รีวิวฉบับที่ 1724… วันนี้ผมมีโครงการใหม่ล่าสุดจาก MQDC มาฝากกับโครงการ Whizdom อโศก-สุขุมวิท คอนโดหรูระดับ Ultimate Class บนถนนรัชดาภิเษก ติดสวนเบญจกิติ ที่ได้วิวทะเลสาบและสวนสาธารณะขนาดใหญ่ เป็นโครงการ High Rise 39 ชั้น เดินทางสะดวก ใกล้กับแยกอโศก ออกแบบสไตล์ Modern Luxury เน้นวัสดุและเทคโนโลยีต่างๆที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม พร้อม Facilities มากมาย ในราคาเริ่มต้น 8.4 ล้านบาท ไปชมกันเลยครับ

Fact @ 29 October 2018 

  • Whizdom Asoke-Sukhumvit
  • Magnolia Quality Development Corporation Limited
  • ULTIMATE CLASS (อ่านรายละเอียดของ Segment คอนโดได้ที่นี่)
  • โครงการตั้งอยู่ในเขต : คลองเตย
  • คอนโด High Rise 39 ชั้น 601 ยูนิต และร้านค้า 6 ยูนิต  / 553 ยูนิต และร้านค้า 6 ร้าน  (update 05/04/19)
  • อาคารจอดรถ 10 ชั้น และ ชั้นใต้ดิน 4 ชั้น
  • ยูนิตต่อชั้นสูงสุด 21 ยูนิต
  • ที่จอดรถประมาณ 85 %
  • ที่ดินประมาณ 3-1-96 ไร่
  • เริ่มก่อสร้าง :  Q2 2019
  • คาดว่าจะแล้วเสร็จ : Q1 2022
  • 1 Bedroom ขนาด 28-35 ตร.ม. / ขนาด 34 – 36 ตร.ม. (update 05/04/19)
  • 1 Bedroom Suit  ขนาด 48-68 ตร.ม. / ขนาด 47 – 65 ตร.ม. (update 05/04/19)
  • 2 Bedrooms 1 Bathroom ขนาด 64-70 ตร.ม. / ขนาด 63 – 66 ตร.ม. (update 05/04/19)
  • 2 Bedrooms 2 Bathroom ขนาด 70-116 ตร.ม. / ขนาด 69 – 116 ตร.ม. (update 05/04/19)
  • Duplex ขนาด 110 ตร.ม. (update 05/04/19)
  • Ultra Penthouse ขนาด 240-290 ตร.ม.  / ขนาด 194 – 311 ตร.ม. (update 05/04/19)
  • ฝ้าเพดานสูง 3 เมตร
  • ราคาห้องเริ่มต้น 8.4 ล้านบาท
  • ราคาเฉลี่ยทั้งโครงการ AVERAGE ประมาณ 300,000 บาท/ตร.ม.
  • EIA (การประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อม) : ผ่านแล้ว
  • เวปไซต์โครงการ : คลิกที่นี่  

เพียงแค่การกด Like ก็เท่ากับการสนับสนุนข้อมูลเชิงลึกจาก Think of Living แล้วครับ

สามารถเลือกอ่านตามหัวข้อต่างๆได้โดยกดปุ่มด้านล่างครับ


เจาะลึกเรื่องทำเลที่ตั้ง

พิกัด : 13.732042, 100.559965

แผนที่จากทางโครงการครับ

โครงการ Whizdom อโศก-สุขุมวิท ตั้งอยู่ระหว่างถนนรัชดาภิเษกและซอยสุขุมวิท 16ใกล้กับแยกอโศกมนตรี  โดยจะมีทางเข้า-ออก หน้าโครงการอยู่บนถนนรัชดาภิเษก ซึ่งเป็นถนนสายสำคัญที่เชื่อมต่อระหว่างถนนสุขุมวิทกับถนนพระราม 4 ดังนั้นถนนรัชดาภิเษกจึงมีการจราจรค่อนข้างหนาแน่นพอสมควรเพราะเป็นถนนเส้นที่ตัดเข้าถนนอโศกมนตรีเพื่อเชื่อมต่อไปถนนเพชรบุรีได้ง่ายที่สุด และสามารถเชื่อมต่อถนนสุขุวิทที่แยกอโศกเพื่อเลี้ยวซ้ายเข้าเมืองไปทางเพลินจิต ชิดลม สยาม ได้โดยตรง หรือจะเลี้ยวขวาเพื่อออกเมืองไปฝั่งบางนา สมุทรปราการก็ได้ ส่วนถนนพระราม 4 ก็สามารถเชื่อมต่อกับ CBD ที่สำคัญอีกโซนหนึ่งของกรุงเทพอย่างสีลม สาทร หรือจะลงใต้ไปพระราม 3 และออกเมืองไปคลองเตย พระโขนง หรือบางนาก็ได้

โดยทางเราเคยทำเจาะลึกทำเลโดยรอบโครงการไว้อย่างละเอียด สำหรับผู้ที่ต้องการอ่านข้อมูลเรื่องทำเลเพิ่มเติมได้ที่นี่เลยครับ พาชมทำเล Whizdom อโศก-สุขุมวิท

มาดูความอุดมสมบูรณ์โดยรอบกันบ้างนะครับ ต้องบอกว่าทำเลนี้ถือเป็นทำเลย่านอโศกฝั่งใต้และตัวโครงการเองก็ตั้งอยู่บนถนนรัชดาภิเษกฝั่งขาออก ดังนั้นความอุดมสมบูรณ์จึงอิงตั้งแต่ถนนสุขุมวิทบริเวณใกล้กับแยกอโศก และลงมาตามเส้นถนนรัชดาภิเษกไปจนถึงย่านพระราม 4 เริ่มตั้งแต่ถนนสุขุมวิทซึ่งเป็นที่รู้กันดีว่าเต็มไปด้วยอาคารสำนักงานและห้างสรรพสินค้าใหญ่ๆ อย่าง Terminal21, Interchange21 และ Exchange Tower ที่อยู่ตรงแยกอโศก หรือถ้านั่ง BTS ย้อนกลับมาที่สถานีพร้อมพงษ์ก็มีห้างหรูอย่าง EmQuartier และ Emporium ส่วนบนถนนรัชดาภิเษกซึ่งเป็นที่ตั้งของโครงการก็จะเต็มไปด้วยอาคารสำนักงานใหญ่ๆ ทั้ง C.T.I. Tower, Lake Ratchada Complex และ Ocean Tower รวมถึงมีสวนสาธารณะขนาดใหญ่ของกรุงเทพอย่างสวนเบญจกิติซึ่งมีทะเลสาบขนาดใหญ่อยู่ฝั่งตรงข้ามโครงการ และในอนาคตยังมีสวนป่าเบญจกิติเฟสต่อๆไปเกิดขึ้นอีกด้วย

การเดินทางโดยไม่ใช้รถก็สะดวกมากๆ เพราะแยกอโศกเป็นทำเลที่ตั้งของรถไฟฟ้า Interchange ของ BTS อโศก และ MRT สุขุมวิท ซึ่งอยู่ห่างจากโครงการประมาณ 500 m. ทำให้เรามีทางเลือกให้การเดินทางเพิ่มมากขึ้น หรือจะเลือกใช้ MRT ศูนย์ประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ ซึ่งอยู่ห่างออกไปประมาณ 950 m. ก็ได้นะ ถ้ากรณีที่อยากใช้ MRT แต่ไม่อยากไปขึ้นที่สถานีสุขุมวิทเพราะกลัวคนเยอะ

สำหรับเส้นทางที่เราจะพาไปโครงการวันนี้นะครับ คือการเดินไปจากรถไฟฟ้า BTS สถานีอโศก โดยเริ่มจากเดินไปทางประตูทางออก 6 เดินไปตาม Sky Walk พาแวะชมตึก Interchange และเดินลงผ่านหน้าอาคาร Exchange จากนั้นเดินเรียบถนนรัชดาภิเษก ผ่านทางซอย สุขุมวิท 16 เข้าสู่หน้าโครงการครับ ระยะทางทั้งหมดประมาณ 500 เมตร

เริ่มต้นการเดินทางวันนี้ที่ สถานีรถไฟฟ้า BTS อโศก โดยให้ใช้ทางออกที่ 6 เพื่อเดินทางไปยังโครงการครับ

สถานี BTS อโศก เป็นสถานี Interchange ระหว่างรถไฟฟ้า BTS สถานีอโศก และรถไฟฟ้ามหานคร MRT สถานีสุขุมวิท มีจำนวนคนเยอะตลอดแทบจะตลอดทั้งวัน และมีทางเดินเชื่อมไปใต้ดินได้จากสถานี BTS เลยด้วย นอกจากนี้ตัวสถานียังมีทางเชื่อมต่อกับห้างใหญ่อย่าง Terminal21 ที่มีของขายต่างๆ มากมายและมีโรงภาพยนต์ขนาดใหญ่อยู่ชั้นบนด้วย ภายในขึ้นชื่อเรื่อง Foodcourt ที่มีอาหารราคาถูกและอร่อย ถ้าใครที่เดินทางด้วยรถไฟฟ้าเป็นประจำแล้วต้องกลับบ้านมาลงที่สถานีนี้ก็แนะนำให้แนะทานอาหารที่นี่กันก่อนกลับบ้านได้นะครับ

ส่วนทางไปโครงการให้เดินต่อไปตามทาง Skywalk ข้ามแยกอโศกมนตรี มี Cover Way กันแดดและฝน เดินได้สะดวกสบายครับ

เดินมาจะเจอป้ายบอกทางแยกทางซ้ายไปอาคาร Interchange21 หรืออาคารซิตี้แบงค์ และตรงไปอีกหน่อยจะเป็นทางไปอาคาร Exchange Tower ซึ่งเป็นทางไปโครงการนะครับ

เรามาแวะดูที่อาคาร Interchange21 กันก่อนนะ ภายในอาคารมีสิ่งอำนวยความสะดวกและสะดวกสบาย สามารถทะลุไปทางเส้นทางนี้ได้เช่นกัน

เมื่อเข้ามาภายในอาคารเราจะเห็นป้ายบอกทางไป MRT สุขุมวิท ซึ่งเราสามารถไปรถไฟฟ้ามหานครได้โดยผ่านอาคารนี้ได้ โดยลงบันไดเลื่อนภายในอาคารตามป้ายมาเรื่อยๆ จนมาถึงชั้นที่มี Family Mart จะมีประตูกระจกบานเลื่อนที่เปิดออกไปภายนอกอาคาร ข้อดีของเส้นทางนี้คือเราสามารถมา MRT สุขุมวิท ได้โดยไม่ต้องเสี่ยงเปียกฝนหรือแดดร้อนๆด้านนอกมากนัก ถึงแม้จะเดินบน Skywalk ได้แต่ถ้าฝนสาดแรงๆก็เปียกได้เหมือนกันนะ

เมื่อออกมาด้านนอกจะมาโผล่ฝั่งตรงข้ามของ Terminal21 พอดี และทางฝั่งนี้ก็มีทางเข้าสถานีรถไฟฟ้า MRT สุขุมวิท เช่นกันนะ

สถานีรถไฟฟ้า MRT สุขุมวิท นี้จะมี Metro Mall ตั้งอยู่ด้วย ภายในมีร้านสะดวกซื้อและร้านกาแฟหลายร้าน เหมาะสำหรับคนชอบนั่งทำงานตามร้านกาแฟโดยที่ไม่อยากไปเบียดเสียดแย่งกับคนอื่นตามห้างใหญ่ๆ เพราะที่นี่ก็มีคนมาใช้บริการอยู่พอสมควร แต่ยังพอมีที่นั่งเหลือให้ได้เลือกกันได้ตามอัธยาศัย

กลับมาที่ Skywalk ถ้าเรามองมาทางขวามือจะเห็นทางลงบริเวณด้านหน้าอาคาร Exchange Tower ซึ่งเราจะต้องลงตรงนั้นแล้วเดินไปตามทางเท้าเลียบถนนรัชดาภิเษกเรื่อยๆ จะเป็นเส้นทางไปโครงการครับ

เมื่อลงบันไดจาก Skywalk มาแล้วจะมาอยู่ที่หน้าอาคาร Exchange Tower บริเวณสี่แยกอโศกพอดี ให้เดินไปตามทางเดินเรื่อยๆ สังเกตได้ว่าตามทางเดินจะมีต้นไม้คอยให้ร่มเงาอยู่เป็นระยะๆ เดินได้ไม่ร้อนมากครับ

หันไปมองฝั่งตรงข้ามถนนเป็นอาคารสำนักงานตามตึกแถวเก่าดั่งเดิมครับ แถวนี้รถค่อนข้างติด แต่มีคนเดินริมสองข้างทางตลอดทั้งวัน

เดินมาที่ถนนใหญ่ด้านหน้าเป็นถนนรัชดาภิเษก จะมีทางเท้าเดินอย่างดี มีคนเดินผ่านไปผ่านมาค่อนข้างเยอะมากครับ

เดินมาอีกสักพักจะมีป้ายรถประจำทาง มีหลังคาและที่นั่งให้ ถือว่าสะดวกทีเดียวครับ

ถัดมาจะเจอโรงแรม Madusi โรงแรมชื่อเก๋ๆ เป็นโรงแรมระดับ 4 ดาวลักชัวรี่ ขนาด 7 ชั้นจำนวน 41 ห้อง มาด้วยแนวคิด “จองเท่านั้น” หรือที่หลายคนเรียกกันว่าโรงแรมประตูปิด ต้องโทรศัพท์จองล่วงหน้าก่อนเข้าพัก 24 ชั่วโมง จองล่วงหน้าก่อนรับประทานอาหารครึ่งชั่วโมงเป็นจุดขายเรียกลูกค้า”

ส่วนตึกต่อมาคือคอนโด The Lake ซึ่งมีสะพานลอยอยู่ด้านหน้าพอดีเลย สามารถข้ามไปฝั่งตรงข้ามได้ง่าย บริเวณนี้ห่างจากตัวโครงการประมาณ 170 เมตร

ต่อมามีอาคาร Colum Tower เป็นอาคารสำนักงาน สูง 20 ชั้น มีคนเข้าออกค่อนข้างเยอะในช่วงเวลาเข้างานและเลิกงาน

ถัดมาเป็น C.T.I. Tower เป็นอาคารสำนักงานขนาดใหญ่อีกเช่นกัน และเป็นอาคารที่อยู่ติดกับที่ดินโครงการ

ทางเดินด้านข้างอาคารสามารถเชื่อมต่อไปที่อาคารจอดรถของ Food Land ที่จะมีร้านค้าร้านอาหารอยู่ในลานจอดรถ ซึ่งประตูนี้จะปิดประมาณ 2 – 3 ทุ่มครับ

มาต่อกันที่ด้านหน้าโครงการ มีการทำ Sale Gallery อยู่ทางด้านหน้าพื้นที่โครงการ มีพื้นที่นั่งริมทางสาธารณะ พร้อมแนวต้นไม้ยาว ด้านหน้าเป็นทางเท้าอย่างดีกว้าง 3 m. ยกระดับสูงกว่าพื้นถนน

ตัว Sale Gallery เป็นโครงสร้างเหล็กสีดำ ตกแต่งด้วยกระจกเป็นส่วนใหญ่ มีจอ LED ติดตามแนวทางเดิน ฉายภาพบรรยากาศ และ Spot ของโครงการ พร้อมทั้งมีแนวที่นั่งท่ามกลางต้นไม้น้อยใหญ่ สร้างบรรยากาศ และสะท้อนความเป็นตัวตนของโครงการได้ดีทีเดียวครับ

ด้านหน้าทางเข้าโครงการเป็นซุ้มประตู สี่เหลี่ยมยาว สไตล์ Modern Luxury ตกแต่งด้วยวัสดุผิวมัน เข้ากันกับกระจกสีดำเดาเงา ตัดกับสีเขียวของต้นไม้ใบได้ดีเลยครับ

ภายใน Sale Gallery เป็นพื้นที่โล่งกว้าง ภายในเป็น Double Volume ดูหรูหรา ตกแต่งด้วยวัสดุผิวมัน พร้อมทั้งใช้เส้นสายที่มีแสงสว่างช่วยสร้างบรรยากาศภายใน มีเคาน์เตอร์พนักงานขายอยู่ทางขวามือ พื้นที่นั่งต่างๆอยู่ตรงกลาง และแบบจำลองโมเดลของโครงการอยู่ที่ด้านซ้าย ริมกระจกทางเดินหน้าโครงการครับ

พื้นที่โครงการมีขนาด 3-1-96 ไร่ อยู่บนถนนรัชดาภิเษก ด้านหลังโครงการติดกับถนนสุขุมวิท 16 แต่ไม่มีทางเข้าออกรถ สามารถเดินเข้าออกได้เท่านั้น ตำแหน่งโครงการถูกรายล้อมด้วยอาคารสำนักงาน ซึ่งก็จะมาพร้อมอาหารการกินอยู่แล้ว โดยจะมีอาคารสูงประกบ แต่ก็ยังสามารถได้รับวิวจากสวนเบญจกิติ และ City View ทางฝั่งตะวันออก ไปดูรายละเอียดแต่ละทิศกันครับ

ทิศเหนือ : ติดกับอาคาร C.T.I. Tower อาคารสูง 32 ชั้น ซึ่งจะมีคนเข้าออกตลอดช่วงเวลาทำงาน

ทิศตะวันออก : ส่วนที่ติดอาคารเลย คืออาคารสำนักงานสูง 6 ชั้น จากนั้นก็จะเป็นถนนสุขุมวิท 16 ข้ามไป แนวตรงๆจะไม่มีอาคารสูงมากนัก แต่เยื้องๆ ไปทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ จะมีอาคาร Lake Avenue Condomiun สูง 26 ชั้น

ทิศใต้ : มีอาคาร Lake Ratchada Complex สูง 38 ชั้น

ทิศตะวันตก : ถนนรัชดาภิเษก และ สวนเบญจกิติ

ผมจะพาไปเดินดูพื้นที่โดยรอบโครงการที่น่าสนใจกันนะครับ สำหรับท่านใดที่สนใจ อยากทราบข้อมูลทางด้านทำเลของพื้นที่โครงการลึกกว่านี้ สามารถตามไปอ่านต่อได้ที่  พาชมทำเลคอนโด Whizdom อโศก-สุขุมวิท  เลยครับ

พื้นที่รอบข้างของโครงการ เมื่อมองจากภายในสวนเบญจกิติ ซึ่งเป็นฝั่งถนนรัชดาภิเษก โครงการถูกขนาบข้างด้วยอาคารสูง 2 อาคารคือ C.T.I. Tower และ Lake Ratchada Complex 

ทางทิศเหนือคือ C.T.I. Tower สูง 32 ชั้น ซึ่งเป็นอาคารสำนักงาน สร้างปี 2534 มีที่จอดรถในอาคารประมาณ 500 คัน มีคนเข้าออกค่อนข้างเยอะครับในช่วงเวลางาน

ทางทิศใต้คืออาคาร Lake Ratchada Complex เป็นอาคารสูง 38 ชั้น สร้างเสร็จเมื่อปี 2536 ที่จอดรถในอาคารประมาณ 700 คัน เป็นอาคารสำนักงานเช่นกัน

ฝั่งตรงข้ามโครงการ จะเป็นสวนเบญจกิติ เป็นสวนสาธารณะขนาดใหญ่เนื้อที่กว่า 130 ไร่ เราสามารถเดินมาใช้บริการ ชมสวน นั่งปิคนิค และออกออกกำลังกายได้ง่ายๆโดยใช้สะพานลอยข้ามมาจากฝั่งตรงข้าม ซึ่งสวนนี้มีระยะเวลาเปิดปิดคือตั้งแต่ตี 5 ถึง 3 ทุ่ม

ภายในสวนจะมีทะเลสาบขนาดใหญ่ภายใต้แนวคิด “ป่ารักษ์น้ำ” ซึ่งจะมีลู่วิ่งโดยรอบทะเลสาบสามารถมาวิ่งออกกำลังกายกันได้

มาดูอีกฝั่งของโครงการกันบ้างครับ เป็นฝั่งถนนสุขุมวิท 16 ซึ่งบริเวณฝั่งด้านนี้ ทางโครงการไม่ได้มีทางเข้าออกรถยนต์นะครับ แต่สามารถเินเท้าออกมาได้ มีประตูทางเข้าออกชัดเจนครับ จะเห็นว่าทางถนนด้านหน้าฝั่งที่ติดถนนรัชดาภิเษกจะถูกขนาบข้างด้วยอาคารสูง 2 ด้านคือ Lake Ratchada Complex สูง 38 ชั้น และ C.T.I. Tower สูง 32 ชั้น อย่างที่พาไปชมกันเมื่อสักครู่ ส่วนทางด้านหลังที่ติดถนนซอยสุขุมวิท 16 จะมีอาคารสำนักงานสูง 6 ชั้น และอาคารจอดรถสูง 6 ชั้น

ฝั่งตรงข้ามโครงการ ฝั่งในซอยสุขุมวิท 16 เป็นร้านอาหารญี่ปุ่นชื่อ Tensui ตอนไปถ่ายรูปทำรีวิว ทางร้านกำลังทำรั้วใหม่น่ะครับ เพิ่มขนาดทางเท้ากว้างมากขึ้นเป็น 3 m. สามารถเดินได้สะดวกขึ้นครับ

ร้านอาหารญี่ปุ่นนี้มีทางเข้าอยู่ที่ซอยสามมิตรด้านข้างซึ่งในระหว่างที่กำลังปรับปรุงรั้วอยู่ก็ยังเปิดทำการปกตินะครับ สามารถเข้าไปอุดหนุนกันได้

มาดูที่ฝั่งขวากันก่อนนะครับ (ทางฝั่งไปทางปากซอยสุขุมวิท 16) ติดกันกับโครงการ ก็คืออาคารจอดรถ Food Land ตรงนี้แหละคือตลาดปลาวาฬเก่า แล้วตอนนี้ตลาดย้ายไปอยู่ฝั่งตรงข้ามโครงการแล้วครับ

ภายในซอยตรงข้ามกันตัวโครงการ มีซอยที่เป็นที่ตั้งใหม่ของตลาดปลาวาฬ ซึ่งบริเวณนี้จะมีคนค่อนข้างจะพรุกพร่านในเวลากลางวัน เนื่องจากเป็นแหล่งทานอาหารของบรรดาพนักงานทั้งหลายของอาคารสำนักงานที่รายล้อมกันอยู่บริเวณนี้ครับ

ภายในซอยนี้เป็นซอยตัน ที่ด้านในสุดเป็นที่ตั้งของตลาดปลาวาฬปัจจุบันซึ่งเดินเข้ามาแค่ 30 เมตรเท่านั้น นอกจากนี้ในซอยนี้ยังเป็นที่ตั้งของคลีนิคทำฟันและร้านอาหารอีกด้วย

ภายในตลาดปลาวาฬมีทั้งของซื้อของขายและมีร้านอาหารอยู่ด้านหลัง เป็นตลาดสำหรับพนักงานออฟฟิศ เปิดทำการจันทร์-ศุกร์ เวลาประมาณ 6.00 – 14.00 น. เดิมทีที่ตรงนี้เป็นลานจอดรถเก่ามาก่อนและตลาดนี้พึ่งย้ายมาจากที่ตั้งโครงการ Whizdom เมื่อไม่นานมานี้เอง

ออกมาจากตลาดปลาวาฬ มาดูกันต่อทางฝั่งไปปากซอยสุขุมวิท 16 นะครับ เถิบมาอีกนิดจะเป็นอาคารจอดรถ ที่มี Food Land เปิดบริการตลอด 24 ชม.อยู่ด้วย ภายในมีซุปเปอร์สามารถมาแวะซื้อของสดมาประกอบอาหารทานเองได้นะครับ

มีร้านอาหารที่เปิดบริการตลอด 24 ชม. อยู่ภายใน เรียกได้ว่าอยู่ที่นี่ไม่อดตายแน่นอน แต่ราคาอาจจะสูงกว่าร้านทั่วไปหรือที่ Food Court ของ Terminal21 นะครับ

ที่ใต้ตึกอาคารจอดรถ Food Land  ช่วงเวลาพักเที่ยงจะเห็นพนักงานเดินเข้า-ออก ที่ลานจอดรถของอาคารจอดรถนี้กันเยอะเลยครับ เดี่ยวเราลองตามเขาขึ้นบันไดไปดูว่าด้านบนมันมีอะไร

เมื่อขึ้นมามี Food Court อยู่บนนี้ เรียกว่ากินข้าวกันกลางลานจอดรถเลยทีเดียว ร้านอาหารเหล่านี้เป็นส่วนหนึ่งของตลาดปลาวาฬ ร้านค้าเหล่านี้มาตั้งชั่วคราวเท่านั้นนะ ยังไม่แน่ว่าจะตั้งขายกันถาวรรึเปล่า ปัจจุบันเปิดทำการจันทร์-ศุกร์ เวลาประมาณ 6.00 – 14.00 น. เป็นร้านอาหารที่เปิดสำหรับพนักงานบริษัทในย่านนี้นั่นเองครับ

ถัดเข้ามาก็มีเซเว่นอยู่ตรงนี้ด้วยนะ ไม่ต้องเดินไปปากซอยให้เมื่อย นอกจากนี้ยังมีร้านค้าร้านอาหารอื่นๆอีก ค่อนข้างอุดมสมบูรณ์มากเลยทีเดียว

ถัดออกมาอีกจะมีร้านอาหารชื่อ 32 December Patisserie & Bistro เป็นร้านสีขาวเหมือนบ้านอังกฤษ บรรยากาศน่ารักมาก เมนูอาหารมีทั้งฟิวชั่น ไทย และอาหารฝรั่ง

มาดูที่ทางด้านซ้ายกันต่อนะครับ ที่ติดตัวโครงการเลยจะเป็นอาคารสำนักงานสูง 6 ชั้น และชั้นจอดรถของอาคาร Lake Ratchada Complex

ซึ่งอาคาร Lake Ratchada Complex จะมีทางเชื่อมไปที่ถนนรัชดาภิเษกได้ แต่ปกติจะไม่ได้เปิดให้คนทั่วไปใช้นะครับ

นอกจากนี้ที่ใต้อาคารจอดรถของ Lake Ratchada Complex ยังมีร้านสะดวกซื้อ ร้านกาแฟ และคลีนิคอยู่ด้วย รวมถึงมีวินมอไซค์อยู่ด้านหน้าด้วย ราคาตามนี้เลยครับ

เดินลึกเข้ามาในซอยจะมีร้านอาหารและร้านนั่งดื่มสวยๆหลายร้าน ส่วนใหญ่จะมีชาวต่างชาติมานั่งอยู่ตั้งแต่ช่วงกลางวันไปจนถึงดึกๆ เลยครับ

สถานที่สำคัญใกล้เคียงต่างๆ เช่น

  • ประตูทางเข้าอุทยานเบญจกิติ : ~ 170 m.
  • Exchange Tower : ~ 500 m.
  • BTS สถานีอโศก ~ 500 m.
  • Interchange 21 : ~ 600 m.
  • Terminal 21 : ~ 700 m.
  • GMM Grammy : ~ 1.2 m.
  • One Bangkok : ~ 3 m.
  • Emporium : ~ 3.2 m.
  • สวนเบญจสิริ : ~ 3.5 m.
  • สถานฑูตญี่ปุ่น : ~ 3.5 m.
  • สวนลุมพินี : ~ 3.8 m.
  • Emquartier : ~ 3.9 m.
  • Central embassy : ~ 4.6 m
  • จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย : 4.7 กม.
  • Central ชิดลม : ~ 4.9 m
  • ห้าง Gaysorn : ~ 5.3 m.
  • สถานฑูตอเมริกา : ~ 5.4 m.
  • รพ.ตำรวจ : ~ 5.5 m.
  • Central World : ~ 5.6 m.
  • รพ.บำรุงราษฎร์ : ~ 5.7 m.
  • รพ.จุฬาฯ : ~ 5.8 m.
  • Siam Paragon : ~ 6.2 m.
  • Siam Square One : ~ 6.2 m.
  • Siam Center : ~ 6.4 m.
  • Siam Discovery : ~ 6.5 m.


เจาะลึกตัวโครงการ

โครงการ Whizdom อโศก-สุขุมวิท ตั้งอยู่บนที่ดินขนาด 3-1-96 ไร่ เป็นคอนโด High Rise สูง 39 ชั้น 1 อาคาร จำนวน 601 ยูนิต กับอีก 6 ร้านค้า ที่โดดเด่นในส่วนทำเลที่ตั้ง คือสามารถมองเห็นได้ทั้ง City View และวิวทะเลสาบและสวนเบญจกิตติ สำหรับแนวคิดในการออกแบบของโครงการนี้ มาจากต้องการเปรียบโครงการให้เหมือนภูเขาที่อยู่ท่ามกลางธรรมชาติ เน้นพื้นที่สีเขียว เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมรอบข้าง วัสดุหลักที่ใช้เป็นกระจก Low E มีคุณสมบัติ สามารถสะท้อนความร้อน ทำให้ช่วยประหยัดพลังงานได้ดี สามารถเก็บเสียงและนำไปดัดโค้งได้อีกด้วย ทำให้รูปด้านของอาคารมีความโดดเด่นทำมุมโค้งสวยงาม และหน้าต่างในห้องแต่ละห้องออกแบบเป็นมุมโค้ง สามารถได้รับวิวจากภายนอกได้อย่างเต็มที่ นอกจากนี้ภายในโครงการและส่วนพักอาศัยทั้งหมดจะใช้ระบบปรับอากาศแบบ Chiller คือการทำความเย็นด้วยท่อน้ำเย็น (Water-Cooled Chiller System) ทำให้ไม่มีท่อลม ลดการสะสมของฝุ่นและการเกิดเชื้อราและยังเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมอีกด้วย เน้นความเป็นส่วนตัวโดยการออกแบบแนวทางเดินในแต่ละชั้นแบบ Single Corridor พร้อมพื้นที่ส่วนกลางกระจายให้ใช้งานได้ง่ายและทั่วถึง เน้นได้วิวและทัศนียภาพมุมสูง พร้อมมีที่จอดรถทั้งแบบ Automatic Parking และ Conventional รวมกัน 85%

สำหรับตัวอาคารมองไกลๆดูเหมือนจะเป็นแท่งตรงๆ ทึบๆ แต่จริงๆแล้วมีการทำมุมที่ค่อนข้างหลากหลาย หรือรายละเอียดในการออกแบบที่ค่อนข้างเยอะเลยทีเดียว โดยอย่างที่ทราบกันว่าทำเลที่ตั้งเป็นจุดเด่นของตัวโครงการนี้ ดังนั้นตัวอาคารจึงต้องการให้ในแต่ละตำแหน่งของตัวอาคารต้องได้รับวิวที่ดีที่สุด เช่น แนวอาคารทางทิศใต้จะถูกออกแบบให้ทำมุมเอียงเพื่อให้ได้รับวิวสวนเบญจกิติในทุกๆห้อง เนื่องจากตัวอาคารมีรูปฟอร์มที่ถูกออกแบบมาให้ตอบโจทย์ในการอยู่อาศัยมากที่สุดจึงทำให้รูปแบบห้องมีค่อนหลากหลายตั้งแต่ 1 Bedroom / 1 Bedroom Suit / 2 Bedrooms / Duplex ไปจนถึง Ultra Penthouse ให้เลือก

 

ภาพจำลองพื้นที่ Grand Lobby ซึ่งจะอยู่ในชั้น Ground Floor ซึ่งจะมีตำแหน่งอยู่ทางด้านหน้าโครงการ สำหรับรองรับลูกบ้าน และ Visitor เป็นพื้นที่ Double Volume ดูโปร่งโล่ง เฟอร์นิเจอร์มีสีเข้ากันกับพื้นและผนังลายหินอ่อน ตัดกับแถบอลูมิเนียมสีทอง ดูหรูหรา มีระดับครับ ภายในจะมีพื้นที่ส่วนกลางที่แยกไปอีก เช่น

  • Whizdom Private Resident Lounge : ซึ่งจะเป็นพื้นที่ส่วนตัวสำหรับรับรองลูกบ้าน
  • Medical Center : ห้องพยาบาล
  • Backyard Garden : สวนด้านหลัง
  • Intelligent Locker : Locker สำหรับรับพัสดุต่างๆ

ภาพจำลองพื้นที่ Whizdom Private Resident Lounge ซึ่งจะอยู่ในชั้น Ground Floor เช่นกัน แต่บริเวณนี้จะอยู่ในตำแหน่งส่วนกลางค่อนไปทางด้านหลังของตัวอาคาร เป็นพื้นที่ของลูกบ้านสำหรับนั่งพักรอรถ Automatic Parking ซึ่งจะใช้เวลารอประมาณ 4-5 นาที มีจอ Monitor คอยบอกตำแหน่งของรถ ว่าอยู่ตรงไหนแล้ว ภายในเป็นพื้นที่ Double Volume พื้นและเสาตกแต่งด้วยลายหินอ่อน และผนังเป็นแนวกระจกแผ่นใหญ่ ทำให้ภายในพื้นที่ดูโล่งกว้าง เห็นบริบทโดยรอบและได้รับแสงธรรมชาติ

ภาพจำลองพื้นที่ Co-Working Space ซึ่งจะอยู่ในชั้น 11 พื้นที่บริเวณนี้มีการเล่นระดับพื้นภายใน เพื่อพื้นที่ในการทำงานอ่านหนังสือที่หลากหลายยิ่งขึ้น ตกแต่งด้วยแนวกระจกรอบด้าน เพื่อให้ได้แสงที่เพียงพอต่อการทำงานอ่านหนังสือ อีกทั้งยังเปิดมุมโล่ง ได้บรรยากาศดี

ภาพจำลองส่วน Business Lounge and The Conference Room ที่ชั้น 12 เป็นพื้นที่สำหรับคุยงาน นัดพบสำหรับคุยธุรกิจ ตกแต่งอย่างหรูหรา มีที่นั่งให้เลือกหลายรูปแบบ ได้รับวิวบรรยากาศโดยรอบ ด้วยแนวกระจกสูงจากพื้นถึงฝ้า จากชั้น 12 ของอาคาร

ภาพทัศนียภาพภายนอกจากมุมสูงของอาคารซึ่งจะมีพื้นที่ส่วนกลางอยู่ด้วยครับ เช่น

  • Infinity Edge Swimming Pool : สระว่ายน้ำระบบเกลือ พร้อมสระว่ายน้ำเด็ก
  • Jacuzzi : สระ Jacuzzi แช่น้ำรับวิวสวน
  • Sky fitness : พื้นที่ออกกำลังกายรับวิวรอบด้าน
  • Sky Lounge : พื้นที่นั่งชิล สังสรรค์ รับจากมุมสูงของอาคาร

ภาพจำลองส่วน Infinity Edge Swimming Pool ที่ชั้น 35 สระว่ายน้ำระบบเกลือ รูปทรงเป็นตัว L ขนาด 27 x 5 เมตร รวมสระเด็กด้วย บริเวณนี้มีพื้นที่รอบข้างสำหรับนั่งเล่นด้วย รับวิวสวนเบญจกิติ เต็มๆ อีกทั้งยังได้วิวเมืองด้านข้างอีกด้วยครับ

ภาพจำลองพื้นที่ Sky Fitness ที่ชั้น 36 ของอาคาร มีตำแหน่งอยู่ด้านบนของสระว่ายน้ำ สามารถมองลงมาเห็นได้ ภายในประกอบไปด้วยเครื่องออกกำลังกายมากมาย มีระดับพื้นถึงฝ้าค่อนข้างสูงบวกกับกระจกผนังรอบด้าน ทำให้ห้องดูกว้าง โปร่งโล่ง พร้อมรับวิวรอบด้านขณะมาใช้งานได้เต็มที่

ภาพจำลองพื้นที่ Sky Lounge ที่บริเวณชั้น 36 ของอาคาร เป็นพื้นที่นั่งชิลเอาท์กับเพื่อน ภายในตกแต่งด้วยบรรยากาศหรูหรา สี Earth Tone เข้ม พร้อมกระจกเป็นแนวยาวรับวิวจากมุมสูง เหมาะแก่การนั่งชิลยามค่ำคืนเป็นอย่างยิ่ง

มาดูที่แบบจำลองตัวอาคารกันต่อนะครับ ตัวอาคารมีความสูง 39 ชั้น และชั้นใต้ดิน 4 ชั้นสำหรับจอดรถ ทั้งหมด 601 ยูนิต พร้อมร้านค้าอีก 6 ยูนิต มีอาคารด้านหลังเป็นอาคารจอดรถ 12 ชั้น  โดยจะมีส่วนพื้นที่ส่วนกลางที่เชื่อมต่อไปยังชั้นดาดฟ้าของอาคารจอดรถด้วยที่ชั้น 11 และ 12 ครับ ไปดูพื้นที่ภายในแต่ละชั้นกันครับชั้น

ชั้น B1-B4 

  • Conventional Parking 60 คัน

Ground Floor 

  • Grand Lobby
  • Whizdom Private Resident Lounge
  • Backyard Garden
  • Medical Center
  • Intelligent Locker

ชั้น 11-12

  • Co-Working Space
  • Private Pot
  • The Conference Room
  • The Exclusive Business Lounge
  • Theater

ชั้น 3 – 34

  • Residential

ชั้น 32

  • Residential
  • Garden Lounge
  • BBQ Deck

ชั้น 35

  • Infinity Edged Swimming Pool
  • Kid Pool
  • Jacuzzi
  • Suana Room

ชั้น 36

  • Sky Lounge
  • Sky Fitness
  • Spa & Salon
  • Suana & Spa

ชั้น 37 – 39

  • Ultra Penthouse

อาคารจอดรถด้านหลัง

ชั้น B4 – 12 

  • Automatic Parking

ชั้น 11 – 12

  • Sunrise Garden
  • Amphitheatre

ตัวอาคารวางตามแนวพื้นที่เต็มพื้นที่เลยครับ ตัวอาคารเน้นวัสดุเป็นกระจก โดยใช้กระจก Low E ที่มีคุณสมบัติสะท้อนความร้อน และสามารถดัดโค้งได้ ทำให้จะมีมุมอาคารที่เป็นกระจกอยู่ตามมุมต่างๆ ดูภายนอกใครๆเนี่ย อาจจะเห็นว่าลักษณะอาคารเป็นแท่งทึบตัน แต่จริงๆแล้ว ตัวอาคารมีการทำมุมเว้นช่องค่อนข้างเยอะ เพื่อสร้างมุมมองที่ดีให้กับแต่ละตำแหน่งของอาคาร ตัวอาคารมีการระบายอากาศที่ดี เด่วเราจะได้เห็นกันอีกทีในส่วนของการอธิบายแปลนนะครับ

ตัวโครงการตั้งติดถนนใหญ่ มีทางเข้าออกรถยนต์ 1 ทางบนถนนรัชดาภิเษก

มาดูการสัญจรด้านหน้านี้กันครับ

  • เส้นสีม่วง : คือทางเข้าโครงการเพิ่มอ้อมไปจอดรถด้านหลัง ซึ่งจะมีมั้ง Conventional Parking และ Automatic Parking ให้เลือกครับ
  • สีฟ้า : เส้นทางวนเข้า Drop Off จากทางเข้าของเส้นสีม่วง โดยเมื่อดรอปเสร็จแล้ว จะสามารถวนออกได้เลย หรือจะวนกลับเข้าเส้นสีม่วงเพื่อไปจอดรถด้านในก็ได้ครับ
  • มีเหลือง : เส้นทางวนออกนอกโครงการ จากทางจอดรถด้านหลัง

เมื่อตรงเข้ามาตามเส้นสีม่วง จะพบทางเข้าออกที่จอดรถแบบ Conventional Parking จอดที่ชั้น B1 – B4 ใต้อาคาร มีที่จอดทั้งหมด 60 คัน หรือจะตรงต่อไปเพื่ออ้อมไปเข้าที่จอดรถแบบ Automatic Parking ก็ได้ครับ

เมื่ออ้อมมาที่ด้านหลังอาคาร มีทางเข้า-ออก สำหรับที่จอดรถ Automatic Parking ซึ่งจะมีที่จอดที่ชั้น B4 – 12 (ที่อาคารจอดรถด้านหลัง) รวมถึงมีทางวนออกไปยังหน้าโครงการอีกด้วย ที่บริเวณด้านหลังโครงการมีทางเดินสำหรับเข้าออกโครงการไปยังถนน สุขุมวิท 16 บริเวณนี้มีป้อมรปภ. คอยดูแลรักษาความปลอดภัย 24 ชม. ครับ

สุดท้ายแล้วทางริมอาคารฝั่งทิศใต้มีทางวนออกของรถภายในโครงการ ซึ่งจะเป็นรถที่มาจากที่จอดรถทั้ง 2 แบบ

จบเรื่องเส้นทางรถภายในโครงการแล้ว มาต่อกันที่พื้นที่ส่วนกลางภายในโครงการส่วนอื่นๆกันเลยครับ เริ่มที่ชั้น 11 บริเวณอาคารจอดรถด้านหลัง จะมีทางเชื่อมต่อเป็น Amphitheatre เชื่อมต่อไปยัง Sunrise Garden พื้นที่สวนด้านหลัง เป็นพื้นที่ที่มีพื้นที่ค่อนข้างเยอะ หลายระดับชั้น มีพื้นที่ค่อนข้างหลากหลายให้เลือกใช้งานครับ

ส่วนที่ชั้น 32 ฝั่งด้านหลังอาคารฝั่งทิศตะวันออก มี Garden Lounge และ BBQ Deck เป็นพื้นที่ Outdoor สำหรับพักผ่อนหย่อนใจ จัดปาตี้ที่สวนได้ครับ

มาที่ชั้น 35 มี Infinity Edged Swimming Pool สระว่ายน้ำระบบเกลือ รูปตัว L มีสระเด็กและสระ Jacuzzi ในตัว พร้อมทั้งพื้นที่รอบข้างสำหรับรับวิวสระว่ายน้ำและเมือง ที่บริเวณชั้น 36 ก็มี พื้นที่ส่วนกลางที่เป็นกระจกรับวิวเมืองและสวนด้านหน้าครับ

*** Floor Plan ของทางโครงการมีการแก้ไข ปรับลดจำนวนยูนิต ทำให้มีผลกับการวางผังในแต่ละชั้น ซึ่งเดี๋ยวทางเราจะมาอัพเดทให้ใหม่อีกทีนะครับ (update 05/04/19)

Floor Plan มีการเปลี่ยนแปลง รอ Update จากทางโครงการ

มาดูกันที่พื้นที่พักอาศัยกันต่อเลยนะครับ ตัวอาคารเริ่มมีพื้นที่พักอาศัยที่ชั้น 3 แปลนที่นำเสนอภาพนี้คือแปลนของชั้น 3, 5, 7, 9 โดยจะมีลิฟต์อยู่ที่บริเวณกลางอาคาร ด้านหลังเป็นพื้นที่ Double Volume ทำให้แต่ละชั้นดูกว้างมากยิ่งขึ้น ไม่อึดอัด มีลิฟต์โดยสาร 5 ตัว สีฟ้าคือลิฟต์ service ส่วน สีส้มคือ Private Lift สำหรับชั้น Ultra Penthouse ที่ชั้น 37-39 มีบันไดหนีไฟกระจายเป็นจุดๆ แนวทางเดินในแต่ละชั้นแบบ Single Corridor ช่วยเพิ่มความเป็นส่วนตัวในการใช้งาน เปิดมาไม่มีเพื่อนบ้านฝั่งตรงข้ามห้อง ภายในจะเห็นว่าตัวอาคารมีช่องแสงและช่องลมจากด้านข้างค่อนข้างเยอะ รวมถึงสวนหย่อมที่จัดไว้ให้ในแต่ละชั้นด้วย ทำให้มีแสงธรรมชาติเข้ามา และมีการ Ventilation ภายใน โดยชั้นพักอาศัยส่วนชั้น 3-9 นี้จะมีทั้งหมด 18 ห้อง/ชั้น

เรื่องมุมมองของห้องพักอาศัย ทางโครงการออกแบบให้ห้องพักฝั่งที่หันไปทางทิศใต้ ที่จะได้รับวิว อาคาร Lake Ratchada Complex ทางโครงการออกแบบให้มีการยืดแนวห้องพักออกเรียงกันเป็นแนว เพื่อให้ที่บริเวณห้องนอนและระเบียงได้รับวิวสวนเบญจกิติ ซึ่งภายในห้องก็ได้ใช้กระจก Low E เข้ามุม เพื่อให้ได้รับวิวเอียงไปทางสวนเบญจกิติได้ดียิ่งขึ้น สวนพื้นที่ที่หันได้รับวิวสวน ก็มีการเอียงทำมุมเพื่อให้รับวิวได้มากขึ้น ทำให้ห้องมีรูปแบบที่หลากหลายเพื่อให้ได้รับวิวที่ดีที่สุด

Floor Plan มีการเปลี่ยนแปลง รอ Update จากทางโครงการ

ต่อมาเป็นแปลนชั้น 4, 6, 8, 10 ซึ่งจะแตกต่างจากชั้น 3, 5, 7, 9 ที่ส่วนที่ผมทำเส้นประสีแดงไว้ให้ครับ โดยชั้นนี้จะมีพื้นที่ตรงกลางชั้นเป็น void ทะลุลงไป เพื่อเพิ่มพื้นที่บริเวณคอร์ดตรงกลาง ช่วยในเรื่องมุมมองที่กว้างมากยิ่งขึ้น อีกทั้งยังได้แสงและการ ventilation ภายในชั้นอีกด้วย ส่วนที่มุมอาคารคือชั้น 2 ของห้อง Duplex นั่นเอง

 

Floor Plan มีการเปลี่ยนแปลง รอ Update จากทางโครงการ

ที่ชั้น 11 มีพื้นที่ส่วนกลางที่หลังอาคาร Co-Working Space, Private Pot, Conference Room, Theatre, บริเวณจุดเชื่อมต่อไปยังอาคารจอดรถด้านหลัง เป็นสวน Sunrise Garden โดยจะมีห้องพักอาศัยทั้งหมด 15 ห้อง/ชั้น

Floor Plan มีการเปลี่ยนแปลง รอ Update จากทางโครงการ

ที่ชั้น 12 มีส่วนพื้นที่ส่วนกลาง คือ The Exclusive Business Lounge และห้องพักภายในทั้งหมด 14 ห้อง / ชั้น  โดยจะห้องด้านหน้าเป็นชั้น 2 ของห้อง Dueplex

Floor Plan มีการเปลี่ยนแปลง รอ Update จากทางโครงการ

กลับมามีแนวห้องพักเต็มๆที่ด้านหลังอาคารทิศตะวันออก ที่ชั้น 12A ซึ่งจะได้รับวิว Sunrise Garden ด้านหลังด้วยนะครับ โดยชั้นนี้จะมีห้องพักเยอะที่สุดที่ 21 ห้อง/ชั้น ครับ

Floor Plan มีการเปลี่ยนแปลง รอ Update จากทางโครงการ

ส่วนที่ชั้น 14, 16, 18, 20, 22, 24, 26, 28, 30 จะมีห้องพักเหมือนกัน จริงๆแล้วชั้น 14-30 ก็จะมีลักษณะผังพื้นเหมือนกันครับ แตกต่างกันที่ พื้นส่วนกลางจะเจาะช่องเหมือนกับส่วนพื้นที่ด้านล่างครับผม ช่วยในเรื่องมุมมองที่กว้างมากยิ่งขึ้น อีกทั้งยังได้แสงและการ Ventilation ภายในชั้น

Floor Plan มีการเปลี่ยนแปลง รอ Update จากทางโครงการ

ส่วนชั้น 15, 17, 19, 21, 23, 25, 27, 29 ก็มีลักษณะไม่ต่างกันกับห้องชั้น 14-28 ที่สลับกันมานี้ เพียงแต่พื้นที่ตรงกลางจะทึบ ทำให้มีช่อง void เพียง 2 ชั้น เว้นกันไป และส่วนของห้อง Duplex 2 ชั้นด้านหน้า เท่านั้นเองครับ

Floor Plan มีการเปลี่ยนแปลง รอ Update จากทางโครงการ

ขึ้นมาที่ชั้น 31 แนวอาคารทางด้านทิศตะวันออกจะมีแนวระเบียงที่มีพื้นที่มากยิ่งขึ้นครับ เป็นรูปแบบห้องที่ต่างจากเดิม เน้นพื้นที่ระเบียง รับ City View มุมกว้างทางฝั่งถนนสุขุมวิท 16 เป็นต้นไป

Floor Plan มีการเปลี่ยนแปลง รอ Update จากทางโครงการ

ขึ้นมาที่ชั้น 32 มีพื้นที่ส่วนกลางเป็น Garden Lounge และ BBQ Deck ทางฝั่งทิศตะวันออกจำนวนห้องพักต่อชั้นลดลงเหลือเพียง 15 ห้อง บางห้องเปลี่ยนรูปแบบห้องไปจากเดิมครับ

Floor Plan มีการเปลี่ยนแปลง รอ Update จากทางโครงการ

ที่ชั้น 33 อาคารมีขนาดชั้นเล็กลง โดยพื้นที่ทางด้านทิศตะวันออกจะหายไป แต่มีจำนวนห้องเท่าเดิมกับชั้นก่อนหน้านี้ครับ

Floor Plan มีการเปลี่ยนแปลง รอ Update จากทางโครงการ

ชั้น 34 มีลักษณะโดยรวมเหมือนชั้น 33 ทั้งหมด เพียงแต่มีการเจาะช่องตรงกลาง ช่วยในเรื่องมุมมองที่กว้างมากยิ่งขึ้น อีกทั้งยังได้แสงและการ Ventilation ภายในชั้น

Floor Plan มีการเปลี่ยนแปลง รอ Update จากทางโครงการ

ส่วนที่ชั้นบน 37-39 เป็นชั้น Ultra Penthouse มีจำนวน 2 ยูนิต โดยจะขึ้นมาทาง Private Lift (สีส้ม) ครับ

สรุปสิ่งอำนวยความสะดวก

  • สระว่ายน้ำระบบเกลือ ขนาด 5 x 27  เมตร แบ่งสระเด็กลึกด้วยในตัว
  • Backyard Garden
  • Medical Center
  • Intelligent Locker
  • Co-Working Space
  • Private Pot
  • Exclusive Business Lounge
  • The Conference Room
  • Sunrise Garden
  • Theatre
  • Amphitheatre
  • Sky Lounge
  • Sky Fitness
  • Sauna & Spa
  • Spa & Salon
  • Garden Lounge
  • BBQ Deck
  • สวนหย่อมรอบโครงการ
  • ลิฟต์โดยสาร 5 ตัว/อาคาร
  • อัตราส่วนลิฟต์รวมทั้งโครงการ 119 :  1
  • Service Lift 1 ตัว
  • ที่จอดรถประมาณ 85% (Automatic Parking และ Conventional)
  • ระบบ CCTV / Access Card
  • Digital Door Lock
  • ระบบปรับอากาศแบบ Water-Cooled Chiller System
  • ระบบแสงสว่างแบบ Automatic-Sensor


Product Walkthrough

 

วันนี้ห้องแรกที่จะพามาชมคือห้อง 1 Bedrooms พื้นที่ใช้สอย 48.30 ตร.ม. โดยห้องนี้จะเป็นห้องทางด้านทิศใต้ ที่โดยทำเลแล้ว ด้านหน้าจะมีอาคาร Lake Ratchada Complex 39 ชั้น ห่างกันประมาณ 50 เมตร แต่ทางโครงการได้ออกแบบผังอาคารให้มีการเอียงตัวอาคารให้ได้รับวิวสวนเบญจกิติ โดยจะเป็นมุมด้านข้างของส่วนระเบียง ใช้กระจก Low E โค้งเข้ามุมมารับวิวส่วนนี้พอดีครับ

ตัวห้องให้มาแบบ Fully Fitted คือจะได้พวกเฟอร์นิเจอร์ built-in ต่างๆ บางส่วนมาด้วย เช่น เคาน์เตอร์ครัวและชุดครัว เคาน์เตอร์อ่างล้างหน้าและอุปกรณ์ต่างๆในห้องน้ำ ตู้เสื้อผ้าและตู้ built-in ในอีกหลายๆส่วน มีระดับพื้นถึงฝ้าอยู่ที่ 3 เมตร  ภายในห้องแบ่งพื้นที่การใช้งานภายในออกเป็น 5 ส่วนใหญ่ๆ คือ ห้องครัว ห้องน้ำ ห้องนั่งเล่น ระเบียง และ ห้องนอน เมื่อเข้ามาที่ประตูทางเข้า ไฟภายในห้องเป็นระบบ Automatic-Sensor ทั้งหมด ส่วนแรกที่จะพบคือส่วนของห้องครัว มาพร้อมเคาน์เตอน์แนวยาว ที่ข้างประตูมี built-in ตู้ใส่รองเท้า ถัดมาเป็นตู้เย็นและเคาน์เตอร์ครัว พร้อมตู้ต่างๆ ถัดเข้าไปภายในห้องเป็นพื้นที่ห้องนั่งเล่น ด้านในจะมีแนวกระจก Full Height เชื่อมต่อไปยังระเบียง ซึ่งเป็นระเบียงสองชั้น บริเวณนี้ยังเป็นช่องแสงขนาดใหญ่ให้กับตัวห้องอีกด้วย บริเวณกลางห้องมีประตูเชื่อมไปยังส่วนพักผ่อนของห้อง ภายในมีห้องนอนของห้องนี้ ที่สามารถรับวิวได้เต็มที่จากกระจกทำมุมโค้งได้เห็นวิวสวนเบญจกิติเต็มๆภายในห้องนอนมีส่วน Walk-in Closet พร้อมกับห้องน้ำในตัวซึ่งเป็นห้องน้ำที่สามารถเข้าได้จากบริเวณห้องครัวด้วยเช่นกัน

ประตูทางเข้าโครงการเป็นบาน HDF ปิดผิวลามิเนต ขนาด 0.90×2.40 วงกบไม้สังเคราะห์ พร้อมซัพ วงกบ ทางเข้าเป็นระบบ Digital Door Lock ของ Yale มีทั้งระบบรหัส และ Barcode

เมื่อเข้ามาภายในห้อง ที่บริเวณด้านบนประตูทางเข้ามี Sensor เพื่อตรวจรับการเข้าออก ส่งสัญญาณไปที่ไฟบริเวณด้านหน้าห้อง เพื่อให้เปิด-ปิดครับ ความพิเศษของห้องนี้คือ ไฟส่องสว่างภายในห้องทั้งหมดจะเป็นระบบ Sensor นะครับ ไม่ต้องมี Switch ไฟตามจุดต่างๆ แต่มีตัวรีโมทควบคุมให้ 1 จุด ภายในห้อง

เมื่อเข้ามาในห้องส่วนแรกที่เห็น คือส่วนของห้องครัว โดยมีระดับพื้นถึงฝ้า 3 เมตร ภายในห้องใช้ระบบปรับอากาศแบบ Cassette type แอร์ฝังฝ้าเพดาน แบบออก 4 ทิศทาง จึงทำให้บางพื้นที่ต้องลดระดับฝ้าลงมาสำหรับพื้นที่งานระบบแอร์ จะเหลือประมาณ 2.7 เมตร พื้นภายในห้องเป็น Engineering Wood ผิวไม้ CORK สำเร็จรูป ความหนา 14 mm. พร้อมบัวเชิงผนัง ฝ้าและผนังเป็นแบบฉาบเรียบทาสี

พื้นที่ส่วนครัวของห้องนี้จะเป็นครัวเปิด ไม่ได้มีฉากกั้นให้ หากเป็นบ้านที่ชื่นชอบในการปรุงอาหาร ใช้พื้นที่ครัวเป็นประจำ ก็สามารถต่อเติมทำเป็นฉากกั้นได้นะครับ บริเวณด้านล่างสุดของเคาน์เตอร์ สังเกตดูจะมีการร่นระยะเข้าไป ประมาณ 10 ซม. เพื่อสำหรับวางเท้า ให้เราสามารถยืนได้ชิดกับขอบเคาน์เตอร์ๆได้เลยครับ

พื้นที่ครัวมีขนาดค่อนข้างกว้าง มีระยะจากผนังห้องถึงเคาน์เตอร์ครัวประมาณ 2 เมตร ทางขวามือตรงข้ามกับเคาน์เตอร์ครัว เป็นห้องน้ำของห้องนี้ ซึ่งสามารถเข้าได้ทั้งจากบริเวณนี้ และภายในห้องนอน สะดวกแก่การใข้งานมากๆ ส่วนพื้นของส่วนครัวนี้ก็เป็นแบบเดียวกันกับพื้นส่วนอื่นๆภายในห้อง เป็น Engineering Wood ผิวไม้ Cork ซึ่งจะต้องระวัง

บริเวณประตูทางเข้ามีตู้ด้านเป็นตู้สำหรับใส่รองเท้า และของต่างๆ เป็นตู้หน้าบาน High Resistance Surface ป้องกันรอยขีดข่วน

ถัดมาเป็นตู้เย็น Built-in หน้าบาน High Resistance Surface เซทเดียวกัน โดยเป็นตู้เย็นของ Liebherr ขนาดช่อง Chilled อยู่ด้านบน ส่วนช่อง Freeze อยู่ด้านล่าง ส่วนด้านบนสุดมีตู้ใส่ของอีกด้วยครับ ใช้พื้นที่ห้องได้คุ้มค่าคุ้มราคาเลยทีเดียว

มาที่ส่วนด้านบนของเคาน์เตอร์ครัวกันบ้างครับ เป็นตู้ใส่ของต่างๆ ภายในประกอบไปด้วยชั้นวางของหลายขนาด นอกจากนั้นตู้ทั้งหมดยังมีระบบโช๊ค Solf-close ป้องกันการกระทบรุนแรงของการเปิดปิด ทำให้หน้าบานไม่ต้องมีที่จับ ทำให้ได้หน้าบานเรียบเสมอกัน ดูเรียบร้อยสบายตาครับ

พื้นที่ส่วนกลางเคาน์เตอร์ครัวคือมีลักษณะ สี่เหลี่ยมผืนผ้ายาว ผิวปิดด้วย Porcelain พร้อมด้วยผนังครัวเป็น Porcelain ครับ ประกอบไปด้วยที่  Hob&Hood และ Sink มาให้ครบ พร้อมพื้นที่เตรียมอาหารขนาดใหญ่เลยทีเดียว

อ่างล้างจานเป็นแบบ 1 หลุม ยี่ห้อ Blanco ครับ โดยมีขนาด 50 x 40 ซม. ซึ่งจะมีแผ่นกระเบื้อง Porcelain สามารถปิดได้ด้วยครับ ซึ่งจะช่วยให้มีพื้นที่ทำครัวมากยิ่งขึ้นครับ

ตัวก็อกน้ำของ Blanco สามารถปรับอุณภูมิน้ำได้ทั้งร้อนและเย็นครับ

เตาไฟฟ้าที่ได้มามี 2 หัว พร้อมเครื่องดูดควัน ของ Kuppersbusch ผู้จำหน่ายผลิตภัณฑ์เครื่องครัวระดับสูง (high-end product) จากประเทศเยอรมัน

ส่วนพื้นที่ด้านล่าง มีช่องใต้อ่างล้างจานเป็นช่องขนาดใหญ่สำหรับเก็บของภายในมีถังขยะแบบยึดกับบานเปิด ซึ่งจะเปิด-ปิด ตามหน้าบาน ส่วนที่ด้านซ้ายเป็นช่องเก็บวัตถุดิบปรุงอาหาร และจานชามต่างๆ ตรงกลางมีช่องสำหรับเว้นที่วางเครื่องซักผ้าแบบหน้าบานเปิดด้านหน้ามาให้ครับ

บริเวณชั้นด้านล่างเคาน์เตอร์ ใต้ลิ้นชักใส่ช้อนและซ่อม ทางโครงการให้เตาอบ Built-in มาด้วยครับ เป็นของ Kuppersbusch เช่นกันครับ ซึ่งข้างๆจะมีพื้นที่เคาน์เตอร์เว้นไว้ให้สำหรับใส่เครื่องซักผ้าแบบฝาหน้ามีพื้นที่สำหรับวางเครื่องประมาณ 65 x 90 ซม.

มาดูที่ส่วนต่อไปของห้องครับ ด้านข้างเคาน์เตอร์ครัวมีพื้นที่สำหรับวางโต๊ะทานอาหาร ถือว่าจัดวางได้อย่างเหมาะสม เนื่องจากอีกฝั่งหนึ่งของผนังจะมีทางเดินเข้าไปส่วนห้องนั่งเล่นของห้อง ซึ่งทางโครงการไม่ได้ให้เฟอร์นิเจอร์ส่วนนี้มาให้นะครับ แต่จัดมาให้ดูไว้เป็นไอเดียในการออกแบบ

ถ้าหากเลือกโต๊ะลักษณะคล้ายแบบในห้องตัวอย่างนี้ จะสามารถนั่งได้ประมาณ 4 ที่นั่ง จะเหลือบริเวณทางเดินส่วนนี้ประมาณ เมตรกว่าๆ ซึ่งก็ถือว่ากว้างพอสมควรเลยครับ ถือของเข้าห้อง เดินเข้าออกได้สบายๆครับ

อีกไฮท์ไลท์ของห้องนี้คือ ระบบปรับอากาศมีการเลือกใช้ระบบทำความเย็นด้วยท่อน้ำเย็น (Water-Cooled Chiller System) ไม่มีท่อลม ลดการสะสมของฝุ่นและการเกิดเชื้อรา รวมถึงมีการออกแบบคุณภาพอากาศภายในห้องท่ีดีด้วยการติดต้ังเครื่อง Energy Recovery Ventilation (ERV) อีกด้วย ส่วนฝ้าเพดานส่วนครัว จะเป็นแบบฉาบเรียบทาสี มีไฟ Downlight ให้ 3 ดวงครับ

ส่วนต่อมาที่เข้ามาคือพื้นที่ Living Room ครับ พื้นที่ส่วนนี้มีระดับพื้นถึงฝ้า 3 เมตร จุดเด่นของส่วนนี้คืออยู่ติดกับระเบียงของห้องครับ ซึ่งจะเป็นกระจก Full Height สูงจากพื้นถึงฝ้า สามารถได้รับแสงแดดธรรมชาติ ให้แสงสว่างภายในตัวห้องยาวไปจนถึงประตูหน้าห้องเลย และ สามารถเปิดรับลมช่วยเรื่อง Ventilation ภายในห้องอีกด้วย

ระยะดูทีวีของห้องนี้อยู่ที่ประมาณ 2.65 เมตร เหมาะแก่ทีวีขนาดใหญ่ 50 นิ้วขึ้นไปครับ ดูใหญ่จุใจกันไปเลยครับ

ระบบไฟภายในห้องจะเป็นระบบควบคุมไฟเปิด-ปิด ด้วยระบบ Sensor แล้วสามารถใช้รีโมทคอนโทรตัวนี้เปิดปิดไฟแต่ละจุดได้ด้วย และสามารถถอดใช้งานเป็นรีโมตใช้ภายในห้องได้ด้วยครับ

ฝ้าเพดานของจริงจะเป็นแบบฉาบเรียบทาสี ซึ่งจะมีระยะสูงจากพื้น 3 เมตร มีไฟ Downlight ให้ 4 ดวงครับ

พื้นที่ต่อไปที่จะพาไปดูคือส่วนของระเบียง ซึ่งก็เป็นอีกหนึ่ง Hi-light ของห้องที่นี่โดยจะเป็นระเบียงแบบสองชั้น มีฉากกั้นทางออกระเบียง เป็นกระจก Full Height อย่างที่บอกไปแล้ว แต่ความพิเศษที่พูดถึงคือที่ระเบียงด้านนอกก็ยังมีฉากกั้นกระจกอีกชั้น ที่สามารถปิดได้ เพื่อให้ได้พื้นที่ติดระเบียง แต่ยังปิดกระจกเปิดแอร์ได้ แต่ถ้าเปิดกระจกนอกสุดออกก็สามารถรับลืมได้เหมือนระเบียงปกติเป็นทางเลือกเพิ่มนั่นเอง 

กระจกส่วนทางออกไประเบียงนี้เป็นบานเฟี้ยม 4 บาน ขนาดบานละ 70 ซม. ซึ่งจะสามารถพับเปิดสุดชิดไปยังผนัง มีระยะอยู่ที่ 2 เมตร พร้อมทั้งรางที่พื้นครับ

ประตูระเบียงนี้เป็นประตูมือจับก้านโยกมาพร้อมตัวล็อค ส่วนด้านบนประตูมี Sensor ไฟให้แสงสว่างเปิด-ปิด บริเวณระเบียงนี้กันครับ

พื้นที่ภายนอกระเบียงจริงๆแล้วจะมีลักษณะพื้นที่เป็นทรงสี่เหลี่ยมคางหมู แต่ด้วยระยะที่ไม่ยาวมากอาจจะดูไม่ออกมากนัก เนื่องจากเป็นฟอร์มตามแนวอาคาร เพื่อรับวิวสวนเบญจกิติด้วยครับ มีพื้นเป็นกระเบื้อง Porcelain ขนาด 60 x 60 ซม. บริเวณระเบียงมีขนาดประมาณ 1.1 x 2.6 เมตร ซึ่งสามารถวางเก้าอี้นั่งรับวิวบริเวณนี้ได้ดีเลยทีเดียวครับ

บริเวณผนังมีปลั้กไฟให้ด้วยครับผม พร้อมแผงกันน้ำ Waterproof ปลอดภัยครับ

ที่ด้านในสุดของระเบียงเป็นฉากกั้นกระจกชั้นสุดท้าย ซึ่งจะสามารถเลือกเปิด-ปิด ได้ อย่างที่บอกไปก่อนหน้านี้ครับ ซึ่งจะเป็นบานอลูมิเนียม พร้อมกระจก Low E คุณสมบัติพิเศษของกระจกประเภทนี้คือ สามารถสะท้อนความร้อน เปรียบเสมือนฉนวนกันความร้อน ให้ค่าในการสะท้อนความร้อนที่ต่ำรวมถึงค่าในการถ่ายเทความร้อน ที่ต่ำอีกด้วย ทำให้ช่วยประหยัดพลังงานได้ดีอีกด้วย นอกจากนี้ยังสามารถเก็บเสียงได้ดี และนำไปดัดโค้งได้อีกด้วย

ฝ้าเพดานบริเวณนี้สูงจากพื้น 3 เมตรครับ พร้อมไฟ Downlight 1 ดวง

มองกลับเข้ามาในห้อง จะสังเกต ได้ว่ามีพื้นที่เป็นแนวยาว ทำให้ช่องแสงบริเวณระเบียงสามารถส่องเข้ามาถึงในตัวห้องได้ บริเวณข้างๆพื้นที่รับประทานอาหารยังมีประตูเชื่อมไปยังส่วนด้านในของห้อง ไปดูส่วนต่อไปกันเลยครับ

บริเวณด้านหน้านี้ มีประตู 2 บานครับ ซึ่งบานแรกสำหรับบริเวณหน้าห้อง ซึ่งได้อธิบายไปแล้วว่าเป็นห้องน้ำของห้องนี้ ส่วนอีกบานเป็นประตูเชื่อมต่อเข้าสู่พื้นที่พักผ่อนของห้องนี้ครับ ซึ่งภายในประกอบไปด้วยห้องนอนและห้องน้ำ

ห้องนอนของห้องนี้มีขนาดค่อนข้างกว้างนะครับ ซึ่งมีจุดที่น่าสนใจอยู่หลายที่เลยครับ มาเริ่มกันที่ภายในห้องระดับพื้นถึงฝ้า 3 เมตร ขนาดค่อนข้างกว้าง สามารถวางเตียงขนาด 6 ฟุต แล้วยังเหลือพื้นที่รอบข้างเดินสบายๆ มีหน้าต่างด้านในสุดซึ่งเป็นหน้าต่างโค้งที่มุม รับวิวสวนเบญจกิติ นอกจากนั้นจะมีบานกระทุ้ง 2 บาน สามารถเปิดระบายอากาศรับลมได้ด้วย นอกจากนั้นยังมีรีโมทสำหรับปิด-เปิด ไฟในห้องทั้งหมดติดอยู่ให้ที่หัวเตียงด้วย

พื้นที่ปลายเตียงมีระยะเหลือประมาณ 50 ซม. ซึ่งบริเวณนี้จะสามารถติดทีวีที่ผนังได้ แล้วยังมีพื้นที่เดินผ่านได้สบายๆครับ

พื้นที่ส่วนริมผนังนี้มีระยะประมาณ 2 เมตร ซึ่งเป็นจุดเด่นของห้องนี้เลยครับ เนื่องจากเปิดมุมรับวิวสวนเบญจกิติ ด้วยกระจก Low E ที่ทำเป็นกระจกโค้งเข้ามุมพอดีเลยครับ ซึ่งพื้นที่บริเวณนี้สามารถจัดได้ค่อนข้างหลากหลาย เป็นทั้งมุมนั่งเล่น อ่านหนังสือ หรือจะทำเป็นโซฟา โต๊ะทำงาน ก็แล้วแต่ความชอบเลยครับ

พื้นที่นี้เป็นกระจกล้อมรอบ นอกจากจะมีกระจก Low E ทรงโค้งเข้ามุมแล้ว ก็มีบานกระทุ้ง ขนาด 1.75 x 0.5 เมตร 2 บาน สามารถเปิดรับลมระบายอากาศได้ด้วย

มองกลับเข้ามาในส่วนของห้องนอนด้านในนะครับ จะมีส่วนที่เป็น Walk-in Closet ของห้อง ซึ่งจะอยู่บริเวณหน้าประตูห้องน้ำครับ แบ่งส่วนด้วยฉากกั้นชัดเจน

ฝ้าเพดานของห้องนอนเป็นแบบฉาบเรียบทาสีเช่นกัน โดยจะมีระยะความสูงอยู่ที่ 3 เมตร มีไฟ Downlight ให้ 4 ดวง ภายในห้องนี้มีแอร์ Cassette type อีกตัวนึงนะครับ ซึ่งจะอยู่บริเวณหน้าพื้นที่ Walk-in Closet ของห้องนอน ทำให้บริเวณนี้มีระยะพื้นถึงฝ้าลดเหลือ 2.7 เมตร

พื้นที่ด้านหน้านี้เป็นทั้งพื้นที่ทางเข้าห้อง และส่วนหน้าห้องน้ำ ซึ่งมีขนาดพื้นที่ค่อนข้างกว้าง ที่ฝั่งริมผนังฝั่งหัวเตียงสามารถทำเป็นโต๊ะเครื่องแป้ง หรือโต๊ะทำงานได้ด้วยครับ

พื้นที่ Walk-in Closet แบ่งส่วนด้วยฉากกั้นอลูมิเนียม กระจกใส เปิดได้ซ้ายขวา เปิดสุดกว้างได้ 1.4 เมตรครับ เดินเข้าออกสบายๆ

ประตูบานเลื่อนมีที่จับซ้ายขวา พร้อมรางที่พื้น ต้องระวังเดินสะดุดกันด้วยนะครับ ภายในมีตู้เสื้อผ้าขนาบซ้ายขวามาให้ด้วยเลย พื้นที่ภายในมีขนาด 1.4 x 1.5 เมตร มีระยะยืนหมุนตัวส่องกระจกได้เลยครับ

มาดูที่ฝั่งขวากันก่อนครับ มีตู้เสื้อผ้าสูงจากพื้นถึงฝ้า ความสูง 2.7 เมตร หน้าบาน High Resistance Surface สลับกระจก Tint เงา พร้อมไฟส่องสว่างภายใน ภายในระดับช่องบนเป็นชั้นเก็บของ ส่วนกลางมีชั้นแขวนเสื้อ ส่วนชั้นล่างมีลิ้นชักหลายชั้นสำหรับแยกเก็บของครับ

ส่วนตู้อีกด้านหน้าบานเป็นแบบเดียวกัน ภายในระดับชั้นบนสุดเป็นช่องใส่ของและชั้นกลางเป็นราวแขวนเสื้อ แบบเดียวกับอีกฝั่ง ด้านล่างเป็นพื้นที่วางของขนาดใหญ่ พร้อมลิ้นชักด้านข้าง ใส่ของได้ค่อนข้างหลากหลายเลยทีเดียว

หน้าบานมีที่จับค่อนข้างถนัดมือ เป็นแนวเส้นตรงดูเข้ากับดีไซน์โดยรวมของตู้ดีครับ พร้อมลิ้นชักมีรางล็อคแข็งแรง ที่หน้าบานมีเว้นร่องแนวให้มือจับ ไม่ต้องมีราวจับหน้าบานจึงเรียบเสมอดูเรียบร้อยครับ

มาต่อกันที่ห้องน้ำครับ ซึ่งห้องนี้จะเป็นห้องน้ำหลักของห้องนี้ภายในเป็นรูปทรงสี่เหลี่ยมผืนผ้า ประกอบไปด้วย 3 ส่วน จัดไล่ส่วนแห้งส่วนเปียกชัดเจน ภายในมีระดับพื้นถึงฝ้า 2.65 เมตร พื้นและผนังกระเบื้องแกรนิตโต้สีขาว ดูกลมกลืนกันทั้งห้อง ทำให้ห้องน้ำดูสว่าง สะอาด สบายตาครับ

พื้นที่ภายในมีขนาดค่อนข้างกว้าง ทางเข้ามี 2 ทาง คือจากห้องนอนที่เราเดินเข้ามา และอีกทางคือบริเวณส่วนครัว ซึ่งทั้งสองทางมีขอบยกสูงขึ้น 2.5  ซม. จากพื้นห้องน้ำ

ภายในห้องน้ำให้มาพร้อมกระจกบานใหญ่ ยาวตลอดแนว ขนาด 1.05 x 1.65 ม. ที่ด้านใต้กระจกมีแนวผนัง Low Wall ขนาด 22 x 80 ซม. สามารถวางของได้เยอะทีเดียว

อ่างล้างหน้าเคาน์เตอร์ ขนาด 80 x 53 ซม. ปิดผิวด้วย หิน Quartz มีคุณสมบัติแข็งแรง ทนทานต่อรอยขีดข่วนและความชื้นได้ดี ตัวอ่างเป็นของ Grohe ขนาด 50 x 30 ซม. รอบข้างโดยรอบมีพื้นที่วางของค่อนข้างเยอะ สามารถวางอุปกรณ์ล้างหน้า แปรงฟันได้ดีเลยครับ

ที่ด้านล่างเป็นเคาน์เตอร์อ่าง built-in มาให้ ขนาด 80 x 50 ซม. พร้อมบานเปิด 2 บาน ใส่ของได้ 1 ช่อง ยกสูงจากพื้นเพื่อป้องกันการกระทบกับน้ำ และง่ายต่อการทำความสะอาด ภายในมีช่องระบายอากาศด้วยครับ

โถสุขภัณฑ์ของห้องเป็น Toto Washlet ซึ่งเป็นแบบโถอัตโนมัติ มีแถบควบคุมอยู่ด้านข้าง พร้อมทั้งที่ใส่กระดาษทิชชู่อยู่ด้านหลัง ไม่มีสายชำระ

ที่ผนัง Low Wall ด้านหลังโถนอกจากจะสามารถวางของได้แล้ว ยังเป็นส่วนของปุ่ม Flush ของโถสุขภัณฑ์  มีส่วนปุ่มเล็ก เป็นแบบปล่อยน้ำ 3 ลิตร และ ปุ่มใหญ่ปล่อยน้ำ 5 ลิตร ให้เลือกใช้ตามลักษณะการใช้งานครับ

มีแถบแผงคอนโทรอยู่ที่ผนังด้านขวามือ ส่วนด้านซ้ายเป็นที่ใส่กระดาษชำระพร้อมปีกกันน้ำ

ต่อไปเป็นส่วนอาบน้ำของห้องน้ำครับ ซึ่งจะมีฉากกั้นอาบน้ำกระจก Temper มาให้ด้วย เป็นกระจกดำพร้อมราวจับอลูมิเนียม สะดวกดีครับ

ภายในพื้นที่อาบน้ำมีขนาด 1.6 x 0.9 เมตร ที่ทางเข้ามีขอบยกสูงขึ้น 5 ซม.

ภายในส่วนอาบน้ำมีให้เลือกทั้ง Hand Shower และ Rain Shower เลยนะครับ นอกจากนั้นยังมีผนังชั้นวางอุปกรณ์อาบน้ำให้อีกด้วย 2 ชั้น สะดวกทีเดียว

Hand Shower ของ Grohe สายยาว 1.2 ม. รูปทรงสี่เหลี่ยมแปลกตาหน่อย แต่จับถนัดมือใช้ได้เลย

ก็อกสำหรับส่วนอาบน้ำตรงนี้มีความพิเศษอยู่เหมือนกันครับ คือจะสามารถใช้ Rain Shower กับ Hand Shower พร้อมกันได้เลย นอกจากนั้นยังมีตัวปรับอุณหภูมิที่ควบคุมได้ค่อนข้างแม่นยำอีกด้วยครับ

ฝ้าเพดานเป็นแบบฉาบเรียบทาสี พร้อมไฟ Downlight 2 ดวง และ พัดลมดูดอากาศครับ

 

ส่วนห้องต่อมาคือห้อง 2 Bedrooms พื้นที่ใช้สอย 76.72 ตร.ม. โดยห้องนี้จะเป็นห้องทางด้านทิศตะวันออก ซึ่งหันไปรับวิวสวนเบญจกิติเลยครับ โดยทางโครงการก็ได้ให้กระจก Low E มาในทุกส่วนพื้น ไม่ว่าจะเป็นห้องนั่งเล่นและระเบียง, ห้องนอนรอง, และห้องนอนหลักที่มาพร้อมกระจกโค้งเข้ามุม รับวิวสวนได้เต็มๆทุกพื้นที่เลยครับ

ตัวห้องให้มาแบบ Fully Fitted เช่นกัน คือจะได้พวกเฟอร์นิเจอร์ built-in ต่างๆ บางส่วนมาด้วย เช่น เคาน์เตอร์ครัว เคาน์เตอร์อ่างล้างหน้าในห้องน้ำ ตู้เสื้อผ้า และอีกหลายๆส่วน มีระดับพื้นถึงฝ้าอยู่ที่ 3 เมตรเช่นกัน ภายในห้องแบ่งพื้นที่การใช้งานภายในออกเป็น 6 ส่วนใหญ่ๆ คือ ห้องครัว ห้องนั่งเล่น ระเบียง ห้องน้ำ ห้องนอนรอง และห้องนอนหลัก ซึ่งภายในจะมีห้องน้ำในตัวด้วย เมื่อเข้ามาที่ประตูทางเข้า ไฟภายในห้องเป็นระบบ Automatic-Sensor ทั้งหมด ส่วนแรกที่จะพบคือส่วนของห้องครัว มาพร้อมเคาน์เตอน์ทรงตัว L ที่ข้างประตูมี built-in ตู้ใส่รองเท้า ถัดมาเป็นเคาน์เตอร์ครัวและตู้รองเท้า ถัดเข้าไปภายในห้องเป็นพื้นที่ห้องนั่งเล่น ด้านในจะมีแนวกระจก Full Height เชื่อมต่อไปยังระเบียง ซึ่งเป็นระเบียงสองชั้น รับวิวสวน บริเวณนี้ยังเป็นช่องแสงขนาดใหญ่ให้กับตัวห้องอีกด้วย บริเวณกลางห้องมีประตูเชื่อมไปยังส่วนพักผ่อนของห้อง ภายในมีห้องนอนรองและห้องน้ำหลักของห้องนี้ พื้นที่ห้องนอนรองและห้องนอนหลักรับวิวสวนเบญจกิติได้เช่นกัน โดยในห้องนอนหลักจะมาพร้อมพื้นที่ Walk-in Closet และห้องน้ำในตัวแล้ว ยังมีกระจกโค้งที่มุมรับวิวสวนเบญจกิติได้มากยิ่งขึ้นเช่นกันครับ

มาต่อกันที่ห้อง 2 Bedrooms ขนาด.. นะครับ ซึ่งจะมีลักษณะประตูทางเข้าเหมือนกันกับห้องเมื่อสักครู่ เป็นบาน HDF ปิดผิวลามิเนต ขนาด 0.90×2.40 วงกบไม้สังเคราะห์ พร้อมซัพ วงกบ ทางเข้าเป็นระบบ Digital Door Lock ของ Yale มีทั้งระบบรหัส และ Barcode

เมื่อเข้ามาในห้องส่วนแรกที่เห็น คือส่วนของห้องครัวเช่นเดิม โดยมีระดับพื้นถึงฝ้าภายในห้องส่วนใหญ่ 3 เมตร และภายในห้องใช้ระบบปรับอากาศแบบ Cassette type แอร์ฝังฝ้าเพดาน จึงทำให้บางพื้นที่ต้องลดระดับฝ้าลงมาสำหรับพื้นที่งานระบบแอร์ จะเหลือประมาณ 2.7 เมตร เช่นกัน พื้นภายในห้องเป็น Engineering Wood ผิวไม้ Cork สำเร็จรูป ความหนา 14 mm. พร้อมบัวเชิงผนัง ฝ้าและผนังเป็นแบบฉาบเรียบทาสี

ส่วนพื้นที่แรกที่เป็นห้องครัว ซึ่งจะแตกต่างจากห้องเมื่อสักครู่เล็กน้อย โดยจะมีขนาดเคาน์เตอร์ครัวที่ใหญ่ขึ้น มีรูปทรงเป็นตัว L ส่วนรายละเอียดต่างๆก็จะมีลักษณะเหมือนกันครับ ไม่ว่าจะเป็น top เคาน์เตอร์และผนังภายในเป็นกระเบื้อง Porcelain ข้างประตูทางเข้ามีหน้าบานตู้สำหรับเปิดเก็บรองเท้า ตู้เย็น และตู้อบ Built-in มาให้ขนาดเท่าเดิมเพียงแต่ย้ายตำแหน่งเล็กน้อย หน้าบานต่างๆเป็น High Resistance Surface ป้องกันรอยขีดข่วน เช่นเดิดม บานเปิดมีรายละเอียดดีเทลแบบ Solf-close ป้องกันการกระทบรุนแรงของการเปิดปิด นอกจากนั้นยังทำให้หน้าบานไม่ต้องมีที่จับ ทำให้ได้หน้าบานเรียบเสมอกัน ดูเรียบร้อยสบายตาครับ บริเวณด้านล่างสุดของเคาน์เตอร์ สังเกตดูจะมีการร่นระยะเข้าไป ประมาณ 10 ซม. เพื่อสำหรับวางเท้า ให้เราสามารถยืนได้ชิดกับขอบเคาน์เตอร์ๆได้เช่นกันกับของห้องเมื่อสักครู่ครับ

ชั้นบนเป็นช่องหลากหลายขนาด รูปแบบเดียวกันกับห้องที่แล้ว ส่วนด้านล่างก็พื้นที่เก็บของเช่นเดียวกัน มีลักษณะลิ้นชักหน้าบานต่างๆเหมือนกับห้องก่อนหน้านี้เลยครับ มีช่องใต้อ่างล้างจานเป็นช่องขนาดใหญ่สำหรับเก็บของภายในมีถังขยะแบบยึดกับบานเปิด ซึ่งจะเปิด-ปิด ตามหน้าบาน ส่วนที่ด้านซ้ายเป็นช่องเก็บวัตถุดิบปรุงอาหาร และจานชามต่างๆ แต่ไม่ได้มีการเว้นช่องสำหรับวางเครื่องซักผ้าแล้ว เอ๋.. แล้วเครื่องซักผ้าย้ายไปอยู่ตรงไหน เดี๋ยวเราจะได้ไปดูกันครับ

อย่างที่บอกไปเมื่อสักครู่ว่าตู้เย็นและเตาอบทางโครงการ Built-in มาให้ เพียงแต่ย้ายตำแหน่งครับ ซึ่งตำแหน่งนี้ ทำให้ห้องที่ขนาดใหญ่ พื้นที่ภายในเยอะ สามารถเดินมาเข้าถึงตู้เย็นได้ง่ายยิ่งขึ้น เนื่องจากอยู่บริเวณริมสุดของพื้นที่ครัว ติดกับพื้นที่เชื่อมต่อไปยังส่วนห้องนั่งเล่น และ พื้นที่พักผ่อนของห้อง

พื้นที่สำหรับทำครัวมีขนาดค่อนข้างกว้างเช่นเคย จากผนังถึงเคาน์เตอร์ครัวมีระยะอยู่ที่ประมาณ 2.5 เมตร

ส่วนพื้นที่เคาน์เตอร์ครัว อย่างที่บอกไปแล้วนั้นว่ามีลักษณะภายรวมภายนอกเหมือนกันกับห้องก่อนหน้านี้ทั้งหมด เพียงแต่ของห้องนี้ได้เคาน์เตอร์เป็นทรง L มีพื้นที่มากกว่าเดิม พลิกตัวหยิบจับง่ายสะดวก ประกอบไปด้วย อ่างล้างจาน เตาไฟฟ้า 4 หัว พร้อมเครื่องดูดควัน

อ่างล้างจานของ blanco แบบ 2 หลุม ขนาดหลุมละ 50 x 45 และ 50 x 30 ถือว่าขนาดใหญ่เลยทีเดียว มี 2 หลุมทำให้แยกประเภทล้างได้ ทำงานได้สะดวกมากยิ่งขึ้นครับ

ส่วนเตาไฟฟ้า และเครื่องดูดควันเป็นของ kuppersbusch เช่นเดิม เพิ่มเติมคือเป็น 4 หัว ใช้ได้หลากหลายยิ่งขึ้น

ส่วนเตาอบขนาดเท่ากันกับของห้องก่อนหน้านี้จาก kuppersbusch ก็มาด้วยเช่นกัน

ส่วนพื้นที่รับประทานอาหารทางโครงการก็ออกแบบจัดมาให้เป็นแนวทางในการออกแบบเช่นเดิม เพียงแต่ลักษณะทางเดินเข้าออกของห้องนี้จะมีความแตกต่างจากห้องเมื่อสักครู่สักนิดหน่อย เนื่องจากตู้เย็นย้ายตำแหน่งมาบริเวณด้านซ้ายนี้ ทำให้พื้นที่รับประทานอาหารควรจะไปอยู่ชิดผนังฝั่งด้านขวา (หลบวงเปิดหน้าบานตู้เย็น) ทำให้ทางเดินเข้าออกห้อง ต้องเดินผ่านหน้าตู้เย็น และเดินเข้าใกล้พื้นที่ทำครัวสักนิดหน่อย แต่ด้วยขนาดของพื้นที่ที่ค่อนข้างกว้าง จึงไม่น่าจะมีผลกระทบอะไรมากครับ เพียงแค่อาจจะต้องระวังการเดินเข้าออกในกรณีมีคนยืนทำครัวอยู่ด้วยสักนิดนึงครับ

มาดูกันต่อที่ส่วนต่อมา คือห้องนั่งเล่นของห้องนี้ มีลักษณะคล้ายกับของห้องก่อนหน้านี้ แต่มีระยะกว้างมากขึ้นมาหน่อยนึง สามารถวางชุดโซฟาได้ใหญ่กว่าเดิม โดยจะวางเป็นตัว U เลยก็ยังได้ครับ

ระยะดูทีวีของห้องนี้อยู่ที่ประมาณ 3 เมตร เหมาะแก่ทีวีขนาดใหญ่ 55 นิ้วขึ้นไปครับ ดูใหญ่จุใจกันไปเลยครับ หากแขวนเป็นทีวีติดผนังก็จะได้พื้นที่ใต้ทีวีเพิ่ม สำหรับวางของ พื้นที่บริเวณนี้ก็จะดูโล่งขึ้นไปอีกนะครับ

ระบบปรับอากาศมีการเลือกใช้ระบบทำความเย็นด้วยท่อน้ำเย็น (Water-Cooled Chiller System)  และมีการออกแบบคุณภาพอากาศภายในห้องท่ีดีด้วยการติดต้ังเครื่อง Energy Recovery Ventilation (ERV) อีกเช่นกันกับห้องที่ผ่านมาครับ

ส่วนฝ้าเพดานส่วนครัว ซึ่งเป็นหน้าประตูทางเข้าของห้องจะเป็นแบบฉาบเรียบทาสี มีไฟ Downlight ให้ 3 ดวงครับ

ฝ้าเพดานส่วนห้องนั่งเล่นเป็นแบบฉาบเรียบทาสี พร้อมไฟ Downlight ให้ 3 ดวง มีระยะสูงจากพื้น 3 เมตรครับ

ต่อไปเป็นส่วนของระเบียงครับ โดยจะเป็นระเบียงแบบสองชั้น มีฉากกั้นทางออกระเบียง เป็นกระจก Full Height และกระจกอีกชั้นนอกสุดเป็นกระจก Low E ทำให้นั่งข้างในก็ได้รับแสงจากธรรมชาติ โดยที่ไม่ร้อน หรือจะนั่งข้างนอกปิดกระจก หรือเปิดอีกชั้นก็ได้ เหมือนห้องที่ผ่านมาเลย แต่จะมีระยะระเบียงที่กว้างกว่าครับ

กระจกส่วนทางออกไประเบียงนี้เป็นบานเฟี้ยม 4 บาน ขนาดบานละ 70 ซม. ซึ่งจะสามารถพับเปิดสุดชิดไปยังผนัง มีระยะอยู่ที่ 2 เมตร เท่ากันกับห้องที่แล้ว

ประตูระเบียงนี้เป็นประตูมือจับก้านโยกมาพร้อมตัวล็อค ด้านล่างที่พื้นมีรางสำหรับประตู แต่ถูกซ่อนไว้อย่างดี ทำให้ระดับพื้นเท่าเดิม ไม่ต้องกลัวสะดุดเลยครับ

พื้นที่ภายนอกระเบียงเป็นทรงสี่เหลี่ยมคางหมู ขนาดประมาณ 1.1 x 3.1 เมตร มีพื้นเป็นกระเบื้อง Porcelain ขนาด 60 x 60 ซม. ซึ่งสามารถวางเก้าอี้คู่นั่งรับวิวสวนเบญจกิติจิบกาแฟยามเช้าบริเวณนี้ได้ดีเลยทีเดียวครับ

ที่ด้านในสุดของระเบียงเป็นฉากกั้นกระจกชั้นสุดท้าย ซึ่งจะสามารถเลือกเปิด-ปิด ได้ อย่างที่บอกไปก่อนหน้านี้ครับ ซึ่งจะเป็นบานอลูมิเนียม พร้อมกระจก Low E เช่นเดิม

ฝ้าเพดานเป็นแบบฉาบเรียบทาสีสูงจากพื้น 3 เมตรครับ พร้อมไฟ Downlight 1 ดวง มี Sensor สำหรับไฟที่ประตู 1 ตัว

มองกลับเข้ามาในห้อง จะสังเกต ได้ว่ามีพื้นที่เป็นแนวยาว ทำให้ช่องแสงบริเวณระเบียงสามารถส่องเข้ามาถึงในตัวห้องได้ บริเวณข้างๆ ตู้เย็นมีพื้นที่เข้าไปยังส่วนภายในของตัวห้อง ซึ่งเป็นพื้นที่พักผ่อน ไปดูกันเลย

พื้นที่บริเวณนี้มีเป็นทางเข้าไปภายใน ขนาบข้างด้วยตู้เย็น และรีโมทควบคุมไฟภายในห้อง ซึ่งถือว่าสะดวกดีครับ ไม่ต้องเดินไกลเข้าไปในครัวเพื่อไปตู้เย็น และก็เปิดปิดไฟบริเวณส่วนนี้ได้ง่าย สะดวกดีครับ

ตัวไฟเป็นระบบควบคุมไฟภายในห้อง ซึ่งนอกจากจะเปิด-ปิด ด้วยระบบ Sensor แล้ว ยังสามารถใช้รีโมทคอนโทรตัวนี้เปิดปิดไฟแต่ละจุดได้ด้วย อีกทั้งยังสามารถถอดออกมาใช้ภายในห้องได้ด้วยครับ

บริเวณทางเดินส่วนนี้มีระยะ 1.2 เมตร มีระยะความสูงฝ้า 2.8 เมตร ซึ่งจะมีไฟ Downlight เรียงเป็นแนวตลอดทางเดินครับ ภายในจะมีแยกไปจุดต่างๆ ฝั่งซ้ายมือห้องนอนรอง ส่วนฝั่งขวาคือห้องน้ำ ส่วนในสุดเป็นพื้นที่ของ Master bedroom ครับ

มาดูส่วนห้องน้ำกลางของห้องนี้กันก่อน ห้องนี้จะใช้ร่วมกันกับห้องนอนรองด้วย ภายในเป็นรูปทรงสี่เหลี่ยมผืนผ้า ประกอบไปด้วย 3 ส่วน จัดเรียงส่วนแห้งส่วนเปียกชัดเจน ภายในมีระดับพื้นถึงฝ้า 2.65 เมตร พื้นและผนังกระเบื้องแกรนิตโต้สีขาว ดูกลมกลืนกันทั้งห้อง ทำให้ห้องน้ำดูสว่าง สะอาด สบายตาครับ

พื้นที่ภายในมีขนาดค่อนข้างกว้าง บริเวณทางเข้า มีขอบยกสูงขึ้น 2.5  ซม. จากพื้นห้องน้ำ

ภายในห้องน้ำให้มาพร้อมกระจกบานใหญ่ ยาวตลอดแนว ขนาด 1.05 x 1.65 ม. ที่ด้านใต้กระจกมีแนวผนัง Low Wall ขนาด 22 x 80 ซม. ไว้สำหรับวางของ

อ่างล้างหน้าแบบเคาน์เตอร์เป็นแบบเดิมกับห้องก่อนหน้านี้ ปิดผิวด้วย หิน Quartz ตัวอ่างเป็นของ Grohe ขนาด 50 x 30 ซม. รอบข้างโดยรอบมีพื้นที่วางของค่อนข้างเยอะ ที่ด้านล่างเป็นเคาน์เตอร์อ่าง built-in มาให้ ขนาด 80 x 50 ซม. พร้อมบานเปิด 2 บาน ใส่ของได้ 1 ช่อง ยกสูงจากพื้นเพื่อป้องกันการกระทบกับน้ำ และง่ายต่อการทำความสะอาด ภายในมีช่องระบายอากาศด้วยครับ

โถสุขภัณฑ์เป็น Toto Washlet ซึ่งเป็นแบบโถอัตโนมัติ มีแถบควบคุมอยู่ด้านข้าง พร้อมทั้งที่ใส่กระดาษทิชชู่อยู่ด้านหลัง ไม่มีสายชำระ

ต่อไปเป็นส่วนอาบน้ำของห้องน้ำครับ ซึ่งจะมีฉากกั้นอาบน้ำกระจก Temper มาให้ด้วย เป็นกระจกดำพร้อมราวจับอลูมิเนียม สะดวกดีครับ

ภายในพื้นที่อาบน้ำมีขนาด 1.1 x 1 เมตร ที่ทางเข้ามีขอบยกสูงขึ้น 5 ซม.

ส่วนอาบน้ำของห้องน้ำนี้เป็นแบบ Hand Shower ของ Grohe สายยาว 1.2 ม. นอกจากนั้นยังมีตัวปรับอุณหภูมิที่ควบคุมได้ค่อนข้างแม่นยำอีกด้วยครับ

ฝ้าเพดานเป็นแบบฉาบเรียบทาสี พร้อมไฟ Downlight 2 ดวง และ พัดลมดูดอากาศครับ

 

 

มาต่อกันที่ห้องนอนรอง ภายในห้องระดับพื้นถึงฝ้า 3 เมตร เนื่องจากไม่มีพื้นที่ระเบียงจึงมีพื้นที่ภายในขนาดค่อนข้างกว้างนะ สามารถวางเตียงขนาด 6 ฟุตได้ นอกจากนั้นจะมีแนวกระจก Low E พร้อมบานกระทุ้ง 2 บาน สามารถเปิดระบายอากาศรับลมได้ด้วย ภายในห้องยังได้ตู้เสื้อผ้ามาให้ด้วยครับ

มีระยะทางเข้าประมาณ 1.2 เมตร จากผนังถึงตู้เสื้อผ้า กว้าง เดินเข้าออกสะดวกครับ

ที่ปลายเตียงสามารถแขวนทีวีติดผนังแล้วเดินได้สะดวก ส่วนที่ริมผนังวางโต๊ะข้างเตียงมีพื้นที่เหลือค่อนข้างเยอะ ประมาณ 1.35 ทำเป็นโต๊ะทำงานหรือโต๊ะเครื่องแป้งก็ได้

ผนังเป็นกระกระจก มีบานกระทุ้ง ขนาด 1.75 x 0.5 เมตร 2 บาน สามารถเปิดรับลมระบายอากาศได้ด้วย

จากเตียงถึงตู้เสื้อผ้าประมาณ 0.7 เมตร ซึ่งตู้ที่จะได้มาก็มีลักษณะแบบเดิม มีตู้เสื้อผ้าสูงจากพื้นถึงฝ้า ความสูง 2.7 เมตร หน้าบาน High Resistance Surface สลับกระจก Tint เงา พร้อมไฟส่องสว่างภายใน มีระยะพอให้เปิดหน้าบานตู้ได้

ภายในระดับช่องบนเป็นชั้นเก็บของ ส่วนกลางมีชั้นแขวนเสื้อ ส่วนชั้นล่างมีลิ้นชักหลายชั้นสำหรับแยกเก็บของครับ

ที่บริเวณหัวเตียงมีตัวรีโมทควบคุมไฟภายในห้องให้อีกตัวครับ สะดวกทีเดียว

ฝ้าเพดานเป็นแบบฉาบเรียบทาสี พร้อมไฟ Downlight ให้ 4 ดวง

เมื่อออกมาจากห้องนอน กำลังจะเข้าสู่ห้องนอนใหญ่ จะพบตู้ใบหนึ่งอยู่ติดกับทางเข้าห้องน้ำนะครับ ภายในเป็นพื้นที่เก็บเครื่องซักผ้า มีขนาดพื้นที่ 0.9 x 0.85 เมตร ซึ่งสามารถวางเครื่องซักผ้าได้ทั้งแบบฝาหน้าและฝาบนเลย มาพร้อมสวิทช์ไฟที่เตรียมไว้ ที่ด้านบนภายในตู้มีชั้นวางของสำหรับวางอุปกรณ์ซักผ้าต่างๆ จัดมาให้ครบในตู้เลยครับ

มาต่อกันที่ห้องนอนใหญ่ของห้องนี้ครับ ภายในห้องมีระดับฝ้าสูงจากพื้น 3 เมตร ซึ่งจะอยู่ในตำแหน่งที่ดีที่สุดของห้อง นั่นก็คือมุมอาคาร ที่ได้รับวิวสวนเบญกิตติ นั่นเองครับ ทางโครงการยังออกแบบมาให้เป็นกระจกโค้ง Low E พ้อมบานกระทุ้ง อีกทั้งยังมีพื้นที่ Walk-in Closet ภายในที่ค่อนข้างใหญ่ รวมถึงห้องน้ำ Master Bathroom ที่มีความพิเศษรวมอยู่ด้วย ไปดูแต่ละส่วนกันเลยครับ

ในห้องตัวอย่างติดทีวีที่ผนังบริเวณปลายเตียง แต่ก็ยังมีทางระยะเหลือสามารถเดินได้ครับ

พื้นที่ริมผนังเป็นพื้นที่ค่อนข้างกว้าง จากผนังถึงขอบเตียงประมาณ 1.5 เมตร ซึ่งบริเวณนี้ทางโครงการให้มาเป็นกระจก Low E โค้งเข้ามุม รับวิวสวนเบญจกิติ พร้อมบานกระทุ้งขนาด 1.75 x 0.5 เมตร ระบายอากาศรับลมได้ครับ

กลับเข้าไปภายในห้องมีพื้นที่ Walk-in Closet อีก ค่อนข้างลึกเลย ทีเดียว มีแนวตู้เสื้อผ้าเรียงชิดผนังให้มาด้วย

ตู้เสื้อผ้าแบบ 5 บานเปิด มีลักษณะหน้าตาแบบเดิมสูงจากพื้นถึงฝ้า หน้าบาน High Resistance Surface สลับกระจก Tint เงา

มาพร้อมไฟส่องสว่างภายใน ภายในระดับช่องบนเป็นชั้นเก็บของ ส่วนกลางมีชั้นแขวนเสื้อ ส่วนชั้นล่างมีลิ้นชักหลายชั้นสำหรับแยกเก็บของครับ

ฝั่งตรงข้ามสามารถวางโต๊ะเครื่องแป้งไว้ริมผนังอีกฝั่งเข้ามุมได้สบายๆ ส่วนนี้โครงการไม่ได้ให้มาด้วยนะครับ แต่เป็นไอเดียในการออกแบบ ถือว่าใช้พื้นที่ได้คุ้มค่าเลยทีเดียว

ฝ้าภายในเป็นแบบฉาบเรียบทาสี ซึ่งมีระดับความสูง 2 ระดับ ส่วนพื้นที่ห้องนอนที่มีเตียงสูง 3 เมตร ส่วนพื้นที่ walk-in Closet และห้องน้ำ สูง 2.7 เมตร ให้ไฟ Downlight ภายในห้องมา 6 ดวง ตามภาพเลยครับ

มาดูกันที่ห้องสุดท้ายกัน คือห้อง Master Bathroom ภายในค่อนข้างกว้าง ดูอลังการพอสมควรครับ ประกอบไปด้วย 3 ส่วนเช่นเคย แต่ละส่วนจะมีขนาดค่อนข้างใหญ่ เมื่อเข้ามาตรงหน้าจะพบส่วนอ่างล้างหน้า ส่วนซ้ายมือเป็นโถสุขภัณฑ์ ส่วนขวามือเป็นพื้นที่อาบน้ำ

พื้นที่ภายในค่อนข้างกว้าง เป็นทรง 4 เหลี่ยมผืนผ้า ส่วนทางเข้ามีขอบยกสูงขึ้น 2.5 ซม.

กระจกบานใหญ่ติดผนังขนาด 1.65 x 1.05 ม. ใต้กระจกเป็นเคาน์เตอร์อ่างล้างมือ พร้อมที่วางของโดยรอบ

อ่างล้างมือเป็นแบบ His & Her 2 อ่าง ขนาดเคาน์เตอร์ 1.65 x 0.55 ม. ตัวอ่างขนาดอ่างละ 50 x 30 ของ Grohe ทั้งคู่ครับ มีให้เลือกทั้งน้ำร้อนและน้ำเย็น

ที่เคาน์เตอร์ใต้อ่างมีตู้บานเปิด 2 ช่อง ภายในมีช่องระบายอากาศ สามาตรเก็บของได้เยอะเลยครับ ยกสูงจากพื้นกันน้ำ และง่ายต่อการทำความสะอาด

โถสุขภัณฑ์ของห้องเป็น Toto Washlet ซึ่งเป็นแบบโถอัตโนมัติ มีแถบควบคุมอยู่ด้านข้าง พร้อมทั้งที่ใส่กระดาษทิชชู่อยู่ด้านหลัง ไม่มีสายชำระ ด้านหลังมีผนัง Low Wall ไว้สำหรับกด Flush และวางของ

ต่อไปเป็นส่วนอาบน้ำของห้องน้ำครับ ซึ่งจะมีฉากกั้นอาบน้ำกระจก Temper มาให้ด้วย เป็นกระจกดำพร้อมราวจับอลูมิเนียม สะดวกดีครับ

พื้นที่อาบน้ำมีขนาด 1.65 x 0.85 ม. ถือว่ามีขนาดยืนอาบที่ค่อนข้างกว้าง โดยจะมีอ่างอาบน้ำข้างๆด้วย มีพื้นที่เข้าออกสะดวก ปลอดภัยครับ

ภายในมีทั้งระบบ Hand Shower, Rain Shower และ อ่างอาบน้ำ ซึ่งระบบ Hand Shower และ Rain Shower มีลักษณะเหมือนเดิมกับห้องที่ผ่านมา มาพร้อมกับช้องวางอุปกรณ์อาบน้ำด้านข้างด้วย

อ่างอาบน้ำของ Kasch โดยมี Hand shower ของ Grohe ติดมาให้ด้วย ตัวอ่างเป็นแบบแช่คนเดียวขนาด 1.4 x 0.65 ม. ขนาดแช่สบาย

ฝ้าเพดานเป็นแบบฉาบเรียบทาสี ให้ไฟ Downlight มา 2 ดวง ในพื้นที่อาบน้ำ และอีก 1 ดวงภายนอก มาพร้อมพัดลมดูดอากาศ 1 ตัวครับ

**รายละเอียดของวัสดุต่างๆเช่น ยี่ห้อ และรุ่น ของจริงอาจจะเป็นรุ่นนี้หรือเทียบเท่านะครับ

ราคาและเงื่อนไขการขาย @ 29 November 2018 

  • ราคาห้องจะเริ่มต้นที่ 8.4 ล้านบาท จนถึง 115 ล้านบาทครับ

  • Fully Fitted
  • ฝ้าเพดานสูง 3 เมตร
  • Kitchen & Sink
  • Hob & Hood
  • จอง 100,000 – 200,000 บาท
  • ทำสัญญา 5%
  • ค่ากองทุน 1,000 บาท/ตร.ม.
  • ค่าส่วนกลาง 95 บาท/ตร.ม./เดือน

**ราคาที่เอามาลงในบทความเป็นราคา ณ วันที่เข้าไปเก็บข้อมูลทำรีวิว ดังนั้นราคาต่างๆอาจมีการเปลี่ยนแปลงได้ครับ


เจาะลึกรวบยอด

ทำเล –โครงการ Whizdom อโศก-สุขุมวิท ตั้งอยู่ระหว่างถนนรัชดาภิเษกและซอยสุขุมวิท 16ใกล้กับแยกอโศกมนตรี โดยจะมีทางเข้า-ออก โครงการอยู่บนถนนรัชดาภิเษก ซึ่งความเจริญโดยรอบมีเรียกว่าทุกทิศทางเลยก็ว่าได้ หลักๆเลยจะได้จากแยกอโศกมนตรี มีพื้นที่อาคารสำนักงานและห้างสรรพสินค้าชั้นนำโดยรอบ หรือจะอยากได้ความอุดมสมบูรณ์หาของกินของใช้ ก็จะร้านอาหาร คาเฟ่ต่างๆ ให้เลือกค่อนข้างหลากหลาย มาจนถึงซอยสุขุมวิท 16 และ 24 ที่มีร้านค้า ร้านอาหาร เรียงรายอยู่เรื่อยๆ ตลอดจนฝั่งทิศใต้ที่เป็นถนนพระราม 4 ที่เชื่อมต่อไปยัง พระราม 3 สีลม มีอุดมสมบูรณ์สูงไม่ว่าจะเป็นเวลากลางวันและกลางคืน  ส่วนทางหน้าโครงการที่เรียกว่าเป็นจุดเด่นของทางโครงการเลยครับ คือมีทำเลติดกับสวนเบญจกิติ สวนและทะเลสาบขนาดใหญ่ใจกลางกรุง นอกจากจะเป็นทั้งวิวให้กับโครงการแล้ว ยังสามารถมาออกกำลังกายและพักผ่อนได้อีกด้วย

การเดินทางโดยใช้รถ – ตัวโครงการตั้งอยู่บนถนนใหญ่ ซึ่งเป็นถนนสายสำคัญที่เชื่อมต่อระหว่างถนนสุขุมวิทกับถนนพระราม 4 ไปทางถนนสุขุมวิทเลี้ยวซ้ายเข้าเมืองไปทางเพลินจิต ชิดลม สยาม ได้ไม่ยาก หรือจะเลี้ยวขวาเพื่อออกเมืองไปฝั่งบางนา สมุทรปราการก็ได้ ส่วนถนนพระราม 4 ก็สามารถเชื่อมต่อกับ CBD ที่สำคัญอีกโซนหนึ่งของกรุงเทพอย่างสีลม สาทร หรือจะลงใต้ไปพระราม 3 และออกเมืองไปก็ทำได้สะดวก หรือจะไปขึ้นทางด่วนก็ไม่ไกลจากโครงการ สามารถเลือกใช้งานไดค่อนข้างหลากหลายทีเดียวครับ โครงการมีที่จอดรถไว้ให้ทั้งแบบ Conventional Parking และ Automatic Parking รวมแล้ว 85%

การเดินทางโดยไม่ใช้รถ – ถือว่าสะดวกเลยทีเดียว เพราะแยกอโศกเป็นทำเลที่ตั้งของรถไฟฟ้า Interchange ของ BTS อโศก และ MRT สุขุมวิท ซึ่งอยู่ห่างจากโครงการประมาณ 500 m. ทำให้เรามีทางเลือกให้การเดินทางเพิ่มมากขึ้น นอกจากนั้นยังมีวินมอเตอร์ไซต์ และ แท็กซี่วิ่งอยู่ตลอดทั้งวัน ทั้งฝั่งถนนรัชดาภิเษกเองและซอยสุขุมวิท 16 ทางด้านหลัง

การออกแบบ – ตัวโครงการออกแบบสไตล์ Modern Luxury ดูหรูทันสมัย เน้นการใช้วัสดุและเทคโนโลยีต่างๆที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม และการวางผังแนวอาคารให้ในทุกห้องพักอาศัยได้รับวิวที่ดีที่สุด เช่น การวางผังชั้นพักอาศัยที่แม้จะเป็นห้องฝั่งที่ไม่ได้หันหน้าเข้าสวนเบญจกิติโดยตรงแต่ก็สามารถรับวิวสวนด้วยได้เช่นกัน มีรูปแบบฟอร์มอาคารที่เอื้อแก่มุมมองของแต่ละห้อง จึงทำให้มีรูปแบบห้องค่อนข้างหลากหลาย อีกทั้งยังมีช่องลมและช่องแสงในอาคารเพื่อช่วยในการ Ventilation ภายในโครงการ พื้นที่แต่ละชั้นมีความสัมพันธ์กัน ด้วยช่องเปิด ช่องแสงแนวทางเดินในแต่ละชั้นแบบ Single Corridor ช่วยเพิ่มความเป็นส่วนตัวในการใช้งาน พื้นที่ส่วนกลางทั้งหมดมีการแบ่งพื้นที่ส่วนกลางออกเป็นหลายชั้น เพื่อได้รับมุมมองที่หลากหลายและกระจายให้ง่ายต่อการใช้งาน อีกทั้งยังมีการแยก Lobby สำหรับความเป็นส่วนตัว โดยแยกส่วน Private สำหรับลูกบ้านไว้ภายใน

การออกแบบตัวห้องพัก – ทำได้ดีเลยครับ มีการแบ่งสัดส่วนชัดเจน ที่สำคัญดึงเอาจุดเด่นของรูปทรงอาคารออกมาใช้โดยออกแบบให้มีรูปแบบห้องหลายแบบ เพื่อที่จะตอบโจทย์เรื่องทัศนียภาพมุมมองในแต่ละตำแหน่งของอาคารให้ได้มากที่สุด ภายในมีการแบ่งลำดับความสำคัญของห้องได้ดี เป็นสัดส่วน เน้นพื้นที่ใช้สอยภายในห้อง ได้รับวิวภายนอกในทุกๆจุด ความสูงจากพื้นถึงฝ้า 3 เมตร เน้นความโปร่งโล่งน่าอยู่อาศัย ส่วนห้องนั่งเล่นและระเบียงสามารถปรับฟังค์ชันการใช้งานได้และเพิ่มพื้นที่การใช้งานได้ ภายในห้องเก็บรายละเอียดในส่วนต่างๆได้ดีทีเดียว ใช้เทคโนโลยีต่างๆภายในห้อง ไม่ว่าจะเป็นระบบแสงสว่างแบบ Automatic-Sensor พร้อมรีโมตเปิด-ปิด เพื่อความสะดวกในการใช้งาน ใช้ระบบปรับอากาศแบบทำความเย็นด้วยท่อน้ำเย็น (Water-Cooled Chiller System) ไม่มีท่อลม ลดการสะสมของฝุ่นและการเกิดเชื้อรา เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม

วัสดุ – ถือเป็นจุดเด่นของโครงการนี้เลยครับ เนื่องจากวัสดุที่ให้มาค่อนข้างดีทีเลย เน้นการใช้วัสดุที่เหมาะกับการใช้งานในแต่ละส่วน เช่น กระจก Full Height ที่เป็นกระจก Low E บริเวณระเบียงที่เป็นทั้งระเบียงสองชั้น และกระจกโค้งในห้องนอน พื้นภายในเป็น Engineering Wood ผิวไม้คอร์ก หนา 14 mm. ไฟทั้งหมดเป็นระบบ Automatic sensor ไม่ต้องมีสวิชท์ มีแผงรีโมทควบคุมให้ ระบบปรับอากาศใช้ระบบ Chiller System ในห้ชุดครัวพร้อมใช้งาน Top ครัวและผนังเป็น Porcelain อุปกรณ์ครัวของ Kuppersbusch ตู้เย็นแบบ Built-in ของ Liebherr ส่วนห้องน้ำมีให้ครบตามห้องตัวอย่างโถสุขภัณฑ์อัตโนมัติ Toto Washlet และอุปกรณ์อื่นๆจาก Grohe ทั้งหมด

สาธารณูปโภค – พื้นที่ส่วนกลางจัดว่าให้มาค่อนข้างหลากหลายน่าสนใจ ถูกออกแบบให้มีความพิเศษตั้งแต่ Lobby มีการแยกออกเป็น Grand Lobby และ Whizdom Private Resident Lounge เพื่อแบ่งความเป็นส่วนตัวของลูกบ้าน พื้นที่ส่วนกลางอื่นๆที่มีเพิ่มเข้ามา เช่น Medical Center ห้องพยาบาลที่เชื่อมกับ Application ของโรงพยาบาล ติดต่อได้รวดเร็ว พื้นที่สีเชียวจะมีสวนกระจายไว้ตามส่วนต่างๆภายในโครงการค่อนข้างเยอะ โดยรอบโครงการ ฃและในทุกชั้นของห้องพักอาศัย ที่ชั้น 11 มี Sunrise Garden ส่วนชั้น 32 มี Garden Lounge ส่วนชั้นด้านบนก็มี Facilities ที่รองรับอีกหลายจุด เน้นได้วิวมุมสูง เช่น Infinity Edged Swimming Pool ที่รวมสระเด็กและ Jacuzzi ไว้ในตัว รวมถึงห้องออกกำลังกาย ที่สามารถรับวิวรอบด้าน Sky Fitness และห้องนั่งชิล Sky Lounge รับวิวจากมุมสูง รวมๆแล้วจัดได้ว่าหลากหลายสไตล์ให้เลือกใช้งานเลยทีเดียว อีกทั้งยังอยู่ในตำแหน่งที่ได้รับวิวสวยๆในทุกๆส่วนเลยก็ว่าได้

Judgement

ราคาของคอนโดนี้ถือเป็นระดับ ULTIMATE CLASS ซึ่งความคุ้มค่าด้านราคาไม่ใช่ปัจจัยหลักเพียงอย่างเดียวในการตัดสินใจซื้อ ความคุ้มค่าด้านอารมณ์คือปัจจัยหลักอีกอย่างหนึ่ง ซึ่งตราบเท่าที่ทางเรายังไม่สามารถวัดค่ามาตรฐานทางอารมณ์ได้ ทาง Think of Living ขอไม่ให้คะแนนฟันธงในรีวิวเจาะลึกนะครับ เพราะมีตัวเปรียบเทียบน้อย เป็นสินค้าประเภท Unique เสียส่วนใหญ่ และเราก็เชื่อว่าลูกค้าที่พร้อมจะซื้อคอนโดระดับนี้ ไม่ตัดสินง่ายๆด้วยคะแนนแน่นอน

BOTTOM LINE

 Whizdom อโศก-สุขุมวิท เหมาะกับคนที่ต้องการอาศัยอยู่ใจกลางเมืองในย่านอโศก เดินทางสะดวกมีตัวเลือกในการเดินทาง ได้ทั้งขับรถหรือไปใช้รถไฟฟ้า ได้คอนโดวิวสวนและทะเลสาบขนาดใหญ่ ชอบการออกแบบที่มีดีไซน์ เน้นวัสดุดีตอบโจทย์การใช้งาน ส่วนกลางหลากหลาย มีงบประมาณเริ่มต้น 8.4 ล้านบาท ขึ้นไปครับ