SIAMESE ASSET หรือ SA เตรียมเสนอขาย IPO จำนวนไม่เกิน 150 ล้านหุ้น เดินหน้าเข้าระดมทุนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ชูจุดเด่นการเป็นผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์แบบครบวงจร พัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์ที่สามารถสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับทรัพย์สินได้ในระยะยาว มุ่งสู่ Top 5 ของบริษัทอสังหาริมทรัพย์ที่ผู้บริโภคนึกถึง (Customer choice) ชูจุดเด่นพัฒนาโครงการในรูปแบบ Branded Residence ยกระดับคอนโดมิเนียม ด้วยการอยู่อาศัยที่สมบูรณ์แบบครบวงจรด้วยมาตรฐานระดับโลก

นายขจรศิษฐ์ สิ่งสรรเสริญ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ไซมิส แอทเสท จำกัด (มหาชน) หรือ SA ผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์แบบครบวงจร ภายใต้แนวคิด ‘Asset of Life สร้างกำไรให้กับทุกการใช้ชีวิต’ เปิดเผยว่า บริษัทฯ เดินหน้าเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย และเตรียมเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนแก่ประชาชนทั่วไปเป็นครั้งแรก (IPO) เพื่อเพิ่มความแข็งแกร่งด้านฐานะการเงินและขยายขีดความสามารถในการดำเนินธุรกิจ รองรับการพัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์แบบครบวงจรในอนาคต ที่สามารถสร้างมูลค่าเพิ่มและสร้างรายได้ประจำอย่างสม่ำเสมอ เพื่อก้าวเป็น 1 ใน 5 บริษัทอสังหาริมทรัพย์ที่ผู้บริโภคนึกถึง (Customer choice)

SA ประกอบธุรกิจหลักในการพัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์เพื่อจำหน่าย ประเภทแนวราบ และแนวสูงครอบคลุมกลุ่มลูกค้าทุกระดับ อาทิ คอนโดมิเนียม บ้านเดี่ยว ทาวน์โฮม ฯลฯ โดยเน้นการพัฒนาโครงการประเภทคอนโดมิเนียมในกรุงเทพฯ บนทำเลที่มีศักยภาพ ตลอดจนสร้างความแตกต่างแก่โครงการในแต่ละทำเล ด้วยการนำนวัตกรรมและสิ่งอำนวยความสะดวกมาใช้เพื่อสร้างจุดเด่นแก่โครงการและยกระดับคุณภาพการอยู่อาศัยภายใต้สิ่งแวดล้อมที่ดี สามารถตอบโจทย์ลูกค้าที่ต้องการซื้อเพื่ออยู่อาศัยและเพื่อลงทุนในระยะยาว
ปัจจุบัน บริษัทฯ แบ่งการดำเนินธุรกิจเป็น 3 ประเภท ประกอบด้วย

  1. ธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์เพื่อจำหน่าย ภายใต้ แบรนด์ The Collection, Siamese Exclusive, Siamese Gioia, Siamese, และ Blossom
  2. ธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์เพื่อเช่า โดยจัดสรรพื้นที่ในโครงการหรือห้องชุดที่มีอยู่มาเป็นพื้นที่ให้เช่าเชิงพาณิชย์ แ
  3. ธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์เพื่อการบริการ โดยพัฒนาอาคารในโครงการหรือห้องชุดที่มีอยู่ในโครงการมาให้บริการในลักษณะโรงแรมหรือเซอร์วิส เรสซิเดนซ์ นอกจากนี้ ยังมีบริการที่เกี่ยวข้องอื่นๆ เช่น การบริหารนิติบุคคลอาคารชุด, นายหน้าจัดหาผู้เช่าห้องชุด เป็นต้น

ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร SA กล่าวต่อว่า ในช่วงที่ผ่านมา บริษัทฯ เริ่มพัฒนาโครงการในรูปแบบ Branded Residence โดยนำบริการของโรงแรมชั้นนำที่มีชื่อเสียงจากต่างประเทศ เข้ามาบริหารอาคารพักอาศัยประเภทคอนโดมิเนียมเพื่อให้ผู้อยู่อาศัยได้รับความสะดวกสบายเสมือนพักอาศัยในโรงแรม โดยร่วมมือกับเเบรนด์โรงแรมชั้นนำที่มีมาตรฐานระดับโลก เช่น Wyndham, Ramada และอยู่ระหว่างเจรจากับแบรนด์ The Crowne Plaza by IHG และ แบรนด์ Cassia by Banyan Tree ซึ่งถือว่าเป็นจุดเด่นที่แตกต่างจากผู้ประกอบการรายอื่น อีกทั้งสามารถดึงดูดนักลงทุนที่ซื้อห้องชุดเพื่อปล่อยเช่า ซึ่งรูปแบบโครงการยังเอื้อประโยชน์ให้บริษัทฯ สามารถใช้สินทรัพย์ที่มีอยู่ให้เกิดประโยชน์สูงสุด นอกจากนี้ บริษัทฯ ได้รุกเข้าสู่การพัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์แบบมิกซ์ยูส (Mixed Use) มากขึ้น โดยมีทั้งส่วนของห้องชุดพักอาศัยเพื่อขายและจัดสรรพื้นที่บางส่วนให้เช่าเชิงพาณิชย์ เพื่อสร้างรายได้หลายประเภทภายในโครงการเดียวและบริหารความเสี่ยงในการประกอบธุรกิจ พร้อมกันนี้ บริษัทฯ ได้เพิ่มธุรกิจ Food & Beverage อย่างร้านกาแฟแบรนด์ Kafeology และร้านอาหารไทย Rosemary ให้อยู่ในทุกโครงการ และในอนาคตจะมี Wellness Center เพิ่มเติมอีกด้วย

“ไซมิส แอทเสท เป็นบริษัทที่มีการเปลี่ยนแปลงรวดเร็ว ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ของเราต้องมีความยืดหยุ่น ดำเนินธุรกิจได้ดีทั้งในภาวะตลาดขาขึ้นและช่วงที่ตลาดชะลอตัว ซึ่งเราได้เริ่มธุรกิจ Branded Residence โดยได้ขอใบอนุญาตประกอบธุรกิจโรงแรม (Hotel License) และให้ลูกบ้านเซ็นยินยอมการพักอาศัยแบบโรงแรมตั้งแต่แรก ทำให้เราสามารถเติบโตได้แม้ในสถานการณ์การแพร่ระบาดโควิด-19” นายขจรศิษฐ์ กล่าว

นายสุรวัฒน์ สุวรรณยั่งยืน ประธานเจ้าหน้าที่สายงานการเงินและบัญชี SA กล่าวว่า ตลอด 10 ปีที่ผ่านมา บริษัทฯ พัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์แล้วกว่า 20 โครงการ ประกอบด้วย คอนโดมิเนียม 16 โครงการ บ้านจัดสรร ทาวน์โฮม และโฮมออฟฟิศ 4 โครงการ รวมมูลค่าโครงการกว่า 46,000 ล้านบาท โดย ณ วันที่ 30 กันยายน 2563 มีโครงการที่อยู่ระหว่างการขายและโอนกรรมสิทธิ์ 6 โครงการ อยู่ระหว่างการขายและอยู่ระหว่างก่อสร้าง 1 โครงการ อยู่ระหว่างการขายและรอการพัฒนา 3 โครงการ และมีโครงการแนวราบที่อยู่ระหว่างก่อสร้างและขาย 1 โครงการ เช่น คอนโดมิเนียม Siamese Exclusive 31, คอนโดมิเนียม Blossom Condo @ Sathorn-Charoenrat เป็นต้น ปัจจุบันมียอดขายรอโอนกรรมสิทธิ์ (Backlog) ประมาณ 10,000 ล้านบาท ซึ่งจะทยอยรับรู้ตั้งแต่ไตรมาสที่ 4/2563 เป็นต้นไป

สำหรับผลการดำเนินงานงวด 9 เดือนแรกของปี 2563 (มกราคม-กันยายน) มีรายได้รวม 2,060.6 ล้านบาท โดยมีสัดส่วนรายได้หลักจากการขายอสังหาริมทรัพย์ และมีกำไรสุทธิ 283.9 ล้านบาท จากการที่บริษัทฯ สามารถปรับราคาขายห้องชุดในบางโครงการสูงขึ้นได้ และบริหารจัดการต้นทุนก่อสร้างของโครงการใหม่ได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยใช้เทคนิคการออกแบบและการก่อสร้างที่ช่วยลดต้นทุน บริหารพื้นที่โครงการให้เกิดประโยชน์สูงสุด โดยภายหลังเสนอขายหุ้น IPO บริษัทฯ มีแผนนำเงินเพื่อใช้ลงทุนขยายกิจการ และนำเงินส่วนหนึ่งไปชำระเงินกู้ ช่วยลดภาระดอกเบี้ยและต้นทุนทางการเงิน

นายเล็ก สิขรวิทย กรรมการผู้อำนวยการ บริษัท ที่ปรึกษา เอเซีย พลัส จำกัด ในฐานะที่ปรึกษาทางการเงิน กล่าวว่า  ปัจจุบันสำนักงาน ก.ล.ต. ได้อนุมัติแบบคำขออนุญาตเสนอขายหลักทรัพย์ของ บมจ.ไซมิส แอสเสท เป็นที่เรียบร้อย โดย SA ถือเป็นหนึ่งในผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ชั้นนำของเมืองไทย ที่มีศักยภาพในการเติบโตสูง บริษัทฯ มีความมุ่งมั่นเป็น Living’s Value Creator หรือผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ที่ตอบสนองความต้องการของลูกค้าอย่างฉับไว สร้างคุณค่าในทุกประสบการณ์ของการอยู่อาศัยและการลงทุน เพื่อเป็น Asset of life ในการสร้างกำไรให้กับทุกการใช้ชีวิต ด้วยจุดเด่นในการพัฒนาโครงการในทำเลใจกลางเมือง ศูนย์กลางธุรกิจ (CBD) ใกล้ระบบขนส่งมวลชนขนาดใหญ่ เพื่อตอบสนองความต้องการและสร้างความคุ้มค่าให้แก่ผู้ซื้อ โดยใช้ประสบการณ์และความเชี่ยวชาญของผู้บริหารและทีมงานในธุรกิจก่อสร้างกว่า 30 ปี

ทั้งนี้ SA มีทุนจดทะเบียนที่ชำระแล้ว 961,547,300 บาท แบ่งเป็นหุ้นสามัญ 961,547,300 หุ้น มูลค่าหุ้นที่ตราไว้ (พาร์) หุ้นละ 1 บาท และจะเสนอขายหุ้ IPO จำนวนไม่เกิน 150 ล้านหุ้น หรือคิดเป็นประมาณร้อยละ 13.5 ของจำนวนหุ้นสามัญที่ออกและจำหน่ายแล้วทั้งหมดของบริษัทฯ ภายหลังการเสนอขาย IPO ครั้งนี้ ซึ่งจะเท่ากับ 1,111,547,300 หุ้น คิดเป็นทุนจดทะเบียนที่ชำระแล้ว 1,111,547,300 บาท โดยบริษัทฯ เตรียมจัดโร้ดโชว์แนะนำธุรกิจ กลยุทธ์การเติบโต และแผนขยายการลงทุนให้กับนักลงทุน ในวันอังคารที่ 1 ธันวาคมนี้ ตั้งแต่เวลา 14.00 น. ซึ่งนักลงทุนที่สนใจสามารถลงทะเบียนล่วงหน้าได้ทาง www.iposiameseasset.com ทั้งนี้ คาดว่าจะสามารถนำ SA จะเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยได้ภายในปีนี้