นายอาทิตย์ ทีปกรสุขเกษม กรรมการผู้จัดการ บริษัท ผลิตภัณฑ์คอนกรีตชลบุรี จำกัด (มหาชน) หรือ CCP เปิดเผยถึงแผนการดำเนินงานในช่วงครึ่งปีหลัง ว่า จะเน้นการเข้ารับงานจากผู้ประกอบการรับเหมาและผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์รายย่อยมากขึ้น เนื่องจากความต้องการใช้งานคอนกรีตจากลูกค้ากลุ่มดังกล่าวมีแนวโน้มขยายตัวได้ดี ซึ่งในช่วงที่ผ่านมาบริษัทได้มีการแนะนำผลิตภัณฑ์ทุกรูปแบบกับลูกค้าผ่านช่องทางต่างๆและเริ่มมีคำสั่งซื้อทยอยเข้ามา คาดว่าในช่วงที่เหลือของปีนี้บริษัทจะสามารถขยายฐานลูกค้าใหม่ได้อย่างต่อเนื่อง
นอกจากนี้ บริษัทยังได้เพิ่มช่องทางการจำหน่ายออนไลน์ เพื่อเป็นการเข้าถึงกลุ่มลูกค้าได้อย่างหลากหลายมากขึ้น โดยร่วมมือกับพันธมิตรผู้ดำเนินธุรกิจพัฒนาเว็บไซต์ให้บริการระบบการบริหารจัดการธุรกิจก่อสร้างและร้านค้าวัสดุก่อสร้างออนไลน์ Builk.com ซึ่งช่องทางธุรกิจก่อสร้างออนไลน์จะเป็นอีกช่องทางในการแนะนำผลิตภัณฑ์ของ CCP ให้เป็นที่รู้จักมากขึ้น ตลอดจนเพิ่มยอดขายให้กับบริษัทด้วยเช่นกัน
เว็ปไซต์ Builk.com เป็นซอฟต์แวร์ฟรีในระบบ Cloud ที่ให้บริการกับผู้บริโภค-ผู้รับเหมา-เจ้าของ แบรนด์สินค้าเกี่ยวข้องกับการก่อสร้างได้พบกัน โดยขณะนี้มีฐาน ผู้ประกอบการซึ่งเป็นผู้ใช้งานของ BUILK อยู่แล้วมากกว่า 6,000 บริษัท โดยกว่าสิบเปอร์เซนต์เป็นผู้ใช้งานเป็นประจำทุกวัน จากจำนวนผู้ประกอบการที่เป็นผู้รับเหมาก่อสร้างกว่า 80,000 บริษัททั่วประเทศไทย และยังมีกลุ่มนักออกแบบ และผู้รับเหมารายย่อยที่ต้องการหาสินค้าแบบราคาถูก เเละมีมาตรฐาน ก็สามารถใช้ระบบนี้ได้
พร้อมกันนี้ บริษัทยังได้มีการจัดกิจกรรมการตลาดกับกลุ่มผู้รับเหมารายย่อยในภาคตะวันออก โดยล่าสุดบริษัทเตรียมจัดกิจกรรมพบผู้รับเหมาเป็นครั้งแรก เพื่อแนะนำสินค้าและบริการของบริษัทในเครือ CCP กับกลุ่มเป้าหมาย โดยจะจัดขึ้นในวันเสาร์ที่ 25 กรกฎาคม 2558 ณ สำนักงานใหญ่ บมจ.ผลิตภัณฑ์คอนกรีต ชลบุรี ชั้น 2 อาคารชลประทีป จ.ชลบุรี
สำหรับแผนเข้ารับงานจากโครงการลงทุนขนาดใหญ่ของภาครัฐ บริษัทยังคงเดินหน้าติดตามโครงการต่างๆอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะโครงการรถไฟทางคู่และรถไฟความเร็วสูง ที่เป็นเส้นทางผ่านภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ภาคตะวันออก และภาคใต้ ซึ่งคาดวาในช่วงไตรมาส 4/2558 ภาครัฐน่าจะมีความชัดเจนการเปิดประมูลโครงการดังกล่าว และเริ่มก่อสร้างได้ในปีหน้า โดยบริษัทเชื่อว่าจะได้รับส่วนแบ่งงานอย่างแน่นอน
ส่วนมูลค่างานในมือ (Backlog) ของบริษัทล่าสุดมีสูงถึง 2,300 ล้านบาท โดย Backlog ดังกล่าวจะรับรู้เป็นรายได้ภายใน 1 ปีครึ่ง และในช่วงครึ่งปีหลังภาพรวมอุตสาหกรรมก่อสร้างน่าจะมีความคึกคักมากขึ้น เนื่องจากภาครัฐมีความจำเป็นในการเร่งรัดการเบิกจ่ายงบประมาณโครงการลงทุนต่างๆ อาทิโครงการทำถนน โครงการปรับถนน โครงการวางท่อระบายน้ำ