รีวิวโครงการ

VIVE รัตนาธิเบศร์ – ราชพฤกษ์ : รีวิวบ้านเดี่ยว : คิดเรื่องอยู่ Ep.554

21 มีนาคม 2021

อ่านรีวิวล่าสุด

VIVE รัตนาธิเบศร์ – ราชพฤกษ์

รีวิวฉบับที่ 2010 … หลายๆ คนน่าจะคุ้นหูแบรนด์ VIVE จาก Land & Houses มาบ้างแล้วนะคะ กับเอกลักษณ์ของบ้านที่สะดุดตาด้วยสีขาว เรียบง่าย แต่ดูมีลูกเล่นบางอย่างที่น่าสนใจ วันนี้เราจะพาไปชมอีกหนึ่งโครงการภายในแบรนด์ VIVE ที่มาเปิดย่านรัตนาธิเบศร์ กับ VIVE รัตนาธิเบศร์ – ราชพฤกษ์ บ้านเดี่ยว 2 ชั้น ในราคาเริ่มต้น 28.9 ล้านบาท จะเป็นอย่างไรติดตามรีวิวนี้ได้เลยค่ะ

 

Fact @ 04 December 2019

  • VIVE Rattanathibet – Ratchapruek (วีเว่ รัตนาธิเบศร์ – ราชพฤกษ์)
  • บริษัท แลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ จำกัด(มหาชน)
  • SUPER LUXURY CLASS (อ่านรายละเอียดของ Segment บ้านได้ที่นี่)
  • โครงการตั้งอยู่: ซอย บางรักน้อย 11 ถนน รัตนาธิเบศร์ อำเภอเมืองนนทบุรี
  • เนื้อที่โครงการ 20-1-88.9 ไร่ จำนวน 34 ยูนิต
  • บ้านเดี่ยว 2 ชั้น ที่ดินมาตรฐาน 100 ตร.วา ขึ้นไป

  • VERVE – พื้นที่ใช้สอย 325 ตร.ม. 4 ห้องนอน 5 ห้องน้ำ 3 ที่จอดรถ
  • VIBE – พื้นที่ใช้สอย 354 ตร.ม. 4 ห้องนอน 5 ห้องน้ำ 3 ที่จอดรถ

  • ความสูงจากพื้นถึงฝ้าชั้น 1 – 2.9 เมตร / ชั้น 2 – 2.9 เมตร / Double Volume – 6.5 เมตร
  • ราคาเริ่มต้น 28.9 ล้านบาท
  • โครงการเริ่มก่อสร้าง กรกฎาคม 2561
  • คาดว่าแล้วเสร็จทั้งโครงการ ธันวาคม 2563
  • เวปไซต์โครงการ : คลิกที่นี่
  • Call Center : 1198
  • สามารถเลือกอ่านตามหัวข้อต่างๆได้โดยกดปุ่มด้านล่างค่ะ


    เจาะลึกเรื่องทำเลที่ตั้ง

    พิกัด Google Maps : 13.872741, 100.456123
    หรือสามารถ :  คลิกที่นี่ 

    โครงการ VIVE รัตนาธิเบศร์ – ราชพฤกษ์ ตั้งอยู่ในซอยบางรักน้อย 11 ลึกจากถนนรัตนาธิเบศร์ประมาณ 170 ม. โดยจะเป็นถนนรัตนาธิเบศร์ฝั่งขาออกมุ่งหน้าไปทางบางใหญ่นะคะ จุดเด่นของทำเลนี้นอกจากใกล้ถนนใหญ่และไม่ไกลจากจุดตัดกับถนนราชพฤกษ์แล้ว ยังเป็นโครงการบ้านเดี่ยวที่ใกล้กับรถไฟฟ้าที่เปิดใช้งานแล้วในปัจจุบัน อย่างรถไฟฟ้าสายสีม่วง สถานีบางรักน้อยท่าอิฐ อีกด้วย ทำให้ทำเลของที่นี่มีจุดเด่นที่เป็นบ้านเดี่ยวใกล้ถนนใหญ่และใกล้รถไฟฟ้า

    ซึ่งเรามองว่าเหมาะกับรูปแบบการเดินทางของลูกบ้านโครงการระดับ Super Luxury นี้หลักๆ ก็น่าจะขับรถเอง ไม่ก็มีคนขับรถอยู่แล้ว แต่การที่ได้บ้านทำเลใกล้รถไฟฟ้าก็มีประเด็นที่น่าสนใจอยู่ อันดับแรกก็คือตัวเลือกในการใช้งานที่มากขึ้น เผื่อเวลาเร่งด่วนต่างๆ และสมาชิกในบ้านคนอื่นๆ ที่สามารถใช้รถไฟฟ้าได้ เช่น เด็กๆ ไปเรียนพิเศษใจกลางเมืองก็สามารถเดินทางเองได้นะคะ อันดับต่อมาก็คงจะเป็นเรื่องของราคาที่ดินที่น่าจะสูงขึ้นตามความเจริญของ Infrastructure ด้วยเช่นกันค่ะ

    พูดถึงทำเลการเดินทางของทำเลโครงการนั้นจะเดินทางไปทางราชพฤกษ์ไม่ยากนะคะ หรือจะตรงไปบางใหญ่ก็ง่ายเลย รวมไปถึงขับตรงไปเพื่อไปขึ้นวงแหวนรอบนอกได้ ส่วนใครเน้นขับรถเข้าเมืองอันนี้จะต้องไปกลับรถตรงแถวแยกที่ตัดกับถนนบางกรวย-ไทรน้อย ระยะห่างประมาณ 2.5 กม.  แต่หากวิ่งมาจากนอกเมืองแล้วจะกลับรถเข้าโครงการอันนี้ไม่ไกลนะคะ อยู่บริเวณก่อนถึงสี่แยกไทรม้า ซึ่งก็ห่างจากโครงการราวๆ 450 ม. เท่านั้น

    ตัวโครงการอยู่ในทำเลที่ข้ามสะพานพระนั่งเกล้ามาแล้ว ความอุดมสมบูรณ์แหล่งช้อปปิ้ง ห้างร้านค้าใหญ่จะเกาะกลุ่มอยู่โซนบางใหญ่กันนะคะ ไม่ก็ไปเกาะแถวถนนราชพฤกษ์เลย ซึ่งในระยะง่ายในการขับรถจากโครงการก็สามารถเลือกไปได้ทั้ง 2 โซน ไม่ก็ไปแถวเส้นบางกรวย-ไทรน้อยก็มีร้านอาหาร ร้านค้าค่อนข้างคึกคักเช่นกัน

    พูดถึงห้างโซนใกล้โครงการหลักๆ ก็คงไม่พ้น Central Plaza Westgate และ Central Plaza รัตนาธิเบศร์ ส่วนโรงเรียนนานาชาติในย่านนี้ก็มีทั้ง Denla British School (DBS) และ RIS นานาชาติ ร่วมฤดี ราชพฤกษ์ ซึ่งอยู่ห่างจากโครงการไปราวๆ 5 กม.ค่ะ

    สำหรับการเดินทางในวันนี้ของเราจะเริ่มต้นกันตรงบริเวณสะพานพระนั่งเกล้าจากนั้นขับตรงยาวๆ มาจนถึงช่วงสี่แยกไทรม้า ซึ่งจะมีจุดสัญญาณไฟจราจรนะคะ ให้เราชิดเลนซ้ายเตรียมเลี้ยวเข้าซอยบางรักน้อย 11 จากนั้นตรงเข้ามาในซอยประมาณ 170 ม. ก็จะเห็นที่ตั้งโครงการอยู่ฝั่งซ้ายมือแล้วค่ะ

    Image 1/8
    เริ่มต้นเส้นทางกันที่สะพานพระนั่งเกล้า เพื่อข้ามแม่น้ำเจ้าพระยามา ด้านข้างของสะพานเราจะเห็น MRT พระนั่งเกล้าอยู่ด้านข้างเลยค่ะ

    เริ่มต้นเส้นทางกันที่สะพานพระนั่งเกล้า เพื่อข้ามแม่น้ำเจ้าพระยามา ด้านข้างของสะพานเราจะเห็น MRT พระนั่งเกล้าอยู่ด้านข้างเลยค่ะ

    สภาพแวดล้อมโครงการ

    ในส่วนของสภาพแวดล้อมโครงการโดยแล้วเป็นชุมชนพักอาศัย สลับกับโครงการจัดสรร และยังมีบางส่วนเป็นที่ดินว่างอยู่ บวกกับเข้ามาในซอยย่อยหน่อยด้วยเลยได้บรรยากาศก็จะค่อนข้างเงียบสงบดี ไม่วุ่นวาย ไม่มีเสียงรถยนต์บนถนนใหญ่มากนัก ซึ่งก็เหมาะกับคนที่ชอบความเป็นส่วนตัวดีค่ะ

     

    สถานที่สำคัญใกล้เคียงต่างๆ เช่น 

    • ห้างสรรพสินค้า / ศูนย์การค้า

    • Central Plaza Westgate 5.5 กม.
    • The Walk ราชพฤกษ์ 6.7 กม.
    • Central Plaza รัตนาธิเบศร์ 7.5 กม.
    • Esplanade งามวงศ์วาน-แคราย 8 กม.

  • สถานศึกษา / โรงเรียน
    • Denla British School (DBS) 5 กม.
    • RIS นานาชาติ ร่วมฤดี ราชพฤกษ์ 5 กม.
    • อนุบาลเด่นหล้า พระราม 5 11 กม.

  • โรงพยาบาล
    • โรงพยาบาลเกษมราษฎร์ รัตนาธิเบศร์ 4.5 กม.
    • โรงพยาบาลนนทเวช 10 กม.


    เจาะลึกตัวโครงการ

    เรามาดูภาพรวมโครงการกันก่อนไปดูบรรยากาศภายในโครงการนะคะ สำหรับโครงการนี้มีที่ดินทั้งหมด 20-1-88.9 ไร่ จำนวน 34 ยูนิต จัดว่าเป็นโครงการจัดสรรที่ยูนิตไม่เยอะเลยนะคะ ซึ่งเราลองถามข้อมูลอัตราส่วนระหว่างพื้นที่ส่วนกลางทั้งหมดที่นี่ให้มารวม 41% ของที่ดินทั้งหมด (รวมถนนต่างๆ ด้วยนะคะ) ซึ่งก็ถือว่าให้พอสมควรเลย และถ้าสังเกตแล้วจะเห็นว่าทางโครงการค่อนข้างเน้นพื้นที่สวนให้กระจายอยู่เกือบทุกจุดของในโครงการเลยนะคะ

    สำหรับลักษณะของที่ดินโครงการจะเห็นว่าแบ่งออกเป็น 2 โซนด้วยกัน คั่นกลางด้วยคลองบางรักน้อย คลองขนาดเล็กๆ ไม่ใหญ่มากนะคะ อย่างโซนแรกถ้าพูดถึงจุดเด่นในการวางผังบ้านก็จะเป็นเรื่อง หน้าบ้านที่อยู่ติดถนนใหญ่กว้างถึง 16 ม. มีบางยูนิตที่ได้วิวสวนหน้าบ้านเลย

    อีกโซนด้านในเป็นโซนอยู่ใกล้ Club House และสวน  ซึ่งใครที่ชอบวิว Club House สวนขนาดใหญ่จากในบ้าน หรืออยู่ใกล้ Club House เดินมาใช้งานง่ายคำตอบก็จะเป็นบ้านโซนด้านในค่ะ และจะมีบางยูนิตที่อยู่ในซอยย่อยลงมาหน่อยก็มีเพื่อนบ้านในซอยไม่มาก ประมาณ 6 – 7 ยูนิต (ฝั่งละ 3-4 ยูนิต) ไม่เกินนี้ ทำให้ไม่หนาแน่นจนเกินไป

    เริ่มต้นที่หน้าทางเข้า-ออกของโครงการกันนะคะ สังเกตว่าจากถนนสาธารณะเชื่อมมายังที่ดินโครงการ ก่อนจะถึงซุ้มทางเข้าจะมีการร่นพื้นที่เข้ามาอีกพอสมควร และทำเป็นถนนของโครงการเองเพื่อให้บริเวณนี้โอ่อ่า และง่ายสำหรับการสัญจรถมากขึ้นด้วย

    โดยรูปแบบของถนนตรงนี้ทำเป็น Concrete Stamp ให้ดูสวยงาม ส่วนซุ้มประตูเน้นความเรียบของรูปทรงและหลังคาสีขาวสะอาดตา แต่ได้ความโอ่อ่าในสไตล์ Minimal Modern ดีนะคะ

    สำหรับเรื่องการเข้า-ออกโครงการที่นี่แบ่งออกเป็น 2 ฝั่งชัดเจน คั่นกลางด้วยป้อมรปภ.ที่ดูแลรักษาความปลอดภัย 24 ชม.

    สำหรับรั้วทางเข้าโครงการจะเป็นประตูบานเลื่อนไฟฟ้า 2 ตอนนะคะ ซึ่งในการใช้งานแล้วการใช้เป็นประตูบานเลื่อนไฟฟ้าได้จะเปรียบในเรื่องของความปลอดภัยดีกว่าไม้กั้นกระดกทั่วไป แต่ก็จะต้องใช้เวลาในการเลื่อนเปิด-ปิดมากกว่าไม้กระดกอยู่หน่อย

    ส่วนระบบการเข้า-ออกที่นี่ ลูกบ้านสามารถใช้ Keycard Access ระยะไกล (ระบบ RFID) เพื่อให้ประตูเปิดโดยอัตโนมัติ รูปแบบการใช้จะเหมือนเราใช้ Easy Pass บนทางด่วนเลยค่ะ และสำหรับ Visitor จำเป็นต้องแลกบัตรกับรปภ. ก่อนเข้าโครงการทุกครั้งค่ะ

    อย่างที่บอกว่าโครงการนี้มีการจัดพื้นที่สีเขียวไว้ให้หลายจุดด้วยกัน ซึ่งจะกระจายไปตามโซนต่างๆ ของโครงการ อย่างสวนมุมนี้จะอยู่ช่วงด้านหน้าโครงการค่ะ ภายในก็มีการทำทางเดินไว้ให้เดินเล่นได้ด้วย

    อีกฝั่งนึงก็จัดให้เป็นสวนเช่นเดียวกันนะคะ โดยหลักๆ มุมนี้ตรงกลางทำเป็นสนามหญ้าไว้ให้เด็กๆ ออกมาวิ่งเล่นได้ หรือจะมาน้องหมามาเดินเล่นก็ได้เช่นกัน ส่วนบริเวณรอบรั้วจะเป็นต้นไม้ใหญ่และไม้พุ่มค่อนข้างหนาแน่นเลย

    เข้ามาภายในโครงการ จากถนนทางเข้าหลักนี้มีความกว้าง 16 ม. และถนนรองอยู่ที่ 12, 9 ม.  ตามลำดับนะคะ ซึ่งลักษณะถนนทางเข้าจะเป็นการลาดยางให้เรียบร้อยเลย และสังเกตอีกอย่างคือที่นี่จะไม่มีเสาไฟฟ้ามากวนสายตาเลย เพราะจะใช้เป็นระบบไฟฟ้าใต้ดินทั้งหมด รวมไปถึงติดตั้ง Optic Fiber ให้เรียบร้อย

    รอบๆ ทางเดินตลอดทางก็จะปลูกต้นไม้ใหญ่ไว้ให้ทำให้บนถนนได้ความร่มรื่นมากขึ้น

    สังเกตว่าลักษณะของการจัด Landscape มุมต่างๆ ในโครงการนี้มีการเล่นระดับพื้นอยู่ด้วย ซึ่งมาจาก Concept การออกแบบที่ถอดรูปมาจากชั้นดิน และการเคลื่อนไหวต่างๆ ของธรรมชาตินะคะ ทำให้ดูน่าสนใจมากยิ่งขึ้น

    ตรงมาอีกหน่อยก็จะมีสะพานข้ามไปอีกโซนนึงของโครงการ ซึ่งสะพานนี้ใช้เป็นสะพานข้ามคลองบางรักน้อยนี่เองค่ะ

    ลักษณะคลองบางรักน้อยนี้เป็นคลองเล็กๆ นะคะ และไม่มีเส้นทางสัญจรข้างคลองให้คนเดินผ่านไปมานะ ดังนั้นก็ไม่ต้องกังวลเรื่องความวุ่นวายและความปลอดภัยมากนัก

    และอีกอย่างคือในส่วนกลางของโครงการก็มี CCTV ติดตั้งทั่วทั้งโครงการรวม 16 ตัวเลยค่ะ

    ส่วนตรงโซนกลางโครงการใกล้ๆ กับ Club House ก็จะเป็นสวนขนาดใหญ่เลยนะคะ มีพื้นที่สีเขียว สนามหญ้า และการทำทางเดินพร้อมม้านั่งตามจุดต่างๆ ไว้สำหรับให้เรามานั่งเล่นชมวิวสวนได้ รวมไปถึงมีทางเดินรอบๆ สวนให้เดินเล่น หรือจะวิ่งออกกำลังกายก็ได้นะคะ

    ถัดมาส่วน Club House ที่นี่ออกมาแบบเรียบเท่ห์มาก โดยการใช้ Elements ความเป็นกล่องมาซ้อนกันแบบเฉียงๆ ดูมีลูกเล่นสะดุดตามากขึ้น และมีการออกแบบล้อไปกับสระว่ายน้ำให้ความรู้สึกเสมือนอาคารลอยอยู่เลยค่ะ

    เดี๋ยวเราเดินขึ้นมาดูรายละเอียดภายใน Club House กันทีละโซนนะคะ

    เราเริ่มจากชั้น 1 ก่อนนะคะ มุมที่อยู่ใต้อาคารจะเป็นส่วนสระว่ายน้ำเด็กนะคะ มุมนี้จัดเป็นสระเด็กถือว่าตำแหน่งดีเลย อยู่ในร่มด้วย และใกล้กับพื้นที่ Deck ริมสระ ใกล้สายตาผู้ปกครองที่หลายคนอาจจะไม่ได้ลงเล่นน้ำกับเด็กๆ ด้วย แต่มานั่งเฝ้าเด็กๆ แทน

    สำหรับสระว่ายน้ำโครงการ มาใน Concept : Swimming Lake ลักษณะจะเป็นสระกลางแจ้ง Freeform ระบบเกลือ ที่มีความยาวต่อเนื่องสูงสุดประมาณ 50 ม. เลย ซึ่งก็สามารถว่ายน้ำออกกำลังกายได้เต็มที่นะคะ

    แต่ทั้งนี้ด้วยรูปแบบแนวคิดที่ต้องการให้เหมือน Lake และด้านข้างของสระไม่ได้ต้นไม้พุ่มบังสายตามากนัก ดังนั้นในการใช้งานจริงอาจจะรู้สึกไม่เป็นส่วนตัวเท่ากับสระที่ยกสูง มีระแนงหรือต้นไม้บังสายตา ซึ่งทำให้เรามองว่าสระนี้น่าจะตอบโจทย์คนที่เน้นบรรยากาศสระสวยงาม เข้าถึงง่ายทำให้จะมานั่งเล่น ชมวิวสระได้ง่ายมากขึ้น รวมไปถึงบรรยากาศที่คล้ายกับรีสอร์ทดี

    นอกจากนี้ก็ยังมีมุมนั่งเล่น Semi-Outdoor ริมสระให้มานั่งเล่นชมวิวเพลินๆ ได้เลยค่ะ

    ถัดมาดูบรรยากาศในห้องน้ำกันนะคะ โดยขนาดห้องน้ำจะไม่ได้ไซส์ใหญ่มากนะคะ หลักๆ จะประกอบด้วยห้องน้ำ 2 ห้องและห้องอาบน้ำอีก 1 ห้องค่ะ

    ภายในห้องน้ำและห้องอาบน้ำตกแต่งด้วยกระเบื้องลายหินอ่อน โทนสีขาวสะอาดตา

    ถัดมาเป็นส่วน Lounge ซึ่งจะเป็นห้องกระจกสูงจากพื้นถึงฝ้าเพดานเลยค่ะ ห้องนี้ตั้งใจออกแบบให้ยื่นเข้าไปส่วนสระว่ายน้ำ ทำให้บรรยากาศจริงเหมือนนั่งลอยอยู่เหนือน้ำเลย

    ซึ่งภายในจะประกอบด้วยชุดโซฟาขนาดใหญ่ และชุดโต๊ะเก้าอี้นั่งเล่นอีก 2-3 ชุด ไว้สำหรับให้ลูกบ้านมานั่งเล่นพักผ่อนได้ หรือจะเป็นพื้นที่นัดพบ Visitor ก็ได้นะคะ เผื่อใครไม่สะดวกใจต้อนรับ Visitor เข้าบ้าน เพราะต้องการความเป็นส่วนตัว

    ขึ้นมาชั้น 2 กันต่อเลยค่ะ

    บนชั้น 2 นี้ประกอบด้วยห้องนั่งเล่น 1 ห้อง ซึ่งได้วิวสระว่ายน้ำเต็มที่เลยด้วยกระจกที่สูงจากพื้นถึงฝ้า

    วิวจริงจากห้องนั่งเล่นชั้น 2 ของ Club House ค่ะ

    อีกฝั่งเป็นห้อง Fitness ภายในมีเครื่องเล่นประมาณ 7-8 เครื่องเลย คิดว่าน่าจะเพียงพอสำหรับโครงการที่มีเพียง 34 ยูนิต

    และจุดเด่นของห้องนี้ก็คงจะไม่พ้นเรื่อง กระจก 4 ทิศไปเลยค่ะ รวมทั้งสูงจากพื้นเลยไปถึงฝ้าเพดาน เปิดมุมมองกันเต็มที่เลยค่ะ

    สรุปสิ่งอำนวยความสะดวก

    • พื้นที่สวนสาธารณะและที่ดิน Club House รวมประมาณ 750 ตร.วา

    • Club House

    • Lounge (ชั้น 2)
    • Fitness (ชั้น 2)
    • Living Area (ชั้น 2)

  •  สระว่ายน้ำ Free Form ความยาวสูงสุด 50 ม. ระบบเกลือ แบ่งเป็นสระเด็กและ Jacuzzi
    • ระบบรักษาความปลอดภัย

    •  ภายในโครงการ

    • CCTV ที่ Main Gate และภายในโครงการ 16 ตัว
    • รั้วรอบโครงการสูง 2.8 เมตรและรั้วโปร่งต่อเพิ่ม 1.8 เมตร
    • ถนนหลักกว้าง 16 ม. และถนนภายในกว้าง 12 และ 9 ม.
    • ระบบสายไฟและ Optic Fiber ใต้ดินทั้งโครงการ
    • Key Card Access ระยะไกล
    • เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัย 24 ชั่วโมง
    • ประตูรั้วโครงการแบบ เลื่อนไฟฟ้า 2 ตอน

  • ภายในบ้าน
    • สัญญาณกันขโมย ระบบ Magnetic Sensor ชั้น 1 และ 2 ทุกยูนิต บานประตู/หน้าต่างภายนอกตัวบ้าน
    • Motion Detector ระบบป้องกันการบุรุก ตรวจจับคลื่นความร้อนและการเคลื่อนไหว
    • Heat Detector ระบบเตือนเมื่ออุณหภูมิสูงเกินที่ตั้งไว้ในห้องครัวไทย
    • CCTV 2 จุด (หน้าบ้านและหลังบ้าน)
    • Innovation อื่นๆ ในบ้านที่ได้เป็นมาตรฐาน
    • ระบบ Air Plus ระบบดูดอากาศใหม่หมุนเวียนภายในบ้าน
    • Home Automation สั่งงานผ่าน Application ครอบคลุมการสั่งงาน ดังนี้

    • การเปิด-ปิด ประตูรั้วหน้าบ้าน
    • การเปิด-ปิด Facade ระแนง
    • การเปิด-ปิด ไฟส่องสว่าง (เฉพาะห้องนอนใหญ่ และพื้นที่นั่งเล่น)
    • การเปิด-ปิด เครื่องปรับอากาศ (เฉพาะห้องนอนใหญ่ และพื้นที่นั่งเล่น)
    • การดูภาพจากกล้อง CCTV บริเวณทางเข้าบ้านทั้งประตู Main Entrance และประตูทางเข้าจากห้องครัว


    Product Walkthrough

    แบบบ้านของโครงการ VIVE รัตนาธิเบศร์ – ราชพฤกษ์ มี 2 แบบให้เลือกคือ

    VERVE – พื้นที่ใช้สอย 325 ตร.ม. ที่ดินมาตรฐาน 100 ตร.วา 4 ห้องนอน 5 ห้องน้ำ 3 ที่จอดรถ
    VIBE – พื้นที่ใช้สอย 354 ตร.ม. ที่ดินมาตรฐาน 120 ตร.วา 4 ห้องนอน 5 ห้องน้ำ 3 ที่จอดรถ
    โดยทั้ง 2 แบบมีหัวใจการออกแบบที่ทางโครงการตั้งใจออกแบบมาตามแนวความคิดของแบรนด์ VIVE ก็คือ Design + Space ซึ่งไม่ได้จำกัดความว่าจะต้องเป็นดีไซน์รูปแบบไหนแต่เน้นความเป็นเอกลักษณ์ไม่ซ้ำใคร อย่างโครงการ VIVE รัตนาธิเบศร์ – ราชพฤกษ์ นี้ก็เป็นแบบบ้านใหม่ของทางแบรนด์เช่นกันค่ะ โดยมาในรูปแบบ Modern Minimal ซึ่งถ้าเราสังเกตก็คือตัวบ้านเป็นโทนสีขาวทั้งหมดเลย

    นอกจากนี้เรามองว่าด้วยลักษณะของกลุ่มผู้ซื้อระดับ Super Luxury แล้วมักต้องการความเป็นส่วนตัวสูง ก็เป็นอีกปัจจัยนึงที่เราเห็นว่าทางโครงการให้ความสำคัญ จะเห็นได้จากหลายจุดมากในตัวบ้าน รวมไปถึง Facade ระแนงด้วย และสุดท้ายคือพื้นที่สีเขียว ที่ทุกห้องจะต้องสามารถมองเห็นหรือเข้าถึงพื้นที่สีเขียวได้ ไม่ว่าจะเป็น Court ชั้นล่างและ Pocket Garden ในชั้นบน

    ซึ่งถ้าสังเกตสิ่งที่แตกต่างกัน 2 แบบนี้ก็จะเป็นเรื่องขนาดทั้งพื้นที่ใช้สอย และที่ดินมาตรฐานนะคะ แต่จะต่างกันไม่ได้มากนัก จริงๆ แล้วสิ่งที่เรามองว่าต่างกันเลยค่อนข้างชัดคือ รูปแบบการออกแบบ ซึ่งทางโครงการจะวางผังห้องแตกต่างกันไปเพื่อตอบโจทย์กลุ่มคนที่มีไลฟ์สไตล์ หรือจะเป็นความชอบต่างกันค่ะ

    โดยแต่ละแบบหน้าตาและการออกแบบเป็นอย่างไร เรามาดูรายละเอียดแต่ละแบบกันค่ะ


    VERVE

    VERVE – พื้นที่ใช้สอย 325 ตร.ม. ที่ดินมาตรฐาน 100 ตร.วา 4 ห้องนอน 5 ห้องน้ำ 3 ที่จอดรถ

    สำหรับแปลนบ้านของ VERVE สิ่งที่เราอยากให้สังเกต คือ งานออกแบบที่เน้น ความเป็นส่วนตัว และ พื้นที่สีเขียว รวมไปถึงการเปิดมุมมองได้กว้าง+โปร่งโล่งในบ้าน ซึ่งเดี๋ยวเราจะอธิบายเป็นส่วนๆ ไปนะคะ

    1.ความเป็นส่วนตัว

    อย่างที่เราเกริ่นไปก่อนหน้านี้ว่าทางโครงการค่อนข้างเน้นเรื่องความเป็นส่วนตัว เราจะเห็นได้จากสิ่งแรกคือ Flexible Active Court ซึ่งเรายังไม่เคยเห็นในโครงการจัดสรรเท่าไหร่นักนะคะ Court นี้มีหน้าที่หลักอยู่ 2 อย่างคือ เป็น Buffer ระหว่างตัวบ้านและภายนอกบ้านให้มีระยะของความเป็นส่วนตัวได้ และถ้าสังเกตคือ จาก Front Gate มองเข้ามาภายในบ้านจะไม่เจอกับตัวบ้านตรงๆ แต่เห็นเป็น Connecting Court ที่เชื่อมไปยังสวนด้านใน อีกหน้าที่ของ Court นี้คือลูกบ้านสามารถจัดเป็นลานกิจกรรมอเนกประสงค์ได้หลากหลาย เช่น ที่จอดรถเพิ่มเติม, พื้นที่เล่น Street Basketball, สอนเด็กๆ ขี่จักรยาน เป็นต้น

    การจัดหน้าบ้านให้คนภายนอกมองไม่เห็นกิจกรรมภายในบ้าน สังเกตว่าผนังบ้านฝั่งหน้าบ้านจะไม่มีช่องเปิดเลย ยกเว้นบริเวณ Foyer ที่เป็นพื้นที่มุมไม่ใหญ่มาก ทำให้ไม่เห็น Living Area ด้านใน

    มีผนังทึบตรงหน้าบ้าน (ที่เราทำเส้นประไว้) ผนังทึบนี้นอกจากได้เรื่องความสวยงามแล้ว ฟังก์ชันหลักคือบังสายตาจากภายนอก ตรงบริเวณสวน หรือ Green Passive Court ค่ะ

    และสุดท้ายคือมีผนังด้านนึงของบ้านเป็นผนังทึบทั้งหมด ซึ่งทุกบ้านที่อยู่เรียงติดกันจะเป็นแบบนี้ทั้งหมด เพื่อให้ด้านเปิดของบ้านอีกหลังสามารถเปิดใช้งาน ชมวิวได้เต็มที่ โดยไม่มีเพื่อนบ้านที่ติดกันมองเห็น ซึ่งพอเราไปดูของจริงมาก็คือตอบโจทย์ความเป็นส่วนตัวได้ดี ไม่ต้องปิดม่านเพื่อความเป็นส่วนตัวได้เลย และเปิดม่านชมวิวสวนของบ้านได้เต็มที่

    2.พื้นที่สีเขียว

    แบบบ้านนี้จะมี Court ที่จัดเป็นสวนในชั้นล่างหลักๆ อยู่ 2 จุด โซนหน้าบ้าน ออกแบบให้เป็นเสมือนสวนบังสายตาจากภายนอกส่วนนึง และเป็นวิวสวนให้กับห้องนอนชั้นบนได้ด้วย

    ในขณะที่จุดเด่นของสวนจะอยู่ที่อีกจุดนึงเรียกว่า Green Passive Court ที่อยู่โซนด้านใน ลักษณะของ Court นี้ออกแบบมาให้มีพื้นที่นั่งเล่นในสวนด้วย สามารถใช้งานได้จริง และมีสนามหญ้า+ต้นไม้ที่ทางโครงการจะจัดมาให้เป็นมาตรฐาน ซึ่งถ้าสังเกต Core ในการออกแบบหลักคือทุกห้องหลักของบ้านจะสามารถ Take View Court นี้ได้หมดเลยค่ะ

    3.เปิดมุมมองได้กว้าง+โปร่งโล่งในบ้าน

    จากที่บอกว่าห้องหลักทุกห้องสามารถ Take View Court กลางบ้านได้ นอกจากได้วิวแล้วนั่นหมายถึงได้แสงธรรมชาติด้วย บรรยากาศในบ้านจึงได้ความรู้สึกที่กว้างขวางกว่าหากเทียบกับบ้านที่เป็นผนังทึบส่วนใหญ่ และเพิ่มความโปร่งโล่งให้กับพื้นที่ตรงกลางบ้านด้วย Double Volume ที่มีความสูงฝ้าเพดาน 6.5 ม. อีกด้วยค่ะ

    4. Identity Room

    หรือเราจะเรียกว่าเป็นห้องอเนกประสงค์ที่มีห้องน้ำในตัว ซึ่งจะมีทั้ง 2 แบบบ้านนะคะ แต่ตำแหน่งจะอยู่ต่างกัน โดยถ้าดูจากผังแล้ว แบบบ้านนี้ตำแหน่งของห้อง Identity Room ที่มาอยู่ภายในบ้านเดียวกัน เชื่อมกันได้เลย ไม่ได้แยกเรือนออกไป แต่ยังคงอยู่ติดกับสวน (Green Passive Court) อยู่ ซึ่งหากมองในแง่การใช้งานแล้ว ห้องนี้จะเหมาะกับการปรับเป็นห้องนอนผู้สูงอายุได้ดีกว่าแบบ Verve ที่แยกเรือนมา เพราะการที่พื้นที่เชื่อมต่อภายในบ้าน ทำให้สมาชิกในบ้านคนอื่นๆ สามารถดูแลเข้าถึงได้ง่ายมากกว่า รวมทั้งตำแหน่งที่อยู่โซนหลังบ้านก็ได้ความเป็นส่วนตัวมากกว่าด้วยค่ะ

    มาดูชั้น 2 Highlight อยู่ตรงตำแหน่งห้องนอนใหญ่ (Master Bedroom) ที่อยู่ด้านหลังบ้าน ลักษณะเป็นห้องหน้ากว้างยาวเต็มพื้นที่หลังบ้านเลย จุดเด่นในห้องนี้อยู่ตรงพื้นที่เตียงนอนและระเบียง ที่ได้กระจกเข้ามุมบานใหญ่ เปิดพื้นที่วิวสวนส่วนตัวเต็มที่

    ส่วนห้องนอน 2 จุดเด่นก็คือส่วน Walk-in Closet และพื้นที่อเนกประสงค์ที่ได้กระจกเข้ามุมและยังมีความสูงกว่า 3.9 ม. ซึ่งเราไปดูของจริงแล้วชอบมุมนี้ เพราะเปิดรับมุมมองภายนอกได้ดีมากจริงๆ ส่วนห้องนอน 3 ก็ได้วิวสวนส่วนตัวด้านในเช่นเดียวกับห้องนอนใหญ่ จะเห็นว่าทุกห้องนอนเน้น “การเปิดมุมมองรับวิวสวนในบ้านตัวเอง” ทั้งหมดเลย

    สังเกตเพิ่มเติมสำหรับพื้นที่สีเขียว บนชั้น 2 ก็จะมี Pocket Garden ในแต่ละตำแหน่ง หลักๆ คือมุมโถงบันได และห้องน้ำทุกห้องเลยค่ะ

    และพิเศษของแบบ VERVE นี้คือมี Minibar ให้ด้วย ซึ่งทางโครงการจะเตรียมงานระบบไฟฟ้า และ Built-in เคาน์เตอร์ให้พร้อมเลยค่ะ

    เริ่มจากหน้าประตูบ้านแต่ละหลังเลือกใช้ประตูบานเลื่อนอัตโนมัติ สามารถเปิด-ปิดผ่าน Application (หนึ่งใน Function ของ Home Automation) หรือจะเปิดตรง Foyer ในบ้านได้

    ซึ่งลักษณะของประตูบ้าน ทางโครงการตั้งใจเลือกแบบเป็นกึ่งทึบกึ่งโปร่ง (เล็กน้อย) เพื่อให้ยังได้ความเป็นส่วนตัว ในขณะที่เราก็สามารถมองเห็นภายนอกได้เล็กน้อย และมีประตูทึบสำหรับคนเข้า-ออกด้านข้างค่ะ

    รั้วบ้านเป็นรั้วกำแพงทึบสีขาวสะอาดตา มีลูกเล่นโดยการทำเว้นช่องไว้ให้เป็นดีเทลสวยงามและการเว้นช่องแบบนี้ช่องลดรอยร้าวได้ด้วยนะคะ เพราะส่วนใหญ่ผนังขนาดใหญ่จะเกิดรอย Crack ได้ง่ายกว่า

    เข้ามาเราจะเจอกับ Flexi Active Court ที่มีขนาดกว้างมากนะคะ สามารถใช้เป็นลานกิจกรรมของครอบครัวได้จริงเลย อย่างในบ้านตัวอย่างก็มีวางแป้นบาสเก็ตบอสไว้ให้ดูเป็นไอเดียด้วย และสิ่งสำคัญของหน้าที่ Court นี้คือเป็น Buffer ระหว่างภายนอกบ้านกับพื้นที่ด้านในบ้าน ซึ่งเราว่าตอบโจทย์ได้จริงนะ

    สำหรับโครงสร้างเฉพาะ Flexi Active Court ทางโครงการเลือกใช้โครงสร้างพื้นแบบลงเสาเข็มสั้นปูพรมทุกๆ ระยะ 1 ม. ก็เป็นโครงสร้างที่แข็งแรงพอสำหรับการใช้งานเป็น Court กิจกรรมค่ะ

    ส่วนที่จอดรถอยู่ด้านข้างทำให้คนภายนอกไม่เห็นท้ายรถที่จอดอยู่ ส่วนขนาดสามารถจอดได้ 2+1 คัน จะมีคันนึงที่จอดด้านนอกนะคะ แต่ไม่ต้องกังวลเรื่องแดดเลียมากเท่าไหร่ เพราะความยื่นหลังคาค่อนข้างมาก แต่ถ้าเป็นฝนอาจจะมีกระเด็นโดนบ้างนะคะ

    เงยหน้าขึ้นมาด้านบนเราจะเห็น Customized Facade สีขาวที่เป็นเอกลักษณ์ของแบรนด์ VIVE เลยก็ว่าได้นะคะ ความน่าสนใจของ Facade นี้คือเราสามารถปรับการเปิด-ปิดได้ตามความต้องการเลย ซึ่งช่วยเพิ่มความเป็นส่วนตัว และเป็นระแนงที่บังทิศทางแดดได้ดี

    เราเชื่อว่าหลายคนอาจจะไม่แน่ใจว่า Facade ระแนงแบบนี้เพิ่มความเป็นส่วนตัวได้จริงไหม หลังจากที่เราได้ไปลองดูมาแล้ว หากเราดูจากภายในบ้านเราก็ยังจะเห็นบรรยากาศด้านนอกอยู่นะคะ เพราะด้วยความเป็นระแนงไม่ได้ทึบเลย แต่กลับกันตอนเราเดินออกมานอกบ้านแล้วเงยหน้ามอง (ระยะสายตา) เราแทบจะไม่เห็นบรรยากาศในบ้านในช่วงกลางวันเลย ส่วนกลางคืนเราคิดว่ายังต้องใช้ม่านเพิ่มกรณีต้องการบังสายตาแบบจริงจังนะคะ เพราะเวลาเราเปิดไฟในบ้านและข้างนอกมืดจะยังสามารถเห็นได้อยู่

    มุมถัดมาคือมุมทางเข้าหน้าบ้าน สังเกตว่าประตูเข้าหน้าบ้านเป็นประตูทึบ ทำให้คนภายนอกไม่เห็นบรรยากาศในบ้านได้ชัดเจน และตรงบริเวณนี้เป็นการยกสเต็ปขึ้นมาเล็กน้อยหน้าที่จะเป็น Connecting Court ระหว่าง บริเวณ Court หน้าบ้านและ Court กลางบ้านที่จะมีความเป็นส่วนตัวมากขึ้น

    บรรยากาศภายใน Court นี้คอนเสปการออกแบบแนวเดียวกับแบบบ้าน VIBE คือมีสวน+Hard Scape ที่ทำเป็นม้านั่ง (ไม่รวมผนังและน้ำพุ) เป็นมาตรฐาน แต่มี Gimmick ที่แตกต่างมาหน่อยคือพื้นที่นี้ยกพื้นที่ดินสูงขึ้นจากพื้นถนนมาอีกหน่อย เพราะต้องการให้พื้นที่สวนและภายในบ้านมีความต่อเนื่องเชื่อมต่อกันมากขึ้น

    มุมมองจากสวนหันไปทางตัวบ้านนะคะ สังเกตว่าบริเวณที่หันมาทางสวน จะใช้เป็นหน้าต่างหรือประตูสูงเท่าฝ้าเพดานทั้งหมด เพื่อเปิดรับวิวสวนได้เต็มที่เลยค่ะ

    โดยก่อนที่เราจะเข้าสู่ภายในบ้าน ด้านข้างจะมีช่องสำหรับเก็บของ แต่ไม่ใช่ตู้เก็บรองเท้านะคะ เป็นตู้เก็บอุปกรณ์ต่างๆ ภายนอกบ้าน เช่น อุปกรณ์ล้างรถ ทำความสะอาดต่างๆ ส่วนตู้เก็บรองเท่าจะอยู่ด้านในบ้าน ซึ่งทางโครงการมีการจัดเตรียมพื้นที่ไว้ให้เรียบร้อย

    ส่วนประตูเป็นประตูที่เราอยากให้ดูเป็นพิเศษ เพราะเป็นประตูที่มีความน่าสนใจทีเดียว อย่างแรกคือช่วยกันเสียงได้ น้ำหนักเบา ตำแหน่งมือจับและการใช้งาน เป็น Universal Design ใช้งานได้ง่าย

    และสิ่งที่เราชอบเป็นพิเศษ และยังไม่เคยเห็นเลยก็คือจะมีกลอนสำหรับ Construction หมายถึงมีกุญแจแยกสำหรับผู้รับเหมาที่ต้องเข้ามาก่อสร้าง ตกแต่งด้านในต่างๆ และเมื่อไหร่ที่กุญแจเปิด-ปิดปกติเริ่มใช้งานครั้งแรก (ซึ่งหมายถึงลูกบ้านเริ่มเข้ามาอยู่แล้ว) กุญแจสำหรับผู้รับเหมาจะใช้งานไม่ได้ทันที เป็นอีก Security ที่ดีมาก

    เข้ามาภายในบ้านกันแล้วนะคะ บริเวณนี้เป็นส่วน Foyer มุมนี้ฝั่งขวาได้กระจกบานใหญ่สูงจากพื้นถึงฝ้า เปิดมุมมองได้กว้าง เห็นสวนเลยค่ะ

    เข้ามาด้านในก็จะเป็น Living Area ที่เชื่อมต่อกับ Pantry Area เลย ซึ่งมุมนี้เป็น Highlight ของตัวบ้านเลย ด้วยฝ้าเพดานแบบ Double Volume สูง 6.5 ม. ทำให้ได้บรรยากาศโปร่งโล่งดีเลย

    ซึ่งนอกจากฝ้าเพดานสูงแล้ว ยังได้ประตูบานเลื่อนสูงจากพื้นถึงฝ้าเพดานชั้น 1 คือ 2.9 ม. และยังมีชุดกระจกสูงจากชั้น 2 ถึงฝ้าเพดาน 2.9 ม. อีก ทำให้บรรยกาศตรงนี้โปร่งโล่งมาก และรับวิวสวนเต็มที่เลยค่ะ

    สิ่งที่เราชอบในเรื่องดีเทลของโครงการคือชุดหน้าต่าง-ประตู ที่นี่ใช้เป็นประตูกระจกอลูมิเนียมจาก Tostem แบรนด์ญี่ปุ่นชั้นนำ ที่มีความแข็งแรงและ Fitting แน่นหนาดีมาก นอกจากนี้ตรงหน้าต่าง-ประตูจะมีเพิ่มเติมมุ้งลวดให้ด้วยนะคะ เพียงแต่ไม่ได้โชว์ในบ้านตัวอย่างเท่านั้น

    ซึ่งเรามองว่าการติดตั้งมุ้งลวดให้ด้วยคือดีมาก เพราะการที่จะเข้าถึงสวนได้จริง เราควรที่จะสามารถเปิดบานประตูรับลม รับวิวได้ ไม่ใช่เพียงมองเห็นเท่านั้น และก็จะต้องเปิดได้โดยไม่ต้องกังวลเรื่องแมลงต่างๆ ด้วย

    ด้านข้างมีหลบมุมเป็นห้องน้ำแบบ Powder Room และห้องเก็บของใต้บันได

    ภายใน Powder Room เป็นห้องน้ำส่วนรวมชั้นล่าง เน้นสำหรับรับรองแขกด้วย เพราะปกติสมาชิกในบ้านจะมีห้องน้ำส่วนตัวในห้องนอนตัวเองอยู่แล้วนะคะ ดังนั้นชุดสุขภัณฑ์จะมีอัปเกรดขึ้นมาอย่าง โถสุขภัณฑ์แบบอัตโนมัติจาก American Standard ที่เราสามารถควบคุมการทำงานทั้งหมดจาก Remote ด้านข้างผนังได้เลย และตำแหน่งห้องน้ำนี้ก็มีหน้าต่างด้านบนไว้ระบายอากาศให้เรียบร้อยค่ะ

    ถัดมาที่ส่วน Pantry และมุมรับประทานอาหาร สำหรับบ้านแบบ VERVE ความพิเศษคือนอกจากจะได้ Pantry + Island แล้วยังได้ โต๊ะรับประทานอาหารที่เชื่อมกับ Island ขนาดรองรับที่นั่งได้ 6 ที่นั่งเลย

    ถัดมาจะเป็นส่วนเคาน์เตอร์ครัว และ Island ที่ได้เป็นมาตรฐานตามบ้านตัวอย่างเลยนะคะ หลักๆ แล้วมุมนี้จะเหมาะกับการเตรียมอาหารเบาๆ มากกว่า เพราะไม่ได้มี Hob & Hood ติดมาให้ แต่มีติดตั้ง Sink ล้างจาน และ Oven+Microwave จาก Kuppersbusch

    ส่วนสเป็คอย่าง Top เคาน์เตอร์ที่จะได้เป็น Quartz ซึ่งเหมาะกับการใช้งานนะคะ เพราะเป็นหินที่มีความแกร่งกว่ามีด เราสามารถหั่น ตัดได้เลย กรณีที่บางทีเผลอไปโดนโต๊ะก็ไม่ต้องกังวลเรื่องรอยขีดข่วน

    ด้านล่าง Built-in ชั้นเก็บของให้ ด้านบนก็มีการทำช่องเก็บปลั๊กไฟไว้ด้วย ซึ่งดีมากกับการใช้งานปัจจุบัน ที่อาจจะต้องเปิด Youtube ใน iPad ดูการทำอาหาร

    ปลั๊กไฟนี้จะสามารถซ่อนเก็บได้นะคะ และแค่กดก็จะเด้งขึ้นมาเลย ใช้งานดีค่ะ

    รายละเอียดวัสดุต่างๆ ก็จะประกอบด้วย อ่างล้างจานจาก Teka ด้านล่างมีชั้นเก็บของให้ 2-3 ชั้น ซ้อนกัน สามารถวางจานชาม ต่างๆ ได้เต็มที่มากๆ ทั้งหมดมี Soft Close ให้เปิดปิดโดยไม่กระแทก รวมไปถึงติดตั้งถังขยะไว้ด้านในด้วย เพื่อที่จะไม่ต้องวางถังขยะตรงทางเดินดูไม่สวยงาม

    อีก Highlight ที่เราค่อนข้างชอบเลย คือครัวไทย ที่ได้กระจกเข้ามุม สูงตั้งแต่จากเคาน์เตอร์ครัวขึ้นไปถึงฝ้าเพดาน ซึ่งเราไม่ค่อยจะเห็นในโครงการอื่นๆ เท่าไหร่นักค่ะ

    เหตุผลหลักที่ครัวไทยเป็นกระจกเข้ามุม เพราะต้องการให้ทุกฟังก์ชันภายในบ้านสามารถเข้าถึงวิวสวน พื้นที่สีเขียวได้หมด อย่างรูปด้านบนเราถ่ายจากภายในห้องครัวไทยเลย ก็จะเห็นว่าสามารถเห็นวิวสวนภายนอกได้ดีเลยค่ะ และอีกอย่างที่สำคัญคือการได้มองเห็นกิจกรรมของสมาชิกในบ้านคนอื่นๆ บริเวณ Common Area ด้วย ในส่วนนี้เรามองว่าดีเลยนะ ดูเป็นการทำครัวที่เพลินตา

    สำหรับการตกแต่งภายในครัว ทางโครงการจะให้เหมือนในบ้านตัวอย่างเลยค่ะ ไม่ว่าจะเป็นเคาน์เตอร์ครัว, Hob & Hood และ Sink ทั้งหมดจาก Teka ซึ่งเรามองว่าเกรดของวัสดุที่ได้ถือว่าให้มามาตรฐานตามราคานะคะ แต่ที่เราชอบคือ Design ของชุดครัวไทย เป็น Theme เดียวกับ Pantry ข้างนอก ดูเป็น Series เดียวกัน

    ด้วยความที่ช่องหน้าต่างของห้องครัวมีเพียงจุดเดียว ซึ่งถ้าต้องการให้อากาศระบายได้ดี เกินการหมุนเวียน จำเป็นต้องมีช่องเปิด 2 ฝั่ง ให้ลมเข้าและออกได้ ดังนั้นทางโครงการเลยเลือกประตูที่เป็นทั้งประตูและหน้าต่างในตัว มีมุ้งลวดกันแมลงเข้า-ออกได้ รวมไปถึงมีพัดลมช่วยดูดอากาศด้านบนด้วยนะคะ

    ออกมาที่ส่วนลานซักล้าง เรามองว่าพื้นที่ซักล้างทางโครงการจัดมาให้เล็กไปหน่อยในแง่ของการใช้งานจริงจัง เช่น ตากผ้า ซักล้างต่างๆ แต่ในส่วนของโครงสร้างพื้นตรงนี้จะเป็นเสาเข็มสั้น 4 ม. โอเคเลยสำหรับการใช้งาน โอกาสทรุดตัวไม่มากเพราะมีการลงเสาเข็มไว้ให้เรียบร้อย

    และด้านข้างบ้าน เมื่อพื้นที่ซักล้างไม่ได้ใหญ่มาก ทางโครงการก็มีการทำราวตากผ้าติดกับผนังมาให้ด้วยเลย เป็นดีเทลที่เราถือว่าเก็บรายละเอียดได้ดีค่ะ ส่วนพื้นที่สวนด้านข้างนี้จะไม่ได้เน้นมากนะคะ เพราะจริงๆ แล้วตรงนี้จะเป็นเส้นทางเดินของแม่บ้านมากกว่า โดยตำแหน่งที่อยู่แม่บ้านจะอยู่บริเวณหน้าบ้าน และสามารถใช้เส้นทางนี้เดินเข้าครัวหลังบ้านได้

    เราเดินมาดูบรรยากาศบริเวณพื้นที่แม่บ้านกันอีกสักหน่อยนะคะ หลายครั้งที่พื้นที่โซนนี้จะถูกมองข้ามไปเหมือนกันเพราะลูกบ้านที่ซื้อไม่ค่อยจะได้ใช้เท่าไหร่ แต่เรามองว่าการออกแบบก็ควรคำนึงถึงทุกสมาชิกในบ้านด้วย ซึ่งเรามาดูบรรยากาศบริเวณนี้แล้วค่อนข้างโอเคเลย มีการแยกโซนห้องน้ำ ห้องนอนแม่บ้านเป็นสัดส่วนระดับนึง

    บรรยากาศรวมๆ โอเคเลยนะคะ โดยเฉพาะห้องนอนที่มีหน้าต่างไว้ให้ 2 บานเพื่อให้ลมถ่ายเทได้สะดวก และอีกอย่างคือตำแหน่งหน้าต่างหน้าบ้านนั้นก็เป็นตำแหน่งที่แม่บ้านสามารถมองเห็นการเข้า-ออกของนายได้ เผื่อจะช่วยยกของต่างๆ ได้สะดวกไม่ต้องเดินไกล และแม่บ้านก็ยังได้ความเป็นส่วนตัวเพราะชุดหน้าต่างหน้าบ้านเป็นกระจกฝ้า

    ส่วนขนาดห้องอยู่คนเดียวสบายๆ หรือถ้าพอดีหน่อยก็จะสามารถรองรับได้ถึง 2 คนค่ะ

    กลับมาที่ห้อง Identity Room กันต่อนะคะ ตำแหน่งห้องนี้จะอยู่ฝั่งตรงข้ามกับครัวไทยค่ะ โดยสามารถเข้าได้จากบริเวณ Common Area ได้เลย จุดเด่นของห้องนี้คือห้องที่รับวิวสวนได้เต็มที่มากๆ

    มุมนี้น่าจะตอบได้ดีเลยว่ารับวิวสวนได้มากแค่ไหน และที่สำคัญมุมนี้ยังเป็นมุมปิดจากรอบข้างด้วยนะคะ คือไม่มีสายตาจากเพื่อนบ้านเลยทำให้เราสามารถเปิดม่านรับวิวได้เต็มที่จริงๆ

    ภายในห้องน้ำตกแต่งเน้นความ Modern ชัดเจน คลุมโทนสีเทาดิบๆ และทางโครงการเลือกสุขภัณฑ์เป็นแนวเหลี่ยมทั้งอ่างล้างมือแบบลอยตัว และโถสุขภัณฑ์ ซึ่งการเลือกสุขภัณฑ์ต่างๆ ไม่ได้เน้นว่าจะต้องยี่ห้อใด แต่เน้นไปที่ดีไซน์ที่เข้ากับแบบบ้านเป็นหลักในยี่ห้อที่ได้มาตรฐานนะคะ เช่น อ่างล้างมือจาก American Standard และโถสุขภัณฑ์ COTTO

    สำหรับโซนอาบน้ำแยกพื้นที่ชัดเจนด้วยฉากกั้นกระจกใส เพื่อไม่ให้น้ำกระเด็นออกมาโซนแห้ง ส่วนมุมพิเศษของพื้นที่นี้ก็จะเป็นการทำม้านั่งให้สามารถนั่งอาบน้ำ ได้ขณะที่มีหน้าต่างกระจกฝ้า ให้แสงธรรมชาติเข้าถึงได้แต่ก็ยังมีความเป็นส่วนตัวอยู่ ส่วนสเป็คฝักบัวใช้จากยี่ห้อ American Standard ค่ะ

    ก่อนจะขึ้นชั้น 2 ของบ้าน เราอยากให้ทุกคนดูชุดหน้าต่างนี้ก่อนนะคะ ถือเป็นอีกหนึ่งดีเทลที่น่าสนใจเลย เพราะหน้าต่างทุกบานด้านล่างจะมีสิ่งที่เรียกว่า Air Intake หรือพูดง่ายๆ ว่าเป็นช่องระบายอากาศ ซึ่งก็เป็นอีกนวัตกรรมที่เป็นของ Land & Houses โดยเฉพาะ

    ตรงนี้ตอบโจทย์มากสำหรับใครที่ไม่ได้อยู่บ้านนานๆ เช่น บางโอกาสไปเที่ยวเป็นเดือน ก็สามารถเปิดช่อง Air Intake ไว้ให้ลม+อากาศได้ระบายเข้าภายในบ้าน ช่วยให้บ้านไม่อับ โดยไม่ต้องเปิดหน้าต่างไว้เลยค่ะ

    ถัดขึ้นมาจะเป็นบันไดตรงยาวขึ้นไปชั้น 2 ด้วยความกว้างประมาณ 1.35 ม. ซึ่งถือว่าค่อนข้างกว้างเลยนะคะ เดินได้สบายๆ และลูกตั้ง+ลูกนอนใช้เป็นไม้สักสีโอ๊คอ่อน สบายตา

    ดีเทลราวจับเป็นเหล็กพ่นสีขาวเกาะผนัง ที่ด้านล่างมี Indirect Light ซ่อนอยู่

    ส่วนแสงที่เข้านั้นจะได้จากชุดกระจกด้านบนที่ส่งต่อแสงธรรมชาติจากหน้าต่างชั้น 2 ลงมายังส่วนโถงบันได รวมไปถึงมุม Pocket Garden อีกด้วยค่ะ

    ขึ้นมาเราก็จะเจอกับ Pocket Garden ที่ว่าถึงแล้ว อีกทั้งยังเป็น Point of View ให้กับพื้นที่ตรงกลางบ้านชั้น 2 ด้วยนะคะ

    ติดกันเป็นส่วน Mini Bar ที่ทางโครงการจะ Built-in เคาน์เตอร์ให้ทั้งหมด และเดินระบบไฟฟ้าไว้ให้ สามารถวางตู้เย็นเล็กใต้เคาน์เตอร์ได้ หรือจะเป็น Wine Cellar ก็ได้เช่นกัน แต่ไม่มีเดินระบบท่อไว้นะคะ เลยไม่สามารถวาง Sink ได้

    ใกล้ๆ กับส่วนเคาน์เตอร์เราเห็นอีกนวัตกรรมที่ได้เป็นมาตรฐานของบ้านทุกยูนิตที่นี่ นั่นก็คือ Airplus ระบบนี้เป็นระบบช่วยระบายอากาศและความร้อนภายในห้อง และปรับสมดุลอุณหภูมิที่เราต้องการได้

    เช่น ห้องนอนที่ 1 เราต้องการอุณหภูมิห้องไม่เกิน 28 องศา เมื่อไหร่ที่ร้อนไประบบพัดลม (ที่มีติดตั้งไว้ให้เป็นมาตรฐานในห้องนอนทุกห้อง) จะพัดดูดอากาศในห้องออกไปด้านนอกโดยอัตโนมัติ เพื่อลดอุณหภูมิภายใน และเมื่ออุณหภูมิเท่ากับ 28 องศาที่เราตั้งไว้ หรือต่ำกว่า พัดลมจะหยุดอัตโนมัติ นอกจากนี้การทำงานของระบบนี้ยังกินไฟฟ้าที่เราต้องจ่ายน้อยมาก เพราะหลักๆ แล้วจะใช้ไฟฟ้าผ่านพลังงาน Solar Cell ที่ทางโครงการให้มา

    นี่คือหน้าตาของพัดลมดูดอากาศที่จะติดไว้ให้ในห้องนอนแต่ละห้องเลยค่ะ

    และสำหรับทุกห้อง ประตูเข้าห้องก็จะเป็น ประตูที่สามารถระบายอากาศได้ด้วยเช่นกันนะคะ ซึ่งทาง Land & Houses จะเรียกว่า Air Post

    เริ่มต้นดูห้องนอนชั้น 2 กันที่ห้องนอน 2 บริเวณหน้าบ้านกันก่อนนะคะ ห้องนี้ขนาดใหญ่และกว้างมาก ซึ่งเพียงเฉพาะพื้นที่เตียงนอนก็มีขนาดประมาณ 4.80 x 3.75 ม. จึงทำให้บรรยากาศดูโอ่อ่าทีเดียว

    มุมด้านข้างเตียงติดกับหน้าต่างและ Facade ที่หันออกไปด้านข้าง ซึ่งเป็นตำแหน่ง Court หน้าบ้านนะคะ ทำให้มุมนี้ถ้าเป็นยูนิตที่อยู่ติดกับเพื่อนบ้านอาจจะมีเห็น Court หน้าบ้านของเพื่อนบ้านเล็กน้อย ดังนั้นการมี Facade จึงตอบโจทย์เผื่อเวลาต้องการความเป็นส่วนตัวมากขึ้นก็ปิด Facade ช่วยบังสายตาได้มากขึ้น

    ภายในห้องน้ำสวยทีเดียว เพราะมีมุม Pocket Garden ส่วนตัว ที่สามารถติดตั้งประตูบานเลื่อนกระจกใสได้เลย เนื่องจากบริเวณ Pocket Garden เป็นมุมปิดทั้งหมดเลย

    ส่วนสเป็คสุขภัณฑ์ต่างๆ จะเหมือนกับภายในห้อง Identity Room เลยค่ะ การแยกโซนด้วยฉากกั้นกระจกก็เช่นกัน

    ถัดมาบริเวณหน้าบ้าน ซึ่งอยู่ในห้องนอน 2 อยู่นะคะ จะมีพื้นที่อเนกประสงค์ที่เราสามารถเลือกจัดฟังก์ชันเองได้เลย อย่างในบ้านตัวอย่างจัดไว้เป็น 2 มุม มุมแรกคือมุมแต่งหน้า และอีกมุมเป็น Walk-in Closet

    ตรงนี้ในบ้านจริงเราจะไม่ได้ประตูบานเลื่อนนะคะ เพราะทางโครงการตั้งใจไว้ให้เราสามารถออกแบบเองได้ว่าจะเลือกกั้นตรงไหน (ตามรอยเส้นประ) หรือจะไม่กั้นก็ได้ ขึ้นอยู่กับการใช้งานของแต่ละคนเลยค่ะ

    ซึ่ง Highlight ของห้องก็คือมุมนี้เลย นอกจากได้กระจกเข้ามุมแล้ว ยังได้กระจกแบบ Full Height สูงถึง 3.5 ม. เลยทีเดียว ซึ่งเราค่อนข้างประทับใจมุมนี้นะคะ ของจริงดูเปิดโล่งมาก เราคิดว่ามุมนี้เราสามารถจัดเป็นมุมอื่นๆ ได้อีก ไม่ว่าจะเป็น มุมนั่งเล่น อ่านหนังสือ หรือมุมที่เราได้มานั่งชมวิวภายนอกได้

    ถัดมาคือห้องนอน 3 ห้องนี้มีขนาดประมาณ 3.65 x 3.90 ม. บรรยากาศค่อนข้างโล่งเพราะมีด้านนึงที่เป็นกระจกทั้งด้านเลย และข้างเตียงก็มีอีกหนึ่งกระจก ส่วนนี้จะมองเห็นตรงฝ้าเพดาน Double Volume กลางบ้านค่ะ

    ขนาดเตียงที่เหมาะสมสำหรับห้องนี้เรามองว่าเป็นเตียง Queen Size นะคะ เหมือนกับห้องตัวอย่างเลย พอวางเตียงไซส์นี้แล้วทำให้มีพื้นที่รอบเตียงกับพอดีเลย และฝั่งด้านข้างเตียงก็สามารถ Built-in ตู้เสื้อผ้าแบบบานเปิดได้ด้วย

    บรรยากาศภายในห้องน้ำของห้องนอน 3 แบ่งโซนการใช้งานเป็นสัดส่วนเรียบร้อย

    ด้านข้างมีประตูบานเลื่อนกระจกฝ้าขนาดใหญ่ เพื่อรับแสงเข้ามาในห้องน้ำได้เต็มที่เลย หรือหากต้องการระบายอากาศความชื้นต่างๆ ก็สามารถเปิดประตูแล้วใช้มุ้งลวดกันแมลงเข้าได้เลยค่ะ เพียงแต่เราจะไม่สามารถออกไปยังพื้นที่หญ้าเทียมบนหลังคาได้นะคะ เพราะติดกับระแนงภายนอก

    ถัดมาเป็นทางเดินยาวเชื่อมไปยังห้องนอน Master ด้านหลัง

    บรรยากาศบริเวณทางเดินดูโอ่โถงเลย เพราะฝ้าเพดานที่เปิดแบบ Double Volume แล้วยังเป็นมุมกระจกขนาดใหญ่ถึงฝ้าเพดานด้วย เลยรับแสงธรรมชาติเข้ามาภายในบ้านได้เต็มที่

    ด้านข้างโถงทางเดินจะมีมุมสำหรับจัดเป็นพื้นที่อเนกประสงค์ขนาดกะทัดรัดได้ เช่น จัดเป็นพื้นที่บูชาพระ เป็นต้นค่ะ ด้วยพื้นที่ที่ขนาดไม่ใหญ่มากก็จริง แต่บรรยากาศมุมนี้เราว่าโปร่งอยู่นะคะ เพราะจะได้หน้าต่างขนาดใหญ่ และอีกด้านก็เป็นกระจกใสด้วย

    เข้ามาภายในห้อง Master Bedroom ที่เป็นห้องแนวยาวตลอดความยาวของบ้านโซนด้านหลัง ซึ่งเราสามารถแบ่งฟังก์ชันย่อยภายในห้องนอนนี้ได้อีก 5 ฟังก์ชันเลย โดยเริ่มแรกคือพื้นที่เตียงนอนที่รองรับเตียง King Size ได้สบาย

    ฟังก์ชันที่ 2 คือมุมด้านข้างเตียง ที่เราสามารถเพิ่มฟังก์ชันการใช้งานได้อีกนะคะ อย่างบ้านตัวอย่างจัดเป็นพื้นที่นั่งเล่น วางเก้าอี้โซฟา หรือใครจะจัดเป็นมุมทำงานส่วนตัวก็ได้เช่นกัน

    มุม Highlight ของห้องนี้ก็จะเป็นการเปิดมุมมองให้ได้รับวิวสวนภายในบ้านได้มากที่สุด โดยการทำเป็นกระจกเข้ามุม พร้อมขนาดกระจกที่สูงจากพื้นถึงฝ้าเพดานเลย

    สำหรับระเบียงในห้องนอนนี้จะเป็นระเบียงในร่ม มีหลังคากันแดดเป็นสัดส่วน และขนาดใหญ่ สามารถวางโซฟามานั่งเล่นชิลๆ ชมสวนได้เลย

    และนี่ก็คือวิวจากระเบียงเลยค่ะ บรรยากาศจริงเราค่อนข้างชอบมุมนี้เป็นพิเศษนะ เพราะจุดสำคัญเลยคือเราเห็นสวนส่วนตัวเต็มที่ ในขณะที่ไม่มีสายตาจากเพื่อนบ้านอีกด้วย

    กลับมาที่ฟังก์ชันที่ 4 ของห้องก็คือส่วน Walk-in Closet ซึ่งทางโครงการจะกั้นด้วยกระจกสีชาดำเข้ามุมแบบนี้มาให้เลยนะคะ

    ภายใน Built-in ชั้นวางและราวต่างๆ แบบเดียวกับบ้านตัวอย่างเลย ลักษณะจะเป็น Built-in เปิด ไม่มีบานปิด เพื่อนอกจากจะเป็นพื้นที่เก็บเสื้อผ้าแล้ว ยังเป็นเหมือนการจัดแสดงเสื้อผ้าไปในตัวด้วย

    ปิดท้ายด้วยห้องน้ำที่ได้มุมเปิดโล่ง และสวนส่วนตัวที่นอกจากดูพื้นที่สีเขียวแล้ว ยังเป็นพื้นที่ที่ให้แสงธรรมชาติเข้ามาถึงภายในห้องน้ำได้เต็มที่ด้วย

    สำหรับห้องน้ำในห้องนอนใหญ่นี้จะได้อ่างอาบน้ำลอยตัว จาก Kasch และอ่างล้างมือขนาดใหญ่จาก Kasch เช่นกันค่ะ

    ส่วนอีกด้านเป็นพื้นที่อาบน้ำกั้นโซนเป็นสัดส่วน ภายในมาพร้อมกับฝักบัวทั้งรูปแบบ Hand Shower + Rain Shower ต่อระบบทำน้ำร้อนเรียบร้อย และอีกด้านคือโถสุขภัณฑ์อัตโนมัติ จาก American Standard ซึ่งสุขภัณฑ์อัตโนมัติจะได้เฉพาะห้องน้ำ Powder Room ชั้นล่างและในห้อง Master Bedroom เท่านั้นค่ะ


    VIBE

    แบบบ้าน VIBE พื้นที่ใช้สอย 354 ตร.ม. ที่ดินมาตรฐาน 120 ตร.วา 4 ห้องนอน 5 ห้องน้ำ 3 ที่จอดรถ

    สำหรับแบบบ้านหลังนี้ สิ่งที่แตกต่างชัดเจนอีกอย่างในแปลนชั้น 1 คือตำแหน่งของห้อง Identity Room ที่จัดวางแยกออกจากตัวบ้านหลัก และอยู่บริเวณหน้าบ้านติด Court ตำแหน่งแบบนี้เหมาะกับการจัดเป็นห้องที่ต้องการความเป็นส่วนตัวแยกจากสมาชิกในบ้าน เช่น เป็นห้องทำงานต้องความสมาธิในการสร้างสรรค์งานต่างๆ หรือจะเป็นเรือนรับรองแขก ไม่ว่าจะเป็น ห้องปาร์ตี้กับเพื่อน ห้องนอนแขก เป็นต้น

    ส่วนตำแหน่งฟังก์ชันที่ต่างก็จะเป็น Connecting Court หรือพื้นที่ Semi-Outdoor (Connecting Court) ที่มีขนาดใหญ่ขึ้นมาอีกระดับนึง ส่วนฟังก์ชันอื่นๆ เรียกว่าใกล้เคียงกันกับ VIBE เลยค่ะ

    ชั้น 2 นี้จะมีการออกแบบที่เหมือนกันของทั้ง 2 แบบบ้านคือ มีพื้นที่สีเขียวชั้น 2 รูปแบบ Pocket Garden โดยตำแหน่งจะเน้นวางไว้ใกล้กับห้องน้ำในห้องนอนทั้ง 3 ห้อง ซึ่งนอกจากจะได้วิวสีเขียวแล้ว สิ่งสำคัญคือห้องน้ำแสงเข้าถึง จึงช่วยลดความชื้นและแหล่งสะสมเชื้อโรคได้ดีเลย

    อีกจุดเด่นและจุดต่างของแปลนบ้าน VIBE กับ VERVE คือ ตำแหน่งห้องนอนใหญ่อยู่หน้าบ้านและได้วิวสีเขียวทั้ง 2 ฝั่ง ทั้ง Court ด้านในและสวนหน้าบ้าน และห้องนอนอีก 2 ห้องก็ยังได้วิวสวนทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นห้องนอน 3 ก็มีสวนหน้าบ้านและบนหลังคาที่จอดรถ (จัดเป็นหญ้าเทียมให้มาตรฐาน) ห้องนอน 2 ที่ได้วิว Court เต็มๆ

    เริ่มต้นที่ทางเข้าหน้าบ้านนะคะ สำหรับแบบ VIBE นี้ส่วน Flexible Active Ground จะมีความกว้างมากกว่า VERVE อยู่นะคะ แต่จะกว้างมากหรือน้อยจะขึ้นอยู่กับพื้นที่ของแต่ละแปลงอีกที อย่างแปลงนี้คือกว้างมากจริงๆ เราสามารถทำกิจกรรม Outdoor ต่างๆ ในบ้านได้เลย ไม่ว่าจะเป็นให้ Street Basketball, พื้นที่ขี่จักรยานของเด็กๆ ได้หมดเลย

    สำหรับแปลงนี้เราค่อนข้างชอบในการจัดตำแหน่งตัวบ้านที่หันข้างกับประตูหน้าบ้าน ทำให้หน้าบ้านได้ความเป็นส่วนตัวมากขึ้นด้วย (แต่จะไม่ใช่ทุกแปลงที่ทำมาให้นะคะ ขึ้นอยู่กับตำแหน่งและขนาดที่ดินของแปลงนั้นๆ ด้วยค่ะ)

    ด้านข้างเป็นพื้นที่จอดรถ พร้อมหลังคาจอดรถด้านบน กันแดดกันฝนได้ดีเลย สำหรับพื้นที่นี้รองรับรถได้ 3 คัน ด้วยขนาด 5.30 x 8.05 ม. ซึ่งในส่วนโครงสร้างพื้นตรงนี้เลือกเป็นเสาเข็มสั้น 6 ม. ที่มีความลึกขึ้นมาอีกหน่อย จากพื้นตรง Flexible Active Ground เพื่อให้เหมาะกับการรับน้ำหนักรถจอดมากขึ้น

    บริเวณหน้าบ้านนี้ส่วน Connecting Court หรือพื้นที่ Semi-Oudoor จะอยู่ตรงกลางแยกระหว่างฝั่งขวาที่เป็นห้อง Identity Room และฝั่งซ้ายนั้นจะเป็นตัวบ้านหลัก ส่วนด้านบนตลอดแนวความยาวหน้ากว้างเลยก็จะเป็นห้อง Master Bedroom ค่ะ

    ความสำคัญของ Connecting Court นี้ไม่ใช่เป็นเพียงพื้นที่เชื่อมต่อระหว่าง Court ด้านหน้าบ้านและ Court ด้านในเท่านั้น แต่เป็นพื้นที่กึ่ง Outdoor ที่เราสามารถมานั่งเล่นชมสวนของเราเองได้ โดนไม่โดดแดดร้อน และยังเป็นช่องลมที่พัดผ่านได้ดีด้วยนะคะ

    Court ด้านในทางโครงการจัดสวนให้ + Hard Scape เป็นมาตรฐานด้วยนะคะ ซึ่งแบบบ้าน VIBE จะได้สวนรูปแบบ Sunken เล่นระดับ พร้อมกับพื้นที่นั่งเล่น Outdoor เช่นเดียวกับบ้านตัวอย่าง แต่ไม่รวมน้ำพุด้านหลังเท่านั้นค่ะ

    จากมุมสวนของบ้าน จะเห็นว่าฝั่งด้านในของบ้านเป็นด้านเปิดโล่ง ทั้ง 2 ฝั่งมีกระจกเพื่อชมวิวสวนด้านในบ้านตัวเองได้เต็มที่

    เรามาดูห้อง Identity Room กันต่อนะคะ สำหรับจุดเด่นของห้องนี้คือตำแหน่งห้องที่อยู่ติดสวน และออกแบบให้มีหน้าต่าง+กระจกบานใหญ่สูงจากพื้นถึงฝ้า เพื่อเปิดรับมุมมองสวนได้ดี

    ขนาดห้องนี้อยู่ที่ 3.40 x 4.85 ม. เป็นขนาดที่เราสามารถจัดได้หลายฟังก์ชันนะคะ ไม่ว่าจะเป็นห้องทำงาน ห้องนั่งเล่น รับแขก หรือจะเป็นห้องนอนก็ยังได้เช่นกัน อันนี้ขึ้นอยู่กับไลฟ์สไตล์ของเจ้าของบ้านเลย แต่ทั้งนี้ห้อง Identity Room ที่แยกออกจากบ้านใหญ่จะมีจุดเด่นตรงที่ได้ความเป็นส่วนตัวมากขึ้น จะใช้เสียงดังเวลาจัดปาร์ตี้ต่างๆ ก็ไม่รบกวนคนอื่นๆ ในบ้าน

    อีกฝั่งเป็นผนังทึบเต็มหน้า (ฝั่งที่หันไปหน้าบ้าน) ซึ่งผนังตรงนี้มีความลึกที่เราสามารถ Built-in ตู้โชว์ต่างๆ ได้เต็มที่เลย

    ภายในห้องน้ำในห้อง Identity Room ตกแต่งใน Theme เดียวกับห้องน้ำห้องอื่นๆ นะคะ เพิ่มเติมคือมีหน้าต่างตรงพื้นที่อาบน้ำให้เรียบร้อย ช่วยให้แสงเข้ามาได้และยังมีความเป็นส่วนตัว เพราะใช้เป็นกระจกฝ้า

    เข้ามาภายในบ้านหลักกันต่อเลยนะคะ เริ่มต้นที่บริเวณ Foyer นี้ หลักๆ เป็นโถงทางเดินที่ด้านซ้ายจะมีพื้นที่ผนังไว้ให้เราสามารถ Built-in ชั้นวางรองเท้าได้ และฝั่งขวาได้เป็นกระจกบานใหญ่สูงจากพื้นถึงฝ้า เปิดมุมมองได้กว้าง เห็นสวนเลยค่ะ

    ภายใน Living Area นี้จัดเป็นพื้นที่เชื่อมต่อกันยาวตลอดแนว โดยสามารถจัดเป็นทั้งพื้นที่นั่งเล่น พื้นที่รับประทานอาหาร และ Pantry ทำให้ทุกสมาชิกครอบครัว ไม่ว่าจะทำกิจกรรมอะไรอยู่ก็ตาม เช่น คุณพ่อดูข่าวอยู่ เด็กๆ วิ่งเล่นในสวน และคุณแม่ที่กำลังดูคลิปประกอบการทำขนมก็สามารถเห็นกันและกันได้อยู่ตลอด

    และแบบบ้านนี้ก็ยังเป็นแบบบ้านที่ได้ประตูกระจกสูงจากพื้นถึงฝ้าเลย ต่อด้วยชุดกระจกด้านบนอีก รวมความสูงทั้งหมดในบริเวณโถงกลางบ้านนี้ราวๆ 6.5 ม. นะคะ นอกจากความโปร่งโล่งแล้ว เราจะได้วิวสวนเต็มที่ด้วย

    สำหรับพื้นที่รับประทานอาหารของแบบบ้านนี้จะแตกต่างจากแบบ VERVE หน่อยตรงที่ทางโครงการจะไม่ได้ให้โต๊ะที่เชื่อมกับ Island มานะคะ ดังนั้นเราสามารถเลือกโต๊ะที่ชอบและสามารถวางตำแหน่งขวางกับสวนได้เลย ทำให้ทุกที่นั่งสามารถมองเห็นวิวสวนได้ดีด้วย

    สิ่งที่แลกมาจากการที่ไม่มีโต๊ะให้เป็นมาตรฐานก็คือเราจะได้ขนาด Island ใหญ่และกว้างมากขึ้นให้พื้นที่สำหรับการเตรียมอาหารได้ดีค่ะ ส่วนสเป็คต่างๆ จะเหมือนกับแบบบ้าน VERVE เลย

    และถัดมาเป็นส่วนครัวไทย ที่มี Gimmick เดิมคือครัวไทยแต่ได้กระจกใสสูงถึงฝ้าเพดาน เพื่อสามารถ Take View สวนได้ด้วย

    ขนาดห้องครัวไทยจะใกล้เคียงกับแบบบ้าน VERVE เลยค่ะ และสเป็คเคาน์เตอร์, Hob&Hood, Sink ทั้งหมดจะเหมือนกับแบบบ้าน VERVE เลย

    วิวจากครัวไทยของแบบบ้าน VIBE นี้เรามองว่าดีกว่า VERVE มาหน่อยนะคะ เพราะตรงมุม Pantry ได้ชุดประตูกระจกเช่นกัน เลยได้วิวสวยที่กว้างมากขึ้นในขณะที่ VERVE จะติดกับห้อง Identity Room ค่ะ

    ถัดมาเป็นส่วนพื้นที่ลานซักล้างด้านนอกนะคะ ขนาดเราก็ยังมองว่าเล็กไปหน่อยนะคะ หากใครต้องการพื้นที่ Service ส่วนนี้ใหญ่มากขึ้น ยังมีพื้นที่หลังบ้านให้ทำพื้นเพิ่มได้อีกนะคะ ลักษณะการต่อเติมพื้นคือทำพื้นลงเสาเข็มสั้น แยกส่วนกับพื้นซักล้างเดิมที่ทางโครงการให้ (ไม่ควรเชื่อมพื้นกัน เพื่อลดการทรุดตัวไม่เท่ากันแล้วจะทำให้มีโอกาสพื้นแตกร้าวได้มากกว่า)

    ส่วนบรรยากาศภายในโซนแม่บ้านก็จะคล้ายคลึงกับ VERVE เลยค่ะ ด้านหน้าเป็นห้องน้ำ มีมุมสำหรับวางเครื่องซักผ้าต่างๆ และด้านในสุดจะเป็นห้องนอนแม่บ้าน

    ขึ้นมาชั้น 2 ลักษณะบันไดจะเป็นบันไดตรงที่มีการทำชานพักช่วงต้นๆ ก่อนจากนั้นชู้ตยาวไปชั้น 2 เลย ส่วนด้านข้างทำราวบันไดติดผนังและซ่อนไฟแบบ Indirect Light ให้สวยงาม

    ขึ้นมาชั้น 2 เจอกับมุมพื้นที่อเนกประสงค์ก่อน ซึ่งมุมนี้อยู่ติดกับ Pocket Garden ด้านนอกด้วยนะคะ ขนาดพื้นที่ใช้สอยของมุมนี้เราสามารถจัดเป็นฟังก์ชันได้หลากหลายเลย อย่างบ้านตัวอย่างจัดให้เป็นมุมอ่านหนังสือเล็กๆ หรือบ้านไหนมีเด็กๆ ก็จัดเป็นมุมนั่งทำการบ้านของเด็กๆ ได้ รวมไปถึงเป็นมุมไหว้พระก็ได้เช่นกันค่ะ

    Pocket Garden ที่กล่าวไปนี้ลักษณะจะเป็นพื้นที่ระเบียงที่ออกแบบมาเพื่อรองรับการจัดสวนกระถาง และ Verticle Garden ได้ มีการเดินระบบระบายน้ำต่างๆ ให้เรียบร้อยแล้ว

    เดินถัดมาเราก็จะเห็นโถงส่วนกลางที่เป็นมุมเปิดโล่งขนาดใหญ่ มีการทำ Corridor แยกไปยังห้องนอนโซนหน้าบ้าน และหลังบ้าน โดยบริเวณทางเดินใช้กระจก Temper ซ้อน 2 ชั้น เพื่อเพิ่มความโปร่งโล่งให้กับบริเวณโถงมากขึ้นอีกด้วย

    มาที่ห้องนอน 3 ห้องนอนนี้หันไปทางหน้าบ้าน ซึ่งจะเน้น Take View หน้าบ้านเป็นหลักนะคะ ขนาดพื้นที่ห้องสามารถเลือกวางเตียง 5-6 ฟุตได้สบายๆ เลย

    โดยฝั่งหน้าบ้านเลือกใช้ชุดหน้าต่างบานใหญ่ พร้อม Facade ระแนงที่สามารถเลื่อนเปิด-ปิด รวมไปถึงปรับทิศทาง Facade ได้ตามองศาที่ต้องการผ่านทาง Application ได้เลย โดยรวมแล้วพอจะบังสายตาภายนอกเข้ามาภายในได้ระดับนึงเลยนะคะ

    พูดถึงวิวในห้องนี้ก็จะได้พื้นที่สีเขียวบนหลังคาจอดรถด้วย (แต่ลักษณะจะเป็นหญ้าเทียมที่ทางโครงการจัดมาให้เป็นมาตรฐานนะคะ)

    ด้านข้างจัดเป็นมุมทำการบ้าน อ่านหนังสือ และถัดเข้าไปสามารถจัด Walk-in Closet ในตัวได้

    ติดกับส่วน Walk-in Closet ก็จะเป็นห้องน้ำ ซึ่งห้องน้ำนี้จุดเด่นคือมีประตูบานเลื่อนกระจกฝ้าที่เหมือนจะเปิดออกไปได้ แต่จริงๆ ถูกกั้นไว้ด้วยระแนงนะคะ เพียงแค่ต้องการให้ในห้องน้ำได้แสงสว่างมากขึ้นจากช่องแสงขนาดใหญ่

    ส่วนการจัดผังภายในห้องน้ำเป็นสัดส่วน แยกส่วนเปียก/แห้ง เรียบร้อย เพราะกั้นฉากกั้นกระจกให้ด้วย

    เข้ามาดูภายในห้อง Master Bedroom กันก่อนเลย Highlight ของห้องนี้คือ พื้นที่เตียงนอนที่ได้ Double View หรือวิวจากทั้ง 2 ฝั่งเลยค่ะ นอกจากวิวที่ได้แล้วก็ทำให้บรรยากาศโซนนี้โปร่งโล่งด้วย

    สำหรับฝั่งที่หันไปภายนอก จะมี Facade ระแนงเพิ่มเติมให้เพื่อเพิ่มความเป็นส่วนตัวมากขึ้น โดย Facade เราสามารถปรับให้เอียงตามทิศทางองศาที่ต้องการได้เลยนะคะ และวิวภายในจะมีระเบียงขนาดใหญ่ให้ด้วย วิวภายในนี้จะมองเห็นสวนภายในบ้านชัดเลย

    ถัดมามีประตูบานเลื่อนกระจกสีชาแยกโซนกับ Walk-in Closet ให้เป็นสัดส่วนค่ะ

    ถัดมาเป็น Walk-in Closet ขนาดใหญ่ ซึ่งทางโครงการได้ Built-in ไว้ให้ครบจบเรียบร้อยเลย หน้าตาจะเหมือนกับบ้านตัวอย่างเลยคือเป็น ตู้เปิดสูงถึงฝ้าเพดาน มีกระจกสีชาเป็นบานเลื่อน และ Indirect Light ตกแต่ง

    สำหรับห้องน้ำของห้อง Master จะเป็นแบบ See Through นะคะ โดยใช้กั้นด้วยประตูบานเลื่อนสีชา สูงแบบ Full Height ไปเลย ดูโอ่โถงมาก

    Highlight ของห้องน้ำ Master Bedroom โดยเฉพาะแบบบ้าน VIBE ก็คือ พื้นที่ตรงอ่างอาบน้ำนี้เลยค่ะ เราไปดูใกล้ๆ กัน

    ด้วยอ่างอาบน้ำขนาดใหญ่ และดีไซน์พิเศษมาเพื่อโครงการนี้โดยเฉพาะจาก Kasch ที่มีรูปร่าง Freeform และดูโอ่อ่ามากขึ้นด้วย Skylight ให้แสงแดดลงมากระทบกับอ่างอาบน้ำ

    ด้านข้างมีพื้นที่ Pocket Garden ให้ได้วางกระถางต้นไม้เพิ่มพื้นที่สีเขียวภายในห้องน้ำ ซึ่งตรงนี้ไม่จำเป็นต้องทำม่านมูลี่เพิ่มก็ได้นะคะ เพราะมุมนี้เป็นมุมที่ค่อนข้างทึบสามารถบังสายตาภายนอกได้หมด

    สำหรับอ่างล้างมือ พร้อมชุด Built-in ด้านล่างและกระจกขนาดใหญ่ จะได้เหมือนในบ้านตัวอย่างเลยนะคะ ซึ่งอ่างล้างมือนี้ทางโครงการเลือกใช้ยี่ห้อ Kasch เช่นเดียวกับอ่างอาบน้ำเลย

    ฝั่งตรงข้ามอ่างล้างมือแบ่งเป็นโซนอาบน้ำและโซนโถสุขภัณฑ์ ซึ่งจะคั่นกลางด้วยฉากกั้นกระจกเป็นสัดส่วนเลยค่ะ ส่วนสเป็คสุขภัณฑ์จะพิเศษกว่าห้องน้ำห้องอื่นๆ คือฝักบัวได้ทั้งรูปแบบ Hand Shower และ Rain Shower จาก American Standard และโถสุขภัณฑ์อัตโนมัติจาก American Standard เช่นกัน

    ปิดท้ายด้วยห้องนอน 2 ซึ่งจะอยู่โซนหลังบ้านนะคะ ห้องนี้จุดเด่นคือได้วิวสวนส่วนตัวภายในบ้านอย่างเต็มที่เลย และขนาดห้องก็เรียกได้ว่ากว้างขวางสามารถรองรับเตียงไซส์ใหญ่ และมีพื้นที่ด้านข้างให้สามารถจัดฟังก์ชันเล็กๆ น้อยๆ เพิ่มเติมได้นะคะ

    โดยตำแหน่งของหน้าต่างจะอยู่ด้านข้างเตียง หันไปก็เห็นสวนชั้นล่างโดยตรง ไม่ใช่วิวหน้าบ้านที่อาจจะรู้สึกไม่เป็นส่วนตัวมากนัก ทำให้ในการใช้งานจริงๆ แล้วห้องนี้ไม่จำเป็นต้องปิดม่านตลอดเวลา

    และนี่คือวิวจากห้องนอน 2 นี้ค่ะ

    อีกมุมของห้องนี้จะมีพื้นที่ Walk-in Closet จัดไว้ให้เป็นสัดส่วนเลย แต่จะไม่ได้ Built-in ตู้เสื้อผ้ามาให้เหมือนห้องนอนใหญ่นะคะ

    และสุดท้ายคือห้องน้ำในห้องนอน 2 เป็นห้องน้ำที่สวยไม่แพ้ห้องนอนใหญ่เลย เพราะมีวิวจาก Pocket Garden ส่วนตัวด้วย ทำให้บรรยากาศห้องน้ำดูโปร่งโล่ง และสบายตาดี แค่มีขนาดที่เล็กกว่าเท่านั้นเองค่ะ

    **รายละเอียดของวัสดุต่างๆเช่น ยี่ห้อ และรุ่น ของจริงอาจจะเป็นรุ่นนี้หรือเทียบเท่านะคะ

     

    ราคาและเงื่อนไขการขาย @ 04 December 2019

    • VERVE แปลง 00E06 ขนาดที่ดิน 108.6 ตร.วา พื้นที่ใช้สอย 325 ตร.ม. ราคา 28.9 ล้านบาท
    • VIBE แปลง 00C04 ขนาดที่ดิน 166.2 ตร.วา พื้นที่ใช้สอย 354 ตร.ม. ราคา 39.5 ล้านบาท
    • ดาวน์ 20% ของราคาบ้าน (จอง+ทำสัญญา)

    • จอง 500,000 บาท

  • ค่าส่วนกลาง 60 บาท/ตร.วา/เดือน
  • ค่าจดจำนอง ผู้ซื้อเป็นผู้ชำระ
  • ค่าธรรมเนียมและค่าใช้จ่ายในการโอนกรรมสิทธิ์ ผู้ซื้อแล้วผู้ขายชำระฝ่ายละครึ่ง
  • ค่าประกัน มิเตอร์ไฟฟ้า ประปา ผู้ซื้อเป็นผู้ชำระ
  • **ราคาที่เอามาลงในบทความเป็นราคา ณ วันที่เข้าไปเก็บข้อมูลทำรีวิว ดังนั้นราคาต่างๆอาจมีการเปลี่ยนแปลงได้ค่ะ


    เจาะลึกรวบยอด

    ทำเลและความสะดวกในการเดินทาง : สำหรับโครงการ VIVE รัตนาธิเบศร์ – ราชพฤกษ์ ในเรื่องทำเลและความสะดวกในการเดินทางเรามองว่ามีจุดน่าสนใจคือ เป็นโครงการบ้านเดี่ยวที่อยู่ใกล้กับรถไฟฟ้าในระยะเดินได้เลย คืออยู่ที่ประมาณ 200 ม. เท่านั้นเองนะคะ แน่นอนว่าหลายคนอาจจะบอกว่ารถไฟฟ้ากับบ้านระดับราคานี้ กลุ่มคนซื้อไม่น่าจะใช้รถไฟฟ้าเป็นประจำอยู่แล้ว ซึ่งถ้าพูดด้วยเหตุผลนี้ก็ต้องตอบว่าใช่นะคะ แต่อย่าลืมว่าสมาชิกในบ้านคนอื่นๆ อย่างเด็กๆ ก็อาจจะต้องมีใช้เดินทางไปเรียนพิเศษเองบ้าง หรือบางทีรถไฟฟ้าก็เป็นตัวเลือกที่ดีในช่วงเวลาเร่งด่วนที่รถติดหนักมากและเรารีบเป็นพิเศษ พูดอีกปัจจัยในแง่การลงทุนในอนาคตหน่อยก็คงจะเป็นเรื่องราคาที่ดินก็จะสูงขึ้นตาม Infrasturcture ใกล้ๆ ด้วยเช่นกัน

    ส่วนการเดินทางด้วยรถยนต์นั้นถ้าพูดในแง่ของความสะดวกแล้วก็ถือว่าโอเคเลย ถ้าใครเน้นเดินทางออกนอกเมืองไปทางบางใหญ่ ตรงไปวงแหวนรอบนอก หรือวิ่งไปทางราชพฤกษ์นะคะ ในทางกลับกันการเข้าเมืองไปฝั่งทางสนามบินน้ำ ต้องกลับรถไกลสักหน่อยอยู่ที่ประมาณ 2.5 กม. แต่ถ้ากรณีรถไม่ติดก็ใช้เวลากลับรถไม่นานมากนะคะ

    ความปลอดภัยในโครงการและตัวบ้าน : สำหรับความปลอดภัยต่างๆ ทั้งบริเวณโครงการและตัวบ้านเอง ถือเป็นปัจจัยต้นๆ ของกลุ่มคนซื้อระดับนี้เลยก็ว่าได้นะคะ ซึ่งเรามองว่าโครงการทำออกมาได้ดี สิ่งที่เรามองคือ เรื่องของความปลอดภัยพื้นฐานต้องครบ เช่น มีรปภ.คอยดูแล 24 ชม. การเข้า-ออกด้วยระบบ Keycard Access ระยะไกล มี CCTV รอบโครงการ หรือภายในบ้านก็ต้องมีให้อย่าง Application Home Automation สามารถดูความเคลื่อนไหวผ่าน Smart Phone ได้ มี CCTV, Magnetic Sensor ทุกประตู-หน้าต่าง รวมไปถึง Heat Detector จับอุณหภูมิหากสูงเกินมาตรฐานจะมี​สัญญาณ​เตือน ซึ่งทั้งหมดนี้ทางโครงการมีให้ครบเลยค่ะ

    ส่วนสิ่งที่เรามองว่าพิเศษขึ้นมาหน่อย แม้จะไม่ได้เป็นอะไรที่ Cost สูงแต่ก็แสดงถึงความใส่ใจดีอย่าง รอบรั้วโครงการให้มาสูงมาก รวมกำแพงทึบและรั้วโปร่งแล้วก็อยู่ที่ 4.6 ม. เลย จึงได้ความเป็นส่วนดีเลย เทียบแล้วก็เกือบความสูงของบ้าน 2 ชั้น รวมไปถึงบางยูนิตที่อยู่ติดกับรอบรั้วโครงการ ตรงบริเวณระเบียงห้องนอนชั้น 2 ก็มีการทำระแนงเพิ่มให้ด้วย เพื่อบังสายตาจากภายนอกได้

    การออกแบบโครงการและพื้นที่ใช้สอย : สำหรับการออกแบบของโครงการเรียกว่าเป็นจุดขายของโครงการเลย ด้วยการออกแบบที่แตกต่าง เป็นเอกลักษณ์ชัดเจนมาก ฉีกแนวบ้านระดับ Luxury-Super Luxury ของเพื่อนบ้าน ซึ่งลักษณะบ้านที่เป็นสไตล์ Modern Minimal ชัดเจนขนาดนี้จะดึงดูดกลุ่มคนชอบความเรียบง่าย สะอาดตา เป็นพิเศษ

    และหากเราได้มาดูพื้นที่ใช้สอยและการออกแบบภายในบ้านแล้ว เราคิดว่าคนส่วนใหญ่น่าจะชอบเพราะการที่โครงการให้ความสำคัญในเรื่องความเป็นส่วนตัว และพื้นที่สีเขียวค่ะ

    ความเป็นส่วนตัว -​ มีดีเทลเยอะทีเดียวนะคะ แต่ที่ประทับใจก็จะเป็น Flexi Active Court ที่นอกจากจะเป็นพื้นที่กิจกรรมอเนกประสงค์​แล้ว ยังเป็นระยะ Buffer ระหว่างภายนอกบ้านและตัวบ้านอีกด้วย, Facade ระแนง ที่ช่วยบังสายตาจากภายนอกได้ดีเลยในช่วงเวลากลางวัน ปิดท้ายด้วยการทำบ้านทุกหลังให้มีพื้นที่เปิดด้านเดียว และอีกด้านปิดทึบ เพื่อให้ด้านเปิดของบ้านทุกหลัง ไม่มีสายตาจากเพื่อนบ้านเลย เราสามารถเปิดม่านดูวิวสวนได้เต็มที่

    พื้นที่สีเขียว -​ เป็นแนวความคิดหลักของแบบบ้านที่นี่เลย หัวใจหลักคือ ห้องทุกห้องในบ้านต้องได้เห็นพื้นที่สีเขียว ซึ่งจากที่เราไปดูมาก็คือได้เห็นพื้นที่สีเขียวครบทุกห้องจริงๆ แม้กระทั่งห้องน้ำหลักๆ ก็ติดกับ Pocket Garden ให้เรานำกระถางต้นไม้มาจัดสวนได้

    วัสดุ :

    สิ่งที่ประทับใจในเรื่องวัสดุของ Land and Houses ไม่ว่าจะโครงการไหน รวมถึงโครงการนี้ด้วยก็คือการให้วัสดุค่อนข้างครบ พร้อมอยู่อาศัยเลย อย่างโครงการนี้ก็จะมีการทำครัวไทย + Pantry ด้านนอกมาให้ครบ ประตู-หน้าต่างมีติดมุ้งลวดมาให้เพิ่มเติมด้วย (มุ้งลวดในการอยู่อาศัยจริงเรามองว่าเป็นสิ่งจำเป็นที่ต้องมีนะคะ)​ นอกจากนี้ที่เด่นก็จะเป็นการนำนวัตกรรมที่เพิ่มความสะดวกสบายในการอยู่อาศัยมากขึ้นอย่าง ระบบ Airplus, Air Intake มาใช้

    ซึ่งโดยรวมแล้วเรามองว่าเกรดวัสดุทั้งหมดที่ได้ก็ถือว่ามาตรฐาน​ตามราคานะคะ ไม่ว่าจะเป็นชุดประตูหน้า-ต่างสูงถึงฝ้าเพดานจาก Tostem, อ่างอาบน้ำดีไซน์พิเศษจาก Kasch, สุขภัณฑ์อัตโนมัติ ในห้องน้ำรับแขกและห้องน้ำใน Master Bedroom ส่วนที่เราคิดว่าระดับราคานี้อยากให้อัปเกรดขึ้นอีกหน่อยก็คือ พื้นลามิเนต ชั้น 2 ของบ้านค่ะ

    พื้นที่สีเขียวและสภาพโครงการ :

    บรรยากาศโครงการทำออกมาได้ดี โดยเฉพาะพื้นที่สีเขียวที่มีหลายจุดทั่วโครงการ ทำให้บ้านทุกโซนมีพื้นที่สีเขียวที่เข้าถึงได้สะดวก รวมไปถึงทำให้บ้านหลายยูนิตได้วิวสวนจากหน้าบ้านด้วย อันนี้ถือเป็นจุดเด่นอีกหนึ่งจุดของโครงการเช่นกันค่ะ

    สาธารณูปโภค :

    Facilities โครงการเน้นออกแบบมาให้อารมณ์รีสอร์ทเลย โดยเฉพาะสระว่ายน้ำที่เป็นรูปแบบ Outdoor รูปทรง Freeform มีความยาวสูงสุดถึง 50 ม. เลย โดยการออกแบบจะเป็นสระที่อยู่บริเวณพื้นที่โล่ง อาจจะไม่ได้ความเป็นส่วนตัวมากนักนะคะ แต่ทางโครงการจะเน้นเป็นการให้ชอบบรรยากาศสระ มานั่งเล่น ดูวิวสระที่ยาวเชื่อมกับสวนสีเขียวได้เลย

    ส่วนภายใน Club House ประกอบด้วย Lounge และ Fitness ขนาดใหญ่ โอ่อ่าเพราะตกแต่งกระจกสูงจากพื้นถึงฝ้าเลยค่ะ


    Judgement

    เป็นโครงการระดับ Super Luxury ที่มีราคาขายระดับ 30 ล้านบาทขึ้นไป ปัจจัยในการเลือกซื้อนอกจากจะต้องดูเรื่องความคุ้มค่าทางการเงินแล้ว ยังมีปัจจัยอื่นๆอีกที่สำคัญ เช่น ความชอบส่วนบุคคล อารมณ์ และความรู้สึกส่วนตัวของผู้ซื้อ ที่ต้องนำมาใช้ประกอบการพิจารณา แต่ปัจจัยดังกล่าวมีความแตกต่างกันไปตามแต่ละบุคคลค่อนข้างชัดเจน ดังนั้นทางทีมงานจะขออนุญาตไม่มีการให้คะแนนความคุ้มค่าแก่โครงการนะคะ

    BOTTOM LINE

    โครงการ VIVE รัตนาธิเบศร์-ราชพฤกษ์ เรามองว่าเป็นบ้านที่คนที่ชอบความเป็นส่วนตัว หรือเรียกว่า Concern ในเรื่องความเป็นส่วนตัวเลยก็ได้น่าจะชอบ รวมไปถึงกลุ่มคนที่รักพื้นที่สีเขียวก็น่าจะชอบเช่นเดียวกันค่ะ นอกจากนี้ดีไซน์และสไตล์ก็เป็นจุดขายของโครงการที่น่าจะดึงดูดคนชอบความเรียบง่าย ด้วยโทนสีขาวสะอาดตานะคะ ในทำเลเรียกได้เต็มปากว่าเป็นบ้านใกล้รถไฟฟ้านะ แม้จะไม่ได้ติดถนนใหญ่แต่ก็อยู่ในซอยที่ไม่ลึกมากค่ะ ราคาบ้านที่นี่อยู่ในช่วงประมาณ 29 – 40 ล้านบาท


    ติดตามพวกเราได้ที่
    Website : www.thinkofliving.com
    Twitter : www.twitter.com/thinkofliving
    YouTube : www.youtube.com/ThinkofLiving
    Instagram : www.instagram.com/thinkofliving
    Facebook : ThinkofLiving