คอนโดมิเนียม… ไม่ใช่แค่ที่อยู่อาศัยเฉพาะแต่ครอบครัวหรือคนวัยทำงานเท่านั้น สมัยนี้มีเด็กนักศึกษาหลากหลายคนเลือกที่จะเช่าคอนโดใกล้มหาลัย แทนที่จะอยู่หอพักแบบเดิมๆ เพราะเรื่องของความปลอดภัยและสิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆ ที่โครงการประเภทนี้มีให้นั้นแตกต่างจากหอพักนักศึกษาทั่วไป เพียงแต่อาจจะต้องแลกมากับค่าเช่าที่สูงขึ้นมาสักหน่อย ซึ่งหลายคนก็ยังมองว่าคุ้มอยู่ แล้วก็ไม่ใช่แค่กลุ่มนักศึกษายุคใหม่เท่านั้นที่เล็งเห็นถึงจุดนี้ ทั้งนักลงทุนหรือแม้แต่พ่อแม่ผู้ปกครองเองก็เริ่มมองเห็นข้อได้เปรียบต่างๆ เหล่านี้เช่นกัน

สมมุติผู้ปกครองท่านหนึ่งมีลูกที่สอบเข้าติดมหาวิทยาลัยแห่งหนึ่ง ก็คงอยากให้ลูกหลานมีที่พักที่ดีและปลอดภัย เขาสามารถใช้ชีวิตด้วยตัวเองได้โดยที่เราไม่ต้องเป็นห่วงมาก แต่ยังคงมีความสะดวกสบายครบครัน “คอนโดมิเนียมใกล้มหาลัยคือคำตอบ” เพราะถ้าหากซื้อให้ลูกๆอยู่จนกว่าจะเรียนจบอย่างน้อยก็ 4 – 5 ปี แล้วหลังจากนั้นจะขายต่อก็ได้กำไร หรือจะถือต่อเพื่อปล่อยเช่านักศึกษารุ่นใหม่ต่อก็ยังได้

สมัยนี้มีคอนโดมิเนียมประเภทนี้เกิดขึ้นมากมายตามมหาวิทยาลัยหลายๆแห่ง และหนึ่งในนั้นที่วันนี้ผมจะพาไปดูคือ ทำเลของมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ศูนย์รังสิต เราลองไปดูกันว่าแถวๆนั้นจะมีโครงการอะไรเกิดขึ้นในละแวกบ้าง และถ้าคิดจะอยู่อาศัยที่แห่งนั้นจริงๆ น้องๆจะต้องใช้ชีวิตยังไง อะไรคือสิ่งจำเป็นที่ตอบโจทย์สำหรับกลุ่มผู้พักอาศัยประเภทนี้ ซึ่งบทความนี้จะเหมาะสมกับน้องๆนักศึกษา พ่อแม่ผู้ปกครอง และนักลงทุนที่กำลังมองหาโครงการในทำเลมหาลัยแห่งนี้อยู่นั่นเอง จะเป็นอย่างไรลองไปรับชมกันเลยครับ

ก่อนจะเข้าเรื่องทำเลหรือโครงการคอนโดมิเนียมนั้น เรามาทำความรู้จักกับมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์กันก่อนนะ โดยมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์นั้นมีหลากหลายแห่งก็จริง แต่ที่ใหญ่ที่สุดและถือเป็นศูนย์กลางหลักเลยก็คือ ศูนย์รังสิต นั่นเองครับ ส่วนที่ท่าพระจันทร์นั้นเป็นศูนย์แรกที่เกิดขึ้น ปัจจุบันก็ยังคงใช้สำหรับการเรียนการสอนอยู่บ้างในบางคณะ แต่หลักๆจะใช้เป็นสถานที่ประชุมและงานรับปริญญากันซะมากกว่า

สำหรับมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ศูนย์รังสิต มีเนื้อที่กว่า 1,769 ไร่ ถือว่าใหญ่ที่สุดในบรรดาทุกๆศูนย์ในประเทศ มีจำนวนนักศึกษามากถึง 43,845 คน และมีบุคคลากรในมหาลัยอีกกว่า 7,215 คน (จากข้อมูลสถิติของ มธ. ปี 2562) แน่นอนว่าจำนวนคนที่มากขนาดนี้นั้นความต้องการที่อยู่อาศัยย่อมตามมาแน่นอน ซึ่งส่วนใหญ่แล้วจะเป็นนักศึกษาที่มาจากกรุงเทพฯ มากถึง 27.48% แต่จะให้ขับรถไป-กลับจากกรุงเทพเกือบทุกวัน วันละ 1 – 2 ชม. ก็คงไม่ไหว การเช่าหอพักหรือคอนโดมิเนียมอยู่นั้นจึงเป็นตัวเลือกที่น่าสนใจครับ

ทีนี้เราลองมาดูแผนที่กันสักหน่อยนะครับ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ศูนย์รังสิต มีที่ดินอยู่ติดกับถนน 2 ฝั่งคือ ถนนพหลโยธินที่เป็นถนนเส้นหลักทางด้านหน้า และมีถนนเชียงรากซึ่งเป็นถนนเส้นรองอยู่ทางด้านข้าง มีประตูเข้า-ออกอยู่ 5 จุด โดยทุกๆ ประตูจะเปิดตอนเช้าพร้อมกันคือ ตี 5 แต่ประตูพหล 3 และ 4 จะปิดเวลา 5 โมงเย็น ประตูเชียงราก 2 จะปิดเวลา 4 ทุ่ม และประตูเชียงราก 1 จะปิดเวลา 5 ทุ่มครับ ส่วนประตูพหล 1 นั้น จะใช้งานร่วมกับทางเข้าของสถาบัน AIT และจะมีประตูพหล 2 อยู่ถัดเข้ามาด้านในอีกชั้นหนึ่ง ซึ่งประตูนี้จะเปิดตลอดเวลา 24 ชม. แต่ถึงแม้ประตูทางเข้า-ออกรถยนต์จะปิดก็ตาม แต่น้องๆนักศึกษาก็ยังสามารถใช้ประตูคนเดินเล็กๆเข้า-ออกได้อยู่ตลอดเวลา ดังนั้นน้องๆที่ต้องทำงานหรือทำกิจกรรมที่คณะตอนดึกๆ ก็ยังสามารถเดินกลับที่พักได้โดยไม่ต้องไปอ้อมไกลครับ

นักศึกษาส่วนใหญ่เลือกที่จะอยู่หอพักหรือคอนโดฝั่งถนนเชียงราก ซึ่งจะอยู่ใกล้กับตึกคณะต่างๆ ที่ส่วนใหญ่จะอิงมาทางฝั่งประตูเชียงราก 1 และประตูเชียงราก 2 ยกเว้นพวกคณะวิทยาศาสตร์และคณะแพทย์ต่างๆ ที่จะอยู่บริเวณด้านในหลังโรงพยาบาลธรรมศาสตร์ ซึ่งจะมีหอพักเป็นหอในของตัวเองแยกต่างหากด้วย ส่วนบริเวณกลางๆ มหาลัยก็จะเป็นอาคารเรียนรวมซะเป็นส่วนมาก ซึ่งโดยปกติแล้วแต่ละคณะก็จะเรียนที่ตึกคณะของตัวเองเป็นหลัก แต่หากเป็น sec ใหญ่ๆที่เรียนรวมหลายๆคนหรือหลายๆคณะรวมกัน ก็จะไปเรียนที่ตึก SC หรือตึก บร. ต่างๆ ที่อยู่บริเวณกลางๆ ของมหาลัย ซึ่งน้องๆนักศึกษาก็สามารถเดินไปเรียนได้จากทางเดินเชื่อมอาคารต่างๆ ส่วนทางด้านซ้ายมือของแผนที่หรือด้านในของมหาลัยนั้นจะเป็นอาคารกิจกรรม พื้นที่ส่วนกลาง และสนามกีฬาต่างๆ ซึ่งหากเป็นนักศึกษาหรือบุคคลากรของมหาลัยก็จะสามารถมาใช้งานกันได้ฟรี

นอกจากนี้ยังมีหอพักของนักศึกษาและบุคคลากรอีกด้วยครับ แน่นอนว่าการอยู่หอในนั้นจะค่อนข้างมีความปลอดภัยสูง และมีกฏระเบียบที่เข้มงวดซึ่งน้องๆจะต้องปฏิบัติตาม เช่น การแยกหอชาย-หญิง, การใช้ห้องอาบน้ำรวม, เวลาในการเข้า-ออกหอพักต้องไม่เกินเที่ยงคืน, หรือห้ามพาคนนอกขึ้นหอพักเด็ดขาด ซึ่งข้อจำกัดต่างๆ เหล่านี้ก็อาจไม่สะดวกสำหรับบางคนหรือบางคณะ เช่น จำเป็นต้องกลับดึกเพราะมีงานหรือกิจกรรมตอนกลางคืน, ต้องทำงานกลุ่มกับเพื่อน หรือพ่อแม่มาเยี่ยมบ่อยแต่ขึ้นห้องไม่ได้ เป็นต้น และที่สำคัญคือระยะทางค่อนข้างไกลจากตึกแต่ละคณะมากครับ เรียกได้ว่าอยู่คนละฟากของมหาลัยกันเลยทีเดียว ดังนั้นพอเริ่มขึ้นชั้นปีที่ 2 งานและกิจกรรมเริ่มเยอะและหนักหน่วงมากขึ้น รวมถึงเริ่มคุ้นชินและสามารถดูแลตัวเองได้ในระดับหนึ่งแล้ว นักศึกษาส่วนใหญ่จึงเลือกที่จะออกมาอยู่หอนอกบริเวณถนนเชียงรากที่ใกล้คณะ และใกล้แหล่งความอุดมสมบูรณ์ที่สามารถเดินเชื่อมต่อถึงกันได้ง่ายมากกว่าครับ

สำหรับตัวเลือกในการเดินทางในมหาลัยนั้น หากใครไม่ชอบเดินก็ยังมีตัวเลือกอื่นๆ เช่น การขี่จักรยาน โดยจะมีเส้นทางจักรยานที่วิ่งคู่ขนานไปกับทางเดิน ซึ่งสามารถขี่ได้รอบมหาลัยอีกด้วย มีทั้งแบบกลางแจ้งและแบบในร่ม ถ้าเป็นแบบกลางแจ้งก็จะเป็นเส้นทางที่มีต้นไม้ใหญ่ปกคลุม คอยให้ร่มเงาเหมือนได้ขี่อยู่ในสวนสาธารณะขนาดใหญ่ และถ้าเป็นแบบทางสั้นๆระหว่างอาคารก็จะมีหลังคาคลุมกันแดดกันฝนให้ด้วย โดยทางมหาลัยได้เตรียมจุดบริการเช่าจักรยานและสกู๊ดเตอร์ไฟฟ้ากระจายอยู่ทั้ง 10 จุดของมหาลัยเลยครับ ซึ่งก็มีนักศึกษาจำนวนไม่น้อยที่นิยมใช้กันมากเลยทีเดียว

อีกหนึ่งตัวเลือกการเดินทางที่เป็นเอกลักษณ์ และดูเหมือนว่าจะมีอยู่ในทุกๆมหาลัยเลยคือ รถราง ซึ่งสำหรับมหาวิทยลัยธรรมศาสตร์เราจะเรียกว่ารถ NGV ครับ จะบริการรับ-ส่ง นักศึกษาและบุคคลากรในมหาวิทยาลัยฟรี ตามเส้นทางต่างๆที่กำหนด ซึ่งก็เพิ่งมีการปรับเปลี่ยนเส้นทางกันเมื่อไม่กี่ปีก่อนหน้านี้เอง แต่ก็ไม่ได้ต่างจากเดิมมากนักนะครับ และตามธรรมเนียมแล้วน้องๆที่ใช้บริการ ก่อนจะลงจากรถก็มักจะกล่าวของคุณเจ้าหน้าที่คนขับดังๆ เพื่อเป็นการแสดงน้ำใจเล็กๆน้อยๆ ที่เขาอุตส่าห์ขับมาส่งให้ฟรี ซึ่งเป็นมุมที่น่ารักมากๆเลย

อัพเดทของใหม่กันอีกสักเรื่อง สำหรับใครที่ไม่ได้ไปมหาลัยธรรมศาสตร์นานแล้ว คือท่ารถตู้มีการย้ายตำแหน่งใหม่ จากเดิมที่อยู่บริเวณหน้าอาคารโดมบริหาร ก็เปลี่ยนมาเป็นฝั่งตรงข้ามคณะสถาปัตย์ บริเวณประตูเชียงราก 2 แทนครับ ซึ่งผมมองว่าดีนะ เพราะมันย้ายมาอยู่ใกล้แหล่งหอพักของน้องๆ ที่อยู่ตรงเชียงรากมากขึ้น ซึ่งจากเดิมถ้าจะกลับบ้านต่างจังหวัด เข้าเมืองไปอนุสาวรีย์ หรือไปเดินห้างที่ฟิวเจอร์ ก็จะต้องนั่งวินมอไซค์หรือรอรถ NGV เพื่อไปถึงอาคารโดมบริหารที่อยู่ด้านใน แต่พอย้ายมาอยู่ตรงนี้แล้วก็เรียกได้ว่าเดินมาจากหอเลยก็ยังได้ครับ ถือว่าสะดวกมากๆ

หลังจากที่เราทำความรู้จักกับตัวมหาลัยธรรมศาสตร์กันไปแล้ว เราลองมาดูทำเลและความอุดมสมบูรณ์รอบๆกันบ้างครับ ซึ่งผมจะขอแบ่งออกเป็น 2 โซน โดยใช้ถนนพหลโยธินตรงกลางเป็นตัวแบ่งนะ

โซนแรก คือฝั่งมหาลัยที่จะมีความอุดมสมบูรณ์ต่างๆ กระจุกตัวอยู่หนาแน่นบริเวณถนนเชียงราก โดยเฉพาะ U-Square ที่เต็มไปด้วยแหล่งร้านค้า และของกินต่างๆมากมาย มี TU Dome ที่เป็นอาคาร Mixed-use ขนาดใหญ่ของมหาลัยที่มีทั้งร้านค้า ร้านอาหาร เป็นเหมือนห้างสรรพสินค้าเล็กๆอยู่ด้านหน้า และมีหอพักนักศึกษาให้เช่าอยู่ทางด้านหลัง และแน่นอนว่าโดยรอบยังเต็มไปด้วยหอพักนักศึกษาอีกมากมาย และมีคอนโดมิเนียมอีก 4 โครงการคือ

  • Dcondo Campus Resort Rangsit จากแสนสิริ มีทั้งหมด 3 โครงการ 3 เฟส
  • Fah Dome Condominium ซึ่งเป็น Local แบรนด์ที่อยู่ด้านหลังมหาลัย

โซนที่ 2 คือทางฝั่งคลองหลวงที่อยู่อีกฟากของถนนพหลโยธิน เป็นทำเลที่จำเป็นต้องใช้รถ แต่ก็มีความอุดมสมบูรณ์จากห้าง Tesco Lotus, Makro และตลาดไท ซึ่งจะมีโครงการคอนโดมิเนียมอยู่ด้วยกัน 2 โครงการคือ

  • The Kith คลองหลวง จากเสนา ดีเวลลอปเม้นท์ อยู่ด้านหลังห้าง Makro
  • MT Residence จาก MT Asset ที่อยู่ใกล้กับ Cherry mall ตรงทางเข้าวัดพระธรรมกาย

จากภาพ เราสามารถแบ่งแยกโซนที่พักอาศัยของถนนเชียงรากออกได้อีกเป็น 4 โซน ซึ่งแต่ละโซนก็จะมีลักษณะ สถาพแวดล้อม และความเป็นอยู่ที่แตกต่างกันออกไป คือ

1. โซน U-Square : เป็นโซนที่อุดมสมบูรณ์และใกล้กับประตูมหาลัยมากที่สุด มีหอพักนักศึกษาขึ้นกันอยู่อย่างหนาแน่น และมีร้านค้าต่างๆมากมาย สรุปคือเป็นโซนที่สะดวกสบาย แต่ก็พลุกพล่านมากที่สุดโซนหนึ่ง ซึ่งหากใครที่ชื่นชอบความเงียบสงบและเป็นส่วนตัวก็อาจไม่เหมาะกับโซนนี้มากนักครับ

2. โซน SUNTA :  เป็นโซนที่อยู่ฝั่งตรงข้ามกับมหาลัยและ U-Square ซึ่งจะสามารถเดินข้ามไป-มาได้ด้วยสะพานลอย ก็ยังถือว่าเดินทางค่อนข้างสะดวกอยู่ครับ ไม่ได้ลำบากมากนัก รวมถึงเรื่องอาหารการกินก็พอมีบริเวณริมถนนและปากซอยต่างๆ หรือส่วนใหญ่น้องๆนักศึกษาก็จะหาซื้อของกินกันตั้งแต่ฝั่ง U-Square เสร็จแล้วค่อยข้ามฝั่งเพื่อกลับไปยังที่พักครับ สรุปแล้วโซนนี้ถือว่ายังมีความสะดวกสบายอยู่นะ และมีความเป็นส่วนตัวเพิ่มขึ้นมาหน่อย ไม่พลุกพล่านเหมือนฝั่งมหาลัย เหมาะแก่การอยู่อาศัยครับ

3. โซน J-Park : เป็นอีกโซนที่อยู่ฝั่งเดียวกับมหาลัย แต่จะอยู่บริเวณด้านหลัง และถ้าออกมาจากมอก็จะต้องไปกลับรถมาก่อน 2 รอบ โซนนี้ขึ้นชื่อว่าเป็นโซนที่มีหอพักราคาแพงอย่าง J-Park ตั้งอยู่ ด้านหน้ามี Plaza เป็นของตัวเอง ซึ่งก็มีสิ่งอำนวยความสะดวกครบครัน และยังมีหอพักอื่นๆอยู่ด้านในซอยอีกด้วย เป็นอีกหนึ่งทำเลที่ถือว่าสงบมากกว่า U-Square เพราะเดิมทีโดยรอบเป็นชุมชนที่อยู่อาศัยดั้งเดิม แต่หากใครคิดว่าจุดนี้เป็นแหล่งผับและแฮงค์เอ้าท์ ตอนนี้ไม่มีแล้วนะครับ ร้านปิดไปหมดแล้ว (T^T)

4. โซน Golf View : โซนนี้ถือว่าเป็นเอกเทศมากๆ แยกตัวออกมาจากโซนอื่นๆ และได้ตั้งอาณาจักรขึ้นมาเป็นของตัวเองด้านใน แต่ด้วยความที่มันไกลและเดินทางลำบากมากสุดในบรรดาทุกๆโซน จึงทำให้ราคาหอพักค่อนข้างถูก เหมาะกับนักศึกษาที่ไม่เน้นเรื่องความอุดมสมบูรณ์ ไม่กลัวเรื่องเดินทางลำบาก เพราะอันที่จริงแล้วทางหอก็มีรถรับ-ส่งนะ แต่ถ้าเน้นเรื่องราคาถูกและความเป็นส่วนตัวก็จะเลือกอยู่ที่โซนนี้กันครับ

มาดูภาพของจริงจากบนสะพานลอยกันบ้างครับ ทิศทางนี้เป็นทางที่มุ่งหน้าไปถนนพหลโยธิน – คลองหลวง ด้านซ้ายคือฝั่งมหาลัยที่มี U-Square เป็นแหล่งความอุดมสมบูรณ์มากที่สุด ไล่ยาวมาเรื่อยๆจนมาถึงบริเวณด้านหลังหอ City Park ตึกสูงๆทางซ้ายมือที่เห็นในภาพ ซึ่งจะอยู่ใกล้กับประตูเชียงราก 1 ที่อยู่ด้านหลังผมตรงนี้ ส่วนฝั่งตรงข้ามก็เป็นโซนที่ 2 ฝั่งของพวกหอพัก Sunta ซึ่งจะมี Dcondo ของแสนสิริตั้งอยู่ในซอยครับ

มีภาพบรรยากาศโซน U-Square มาให้ชมกันด้วยนะ เป็นศูนย์อาหารขนาดใหญ่ที่เต็มไปด้วยร้านค้าร้านอาหารมากมาย มีทั้งแบบเต็นท์และตามใต้อาคารพาณิชย์ต่างๆ เต็มไปหมด ซึ่งก็ไม่ได้มีแต่น้องๆนักศึกษาเท่านั้นนะครับที่มาทานอาหารที่นี่ ชาวบ้านและคนวัยทำงานเองก็มักจะมาฝากท้องที่นี่อยู่เป็นประจำเช่นกัน ร้านข้าวเปิดกันตั้งแต่เที่ยงวันจนถึง 4 – 5 ทุ่มกันเลยทีเดียว นี่ยังไม่รวมพลาซ่าที่พึ่งเปิดใหม่ทางฝั่งหอ Sky View (อีกด้านของประตูเชียงราก 2) ที่ใช้ชื่อว่า “นายเกรียง ฟู๊ดเซ็นเตอร์ ประตู 2” ซึ่งภายในจะมีทั้งศูนย์อาหาร ร้านหมูกะทะ ร้านเสริมสวย และฟิตเนสเซ็นเตอร์อีกด้วย นับว่าร้านค้าร้านอาหารเยอะขึ้นกว่าแต่ก่อนมาก ซึ่งน้องๆ นักศึกษาก็จะมีตัวเลือกเยอะขึ้น ไม่ต้องไปเบียดเสียดหรืออัดแน่นกันแต่เฉพาะฝั่ง U-Square เหมือนแต่ก่อนแล้วครับ

คราวนี้เรามาดูทางฝั่งตรงข้ามกันบ้าง ซึ่งจะต้องข้ามถนนจากสะพานลอยหน้าหอ City Park มาก่อน ซึ่งก็ไม่ได้ลำบากอะไรเท่าไหร่ โดยทางฝั่งนี้ก็จะมีหอพักอีกหลายแห่งทั้งที่อยู่ติดถนนและเข้ามาในซอย แต่เป้าหมายของเราคือซอยของหอ Huas ที่เดิมทีจะเป็นหอพักเดียวในซอย แต่หลังจากเมื่อไม่กี่ปีก่อนที่ แสนสิริ ได้เข้ามาบุกเบิกคอนโดมิเนียมขึ้นครั้งแรก โดยใช้ชื่อแบรนด์ Dcondo Campus Resort เป็นคอนโดราคาประหยัดเริ่มต้นเพียงล้านกว่าๆเท่านั้น ซึ่งก็ได้รับผลตอบรับที่ค่อนข้างดี ทำเลไม่แย่ครับ เข้ามาในซอยประมาณ 400 m. ถ้ารวมข้ามสะพานลอยจนไปถึงประตูเชียงราก 1 ก็ประมาณ 600 – 750 m. ถือว่ายังเป็นระยะที่เดินได้นะสำหรับนักศึกษา

ถึงแม้จะเป็นระยะที่ต้องเดินสักหน่อย แต่ก็มีหลายๆคนชอบทำเลนี้ เพราะไม่พลุกพล่านเหมือนฝั่งมหาลัย ไม่ไกลจากประตูทางเข้าและความอุดมสมบูรณ์มากนัก ซึ่งก็มีทั้งพ่อแม่ผู้ปกครอง รวมถึงนักลงทุนมาซื้อและปล่อยเช่าให้กับนักศึกษาในพื้นที่ เมื่อโครงการแรกขายหมดจึงได้เกิดโครงการเฟสที่ 2 และ 3 ตามมาครับ ลักษณะโครงการทั้ง 3 เฟสใกล้เคียงกัน และตอนนี้ก็ขายหมดทุกเฟสแล้วด้วย โดยปัจจุบันเฟส 1 และ 2 สร้างเสร็จและมีคนเข้าอยู่แล้วเรียบร้อย ส่วนเฟสที่ 3 กำลังอยู่ในระหว่างการก่อสร้างครับ

บรรยากาศภายในซอยนั้นได้ทางแสนสิริเป็นคนลงทุนปรับเปลี่ยนภูมิทัศน์ให้ดีและปลอดภัยมากยิ่งขึ้น ทั้งทำพื้นถนนใหม่ มีการแบ่งเลนจักรยานสำหรับนักศึกษาที่ใช้จักรยานด้วยนะ สองข้างทางปลูกต้นไม้ร่มรื่น มีวงเวียนให้วนกลับรถง่าย และเมื่อมีคอนโดในซอยและมีป้อมยามอยู่ด้านหน้า จึงไม่ต้องกังวลเรื่องความปลอดภัย เพราะโครงการที่อยู่ด้านในก็จะได้ยามของโครงการที่อยู่ระหว่างทางช่วยดูแลให้ด้วยอีกแรง ซึ่งโครงการแรกที่เราจะผ่านในซอยนี้ก็คือ Dcondo Campus Resort เฟสแรกนั่นเองครับ

มาดูผังโครงการกันสักหน่อยนะครับ โครงการ Dcondo Campus Resort เป็นคอนโด Low rise สูง 8 ชั้น 4 อาคาร มีจำนวนยูนิตรวม 837 ยูนิต ถือว่าไม่เยอะมากนะครับ โครงการนี้สร้างเสร็จมาตั้งแต่ปี 2014 ซึ่งตัวอาคารทั้ง 4 จะโอมล้อมสวนที่อยู่ตรงกลาง จึงทำให้ห้องที่หันมาด้านในจะได้รับวิวสวนและสระว่ายน้ำอีกด้วย โดยเฉพาะอาคาร A และ D จะมีระยะที่ห่างกันมากหน่อย จึงได้ความเป็นส่วนตัวค่อนข้างสูงครับ แต่ก็อาจพลุกพล่านมากกว่าเช่นกันนะเพราะอยู่บริเวณด้านหน้าที่ทุกคนจะต้องเดินผ่าน และมีส่วนกลางอย่างสระว่ายน้ำกับฟิตเนสที่หลายๆคนมักจะมาใช้งานกันอีกด้วย ส่วนอาคาร B และ C ที่อยู่ด้านใน ตรงกลางจะเป็นสวนที่ค่อนข้างเงียบสงบ แต่ก็อาจมีระยะห่างระหว่างอาคารใกล้ไปสักนิด อาจมองเห็นข้ามตึกกันได้ง่าย และที่ชั้น 1 แต่ละอาคารจะมี Lobby และห้อง Common room แยกเป็นของตัวเองต่างหากเพื่อความเป็นส่วนตัว ส่วนโดยรอบอาคารจะเป็นถนนตามระยะ set back กฏหมาย และเป็นที่จอดรถโดยรอบ ซึ่งส่วนมากจะจอดแบบกลางแจ้งนะครับ

มีผังอาคาร A มาให้ดูเป็นตัวอย่างกันด้วย ซึ่งแต่ละอาคารจะมีการจัดวางตำแหน่งห้องพักที่คล้ายๆกันเลยครับ โถงลิฟต์จะอยู่บริเวณตรงกลางเพื่อสะดวกต่อการใช้งานของทั้งอาคาร ห้องพักจะมีแค่แบบเดียวเพียงแต่จะแตกต่างกันออกไปเล็กน้อยในเรื่องขนาดห้อง และห้องที่อยู่ริมสุดก็จะเป็นห้องที่มีช่องหน้าต่างด้านข้างเพิ่มอีกด้วย ทำให้ภายในห้องจะสว่างและถ่ายเทอากาศได้ดีมากขึ้น แต่ห้องที่น่าสนใจจริงๆสำหรับผมคือชั้น 1 ซึ่งจะได้โถงทางเดินแบบ Single corridor จึงค่อนข้างมีความเป็นส่วนตัว ซึ่งของจริงตรงระหว่างโถงลิฟต์และโถงทางเดินส่วนพักอาศัยชั้นนี้จะมีประตูที่ต้องใช้ key card อีกชั้นหนึ่งเพื่อความปลอดภัยครับ

แต่จุดที่สำคัญจริงๆของชั้น 1 คือวิวที่ได้รับจากหน้าต่างและระเบียง จะเป็นวิวสวนและต้นไม้ส่วนกลาง ซึ่งหากเป็นเวลาปกติที่ไม่มีคนใช้ ก็จะไม่ได้รู้สึกเสียความเป็นส่วนตัวอะไรนะครับ แถมยังได้วิวสวนและเงาไม้ที่ร่มรื่นอีกด้วย เพราะคอนโด Low rise นั้นไม่ได้เน้นวิวสูงๆไกลๆอยู่แล้วครับ เน้นการสัมผัสกับบรรยากาศธรรมชาติสวยๆในโครงการจะดีกว่า แต่ถ้าขยับขึ้นมาเป็นชั้น 2 – 3 ก็อาจมองเห็นพุ่มไม้และกิ่งไม้แบบเต็มๆ (แอบโดนบังวิวไปในตัว) แต่ก็อาจเหมาะกับคนที่ไม่เน้นดูวิวและอยากได้พุ่มไม้มาช่วยบังสายตาจากคนภายนอกก็ได้นะ แต่ถ้าอยากได้วิวสวนมุมกดแบบเห็นภาพรวมของสวนทั้งหมดก็อาจต้องเลือกชั้น 4 – 8 ไปเลยครับ ส่วนใครที่เลือกห้องที่หันไปด้านนอกโครงการก็อาจเป็นเพราะชอบวิวที่เปิดโล่ง สามารถมองออกไปไกลๆได้บ้างนั่นเองครับ

มาดูภาพบรรยากาศจริงตรงกลางภายในโครงการกันเลยครับ อย่างที่บอกว่าจุดนี้ค่อนข้างโปร่งโล่ง เพราะมีระยะห่างระหว่างอาคารที่ค่อนข้างมากนะ ส่วนต้นไม้ที่เลือกปลูกนั้นก็ไม่ใช่ต้นที่มีพุ่มใหญ่หรือหนาอะไรมากนัก บรรยากาศจึงออกแนวโปร่งโล่งเหมือนเป็นสวนสาธารณะกลางแจ้งซะมากกว่า แต่ก็ถือว่าดูดีและดูสดชื่นอยู่นะครับ

บรรยากาศโดยรวมคิดว่าคนที่เคยไปชมโครงการนี้หลายๆคนคงจะประทับใจกับต้นไม้ประธานที่อยู่ทางด้านหน้า เป็นต้นขนาดใหญ่ที่แผ่กิ่งก้านดูร่มรื่นและสวยงามมากเลยทีเดียว ทางเดินเชื่อมต่ออาคารและส่วนกลางต่างๆก็มีหลังคาคลุมให้อย่างดี โดยรอบปลูกต้นไม้ประดับให้ดูร่มรื่นน่าเดิน ภายในสวนก็มีที่นั่งให้อยู่หลายจุดครับ สามารถนั่งทำงานอ่านหนังสือ หรือติวข้อสอบกับเพื่อนๆในสวนได้ และมีฟิตเนสที่ขนาดใหญ่กำลังดี สามารถ take view มองสวนและสระว่ายน้ำภายนอกได้อีกด้วย

แต่ Facilities ที่สำคัญและจำเป็นที่สุดสำหรับน้องๆนักศึกษา ที่จะขาดไม่ได้เลยสำหรับคอนโดใกล้มหาลัยคือ Co-Working Space ซึ่งโครงการนี้ใช้ชื่อว่า Common room เป็นห้องอเนกประสงค์ไว้นั่งทำงานอ่านหนังสือได้ โดยจัดที่นั่งเอาไว้ให้หลายจุดและมีหลากหลายแบบ ทั้งโซฟาไว้นั่งล้อมวงติวหนังสือกันชิวๆ หรือโต๊ะตัวยาวที่สามารถจัดเป็นที่นั่งประชุมและนั่งทำงานจริงจังได้ ด้านข้างเป็นกระจกไว้ชมสวนภายนอกดูแล้วสดชื่นและโปร่งโล่งดีครับ ซึ่งในตอนเย็นๆหลังเลิกเรียก จะเห็นน้องๆนักศึกษามานั่งทำงานอ่านหนังสือกันเต็มไปหมดเลย ยิ่งช่วงสอบคนจะยิ่งแน่น และทางนิติเองก็จะมีการขยายเวลาใช้งานห้องนี้ จากเดิมที่ปิดตอน 4 ทุ่ม ก็จะปิดตอนเที่ยงคืนแทนครับ เพื่อให้น้องๆได้ติวข้อสอบกันอย่างเต็มที่นั่นเอง

นอกจากนี้สิ่งอื่นๆที่ควรจะมีเพื่อบริการสำหรับคอนโดของนักศึกษามหาลัย คือบรรดาตู้ขายของอัตโนมัติต่างๆ ทั้งตู้น้ำ ตู้อาหาร ต้องมีพร้อมไว้นะครับ เวลาอ่านหนังสือหรือทำงานดึกๆนี่คือสิ่งจำเป็นเลยจริงๆ ห้องซักรีดก็อย่าได้ขาด แต่ที่เห็นว่าแปลกและแตกต่างจากคอนโดทั่วไปจริงๆคือเครื่องถ่ายเอกสารเนี่ยแหละ จำเป็นมากนะครับเวลาน้องๆทำงาน ถ้าคนไหนไม่มีเครื่องปริ้นก็จะสามารถมาใช้งานได้ ไม่ต้องวิ่งออกไปหาร้านด้านนอกให้เสียเวลา

มาดูเรื่องผังห้องกันอีกสักหน่อยครับ โครงการนี้มีแบบห้องแค่ type เดียวคือ Studio ขนาด 29 ตารางเมตร ซึ่งจากแบบและห้องจริงนั้นจะต่างกัน ตรงที่กลางห้องจะต้องมีประตูกระจกบานเลื่อนกั้นระหว่างเตียงนอนและโซฟาด้วยครับ จะทำให้ฟังก์ชันแยกออกจากกันเป็นสัดส่วนมากขึ้น แต่ยังคงได้ความโปร่งโล่งอยู่นะ โดยฟังก์ชันนี้อาจไม่ได้เน้นการอยู่อาศัยของนักศึกษาเป็นพิเศษมากนัก เพราะไม่มีมุมโต๊ะหนังสือไว้นั่งทำงานจริงจัง อาจต้องใช้โต๊ะเครื่องแป้งข้างตู้เสื้อผ้าหรือโต๊ะทานอาหารแทนครับ แต่โครงการนี้กลับมีครัวปิดแยกออกต่างหาก ทำให้สามารถทำอาหารได้จริงจัง เพื่อรองรับคนวัยทำงานที่อยากซื้อและพักอาศัยที่โครงการนี้ด้วยเช่นกัน อาจเป็นบุคคลากรในมหาลัยก็ได้ เพราะเท่าที่ลองสอบถามจากทางนิติมา โครงการนี้มีทั้งนักศึกษาและคนวัยทำงานเช่าอยู่อย่างละครึ่งเลยทีเดียวครับ

Fact @ 3 April, 2019

  • ราคาค่าเช่าปัจจุบันปี 2019 อยู่ที่ประมาณ 8,500 – 9,000 บาท/เดือน (สัญญารายปี)
  • ราคาขาย Resale ปัจจุบันปี 2019 อยู่ที่ประมาณ 1.85 – 2 ล้านกว่าบาท หรือประมาณ 63,700 บาท/ตารางเมตร

สรุปแล้วโครงการนี้ถือว่าค่อนข้างดี ตอบโจทย์นักศึกษาตรงพื้นที่ส่วนกลางที่มีครบ โดยเฉพาะห้อง Co-Working และตู้หยอดเหรียญต่างๆ รวมถึงบรรยากาศภายในโครงการถือว่าสวยงามและร่มรื่นดีครับ มีพื้นที่ให้น้องๆนั่งทำงานอ่านหนังสือได้ทั้งแบบ Indoor และ Outdoor ทำเลก็ถือว่าดีสุด เพราะเป็นโครงการแรกที่อยู่ด้านหน้าสุดไม่ต้องเข้าไปลึกมาก เทียบกับค่าเช่าหอพักในละแวกก็ไม่ต่างกันเลยครับ แถมยังได้ใช้งานพื้นที่ส่วนกลางและมีบรรยากาศโครงการดีแบบนี้ผมถือว่าคุ้มอยู่นะ

ถัดเข้ามาด้านในซอยจะเจอกับหอพัก Huas ที่อยู่ตรงทางเลี้ยว และมีวินมอไซค์กับเซเว่นขนาดใหญ่อยู่ตรงหัวมุมถนนอีกด้วย โดยทั้ง 2 อย่างนี้เพิ่งมีเมื่อตอนที่คอนโดมาเปิดเมื่อไม่นานมานี้เอง ถือว่าเป็นทำเลที่มีสิ่งอำนวยความสะดวกพร้อมในระยะที่เดินถึงได้ ไม่จำเป็นต้องไปถึงหน้าปากซอยหรือข้ามถนนไปฝั่งตรงข้ามเลยครับ ซึ่งตรงสุดปลายทางของซอยนี้คือโครงการ Dcondo ของแสนสิริ เฟส 2 และเฟส 3 นั่นเอง

โครงการ D Condo Campus Resort Rangsit เฟส 2 สร้างเสร็จมาตั้งแต่ปี 2016 ได้รับเสียงตอบรับค่อนข้างดี และขายหมดในเวลาไม่นานตามรุ่นพี่เฟส 1 ไปติดๆ เป็นโครงการ Low rise สูง 8 ชั้นเหมือนกัน แต่มีเพียงแค่ 2 อาคาร จำนวน 462 ยูนิต ที่ถือว่ามีความหนาแน่นน้อยและเป็นส่วนตัวมากกว่าเฟสแรก และทางเข้า-ออก ก็มีการปรับปรุงให้ดีและสวยงามมากขึ้น มีการเพิ่มประตูคนเดินเล็กๆทั้ง 2 ข้าง เพราะมีนักศึกษาจำนวนไม่น้อยที่พักอาศัยและไม่ได้ใช้รถยนต์เป็นหลัก อาศัยการเดินออกมาเรียกวินมอไซค์ที่หน้าโครงการ หรือจะเดินไปมหาลัยเลยก็มี บรรยากาศโดยรวมหากมองจากภายนอกก็ดูร่มรื่นไม่ต่างจากรุ่นพี่ และยังโปร่งโล่งไม่แออัดอีกด้วยครับ

มาดูผังโครงการกันก่อนครับ ทางเข้า-ออก มีแค่ทางเดียว แต่ทีนี้ถนนในโครงการจะไม่สามารถขับวนได้รอบอาคารเหมือนเฟสแรกแล้วนะ แต่ยังคงเป็นการจอดแบบกลางแจ้งอยู่ครับ การกลับรถไม่ลำบากเท่าไหร่เพราะจะมีวงเวียนให้กลับรถได้ โดยถ้าเป็นตึก B ก็ควรจอดทางฝั่งซ้ายหรือไม่ก็ฝั่งขวาด้านในสุดเลยครับ เพราะสามารถเดินผ่านสวนมายัง Lobby ตึก B ได้โดยไม่ต้องเดินผ่านตึก A

ทั้ง 2 อาคารเกือบจะโอบล้อมพื้นที่ส่วนกลางทั้งหมดเอาไว้ แต่ก็ยังมีช่องเปิดให้ลมพัดผ่าน และบิดอาคารให้ได้รับวิวภายนอกได้มากขึ้น ส่วนกลางอยู่ตรงกลางจึงง่ายต่อการใช้งานของทั้ง 2 อาคาร มี Lobby และ Library แยกเป็นของตัวเองเพื่อความเป็นส่วนตัว และถึงแม้ช่องว่างระหว่างอาคารของเฟสนี้จะน้อยกว่าเฟสแรก แต่ก็ไม่เป็นปัญหามากนัก โดยห้องที่หันเข้ามาด้านในก็จะมองเห็นวิวสระว่ายน้ำและสวนส่วนกลางได้ แต่ที่น่าสนใจคือชั้น 1 ของตึก B ที่เป็นชั้นพักอาศัยเกือบทั้งหมด โดยห้องที่หันออกไปยังสวนฝั่งรั้วโครงการผมมองว่าค่อนข้างดีและเป็นส่วนตัวมากๆ ต่างจากอีกด้านที่หันเข้ามายังสวนส่วนกลางที่อาจกว้างขวางและสวยงามกว่า แต่ก็มักจะมีคนมาใช้งานอยู่บ่อยครั้ง และขาดความเป็นส่วนตัวไปได้ครับ และเมื่อขึ้นมาที่ชั้นบนๆ ก็จะมีการจัดวางผังอาคารที่เหมือนๆกับเฟสแรกเลยครับ คือจะวางโถงลิฟต์ไว้ช่วงกลางของตึกเพื่อให้ง่ายต่อการใช้งานทั้งอาคาร แล้ววางห้องที่มีแค่ type เดียวแต่อาจต่างขนาดเล็กน้อย ให้สลับๆกันไป และห้องริมก็จะได้ช่องเปิดเพิ่มอีก 1 ด้านเช่นเคย

มีรูปวิวมาฝากกันด้วยนะ อย่างที่บอกไปคือถ้าเป็นห้องที่หันหน้าเข้ามาในโครงการก็จะได้วิวสวนและสระว่ายน้ำสวยๆแบบนี้เลย แต่ถ้าเป็นห้องที่อยู่ในช่วงที่อาคารเหลื่อมกันพอดีก็จะได้วิวที่เปิดโล่งจากภายนอกอีกด้วย ถือเป็นโครงการที่มีวิวให้เลือกหลากหลายดีนะครับ และรูปด้านล่างคือสวนด้านหลังของอาคาร B อย่างที่ผมบอกไปว่าถ้าคุณเป็นคนอยากได้วิวสวนในระยะประชิด แต่ไม่ชอบความพลุกพล่าน ห้องตรงจุดนี้ถือว่าตอบโจทย์ได้ดีเลยทีเดียว เพราะปกติก็ไม่ค่อยมีใครเดินผ่านทางนี้อยู่แล้วล่ะครับ เพราะมันไม่มีอะไร นอกจากแม่บ้านที่จะเดินเข้ามาทำความสะอาดเป็นบางครั้งเท่านั้น

มาดูภาพบรรยากาศ Facilities กันบ้างครับ ภาพเหล่านี้ผมเข้าไปถ่ายอัพเดทสภาพโครงการ ณ ปัจจุบันมาให้ดูกันเลยนะ จะเห็นได้ว่ายังโอเคสวยงามอยู่มาก สวนและต้นไม้บริเวณทางเข้าก็เติบโตและร่มรื่นเต็มที่ดีเลยครับ ฟิตเนสก็ดูสะอาดสะอ้าน แต่จุดที่ชอบและได้เพิ่มเข้ามาต่างจากโครงการรุ่นพี่คือ พื้นที่นั่งเล่นแบบ Semi-Outdoor ที่อยู่ใต้ห้องฟิตเนสริมสระว่ายน้ำ คือผมมองว่าดีเลยนะ สามารถใช้นั่งทำงานอ่านหนังสือก็ได้ บรรยากาศค่อนข้างผ่อนคลายเหมือนเราได้แวะไปสโมสรกีฬาหรือรีสอร์ทอะไรแบบนั้นมากกว่า เป็นพื้นที่ที่สามารถใช้เสียงดังได้ จะกินน้ำกินขนมก็ได้ ต่างจากห้อง Library หรือ Co-Working space แบบ Indoor ที่จะเหมาะกับคนต้องการความเงียบสงบในการทำงานอ่านหนังสือครับ ยกตัวอย่างเช่น เด็กถาปัตย์ เด็กศิลปกรรม ที่เฮ้วๆหน่อย และต้องทำงานฝีมือก็อาจจะชอบพื้นที่แบบ Semi-Outdoor แต่ถ้าเป็นสายวิชาการอย่างแพทย์ นิติ รัฐศาสตร์ ก็อาจจะชอบที่เงียบๆแบบ Indoor เป็นต้นครับ

และภาพนี้คือบรรยากาศสวนและสระว่ายน้ำที่อยู่ตรงกลาง ซึ่งสระนี้มีความยาวถึง 53 m. เลยทีเดียว และจะเห็นได้ว่ามีความแตกต่างจากโครงการรุ่นพี่นะ ไม่ใช่แค่เรื่องระยะห่างระหว่างอาคารที่อาจแคบกว่า แต่เป็นเรื่องบรรยากาศที่จัดตกแต่งออกมาได้ร่มรื่น อารมณ์สไตล์รีสอร์ทที่มีต้นไม้สีเขียวขึ้นเยอะๆ เพื่อความสดชื่น เพราะ space ตรงกลางมีน้อย พอลงสวนและต้นไม้มันเลยดูเต็มและดูแน่น มากกว่าที่จะโปร่งโล่งแบบเฟสแรกครับ

โครงการมีห้องแค่แบบเดียวคือ Studio ขนาด 29.89 – 30.18 ตารางเมตร ซึ่งห้องนี้มีรูปแบบเหมือนกับโครงการเฟสแรกเลยครับ เพียงแต่ว่าจะไม่มีประตูกระจกบานเลื่อนกั้นแยกระหว่างพื้นที่เตียงนอนกับห้องนั่งเล่นเหมือนเดิมแล้วครับ ซึ่งอาจทำให้ห้องมีความเป็นสัดส่วนน้อยลงแต่ก็ดูกว้างขวางมากขึ้น เหมาะกับคนชอบความโปร่งโล่ง ซึ่งพอไม่มีฉากกั้นให้แบบนี้เราจึงสามารถจัดวางฟังก์ชันได้หลากหลายมากขึ้นเช่น เราอาจเอาโต๊ะทานอาหารออกไปเพราะเล็กและไม่จำเป็นสักเท่าไหร่ เลื่อนโซฟาลงมาด้านล่างให้ตรงกับทีวีมากขึ้น และตรงกลางห้องก็หาโต๊ะตัวใหญ่ๆยาวๆ มาวางเป็นไอส์แลนด์ เพื่อมาใช้เป็นโต๊ะอเนกประสงค์ไว้นั่งทำงานอ่านหนังสือหรือทานอาหารแบบจริงจังได้ เพราะนอกจากจะใช้ประโยชน์ได้แล้ว ยังช่วยกั้นฟังก์ชันทั้ง 2 ส่วนแยกออกจากกันอย่างเป็นสัดส่วนได้อีกด้วย

Fact @ 3 April, 2019

  • ราคาค่าเช่าปัจจุบันปี 2019 อยู่ที่ประมาณ 8,000 – 12,000 บาท/เดือน
  • ราคาขาย Resale ปัจจุบันปี 2019 อยู่ที่ประมาณ 1.89 – 2.2 ล้านบาท หรือประมาณ 63,000 บาท/ตารางเมตร

สรุปแล้วโครงการนี้ถือว่าตอบโจทย์นักศึกษาอีกเช่นกันครับ ซึ่งจะเหมาะกับคนที่ชอบบรรยากาศสไตล์รีสอร์ทและมีเพื่อนบ้านน้อย มีความเป็นส่วนตัวมากกว่า ซึ่งแตกต่างจากโครงการเฟสแรก รวมถึงมีรูปแบบวิวให้เลือกค่อนข้างหลากหลาย ทำเลอาจต้องเข้าซอยมาลึกมากกว่าหน่อยแต่ก็ไม่ห่างกันมากนัก ชอบตรงที่มีตัวเลือกพื้นที่ทำงานที่หลากหลายมากขึ้น เพราะจะมีพื้นที่นั่งเล่นแบบ Semi-Outdoor ให้เลือกใช้งาน ซึ่งก็เหมาะกับเด็กบางคณะที่ต้องใช้เสียงหรือพื้นที่ทำงานที่ไม่ใช่แค่ที่อ่านหนังสือเงียบๆแบบทั่วไป ส่วนห้องพักก็จะกว้างขวางและโปร่งโล่งมากขึ้น พื้นที่ยืดหยุ่นให้สามารถปรับเปลี่ยนได้ตามความเหมาะสม ส่วนเรื่องของราคาอาจจะสูงกว่าเฟสแรกเล็กน้อยเพราะด้วยความใหม่กว่าของโครงการและความเป็นส่วนตัวมากกว่า แต่ก็ยังถือว่าอยู่ในเกณฑ์เดียวกันและน่าสนใจไม่แพ้กันครับ

และสำหรับใครที่ต้องการอ่านรีวิวเจาะลึกเพิ่มเติมก็สามารถเข้าไปอ่านต่อได้ที่นี่

และโครงการน้องใหม่ล่าสุดคือ Dcondo Campus Dome – Rangsit เฟส 3 ซึ่งปัจจุบันกำลังอยู่ในระหว่างการก่อสร้างนะ และจะแล้วเสร็จประมาณสิ้นปีนี้ครับ เป็นอาคาร Low rise สูง 8 ชั้น จำนวน 482 ยูนิต และมีที่จอดรถมากถึง 39% ซึ่งถือว่าเยอะที่สุดในบรรดาทุกเฟสที่ผ่านมา เหมาะกับคนที่ต้องการใช้รถในการเดินทางเป็นหลักด้วยนะครับ ปัจจุบันโครงการนี้ก็ได้ขายหมดตามรุ่นพี่ทั้ง 2 เฟสไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว จะเป็นอย่างไรเราลองไปดูกัน

เมื่อดูผังโครงการจะเห็นสาเหตุที่ว่าทำไมโครงการนี้ถึงมีที่จอดรถเยอะ เพราะเนื่องมาจากที่ดินทางฝั่งขวามีสายไฟฟ้าแรงสูงพาดผ่าน ซึ่งตามกฏหมายแล้วจะไม่สามารถมีสิ่งปลูกสร้างในระยะที่กำหนดได้เพื่อความปลอดภัย โครงการจึงจัดเต็มเป็นพื้นที่จอดรถและ Facilities แบบกลางแจ้งเอาไว้ให้ทั้งหมดเลย แต่ข้อเสียก็มีตรงที่อาจต้องเดินไกลจากตัวอาคารมากหน่อย ไม่เหมือนกับโครงการเก่าที่จะจอดรถรอบอาคารและเดินเข้าได้ง่ายๆ

กลับมาดูทางฝั่งซ้ายกันบ้างครับ ตัวอาคารทั้ง 2 เป็นรูปตัว L และจะโอบล้อม Facilities ส่วนกลางเอาไว้เพื่อให้ง่ายต่อการใช้งาน โดยจะมีความแตกต่างจากโครงการอื่นๆตรงที่ Space ตรงกลางจะค่อนข้างกว้างและเท่ากันหมด ไม่เหมือนอีก 2 โครงการที่จะมีจุดกว้างและจุดแคบแตกต่างกันไปตามลักษณะของที่ดิน ชั้นพักอาศัยจะเริ่มตั้งแต่ชั้น 1 ซึ่งคราวนี้เราได้เห็นข้อดีของโครงการที่ไม่มีทางเดินรถรอบโครงการมากขึ้น จำได้มั๊ยว่าเฟสแรกจะมีทางเดินรถรอบโครงการเลย ต่อมาเป็นเฟส 2 จะมีที่ดินส่วนหนึ่งจัดเป็นสวนแบบนี้ โดยที่ไม่มีทางเดินรถ ทำให้ห้องด้านล่างสามารถชมวิวสวนได้เต็มที่ และยังมีความเป็นส่วนตัวอีกด้วย คราวนี้พอมาถึงเฟสที่ 3 เราจะเห็นพื้นที่ข้างอาคารทั้ง 3 ด้านถูกจัดเป็นสวนทั้งหมด จึงทำให้มีตัวเลือกห้องชั้น 1 ที่อยู่ติดสวนแบบส่วนตัวเพิ่มมากขึ้นครับ

โครงการนี้ออกแบบโดยใช้แนวคิด “ใช้ชีวิตให้สุด” ดังนั้นพื้นที่ส่วนกลางจึงถูกออกแบบให้มีดีไซน์ที่สุดมากขึ้น และยังมีที่จอดรถจำนวนเยอะมากขึ้นอีกด้วยครับ จากภาพบรรยากาศจำลองอาคาร Facilities ออกแบบได้ค่อนข้างสวยงามและเป็นธรรมชาติมากๆ ใช้ลักษณะเส้นโค้งเพื่อลดความแข็งกระด้างของอาคารและเพิ่มความลื่นไหลมากขึ้น กล่องทางด้านขวาล่างคือฟิตเนส ส่วนชั้นบนแท่งยาวๆคือ Library ซึ่งคร่อมสระว่ายน้ำยาว 35 m. ที่อยู่ด้านล่าง คือเนื่องจากโครงการนี้จะไม่ได้มี Library แยกแต่ละอาคารออกจากกันเหมือนเฟส 1 และเฟส 2 แต่จะนำมารวมกันไว้ตรงกลาง จึงทำให้กลายเป็นพื้นที่ขนาดใหญ่มาก และยังช่วยสร้างปฏิสัมพันธ์ของคนในโครงการทั้ง 2 อาคาร ให้ได้พบปะกันได้ง่ายมากขึ้น เหมาะกับคนที่ชอบพื้นที่ใหญ่ๆและชอบเข้าสังคมมากครับ

ส่วนอาคารพักอาศัยชั้นบนๆ จะวางโถงลิฟต์เอาไว้ฝั่งขวาของแต่ละอาคาร ซึ่งจะใกล้กับทางเข้าของโครงการที่มาจากทางลานจอดรถครับ จึงอาจทำให้ห้องพักที่อยู่ริมสุดอาจต้องเดินไกลมากกว่าเพื่อนหน่อย แต่ก็ได้ความเป็นส่วนตัวเพิ่มเหมือนกัน และอีกหนึ่งจุดที่ชอบคือตรงมุมอาคารจะมีช่องเปิดเพิ่มด้วย ไม่ได้มีเพียงแค่ตรงส่วนปลายทางทั้ง 2 ด้านเหมือนเก่า จึงทำให้โถงทางเดินสว่างและโปร่งโล่งมากขึ้น อากาศไหลเวียนได้ดีขึ้น

และสิ่งที่ต่างจากโครงการรุ่นพี่อีกอย่างคือจะมีห้อง 2 Bedrooms เพิ่มขึ้นมาครับ แต่จะมีแค่ตรงมุมอาคารที่หันเข้ามาด้านในโครงการเท่านั้นนะ ที่สำคัญคือมีชั้นละ 1 ห้อง จึงทำให้ทั้งโครงการมีเพียง 14 ยูนิตเท่านั้น หากใครที่ต้องการคอนโดใกล้มหาลัยแบบ 2 ห้องนอน ก็ถือเป็นอีกหนึ่งตัวเลือกที่น่าสนใจเลยทีเดียวนะ ส่วนเรื่องวิวแน่นอนว่าห้องที่หันเข้ามาด้านในจะสามารถ take view สวนและสระว่ายน้ำส่วนกลางได้ แต่หากคุณต้องการวิวที่เปิดโล่งก็จะแนะนำอาคาร B ที่หันมาทางลานจอดรถครับ เพราะมีระยะเว้นจากสายไฟฟ้าแรงสูงมากพอสมควร การันตีได้ว่าจะไม่มีอะไรมาบังในระยะประชิดแน่นอน แต่หากใครกังวลเรื่องความปลอดภัยก็อาจเลือกอีกด้านที่หันออกไปนอกโครงการก็ได้ครับ แต่อาจไม่การันตีวิวว่าอาจมีตึกใหม่ขึ้นในอนาคตก็ได้นะ

ห้อง Studio ขนาด 30 ตารางเมตร แบบห้องนี้คือยังเป็นรูปแบบเดียวกับโครงการรุ่นพี่ทั้ง 2 เฟสที่ผ่านมานะ เพียงแต่จะเหมือนกับโครงการเฟส 2 มากกว่าตรงที่ไม่มีฉากกั้นตรงกลางห้อง ส่วนรูปร่างและหน้าตาของเฟอร์นิเจอร์ที่แถมให้จะดูดีขึ้นมากกว่าโครงการเก่าๆอีกด้วย ถือเป็นรูปแบบห้องมาตรฐานที่เหมาะกับคนทั่วไปทั้งนักศึกษาและคนทำงานครับ

และจุดที่เป็น Highlight ของโครงการนี้ที่แตกต่างจากโครงการเก่าคือมีห้อง 2 Bedrooms ขนาด 50 ตารางเมตร ให้เลือกด้วยครับ ซึ่งจะมีชั้นละ 1 ห้องเท่านั้น ภายในจัดฟังก์ชันได้ค่อนข้างเป็นสัดส่วนมาก เน้นพื้นที่ common area ขนาดใหญ่ เพียงแต่จะไม่ได้ครัวปิดเหมือนห้องเล็กเท่านั้นครับ ระเบียงก็มีขนาดใหญ่มากขึ้น แต่จะต้องใช้งานร่วมกับห้องนอนเล็กทางซ้ายมือนะ ห้องน้ำมีห้องเดียวซึ่งต้องใช้งานร่วมกันทั้งห้อง แต่ที่ชอบคือห้องนอนทั้ง 2 จะกั้นด้วยผนังทึบจึงมีความเป็นส่วนตัวสูงครับ พื้นที่ในห้องค่อนข้างยืดหยุ่น สามารถจัดมุมนั่งทำงานอ่านหนังสือเพิ่มเติมได้ ทำให้เหมาะกับการอยู่อาศัย 2 – 3 คน หรืออาจอยู่กันแบบเพื่อนก็ได้ 2 คนนอนด้วยกันในห้องใหญ่ ส่วนอีกคนก็ได้นอนคนเดียวแบบส่วนตัวไปเลยในห้องนอนเล็ก หรืออาจเป็นการอยู่อาศัยแบบพี่น้องก็ได้ หรือจะอยู่คนเดียวก็ได้ ซึ่งห้องนอนเล็กก็สามารถจัดเป็นห้องทำงานเพิ่มเติม และปรับเป็นห้องนอนเสริมได้เวลามีพ่อแม่หรือมีแขกมาเยี่ยมนานๆครั้ง

Fact @ 28 May 2018

  • ห้อง Studio ขนาด 30 ตารางเมตร ราคาเริ่มต้น 1.69 ล้านบาท
  • ห้อง 2 Bedrooms ขนาด 50 ตารางเมตร ราคาเริ่มต้น 2.79 ล้านบาท

สรุปแล้วโครงการนี้มีความแตกต่างจากโครงการรุ่นพี่ที่ผ่านมาพอสมควรนะครับ เริ่มจากส่วนกลางอย่าง Library ที่ไม่ได้แยกอาคารเหมือนเก่า แต่นำมารวมกันจึงทำให้ได้พื้นที่ขนาดใหญ่ขึ้น ที่จอดรถก็เยอะขึ้นมาก และยังมีห้องติดสวนแบบส่วนตัวให้เลือกมากขึ้นอีกด้วย ส่วน Highlight อย่างที่บอกไปคือมีห้อง 2 Bedrooms ให้เลือกอีกด้วยครับ ดังนั้นคนที่กำลังมองหาคอนโดห้องขนาดใหญ่และสามารถอยู่ได้หลายคนที่อาจแชร์ค่าเช่าห้องกันได้ เผลอๆถ้าแชร์กันแล้วก็อาจได้เช่าห้องที่ถูกกว่าการอยู่หอพักแบบปกติคนเดียวเดี่ยวๆด้วยซ้ำไปครับ ซึ่งก็อาจดูโครงการนี้เป็นอีกหนึ่งตัวเลือกที่น่าสนใจได้นะครับ เพียงแต่อาจต้องรอกันหน่อยนะ เพราะกำลังอยู่ในระหว่างการก่อสร้างอยู่ ซึ่งจะแล้วเสร็จปลายปีนี้ครับ

และหากใครต้องการอ่านรีวิวเจาะลึกเพิ่มเติมของโครงการนี้ก็สามารถเข้าไปอ่านได้ที่นี่

ต่อไปผมจะพาไปดูคอนโดที่อยู่โซนที่ 3 กันบ้างนะครับ ทิศทางนี้เป็นทางที่มุ่งหน้าไปขึ้นทางด่วนอุดรรัถยาได้ ทางขวาเป็นมหาลัย ซึ่งเลยไปหน่อยจะเป็นโซนของ J-Park และฝั่งตรงข้ามเลยจาก TU Dome ไปก็จะเป็นอาณาจักรของโซน Golf View ซึ่งอยู่ก่อนถึงทางขึ้นทางด่วนนั่นเอง ทั้ง 2 โซนนี้เป็นทำเลที่ไม่สามารถเดินไปได้นะ จำเป็นต้องใช้รถยนต์ส่วนตัว รถสาธารณะ หรือรถรับ-ส่งของโครงการเท่านั้น ทำให้การเดินทางและความสะดวกสบายอาจสู้โซนทางนี้ไม่ได้ แต่ก็จะได้ความเงียบสงบและความเป็นส่วนตัวมากขึ้นแทนครับ

สำหรับโซนทำเล J-Park ถ้าจะไม่พูดถึง Plaza ด้านหน้าของหอพักนี้ก็คงจะไม่ได้นะครับ เพราะจะมีทั้งเซเว่นและร้านค้าร้านอาหารที่เป็นแหล่งความอุดมสมบูรณ์ของทำเลนี้นั่นเอง เพราะโซนนี้ก็มีหอพักอยู่ค่อนข้างเยอะครับ แล้วยังมีวินมอไซค์ขนาดใหญ่คอยให้บริการอีกด้วย และสำหรับใครที่เคยคิดว่าตรงนี้เป็นแหล่งผับหรือร้านเหล้าชื่อดังก็ต้องขออัพเดทว่าปัจจุบันนี้ไม่มีแล้วนะครับ ตอนนี้เค้าเปลี่ยนเป็นร้านเกมส์ไปแล้วแหละ (T^T)

ส่วนบรรยากาศภายในซอยข้างๆ J-Park นั้นจะเป็นชุมชนนะ มีทั้งบ้านแถวและอาคารพาณิชย์ ซึ่งด้านล่างก็จะมีพวกร้านอาหารตามสั่งให้ได้อุดหนุนกันอยู่ใกล้ๆในซอย ไม่ต้องเดินออกมาที่ปากซอยถึง 500 m. เลยครับ ซึ่งด้านในนั้น นอกจากชุมชนแนวราบแล้วก็ยังมีหอพักนักศึกษาอยู่อีก 2 – 3 แห่ง และยังมีคอนโดมิเนียมตั้งอยู่อีกด้วยนะ

สำหรับโครงการคอนโดมิเนียมที่อยู่ในโซน J-Park นี้คือ Fah Dome Condominium เป็น Local แบรนด์ในพื้นที่ที่มีมานานพอสมควร เป็นคอนโด Low rise สูง 8 ชั้น 2 อาคาร จำนวนยูนิตทั้งหมดเพียง 224 ยูนิต ค่อนข้างมีความเป็นส่วนตัวมากครับ ที่จอดรถจะอยู่ใต้อาคารทั้งหมด เป็นแบบจอดในร่มนะ แล้วสามารถเดินขึ้นห้องได้ง่ายมากๆ ส่วน Facilities ทั้งหมดจะอยู่บนชั้น 2 ค่อนข้างมีความเป็นส่วนตัวจากภายนอก และใช้งานร่วมกันทั้ง 2 อาคาร ประกอบด้วยฟิตเนสและสระว่ายน้ำขนาด 20 x 7 m. พร้อมกับมีสวนเล็กๆให้เดินและนั่งพักผ่อนได้อยู่บนชั้น 2 ด้วยครับ

สำหรับห้องของโครงการนี้จะเป็น 1 Bedroom และ 2 Bedrooms ขนาดตั้งแต่ 35 – 77 ตารางเมตร ภายในมีเฟอร์นิเจอร์ต่างๆครบ บรรยากาศตกแต่งคล้ายกับการอยู่บ้านมากๆ มีพื้นที่กว้างขวางและอยู่สบาย ส่วนเครื่องใช้ไฟฟ้าจะแล้วแต่เจ้าของห้องแต่ละเจ้านะครับ (ปล.ขอบคุณรูปภาพประกอบจาก horpaktu.com)

Fact @ 3 April, 2019

  • ราคาค่าเช่าปัจจุบันปี 2019 ห้อง 35 ตารางเมตร อยู่ที่ประมาณ 9,000 – 11,000 บาท/เดือน
  • ราคาค่าเช่าปัจจุบันปี 2019 ห้อง 77 ตารางเมตร อยู่ที่ประมาณ 20,000 บาท/เดือน
  • ราคาขาย Resale ปัจจุบันปี 2019 ห้อง 35 ตารางเมตร อยู่ที่ประมาณ 1.98 ล้านบาท หรือประมาณ 56,400 บาท/ตารางเมตร

สรุปแล้วโครงการนี้อาจไม่ได้มี Facilities ที่หวือหวาเท่ากับโครงการแบรนด์ดังเจ้าใหญ่ๆ แต่จะเน้นห้องพักขนาดใหญ่ และมีจำนวนยูนิน้อย บวกกับสภาพแวดล้อมที่เป็นชุมชนจึงค่อนข้างมีความเงียบสงบและเป็นส่วนตัวค่อนข้างสูง แต่ก็เป็นทำเลที่ต้องใช้รถยนต์เป็นหลักอยู่เหมือนกันนะครับ เพราะอยู่ห่างจากประตูทางเข้ามหาลัยมากพอสมควร แต่ปากซอยก็ยังมีความอุดมสมบูรณ์บริเวณหน้า J-Park และมีวินมอไซค์ให้พึ่งพาได้ หรือไม่ก็จะมีนักศึกษาหลายคนที่มักจะทานอะไรที่ U-Square หรือในมหาลัยมาก่อน แล้วจึงค่อยกลับที่พักก็มีอยู่เยอะครับ และถึงแม้จะเป็นทำเลที่ไม่ได้ใกล้ประตูมหาลัยมากนัก แต่ก็ไม่ใช่ทำเลที่มีค่าเช่าถูกนะครับ ถือว่าใช้ได้เลยทีเดียว ส่วนหนึ่งก็ได้อานิสงส์มาจากหอพัก J-Park ที่มี Plaza ขนาดใหญ่เป็นของตัวเองอยู่ทางด้านหน้า ซึ่งถือว่ามีครบครัน แต่เมื่อเฉลี่ยราคาออกมาต่อตารางเมตรแล้ว ก็ถือว่าถูกกว่าโครงการใหม่ๆ ที่อยู่ใกล้มหาลัย และค่อนข้างคุ้มค่าอยู่เหมือนกันนะครับ

โซนต่อที่เราจะพูดถึงคือฝั่งคลองหลวงที่อยู่อีกฟากของถนนพหลโยธิน ถึงแม้จะไม่ใช่ทำเลที่ใกล้มหาลัยมากนัก และจำเป็นต้องใช้รถยนต์ส่วนตัวจริงๆ แต่ก็เป็นทำเลที่ค่อนข้างเงียบสงบมาก เพราะเป็นชุมชนที่อยู่อาศัยจริง ไม่พลุกพล่านเหมือนโซนที่อยู่ติดมหาลัย ซึ่งถึงแม้จะไม่ได้มีพลาซ่าที่เต็มไปด้วยร้านค้าร้านอาหารอย่าง U-Square แต่ก็มีห้างใหญ่ๆอย่าง Tesco Lotus และ Makro ให้เลือกเดินช้อปปิ้งได้ รวมถึงมีตลาดไท ซึ่งเป็นตลาดค้าปลีกขนาดใหญ่ให้ได้ไปเดินกันได้ และยังมี Community mall เปิดใหม่อย่าง Cherry mall ให้ไปใช้บริการได้อีกด้วย

สำหรับโครงการคอนโดมิเนียมทางโซนฝั่งนี้จะมีอยู่แค่ 2 โครงการเท่านั้น คือ The Kith คลองหลวง จากเสนา ดีเวลลอปเม้นท์ และโครงการ MT Residences จาก MT Asset ครับ ซึ่งต้องบอกก่อนว่ากลุ่มผู้พักอาศัยของโครงการโซนฝั่งนี้นั้นจะแตกต่างจากโซนเชียงรากอย่างสิ้นเชิง ส่วนมากจะเป็นบุคคลากรของมหาลัยที่ต้องการความเงียบสงบแยกออกมาจากกลุ่มนักศึกษาส่วนใหญ่ที่ค่อนข้างพลุกพล่านในแถบเชียงราก รวมถึงมีคนวัยทำงานและชาวบ้านต่างๆในละแวกก็มักจะอยู่โครงการประเภทนี้อีกด้วยครับ โครงการเหล่านี้จึงเน้นการอยู่อาศัยแบบจริงจัง แต่ก็มีนักศึกษาบางคนที่ชอบทำเลแบบนี้และมาเช่าอยู่เหมือนกันนะ จะเป็นอย่างไรบ้างเราไปชมกันเลยครับ

โครงการแรกคือ The Kith คลองหลวง จากเสนา ดีเวลลอปเม้นท์ เป็นคอนโด Low rise สูง 5 ชั้น 8 อาคาร จำนวน 592 ยูนิต ถือว่าไม่เยอะมากครับ เป็นโครงการเก่ามากแล้วนะ สร้างเสร็จมาประมาณ 5 – 6 ปีแล้วครับ ซึ่งต้องบอกก่อนว่าโครงการที่เก่าขนาดนี้ดังนั้นหน้าตาและฟังก์ชัน รวมถึง Facilities อาจจะสู้โครงการยุคใหม่ๆไม่ได้นะ แต่จุดเด่นจริงๆของเค้าคือทำเลครับ

หากดูจากแผนที่แล้ว โครงการ The Kith จะอยู่บริเวณด้านหลังห้าง Makro และอยู่ใกล้กับห้าง Tesco Lotus ในระยะเดินไปได้อีกด้วย ที่ดินของโครงการจะเชื่อมถนนทั้ง 2 ฝั่งเข้าด้วยกัน เข้า-ออกได้ทั้ง 2 ทาง จึงมีตัวเลือกในการเดินทางค่อนข้างมาก ถ้าตรงขึ้นไปตามถนนซอยก็จะสามารถไปยังตลาดไททางด้านหลังได้ โดยไม่ต้องเสียเวลาไปอ้อมที่ถนนใหญ่เลยครับ จุดกลับรถก็อยู่ไม่ไกล สามารถกลับรถได้ง่ายเพื่อวนกลับไปทางมหาลัยได้สะดวกอีกด้วย

บรรยากาศรอบๆโครงการจะค่อนข้างเงียบสงบ แต่ด้านหน้าก็จะมีอาคารพาณิชย์ที่มีร้านค้าร้านอาหารครบ และจากหน้าโครงการก็สามารถเดินไปประตูทางเข้าอีกด้านของ Lotus ได้ในระยะทางเพียง 200 m. อีกด้วย แต่ความจริงทำเลแบบนี้คนส่วนใหญ่ก็คงต้องมีรถยนต์ส่วนตัวเป็นของตัวเองอยู่แล้วเนอะ เพราะถ้าไปซื้อของมาเยอะๆก็จะได้ใส่รถเพื่อขนมาได้แบบสะดวก แต่มันดีตรงที่ว่าไม่จำเป็นต้องออกไปรถติดที่ถนนใหญ่ด้านนอก หรือต้องไปวนรถอ้อมไกลๆให้เสียเวลานั่นเอง

มาดูผังอาคารกันบ้างครับ ซึ่งอาคารทั้ง 8 นั้นจะมีลักษณะที่เหมือนกันเลย จะแตกต่างกันแค่พื้นที่ชั้น 1 ของบางอาคาร จะเป็นพื้นที่ร้านค้าไม่ใช่ห้องพักอาศัยครับ คือจะเป็นพวกร้านซักรีด ร้านเสริมสวย และร้านขายของชำเอาไว้ให้ซื้อของกันได้ที่ใต้ตึกโดยไม่จำเป็นต้องเดินออกไปด้านนอก และจะไม่มีพวก Lobby หรือ Facilities อื่นๆในโครงการเลยนะครับ อารมณ์เหมือนพวกอพาร์ทเม้นท์ในสมัยก่อนนั่นแหละ และมีลิฟต์แค่ตัวเดียวเท่านั้นนะ แต่ที่อาจไม่ค่อยโอเคเท่าไหร่คือโถงทางเดินภายในอาคารเป็นแบบ Double Corridor ที่มีช่องเปิดให้แสงเข้าแค่ตรงโถงลิฟต์แค่ด้านเดียวเท่านั้น อาจทำให้โถงทางเดินมืดหรืออึดอัดได้นะครับ แต่สำหรับคนที่ไม่ซีเรียสเรื่องเหล่านี้ และชอบเรื่องทำเลมากกว่าก็อาจจะโอเคก็ได้นะ

ห้องโครงการนี้มีแค่แบบเดียวนะครับ คือ 1 Bedroom ขนาด 28 ตารางเมตร โดยถ้าเป็นห้องริมก็จะมีช่องหน้าต่างด้านข้างตรงห้องนั่นเล่นเพิ่มขึ้นมาทำให้ห้องโปร่งโล่งและระบายอากาศได้ดีมากขึ้น ส่วนฟังก์ชันห้องถ้าดูเผินๆจะไม่ได้ต่างอะไรกับห้องยุคใหม่ๆ มากนัก แต่มีจุดให้สังเกตอยู่ 3 จุดครับ จุดแรกคือการกั้นห้องนอนจะใช้เป็นผนังทึบ และเปิดประตูด้วยกระจกบานเลื่อนตรงกลางแทน หากเป็นห้องสมัยใหม่นี้จะเป็นแบบกระจกทั้งหมดไปเลยเพื่อความโปร่งโล่ง หรือไม่ก็เป็นผนังทึบและประตูบานทึบเพื่อความเป็นส่วนตัวครับ แต่โครงการนี้ใช้ฟังก์ชันรูปแบบนี้ก็จะกึ่งๆโปร่งโล่งและกึ่งๆเป็นส่วนตัวได้นะ แต่คือมันจะไม่สุดในสักทางนั่นเอง

จุดที่ 2 คือห้องครัวจะไม่มีประตูบานเลื่อนกั้นแยกเป็นครัวปิดครับ ทำให้อาจไม่สามารถทำอาหารจริงจังได้ อาจต้องกั้นเพิ่มเติม เพราะเวลาเราเปิดแอร์ในห้องนอนและห้องนั่งเล่น แอร์ก็จะได้ไม่ไหลไปในห้องครัวครับ ส่วนจุดสุดท้ายคือประตูห้องน้ำที่เปิดจากโซนห้องครัว ฟังก์ชันนี้ผมค่อนข้างชอบนะในเรื่องของการระบายอากาศ ความชื้น และสุขอนามัย คือถ้าเราปิดประตูห้องครัว และเปิดประตูระเบียงกับประตูห้องน้ำเอาไว้ ก็จะช่วยระบายอากาศได้ดีโดยไม่รบกวนพื้นที่พักผ่อนในห้องเลยครับ แต่บางคนก็อาจไม่ค่อยชอบตรงที่มันใช้งานค่อนข้างลำบากเพราะต้องเดินผ่านเข้าห้องครัวก่อนนั่นเอง

Fact @ 3 April, 2019

  • ราคาค่าเช่าปัจจุบันปี 2019 อยู่ที่ประมาณ 5,000 – 7,000 บาท/เดือน
  • ราคาขาย Resale ปัจจุบันปี 2019 อยู่ที่ประมาณ 0.89 – 1.15 ล้านบาท หรือประมาณ 31,786 – 41,000 บาท/ตารางเมตร

สรุปแล้วโครงการนี้มีราคาที่ค่อนข้างถูกมากๆครับ แต่ก็ต้องแลกมากับสภาพโครงการที่ค่อนข้างเก่า และไม่มี Facilities ที่หวือหวาอะไร มีดีที่ทำเลอยู่ใกล้กับห้างและตลาดไท รวมถึงสามารถวนรถกลับมายังมหาลัยได้ไม่ยาก สถาพแวดล้อมค่อนข้างเงียบสงบมากครับ เหมาะกับคนที่ต้องการทำเลแบบนี้นะ หากถามว่าราคาค่าเช่าประมาณนี้โซนเชียงรากนั้นมีมั๊ย ตอบเลยว่ามีครับ แต่ก็เป็นหอพักที่มีสภาพค่อนข้างเก่าไม่ต่างกัน แต่ก็จะค่อนข้างวุ่นวายกว่ามากครับ

แล้วก็มาถึงโครงการสุดท้ายที่จะมาแนะนำกันในวันนี้คือ MT Residences คลองหลวง จาก MT Asset เป็นคอนโด Low rise สูง 5 ชั้น 2 อาคาร จำนวนยูนิตเพียง 312 ยูนิตเท่านั้น ถือว่าเป็นอีกโครงการที่มีความเป็นส่วนตัวสูงครับ และมีที่จอดรถอยู่ 39% ถือว่าน้อยไปนิดนะครับสำหรับทำเลที่ต้องใช้รถแบบนี้ โดยโครงการนี้ทาง Think of Living เราเคยพาไปรีวิวตึกเสร็จมาแล้วด้วย สามารถเข้าไปอ่านรีวิวแบบเจาะลึกได้ที่นี่ แต่หากเป็นในบทความนี้จะเป็นเพียงเฉพาะในส่วนความคิดเห็นของผมเท่านั้น และอาจมีอัพเดทข้อมูลบางอย่างเพิ่มเติมเพื่อให้เป็นปัจจุบันมากขึ้นนะครับ

เริ่มจากทำเลของโครงการนี้จะอยู่ติดกับถนนคลองหลวงเลยใช่มั๊ยครับ ส่วนด้านหลังก็จะเป็นวัดพระธรรมกาย เพียงแต่สิ่งที่อยากจะอัพเดทคือมี Community mall มาเปิดใหม่อยู่ใกล้ๆ ชื่อว่า Cherry mall อยู่ตรงปากทางเข้าวัดพระธรรมกายเลยครับ ห่างจากโครงการไปประมาณ 100 m. เท่านั้นเอง

ภายใน Cherry mall จะมีร้านค้าร้านอาหาร อย่างเช่น Starbucks, Amazon และเซเว่นตั้งอยู่ จะเปิดตั้งแต่ 9.00 – 21.00 น. เหมาะสำหรับใช้เป็นที่นั่งทำงานอ่านหนังสือมากๆ ใครเป็นคอกาแฟจะต้องไม่พลาดแน่ๆครับ เพราะเดินมาใช้งานจากโครงการได้ง่ายๆเลย

มาดูผังโครงการกันต่อเลยครับ โดยลักษณะอาคารจะเป็นรูปตัว L 2 ตึกโอบล้อมพื้นที่ส่วนกลางและพื้นที่จอดรถตรงกลางเอาไว้ ซึ่งชั้น 1 ของอาคาร A ที่อยู่ทางด้านหน้านั้นจะเป็นพื้นที่ร้านค้าแบบขายขาด ซึ่งก็มีบางคนซื้อมาแล้วปล่อยเช่าต่อก็มีนะ ปัจจุบันเป็นพวกร้านซักรีดและร้านขายของ ซึ่งก็ช่วยอำนวยความสะดวกให้กับลูกบ้านได้ค่อนข้างมาก และด้านในอาคารจะมีห้องพักอาศัยอยู่ตั้งแต่ชั้น 1 ครับ แต่จะมีความเป็นส่วนตัวอยู่พอสมควร และมี Lobby แยกอาคารต่างหาก มี Facilities อยู่ตรงกลางซึ่งแต่ละอาคารจะสามารถมาใช้งานได้ง่าย ประกอบด้วย สระว่ายน้ำ ฟิตเนส และสวนหย่อม

ขึ้นมาที่ชั้นพักอาศัยด้านบนจะมีลักษณะที่คล้ายกัน ห้องสีฟ้าคือห้อง 1 Bedroom ที่มีจำนวนมากที่สุดในโครงการ ส่วนห้องสีส้มคือห้อง 2 Bedrooms ที่ส่วนมากจะอยู่บริเวณหัวมุมของอาคารทำให้ได้วิวและช่องแสงจากทั้ง 2 ด้าน และวางโถงลิฟต์เอาไว้ตรงกลางจึงทำให้สามารถใช้งานได้สะดวกทั่วทั้งตึก

สิ่งที่แตกต่างกันของ 2 อาคารนอกจากเรื่องวิวที่ด้านในจะเน้น take view ส่วนกลาง คือเรื่องของความเป็นส่วนตัวครับ โดยอาคาร A ที่อยู่ด้านหน้าจะมีเพื่อนบ้านที่น้อยกว่าอาคาร B เล็กน้อย แต่อาจจะมีความวุ่นวายและมีความพลุกพล่านมากกว่าอาคาร B ที่อยู่ทางด้านหลัง เพราะทำเลอยู่ติดถนนมากกว่านั่นเอง แต่ก็จะมีความสะดวกในเรื่องของการมาใช้งานร้านค้าใต้ตึกมากกว่าด้วย ซึ่งสิ่งต่างๆเหล่านี้ก็มีผลกับเรื่องของราคาด้วยนะครับ คืออาคาร A ที่อยู่ทางด้านหน้าจะมีราคาที่ถูกกว่าอาคาร B ที่อยู่ทางด้านใน แต่ก็ไม่ต่างกันมากนักนะครับ แล้วแต่คนชอบมากกว่านะ

บรรยากาศภายในโครงการจะถูกโอบล้อมด้วยอาคารทั้ง 2 แต่ก็ไม่ได้มีระยะที่แคบมากนัก เน้นความโปร่งโล่ง ไม่ค่อยมีต้นไม้ที่ร่มรื่นมากนัก แต่ก็ถือว่ามีสิ่งอำนวยความสะดวกครบครัน ไม่ว่าจะเป็นสระว่ายน้ำ ฟิตเนส และสวนหย่อม ซึ่งห้องพักที่หันหน้าเข้ามาด้านในโครงการก็จะได้วิวประมาณนี้ครับ และถือว่ามีระยะห่างจากห้องฝั่งตรงข้ามพอสมควรเลยทีเดียว มีความเป็นส่วนตัวอยู่ครับ

ส่วนภาพนี้เป็นสระว่ายน้ำขนาด 6 x 15 m. โดยรอบปลูกต้นไม้ช่วยพรางสายตาจากห้องพักโดยรอบได้บ้าง และช่วยเพิ่มความสดชื่นในขณะว่ายน้ำได้อยู่ครับ

แบบห้องของโครงการนี้มีอยู่ 2 แบบนะ เริ่มต้นด้วยห้อง 1 Bedroom ขนาด 35 ตารางเมตร ฟังก์ชันห้องเป็นแบบมาตรฐานไม่ต่างจากโครงการอื่นๆที่ผ่านมาเลยครับ เพียงแต่จะมีขนาดที่ใหญ่กว่า จึงทำให้ห้องโปร่งโล่งมากกว่า โดยเฉพาะการใช้ประตูกระจกบานเลื่อนที่กั้นระหว่างห้องนั่งเล่นและห้องนอนเพื่อความเป็นสัดส่วน แต่ยังคงได้ความโปร่งโล่งและได้แสงสว่างจากภายนอกครับ พื้นที่ในห้องยืดหยุ่นสามารถปรับเปลี่ยนได้ง่าย อย่างเช่นพื้นที่ข้างตู้เสื้อผ้าในห้องนอนก็ยังมีพื้นที่เหลืออยู่ สามารถหาโต๊ะอเนกประสงค์มาวางเพื่อทำเป็นที่นั่งทำงานอ่านหนังสำหรับน้องๆนักศึกษาได้นะ ครัวก็ได้เป็นครัวปิดสามารถทำอาหารจริงจังได้ ส่วนระเบียงก็จะมีขนาดใหญ่กว่าโครงการอื่นๆ สามารถวางเครื่องซักผ้าที่ระเบียงได้ด้วย

ส่วนอีกห้องคือ 2 Bedrooms ขนาด 68 ตารางเมตร ถือว่ามีพื้นที่ขนาดใหญ่มากครับ เป็นห้องหน้ากว้างจึงสามารถจัดฟังก์ชันได้ค่อนข้างเป็นสัดส่วนเลยทีเดียว พื้นที่ Common area และระเบียงมีขนาดใหญ่มาก ไม่เน้นพื้นที่ห้องครัวมากนักแต่ก็ได้เป็นครัวปิดสามารถทำอาหารได้นะ ที่ชอบคือห้องน้ำมี 2 ห้อง จึงไม่ต้องแย่งกันใช้งาน ส่วนห้อง Master Bedroom นอกจากจะมีขนาดพื้นที่ใหญ่แล้ว ยังมีห้องอเนกประสงค์ที่เดิมทีโครงการออกแบบไว้ให้ทำเป็น Walk in Closet เอาไว้แต่งตัว แต่หากใครไม่ต้องการใช้ฟังก์ชันนี้ก็สามารถทำเป็นห้องทำงานอ่านหนังสือแบบส่วนตัวได้เลยครับ และหากอยากทำงานไปด้วย และชมวิวไปด้วยได้ก็ต้องสามารถหาโต๊ะมาวางที่ริมหน้าต่างแทน เพราะยังมีพื้นที่อีกมาก หรือหากใครอยู่ห้องนี้คนเดียว หรืออยู่ด้วยกัน 2 คน แต่นอนห้องเดียวกันอยู่แล้ว ก็สามารถปรับเปลี่ยนห้องนอนเล็กให้กลายเป็นห้องทำงานได้เช่นกัน อันนี้เป็นการยกตัวอย่างการพักอาศัยในแบบของนักศึกษาเท่านั้นนะครับ ความจริงห้องนี้สามารถอยู่อาศัยแบบจริงจังเป็นครอบครัวได้เลยทีเดียว

Fact @ 3 April, 2019

  • ราคาค่าเช่าปัจจุบันปี 2019 ห้อง 34 ตารางเมตร อยู่ที่ประมาณ 7,000 – 10,000 บาท/เดือน
  • ราคาขาย Resale ปัจจุบันปี 2019 ห้อง 34 ตารางเมตร อยู่ที่ประมาณ 1.69 – 2.25 ล้านบาท หรือประมาณ 49,700 – 66,000 บาท/ตารางเมตร

สรุปแล้วโครงการนี้เป็นตัวเลือกที่น่าสนใจสำหรับคนที่ชอบห้องขนาดใหญ่ แถมมีความเงียบสงบและเป็นส่วนตัวอีกด้วย ไม่เน้น Facilities ของโครงการ แต่มี Community mall ที่มีร้านกาแฟอย่าง Starbucks หรือ Amazon ที่สามารถเดินไปใช้ได้ง่ายๆ ดังนั้นคนที่ชอบการทำงานอ่านหนังสือในลักษณะร้านแบบนี้จะต้องไปพลาดที่จะมีโครงการนี้เป็นหนึ่งในตัวเลือกแน่ๆครับ แต่คนที่จะอยู่ที่นี่นั้นจำเป็นที่จะต้องมีรถนะ เพราะไม่ใช่ทำเลที่อยู่ใกล้กับมหาลัยเหมือนแถวเชียงราก แต่หากขับรถไปล่ะก็ไม่ลำบากเลยครับ

 


สรุป

คอนโดใกล้มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ศูนย์รังสิต มีความน่าสนใจในเรื่องของทำเลและ Facilities ที่แตกต่างจากหอพักทั่วไป ขอยกตัวอย่างโครงการคอนโดสมัยใหม่เช่น Dcondo จะเห็นได้ชัดเจนที่สุด ถึงแม้ว่าเรื่องของฟังก์ชันห้องและราคาค่าเช่านั้นจะไม่ต่างจากหอพักทั่วไปมากนัก แต่เรื่องคุณภาพชีวิต สภาพแวดล้อมในโครงการ และ Facilities ที่มีให้นั้นถือว่ากินขาด โดยหอพักทั่วไปอย่างมากก็จะมีร้านค้าอยู่ที่ใต้ตึก มีฟิตเนส สระว่ายน้ำ และพื้นที่ Co-Working space ให้ได้ใช้งานก็จริง แต่ส่วนมากก็ไม่ได้มีขนาดที่ใหญ่ หรือสวยงามมากนัก แล้วยังอาจมีคนภายนอกมาใช้งานร่วมกันอีกด้วย แต่สำหรับโครงการแบบคอนโดมิเนียมนั้นจะมีความเป็นส่วนตัวมากกว่า มี รปภ. คอยดูแลอยู่หน้าโครงการ ซึ่งไม่ใช่ใครที่ไหนจะเข้ามาได้ง่ายๆ และจัดเต็มพื้นที่ส่วนกลางให้มีความสวยงามน่าใช้งานมากกว่า และมีมุมให้เลือกนั่งทำงานอ่านหนังสือสวยๆหลายจุด ทั้งแบบ Indoor ที่มีความเงียบสงบสูง และแบบ Outdoor ที่อาจจะเป็นใต้อาคารหรือในสวนก็ได้ รวมถึงมีวิวให้เลือกหลากหลายมากกว่า ต่างจากหอพักทั่วไปที่มักจะเป็นตึกติดๆกัน ทั้งติดกับโครงการตัวเองและโครงการเพื่อนบ้าน ซึ่งไม่ได้มีการจัดสวนและเว้น space ให้ได้หายใจแบบนี้

ส่วนเรื่องทำเลนั้นก็ไม่แย่ครับ สังเกตจากคอนโดในพื้นที่ส่วนใหญ่จะถอยร่นออกมาอยู่ในโซนที่เงียบสงบ และมีความเป็นส่วนตัวมากกว่าการอยู่ติดรั้วมหาลัยที่ค่อนข้างพลุกพล่าน จึงเหมาะแก่การอยู่อาศัยมากขึ้น ซึ่งไม่เพียงแต่เฉพาะนักศึกษาเท่านั้น แต่ยังรวมถึงบุคคลากรในมหาวิทยาลัยและคนทั่วไปอีกด้วย ที่สำคัญคือจะต้องมีสิ่งอำนวยความสะดวกครบครัน ซึ่งน้องๆหรือคนที่พักอาศัยอยู่นั้นสามารถใช้ชีวิตได้ไม่ลำบาก เช่น มีเซเว่นและวินมอไซค์ตั้งอยู่ในซอย หรือใกล้ห้าง และใกล้จุดกลับรถที่สามารถวนรถมายังมหาลัยได้ง่าย เป็นต้น ซึ่งหากจะให้พูดแยกเป็นโซนๆไปนั้น ก็จะสามารถสรุปให้ได้ดังนี้ครับ

  • โซน U-Square และ SUNTA เหมาะกับน้องๆนักศึกษาที่ต้องการความสะดวกสบาย ใกล้แหล่งความอุดมสมบูรณ์ และสามารถเดินทางไปเรียนได้ง่ายโดยไม่ต้องพึ่งรถยนต์หรือรถสาธารณะเลยก็ได้ครับ เพียงแต่ฝั่ง U-Square อาจจะพลุกพล่านมากหน่อยนะ ถ้ายอมข้ามฝั่งมาที่ SUNTA หน่อย ก็จะเงียบสงบลงอีกนิด เพียงแต่อาจต้องยอมเดินไกลขึ้นหน่อยครับ
  • โซน J-Park และ Golf View ยังอยู่ในโซนฝั่งของเชียงรากและก็ยังเหมาะกับนักศึกษาอยู่ครับ แต่อาจเป็นโซนที่ไม่สามารถเดินมาเรียนได้นะ จำเป็นต้องพึ่งการเดินทางด้วยรถเป็นหลัก ไม่ว่าจะเป็นรถส่วนตัว รถสาธารณะ หรือรถรับ-ส่งของโครงการต่างๆ ส่วนเรื่องอาหารการกินนั้นก็พอจะมีอยู่ครับ แต่อาจไม่เยอะเท่าโซน U-Square ซึ่งน้องๆหลายคนก็มักจะแวะทานอะไรแถวมอก่อนกลับที่พักอยู่แล้วล่ะครับ
  • โซน คลองหลวง เป็นโซนที่ข้ามฝั่งถนนพหลโยธินมาทางคลองหลวง ดังนั้นจึงเป็นโซนจำเป็นต้องใช้รถยนต์ในการเดินทางเป็นหลัก ซึ่งส่วนใหญ่แล้วก็มักจะเป็นบุคคลากรในมหาวิทยาลัย หรือคนที่ทำงานมีรายได้ และมีรถยนต์ส่วนตัวแล้วเท่านั้นที่เค้าจะอยู่กัน แต่ก็มีนักศึกษาบางคนเลือกที่จะอยู่โซนนี้ อาจเพราะมีรถเป็นของตัวเอง และชื่นชอบความเงียบสงบของทำเลนี้ที่ไม่พลุกพล่านเหมือนแถวมหาลัย ซึ่งการอยู่โซนนี้ก็ไม่ลำบากนัก มีห้างให้เดิน มีคอมมูนิตี้มอลล์ให้ใช้ หรือจะไปตลาดไทก็ยังได้

แต่ที่ดูแล้วจะไม่ทิ้งห่างกันมาก คือเรื่องของขนาดและฟังก์ชันห้อง ถ้าเป็นห้อง 1 Bedroom ของทุกๆโครงการจะมีลักษณะฟังก์ชันที่คล้ายๆกันหมดเลย และจะมีพื้นที่ใช้สอยเริ่มต้นตั้งแต่ 28 – 35 ตารางเมตร ซึ่งหากเป็นห้องที่ใหญ่มากกว่า 30 ตารางเมตรขึ้นมาหน่อย ก็จะมีพื้นที่ยืดหยุ่นพอที่จะสามารถนำโต๊ะอเนกประสงค์มาตั้งไว้ในห้อง เพื่อใช้นั่งทำงานอ่านหนังสือได้

และจะมีเพียง 3 โครงการเท่านั้นที่จะมีห้อง 2 Bedrooms ให้เลือก มีขนาดตั้งแต่ 50 – 77 ตารางเมตร ถือว่ามีขนาดใหญ่และอยู่ด้วยกันมากกว่า 2 คนได้ จึงทำให้น้องๆที่เป็นรูมเมทกันสามารถแชร์ค่าห้องร่วมกันได้ และหากคิดเงินที่ช่วยกันแชร์แล้วนั้น เผลอๆอาจจะถูกกว่าการไปเช่าหออยู่คนเดียวซะด้วยซ้ำไปครับ หรือหากต้องการจะอยู่คนเดียวแบบห้องใหญ่ๆ ก็อย่างที่เคยบอกไปแล้วว่าห้องนอนเล็กอีกห้องหนึ่งสามารถจัดเป็นห้องทำงานแบบส่วนตัวได้เลย หรือจะปรับเป็นห้องนอนเสริมเผื่อมีแขกมาเยี่ยมเป็นครั้งคราวก็ยังได้ครับ

สุดท้ายแล้วโครงการคอนโดมิเนียมใกล้มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ศูนย์รังสิต จึงเป็นอีกตัวเลือกหนึ่งที่น่าสนใจ สำหรับนักศึกษาสมัยใหม่ หรือพ่อแม่ผู้ปกครอง และนักลงทุนที่เล็งเห็นถึงประโยชน์ต่างๆ และคุณภาพชีวิตที่ดีกว่าการอยู่หอพักอาศัยแบบเดิมๆ เพียงแต่อาจต้องเพิ่มราคาค่าเช่าขึ้นอีกสักหน่อย ก็จะได้รับสิ่งที่ดีกว่าแล้วครับ ทีนี้ก็ขึ้นอยู่กับคุณผู้อ่านแล้วล่ะครับว่าจะชอบโครงการไหนที่ได้กล่าวมาแล้วข้างต้น เพราะแต่ละโครงการก็มีข้อดี-ข้อเสีย และความคุ้มค่าในแบบของตัวเองที่แตกต่างกันออกไป ก็หวังว่าบทความนี้จะเป็นประโยชน์ให้ทุกคนสามารถเลือกคอนโดใกล้มหาลัยธรรมศาสตร์ ศูนย์รังสิต แห่งนี้ได้ตรงกับไลฟ์สไตล์และความต้องการของคุณมากที่สุดนะครับ และคราวหน้า Think of Living เราจะพาไปดูคอนโดใกล้มหาลัยอะไรอีก ก็อย่าลืมติดตามชมกันด้วยนะ ^^