แสนสิริ (SIRI) ตอกย้ำความแข็งแกร่งในธุรกิจอสังหาฯ โชว์ผลงานรอบ 6 เดือนปี 64 ครึ่งปีแรกกวาดยอดขายทะลุ 17,600 ล้านบาท เกินเป้าครึ่งปี หรือคิดเป็น 57% จากเป้าหมายยอดขาย 31,000 ล้านบาท ไตรมาส 2 โกยยอดขายทะลัก 10,000 ล้านบาท โตขึ้น 32% จากไตรมาสแรกที่มียอดขาย 7,600 ล้านบาท
พร้อมสร้างผลงานยอดโอนรอบครึ่งปี 16,400 ล้านบาท เกินเป้าครึ่งปีหรือคิดเป็น 53% จากเป้าหมายยอดโอน 31,000 ล้านบาท โดยเป็นยอดโอนในไตรมาส 2 อยู่ที่ 8,800 ล้านบาท โตขึ้น 14% จากไตรมาสแรกที่มียอดโอน 7,700 ล้านบาท
นายอุทัย อุทัยแสงสุข ประธานผู้บริหารสายงานปฏิบัติการ บริษัท แสนสิริ จากัด (มหาชน) หรือ SIRI เปิดเผยว่า ความแข็งแกร่งในธุรกิจอสังหาฯ ของแสนสิริ จากการมองตลาดเร็วและพร้อมปรับตัวรองรับทุกสถานการณ์ ตลอดเวลา (Speed to Market) ส่งผลให้แสนสิริมีผลงานที่แข็งแกร่ง โดยในช่วงครึ่งปีแรก บริษัทสร้างยอดขายรวมไปได้ถึง 17,600 ล้านบาท คิดเป็น 57% จากเป้าหมายยอดขาย 31,000 ล้านบาท แบ่งเป็นสัดส่วนยอดขายจากโครงการแนวราบ 12,000 ล้านบาท และยอดขายจากโครงการคอนโดมิเนียม 5,600 ล้านบาท โดยผลงานในไตรมาสที่ 2 บริษัทมียอดขายสูงถึง 10,000 ล้านบาท โตขึ้น 32% จากไตรมาสแรกที่มียอดขาย 7,600 ล้านบาท
“ความสำเร็จของยอดขายในครึ่งปีแรก มาจากการปิดการขายโครงการ 5 โครงการทั้งแนวราบและคอนโดมิเนียม อาทิ โครงการเศรษฐสิริ พัฒนาการ และ คณาสิริ ชัยพฤกษ์ – วงแหวน นอกจากนี้แสนสิริยังตอกย้ำความสำเร็จของการเป็นผู้นำเบอร์หนึ่งอสังหาฯ ไทยในตลาดซูเปอร์ลักซ์ชัวรี่ ด้วยความสำเร็จของโครงการ “BuGaan เอ็กซ์คลูซีฟ เรสซิเดนท์” ระดับราคา 35.9 – 80 ล้านบาท ที่กวาดยอดขายไปถึง 75% จากมูลค่าโครงการ
รวมทั้งการเป็น “ผู้นำการพัฒนาแบรนด์บ้านเดี่ยวระดับบน” ด้วยยอดขายแบรนด์เศรษฐสิริ และ บุราสิริ ที่มียอดขายที่ดีต่อเนื่อง ขณะที่โครงการทาวน์โฮมแบรนด์ สิริ เพลส ซีรีย์ใหม่ “Dream Destination” ที่รุกเปิดตัวในปีนี้ ก็ได้รับความสนใจและกระแสตอบรับที่ดีในทั้ง 2 โครงการ ทั้ง สิริ เพลส บางนา-เทพารักษ์ ที่พัฒนาจากแรงบันดาลใจการออกแบบจากมหานครนิวยอร์ก และสิริ เพลส วงแหวน – ลำลูกกา แรงบันดาลใจการออกแบบจากเสน่ห์แห่งเมืองเกียวโตที่กวาดยอดขายไปแล้วกว่า 80% จากจำนวนยูนิตที่เปิดขายในระยะเวลาเพียง 2 วันพรีเซลล์
รวมถึงความร้อนแรงของซีรีย์คอนโดมิเนียมแบรนด์ “THE MUVE” (เดอะมูฟ) ที่ประสบความสำเร็จตั้งแต่โครงการแรก ปิดการขาย “เดอะ มูฟ เกษตร” จากยูนิตที่เปิดขาย ส่งผลงานต่อมาถึง “เดอะ มูฟ ราม 22” ที่กวาดยอดขายทั้งในรอบ VIP และ Online Booking ในไทย รวมถึงกลุ่มลูกค้าต่างชาติ จากการเปิดขายในรอบ VIP ที่ฮ่องกงที่ลูกค้าให้การตอบรับอย่างล้นหลาม ก่อนที่จะมีการเปิด พรีเซลล์อย่างเป็นทางการ “เดอะ มูฟ ราม 22” ราคาเริ่มต้น 1.79 ล้านบาท ในวันที่ 10 – 11 กรกฎาคม และ “เดอะ มูฟ บางนา” ราคาเริ่มต้น 1.29 ล้านบาท ในวันที่ 17 – 18 กรกฎาคมนี้ ซึ่งคาดว่าจะ Sold Out ทันทีจากยูนิตที่เปิดขายในรอบพรีเซลล์ ในทั้ง 2 โครงการ”
นอกจากนี้ แสนสิริยังมีผลงานการโอนที่โดดเด่นในครึ่งปีแรก โดยมียอดโอนโครงการที่อยู่อาศัยทุกประเภทที่สร้างเสร็จสมบูรณ์และส่งมอบให้กับลูกค้าไปแล้วถึง 16,400 ล้านบาท เกินเป้าหมายในช่วงครึ่งปีแรก หรือคิดเป็น 53% จากเป้าหมายยอดโอน 31,000 ล้านบาท โดยเป็นยอดโอนในไตรมาส 2 อยู่ที่ 8,800 ล้านบาท โตขึ้น 14% จากไตรมาสแรกที่มียอดโอน 7,700 ล้านบาท และแบ่งเป็นยอดโอนจากโครงการแนวราบและคอนโดมิเนียม ในสัดส่วน 55 : 45
โดยทั้งนี้ สถานการณ์ปิดแคมป์ก่อสร้าง เพื่อป้องกันการระบาดของโรคโควิด– 19 ไม่ได้ส่งผลกระทบต่อการโอนและรับรู้รายได้ ในไตรมาส 2 เนื่องจากที่อยู่อาศัยที่ต้องส่งมอบได้สร้างเสร็จสมบูรณ์เรียบร้อยแล้ว รวมทั้งแสนสิริได้เตรียมทำแผน catch up งานก่อสร้างหลังกลับมาเริ่มก่อสร้างได้ไว้เรียบร้อยแล้ว จึงมั่นใจในผลการดำเนินงานที่จะทำได้ตามเป้าหมาย สามารถส่งมอบที่อยู่อาศัยให้กับลูกค้าได้ตรงเวลา รวมทั้งยังมีที่อยู่อาศัยพร้อมเข้าอยู่ – พร้อมโอน รองรับความต้องการของลูกค้าได้ทันที โดยในครึ่งปีหลัง บริษัทยังเตรียมโอนคอนโดมิเนียม เอดจ์ เซ็นทรัล – พัทยา ในวันที่ 21 – 22 สิงหาคม และ ดีคอนโด ไฮด์อเวย์ – รังสิต ในวันที่ 28 – 29 สิงหาคมนี้ เพื่อรองรับการรับรู้รายได้ในช่วงครึ่งปีหลังอีกด้วย
แสนสิริยังมองแง่บวกถึงทิศทางข้างหน้าที่ต้องปรับตัวให้เร็ว รองรับความต้องการลูกค้าและการกลับมาของตลาด ก่อนการเปิดประเทศและเศรษฐกิจเริ่มฟื้น เพื่อพร้อมวิ่งก่อนใคร โดยบริษัทมีแผนเปิดตัวโครงการใหม่ในช่วงครึ่งปีหลัง อีก 20 โครงการ มูลค่ารวม 19,400 ล้านบาท แบ่งเป็นโครงการบ้านเดี่ยวและมิกซ์โปรดักส์แบรนด์อณาสิริ 8 โครงการ มูลค่ารวม 7,500 ล้านบาท ทาวน์โฮมแบรนด์สิริเพลสและแบรนด์ใหม่ล่าสุด 5 โครงการ มูลค่ารวม 6,300 ล้านบาท และโครงการคอนโดมิเนียม 7 โครงการ มูลค่ารวม 5,600 ล้านบาท
“หากเศรษฐกิจกลับมาฟื้นตัวในไตรมาส 4 ซึ่งรวมไปถึงเศรษฐกิจในเมืองท่องเที่ยวที่จะเริ่มฟื้นตัวจากการกลับเข้ามาท่องเที่ยวของชาวต่างชาติ ภาคเอกชนในธุรกิจต่างๆ จะเร่งพลิกฟื้นธุรกิจภายหลังจากที่ประเทศต้องฝ่าวิกฤตโควิด–19 มามากกว่า 1 ปี ขณะที่ศักยภาพเมืองท่องเที่ยวต่างๆ ที่มีความโดดเด่นแตกต่างกันออกไป จะพร้อมดึงดูดนักท่องเที่ยวทั้งจากชาวไทยและต่างชาติ ให้กลับมาคึกคักและสร้างเศรษฐกิจให้แข็งแกร่งอีกครั้ง ทั้งนี้ แสนสิริยังมองเห็นสัญญาณการฟื้นตัวที่ดี จากยอดขายในตลาดต่างจังหวัดที่เริ่มมียอดขายที่ดีขึ้น รวมถึงยอดโอนในกลุ่มลูกค้าต่างชาติ
โดยล่าสุด แสนสิริได้เริ่มรุกตลาดเชียงใหม่ ด้วยการเปิดตัว “1517 NIMMAN” (1517 นิมมาน) Co – Business I Living Space พื้นที่ที่รวมธุรกิจ และการอยู่อาศัยเป็นหนึ่งเดียว ราคาเริ่มต้น 5.9 ล้านบาท บนพื้นที่ขนาด 2 ไร่ จำนวน 23 ยูนิต บนสุดยอดทำเลไข่แดงใจกลางย่านนิมมานฯ ศูนย์รวมธุรกิจและไลฟ์สไตล์ ที่มีทั้งร้านอาหาร ร้านกาแฟ คาเฟ่ บูทีคโฮเทล รวมถึงเป็นแหล่งท่องเที่ยวติดอันดับโลก และแหล่งเศรษฐกิจที่ชาวต่างชาติให้ความสนใจในแง่การลงทุน โดยเฉพาะชาวจีน เพื่อรองรับการฟื้นตัวของเศรษฐกิจจังหวัดเชียงใหม่ และตอบโจทย์ผู้ประกอบการธุรกิจเอสเอ็มอี ที่มองหาโลเคชั่นศักยภาพในราคาที่เข้าถึงได้เพื่อประกอบธุรกิจและ ผู้ที่ต้องการอยู่อาศัยเองในย่านชั้นนำของเชียงใหม่
ขณะที่ตลาดท่องเที่ยวในภูเก็ต ก็มีทิศทางที่ดี จากการเปิดประเทศรับนักท่องเที่ยวต่างชาติ ที่ฉีดวัคซีนครบโดสแล้ว โดยไม่ต้องกักตัว 14 วัน ภายใต้โครงการ “ภูเก็ต แซนด์บ๊อกซ์” ที่ได้เริ่มขึ้นเมื่อวันที่ 1 กรกฎาคมที่ผ่านมา ที่ทำให้ตลาดเริ่มกลับมาคึกคัก ยังรวมถึงสัญญาณที่ดีในตลาดต่างชาติ จากยอดโอน XT ห้วยขวาง ซึ่งกลุ่มลูกค้าต่างชาติให้ความเชื่อมั่นแสนสิริ และตอบรับโอนไปแล้วกว่า 60% นอกจากนี้พนักงานแสนสิริทุกคน รวมทั้งพนักงานขาย แม่บ้าน พนักงานรักษาความปลอดภัย ฯลฯ ยังได้รับการฉีดวัคซีน 100% แล้ว ซึ่งเป็นการยกระดับมาตรการความปลอดภัย อุ่นใจในการอยู่อาศัยในโครงการแสนสิริทุกโครงการได้เป็นอย่างดี รวมถึงยังสร้างความมั่นใจ ปลอดภัย และอุ่นใจสูงสุดให้กับลูกค้าที่เข้ามาเยี่ยมชมในทุกโครงการของแสนสิริอีกด้วย”