

การใช้พื้นที่ใช้สอยแนวตั้งฝั่งชิดกับผนัง ให้เป็นประโยชน์มากทุดสุด ลองดูไอเดียจากห้องตัวอย่างได้นะ

มุมพื้นที่ด้านหลังของโซฟา ห้องตัวอย่างถูกจัดเป็นมุมโต๊ะรับประทานอาหารให้เข้ากับพื้นที่แบบประมาณ 4 ที่นั่ง

ที่ผนังฝั่งนี้ก็สามารถใช้พื้นที่ใช้สอยแนวตั้งอย่างทำเป็นตู้ Built-In ชั้นวางของ ชั้นวางหนังสือก้ได้

ช่องแสงในห้องนี้ถือเป็นจุดเด่นอีกอย่างที่ให้มาสูงจรดพื้นถึงฝ้าเพดาน 3 เมตร และยังกว้างสุดผนังถึงผนังอีกด้วย เลยทำให้แสงธรรมชาติส่องผ่านไปได้ทั้งห้อง

ลองเปิดบานเลื่อนออกให้ดู อีกทั้งพื้นที่ระเบียงนี่ได้พื้นที่ยาวเสมอกับความกว้างของห้องนั่งเล่นเลย สามารถใช้จัดเป็นพื้นที่นั่งเล่นแบบ Outdoor ด้านนอก หรือไม่ก็จัดสวนกระถางเล็กๆได้เลยล่ะ

ยืนจากพื้นที่ระเบียงมองย้อนกลับเข้าไปในห้อง ห้องตัวอย่างจัดตกแต่ง Interior ไว้ค่อนข้างลงตัวสวยงาม อ้อ ที่โครงการเค้ามีการขายแบบเพิ่ม Option เป็น Fully Furnished ที่ตกแต่งแบบห้องตัวอย่างด้วย

ไปดูกันต่อครับ ที่กลางห้องจะมีส่วนทางเดิน ซึ่งแจกไปตามทางห้องต่างๆ ผมทำลูกศรบอกเอาไว้ให้

มาดูในส่วนของห้องนอนเล็กกัน

ถึงแม้ว่าขนาดของห้องนอนเล็กจะไม่ได้กว้างมากนัก แต่ก็มีพื้นที่เดินไปมาได้อยู่ ถ้าจะนอนดูทีวีต้องเอาแขวนผนังไว้แบบนี้

พื้นที่ด้านข้างเตียงฝั่งที่ติดกับตู้เสื้อผ้าจะกว้างกว่าฝั่งประตูทางออกไประเบียงเล็กน้อย

ในตัวของห้องนอนก็ได้แอร์แบบฝังฝ้าเพดานเช่นกัน รวมไปถึงตู้เสื้อผ้าที่ดีไซน์แบบเดียวกัน

 

ทางเดินฝั่งออกไประเบียงจะแคบนิดหน่อยนะครับประมาณ 35 ซม. เท่านั้น

จุดเด่นอีกอย่างของห้องนอนเล็กนี้คือมีระเบียงในตัว พร้อมทั้งประตูช่องแสงแบบ Floor to ceiling

รูปแบบของระเบียงก็เหมือนกับห้องนั่งเล่นแหละครับ แต่จะมีสเกลพื้นที่เล็กกว่า และมีพื้นที่ห้องเก็บคอมแอร์แยกออกไปทางซ้ายมือ การมีระเบียงในห้องนอนถือเป็นสิ่งที่ดีนะบางทีอยู่แต่ในห้องแอร์ ออกไปปรับอารมณ์พื้นที่รับลมบ้างจะได้รู้สึกไม่อึดอัด

ห้องน้ำจะอยู่ฝั่งตรงข้ามกับห้องนอนเล็ก ตัวห้องน้ำต้องใช้ร่วมกันกับส่วนห้องนั่งเล่นนะ

ตัวห้องน้ำเป็นแบบลึกไล่ลงไป อ้างล้างมือ สุขภัณฑ์ และพื้นที่แยกส่วนเปียกส่วนอาบน้ำ

เริ่มจากทางผนังขวามือติดกระจกเงาขนาดใหญ่เอาไว้ มีการซ่อนไฟด้านล่างส่องสว่างพื้นที่ Low Wall เอาไว้ด้วย

ด้านในของตู้เป็นแบ่งออกเป็นชั้นๆเก็บของเอาไว้ให้ แต่เปิดได้จากฝั่งขวาเท่านั้น

ที่ผนังด้านหลังทำเป็น Low Wall เอาไว้เพื่อให้วางข้าวของเครื่องใช้ต่างๆในห้องน้ำได้ ตัว Top รอบอ่างยังเป็นหินอ่อนเช่นเคย สุขภัณฑ์กับอ่างของ Duravit

พื้นที่อาบน้ำแยกส่วนเปียกเป็นสัดส่วนโดยได้กระจกนิรภัยเป็นประตูฉากกั้น

หน้าตาชุดฝักบัวและ Rain Shower ยังได้เป็นของ Hansgrohe แต่ไม่ได้เป็นชุดควบคุมอุณหภูมิอย่าง Thermostatic

ห้องสุดท้ายเป็นส่วนของ Master Bedroom เปิดประตูเข้ามาทางซ้ายเป็นส่วนพื้นที่วางเตียงนอน ขวามือเป็น Walk in Closet และห้องน้ำ

พื้นที่เตียงนอน และรอบๆเหลือทางเดินค่อนข้างกว้างมากที่เดียวสำหรับห้องนอนใหญ่ อีกทั้งช่องแสงในห้องยังกว้างและสูงโปร่ง

ทางเดินที่ปลายเตียงค่อนข้างกว้างถึงแม้จะวางชั้นวางทีวีแล้วก็ตาม

พื้นที่ด้านข้างโต๊ะหัวเตียงสามารถวางโต๊ะได้ทั้งสองฝั่ง

จุดเด่นของห้อง 2 Bedroom Type นี้ คือการที่ได้อยู่มุมของอาคาร จะได้ช่องแสงเต็มบานกว้างและสูงแบบจรดเพดานแบบนี้ อีกทั้งที่มุมไม่เห็นเฟรมอลูมิเนียนจะทำให้เปิดรับวิวได้มากกว่าปกติมาก

มองย้อนกลับไปอีกฝังนึง สิ่งที่สะดุดตามากเลยคือ “SEXY BATH” ครับ ห้องนี้ถูกอัพเกรดโดยได้เป็นแบบ Floor to ceiling ดูโดดเด่นมากๆ

พื้นที่ Walk in Closet นั้นจะกว้างกว่าห้อง 1 Bed พอสมควร

อีกทั้งมีพื้นที่มุมโต๊ะเครื่องแป้งเพิ่มมาด้วย

มุมตู้เสื้อผ้า Built-In จากโครงการที่ให้มาเป็นมาตรฐาน

ภายในห้องน้ำฟังก์ชั่นจะเหมือนห้องก่อน แต่พวกวัสดุอุปกรณ์บางอย่างอัพเกรดขึ้นมา ทางขวามือเป็นพื้นที่แยกส่วนเปียกได้กระจกนิรภัยฉากกั้นขึ้นมา ตรงกลางไปมุมอ่างล้างมือ และซ้ายมือสุดเป็นพื้นที่อ่างอาบน้ำ

ที่ผนังมุมอ่างล้างมือติดกระจกเงาขนาดใหญ่รวมถึงมีไฟซ่อนเอาไว้ข้างๆทั้งสองฝั่ง

อ่างล้างมือถูกอัพเกรดให้มีสองส่วนแยกเป็นแบบ His & Her ทั้งคุณผู้ชายและคุณผู้หญิง ที่ด้านล่างมีชุดตู้สามารถเก็บของได้ด้วย

ขวามือเป็นพื้นที่แยกส่วนเปียกได้กระจกนิรภัยฉากกั้นขึ้นมา จะมีส่วนของสุขภัณฑ์ และ พื้นที่อาบน้ำ

มุมสุขภัณฑ์

มุมชุดฝักบัวและ Rain Shower ได้กลับมาเป็นชุด Thermostatic Full Option

สิ่งที่เปลี่ยนไปคือเจ้าชุดอ่างอาบน้ำ ของ Cristina ตัวนี้ครับ

เริ่มจากตัวก๊อกและ Shower ที่แยกออกมาที่มุมด้านล่างของอ่าง

ตัวอ่างนั้นเป็นแบบ Jet Spa นอนแช่นวดตัวซึ่งมีปุ่มพ่นลมออกมาหลายจุด รวมถึงหมอนรองคอ

กระจกของ Sexy Bath ที่ได้แบบ Full High แบบพื้นจรดฝ้าเพดาน / Bay Window (กระจกเข้ามุม) / Intelligent Lighting Shield

**รายละเอียดของวัสดุต่างๆเช่น ยี่ห้อ และรุ่น ของจริงอาจจะเป็นรุ่นนี้หรือเทียบเท่านะครับ

ราคาและเงื่อนไขการขาย @ 24 October 2017

**ปัจจุบันห้องแบบ 1 Bedroom ทางโครงการแจ้งว่าขายหมดแล้วเลยไม่มีราคาให้ครับ

Fully Fiited [NO Furniture Package]

  • 2 Bedroom, type B1B, ชั้น 9, เนื้อที่ 70.30 ตร.ม. ราคา 18 ล้านบาท หรือ 256,182 บาท/ตร.ม.
  • 2 Bedroom, type B2A, ชั้น 12, เนื้อที่ 86.12 ตร.ม. ราคา 22.26 ล้านบาท หรือ 258,505 บาท/ตร.ม.
  • 3 Bedroom, type C4, ชั้น 30, เนื้อที่ 138.92 ตร.ม. ราคา 36.85 ล้านบาท หรือ 265,270 บาท/ตร.ม.
  • 3 Bedroom, type C1, ชั้น 30, เนื้อที่ 106.68 ตร.ม. ราคา 28.62 ล้านบาท หรือ 268,345 บาท/ตร.ม.
  • 3 Bedroom, type PH2, ชั้น 37, เนื้อที่ 137.88 ตร.ม. ราคา 39.02 ล้านบาท หรือ 283,044 บาท/ตร.ม.

Fully Furnished [YES Furniture Package]

  • 2 Bedroom, type B1A, ชั้น 18, เนื้อที่ 70.30 ตร.ม. ราคา 18.62 ล้านบาท หรือ 264,895 บาท/ตร.ม.


  • Fully Fitted (แอร์ฝังฝ้า), Built-In ตู้เก็บรองเท้า หน้าบานตู้เย็น และตู้เสื้อผ้า
  • ราคาเฉลี่ยต่อตารางเมตรทั้งโครงการ 265,000 บาท/ตร.ม. (จากราคาห้องที่เหลือขาย)
  • (สอบถามราคา แต่ละ Type และแต่ละชั้นเพิ่มเติมจากทาง Sale)
  • ฝ้าเพดานสูง 3 เมตร (ส่วนงานระบบลดเหลือ 2.6 เมตร)
  • Kitchen & Sink (ท๊อปหินสังเคราะห์)
  • Hob & Hood, Oven, Microwave by PHILIPPE STARCK
  • ตู้เย็น Gorenje แบบ Bulit-In
  • Digital Door Lock – YALE
  • Cotto Italia Tile
  • Intelligent Glass Film
  • Home Automation (สั่งการเปิดปิดไฟและแอร์) by Schenider
  • จอง 100,000 – 200,000 บาท (แล้วแต่แบบห้อง)
  • ทำสัญญาประมาณ 4.5%
  • ดาวน์ 15% ผ่อนดาวน์ 26-27 งวด
  • ค่ากองทุน 900 บาท/ตร.ม.
  • ค่าส่วนกลาง 90 บาท/ตร.ม./เดือน

**ราคาที่เอามาลงในบทความเป็นราคา ณ วันที่เข้าไปเก็บข้อมูลทำรีวิว ดังนั้นราคาต่างๆอาจมีการเปลี่ยนแปลงได้ครับ


เจาะลึกรวบยอด

ทำเล อยู่ติดถนนหลักและใกล้แยกอโศกหนึ่งในพื้นที่ CBD แห่งหนึ่งของประเทศไทย อีกทั้งใกล้กับระบบขนส่งรถไฟฟ้า Interchange BTS-MRT บนถนนอโศกมนตรีนั้น ประกอบด้วยอาคารสำนักงานจำนวนมาก เช่น อาคาร Interchange21, Exchange Tower, GMM Grammy, BB Tower, ชิโนไทย ทาวน์เวอร์, 253 Asoke เสริมมิตรทาวเวอร์ และอื่นๆอีกมากมายเต็มไปหมด รวมไปถึงในย่านนี้ยังมีมหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒที่เป็นมหาวิทยาลัยขนาดใหญ่ และมีโรงแรม 4-5 ดาวใหญ่ๆ อีกเพียบที่รองรับชาวต่างชาติทั้งที่มาทำงานและท่องเที่ยว

ความอุดมสมบูรณ์ ย่านนี้เรียกว่ามีครบเครื่องทุกอย่างหาได้หมดไม่ยาก มีความครบครันของสิ่งอำนวยความสะดวก ทั้งห้างสรรพสินค้าอย่าง Terminal 21 ที่อยู่บริเวณแยกอโศกมนตรีตัดกับถนนสุขุมวิท โรงแรมห้าดาวต่างๆ อาคารสำนักงานชื่อดัง สถาบันการศึกษา ตลาด ร้านอาหาร รองรับความต้องการของผู้คนในพื้นที่ได้ครบถ้วนโดยหลักๆจะอิงถนนหลัก 3 เส้นทาง คือ ถนนอโศกมนตรี ถนนสุขุมวิท และถนนเพชรบุรีตัดใหม่ มีแหล่งช็อปปิ้งครบตั้งแต่ตลาดนัดไปจนถึงศูนย์การค้าชื่อดัง อย่าง Terminal 21, Central Embassy, Central ชิดลม, Central World, เกษร พลาซ่า, Siam Paragon ได้ตามใจชอบ

การเดินทางโดยใช้รถ เป็นถนนที่เชื่อมระหว่างถนนสุขุมวิท และถนนเพชรบุรี บริเวณแยกอโศกนั้นเป็น Center ใจกลางเมืองที่แจกตัวไปได้ทั้งเพลินจิต สยาม หรือลงมาทางพระราม 4 ไม่ก็ไปทางเอกมัยทองหล่อได้หมด ถ้าไม่มองเรื่องการจราจรเรียกว่าดีทีเดียว แต่ก็อย่างว่านี่คือพื้นที่ใจกลางเมืองชั้นใน เป็นหนึ่งในเส้นที่มีคนแห่เข้ามาทำงานเป็นจำนวนมากมหาศาล การใช้รถยนต์ส่วนตัวเดินทางเข้ามานี่ต้องบอกว่า สาหัสแน่นอน ยิ่งถ้าใครไม่เรียนรู้ทางลัด ทางเลี้ยวซิกแซกต่างๆละก็วันๆหมดไปกับการอยู่ในรถเลย

การเดินทางโดยไม่ใช้รถ เป็นจุดเด่นของโครงการนี้เลยก็ว่าได้ อันดับแรกเป็น Interchange รถไฟฟ้าทั้ง 2 สาย อย่าง BTS สถานีอโศก, MRT สุขุมวิท ขึ้นไป 2 สถานี มี Airport Link สถานีมักกะสัน ที่นอกจากจะจอดตามป้ายปกติแล้วก็ยังพาเราไปถึงสนามบินสุวรรณภูมิได้โดยไม่ต้องพึ่งรถยนต์ เวลาจะไปส่งใครที่สนามบินช่วงที่รถติดๆ (หรือไม่มีรถขับ) ก็ต้องบอกว่าเวิร์คใช้ได้เลย บนถนนอโศกมนตรีเป็นแหล่งรวม Office Building อยู่แล้ว ทำให้มี Taxi ผ่านไปมามากสุดๆ เรียกง่ายตลอดเวลาแม้กระทั่งยันดึกดื่น ส่วนรถเมล์และวินมอเตอร์ไซต์นั้นก็หาง่ายมากจากที่ผมเดินสำรวจ หรือตัวเลือกเสริมอย่างเรือด่วนแสนแสบก็มีคนใช้เป็นจำนวนมากเช่นกัน

วัสดุ ที่นี่เรียกว่าให้มาค่อนข้างสมราคา Fully Fitted จะได้(แอร์ฝังฝ้า), Built-In ตู้เก็บรองเท้า หน้าบานตู้เย็น และตู้เสื้อผ้า, ฝ้าเพดานสูง 3 เมตร (ส่วนงานระบบลดเหลือ 2.6 เมตร), Kitchen & Sink (ท๊อปหินสังเคราะห์), Hob & Hood, Microwave by PHILIPPE STARCK, ตู้เย็น Gorenje แบบ Bulit-In, Digital Door Lock – YALE และ Home Automation (สั่งการเปิดปิดไฟและแอร์) ในห้องน้ำจะได้ชุดอ่างล้างมือสุขภัณฑ์ Duravit รวมถึง Rain Shower แบบ Thermostatic ท๊อปอ่างล้างมือได้หินอ่อน และอ่างอาบน้ำของ Cristina ถ้าเป็นห้อง 2 Bed ขึ้นไปจะได้อัพเกรทขึ้นมาอีกหน่อยนึงด้วย / ตัวพื้นส่วนครัวเป็น พอร์ชเลนแผ่นใหญ่ลายหินอ่อน ส่วนนั่งเล่นจะได้เป็น Endgineering Wood พื้นระเบียงเป็นกระเบื้องลายไม้

การออกแบบ หน้าตาอาคารออกแบบมาในลักษณะของ “Timeless” ที่ตั้งใจออกมาให้ดูเรียบๆ ไม่หวือหวาเกินไป เป็นรูปแบบของการมองไปแล้วยังสวยหรูได้นานแม้เวลาจะผ่านไปหลายปีแล้วก็ตาม ตัวโครงการยังเลือกเหล่าสถาปนิกชั้นนำของประเทศมาออกแบบในโครงการ ซึ่งทั้ง 3 เจ้ามีผลงานในโครงการระดับ Super Luxury มากมาย ได้แก่  Architect : A49  /  Interior : DWP  /  Landscape : Shma อีกทั้งรูปแบบห้องพักทีนี่มีให้เลือกค่อนข้างหลากหลาย 1-3 Bedroom และ Crown Penthouse และ Crown Duplex ขนาดอยู่ที่ 34.7 – 138.92 ตร..

สาธารณูปโภค ที่นี่ถือว่าให้มาเยอะนะครับสำหรับโครงการ High Rise ที่มีแค่ 217 ยูนิตเท่านั้น เลยมีค่าส่วนกลางที่สูงหน่อยเช่นกัน แต่สิ่งที่ได้ถือว่าเยอะอยู่ เริ่มจาก Ground Floor : Sanctuary Garden, Lobby Lounge (Ceiling 5 M.), Visitor’s Parking, EV Charging Dock / Mezzanine : Management Concierge & Business Center / Floor 33 : Sky Water Club 180 Panoramic Lap Pool, สระว่ายน้ำ Lap Pool ระบบเกลือ ส่วนความกว้าง 4.5 เมตร ด้านยาวสุด 25 เมตร ลึก 1.2 เมตร  Reflective Shallow Pool, Sky Edge Social Jacuzzi, Jacuzzi Twin Beds, Personal Jacuzzi, Hydro Jet Seats, Floating Sky Loungers, Pool Pavilions, WET SPA(Male&Female), Steam/Sauna, Experiential Shower, Water Jet Massage, Personalized Service Room / Floor 34 : Fitness Club Cardio & Spin, Weights, Boxing, Yoga Pod, Virtual Fitness / Celes Residential Club Skyline Gallery, Reading Corner, Private Dinning & Meeting Room / Floor 35 : The Celestial Terrace / Rooftop : Alfresco Rooftop Observatory, Sky Dining, Horizon BBQ, 360 view Sky Lounge

 

Judgement

ราคาของคอนโดนี้ถือเป็นระดับ ULTIMATE CLASS ซึ่งความคุ้มค่าด้านราคาไม่ใช่ปัจจัยหลักเพียงอย่างเดียวในการตัดสินใจซื้อ ความคุ้มค่าด้านอารมณ์คือปัจจัยหลักอีกอย่างหนึ่ง ซึ่งตราบเท่าที่ทางเรายังไม่สามารถวัดค่ามาตรฐานทางอารมณ์ได้ ทาง Think of Living ขอไม่ให้คะแนนฟันธงในรีวิวเจาะลึกนะครับ เพราะมีตัวเปรียบเทียบน้อย เป็นสินค้าประเภท Unique เสียส่วนใหญ่ และเราก็เชื่อว่าลูกค้าที่พร้อมจะซื้อคอนโดระดับนี้ ไม่ตัดสินง่ายๆด้วยคะแนนแน่นอน

 

BOTTOM LINE

CELES ASOKE เหมาะสำหรับคนที่ทำงานอยู่ย่านอโศก หรือ อิงเซ็นเตอร์แยกอโศกบนสุขุมวิทก็ได้ การเดินทางใช้รถยนต์สะดวก หรือรถไฟฟ้าและโดยรถสาธารณะอื่นๆนั้นก็ง่าย ชอบรูปแบบโครงการที่ให้ส่วนกลางที่หลากหลายและน่าใช้งานดูหรูหรา รูปแบบห้องมีให้เลือกเหมาะตั้งแต่ 1-4 คนอยู่ได้ พร้อมของตกแต่งห้องที่เหมาะสมกับราคาที่จ่าย