รีวิวฉบับที่ 1861 … วันนี้ผมจะพามารีวิวโครงการ THE COLLECT รัชดา 32 จาก The Next Real Estate ซึ่งตั้งอยู่ในซอยรัชดา 32 หรือย่านลาดพร้าวตอนต้น ที่มีจุดเด่นคือห้องแบบ Loft หรือที่ทางโครงการเรียกว่า Duo Space ถือว่าเป็น Product ใหม่ ที่ยังไม่ใครทำเลยในย่านนี้ โดยมีห้องแบบปกติราคาเริ่มต้นอยู่ที่ 1.99 ล้านบาท จะเป็นอย่างไรลองไปชมกันเลยครับ

ข้อมูลโครงการ

Fact @ 9 May 2019

  • THE COLLECT Ratchada 32 (เดอะ คอลเล็ค รัชดา 32)
  • บริษัท เดอะเน็กซ์ เรียลเอสเตท จำกัด
  • MAIN CLASS (อ่านรายละเอียดของ Segment คอนโดได้ที่นี่)
  • โครงการตั้งอยู่ : ถนนรัชดาภิเษก เขตจตุจักร
  • ที่ดินประมาณ 0-1-98 ไร่
  • คอนโด Low Rise 8 ชั้น 1 อาคาร 64 ยูนิต
  • ยูนิตต่อชั้นสูงสุด 12 ยูนิต
  • ที่จอดรถประมาณ 23 คัน คิดเป็น 35% (รวมจอดซ้อนคัน คิดเป็น 50%)
  • เริ่มก่อสร้าง :  ปี 2562
  • คาดว่าจะแล้วเสร็จ : Q3 ปี 2563
  • 1 Bedroom 24.28 – 24.50 ตร.ม. ราคา(โปรโมชั่น) เริ่มต้น 1.99 ล้านบาท
  • 1 Bedroom 28.20 – 28.62 ตร.ม. ราคาเริ่มต้น 2.39 ล้านบาท
  • Duo Space (Loft) 24.28 – 24.50 ตร.ม. ราคาเริ่มต้น 3.1 ล้านบาท
  • ฝ้าเพดานห้องปกติสูง 2.4 เมตร และห้อง Loft สูง 4.3 เมตร
  • ราคาห้อง(โปรโมชั่น) เริ่มต้น 1.99 ล้านบาท / หรือตร.ม.ละ 81,960 บาท
  • ราคาเฉลี่ยทั้งโครงการ AVERAGE ประมาณ 88,000 บาท/ตร.ม.
  • ช่วงราคาต่อตารางเมตร ต่ำสุด – สูงสุดประมาณ n/a บาท/ตร.ม.
  • เวปไซต์โครงการ : คลิกที่นี่
  • โทร  : 0626612999

ทำเลที่ตั้ง

พิกัด Google Maps : 13.819571, 100.581256
หรือสามารถ :  คลิกที่นี่

แผนที่จากทางโครงการครับ

โครงการ THE COLLECT รัชดา 32 ตั้งอยู่ในซอย รัชดาภิเษก 36 แยก 19-1 แต่จะมีทางเข้าหลักจากซอย รัชดาภิเษก 32 ซึ่งถือว่าเป็นซอยหลักที่เชื่อมต่อระหว่างถนนรัชดาภิเษกกับถนนลาดพร้าว-วังหิน โดยลักษณะเด่นของย่านนี้คือ ถนนซอยแต่ละซอยจะเชื่อมต่อถึงกันหมด โดยมีถนนรองสายสำคัญได้แก่ ถนนลาดพร้าว-วังหิน ถนนโชคชัย 4 ถนนนาคนิวาส และถนนเสนานิคม จึงทำให้สามารถเข้า-ออกได้หลายเส้นทางมากๆ เป็นทำเลที่เลี่ยงรถติดบนถนนใหญ่ได้ดี จากแผนที่เราจะเห็นพื้นที่สี่เหลี่ยมอยู่ตรงกลาง และรายล้อมไปด้วยถนนหลักเส้นใหญ่ถึง 5 เส้น ทั้งถนนพหลโยธิน ถนนรัชดาภิเษก ถนนลาดพร้าว ถนนประเสริฐมนูกิจ และถนนเลียบด่วนรามอินทรา ซึ่งทำเลนี้จะเหมาะกับคนที่ทำงานอยู่แถวถนนรัชดา แยกรัชโยธิน ห้าแยกลาดพร้าว หรือไม่ก็แถวพระราม 9 ก็ได้ครับ ถือว่าเดินทางด้วยรถยนต์ค่อนข้างสะดวก ทางด่วนก็มีให้เลือกใช้ถึง 2 เส้นทาง หรือจะออกนอกเมืองไปทางดอนเมือง สายไหม รามอินทรา ก็ทำได้ง่ายมากๆเลยด้วย

ความอุดมสมบูรณ์ของย่านนี้ค่อนข้างคึกคักมากนะ ถ้าเป็นภายในซอยย่อยและถนนรองภายในจะเต็มไปด้วยร้านค้าร้านอาหารชื่อดังจำนวนมาก แถมยังมีคอมมูนิตี้มอลล์อยู่ไม่ไกลอย่าง The JAS หรือ Plaza Lagoon ที่ด้านในจะมีสิ่งอำนวยความสะดวกครบครัน ไม่ต้องออกไปฟันฝ่ารถติดที่ถนนใหญ่ด้านนอกเลยครับ เว้นแต่ว่าอยากจะเดินห้างใหญ่ๆแอร์เย็นๆ และอยากได้โรงหนังด้วย ก็จะมีหลักๆ 2 จุดคือ แถวห้าแยกลาดพร้าวจะมีเซ็นทรัลลาดพร้าวกับยูเนี่ยนมอลล์ และตรงเลียบด่วนรามอินทราก็จะมี Central East Ville กับ Crystal Park  แล้วถ้าอยากเดินตลาดใหญ่ๆก็จะมีเด่นๆเลยคือ ตลาดหัวมุม กับตลาดโชคชัย 4 ให้เลือกเดินกันครับ มหาลัยที่ใกล้ที่สุดจะเป็น ม.ราชภัฏจันทรเกษม กับ ม.เกษตร วิทยาเขตบางเขน และสุดท้ายคือแหล่งงานครับ อย่างที่บอกไปแล้วก่อนหน้านี้ว่าออฟฟิศส่วนใหญ่จะเกาะกลุ่มกันอยู่หลักๆแถวห้าแยกลาดพร้าว และแยกรัชโยธิน โดยมีอาคารสำคัญๆ ได้แก่ Sun Tower, ตึก TMB, ตึกการบินไทย, ตึกช้าง และ SCB Park เป็นต้น

การเข้าถึงตัวโครงการจะมีหลักๆอยู่ 3 เส้นทางดังนี้

1.) ถนนรัชดาภิเษก เข้ามาจากซอยรัชดาภิเษก 32 ได้โดยตรง หรือจะเข้าซอยรัชดาภิเษก 36 ก็ได้ครับถ้ารถแถวหน้าซอยรัชดา 32 ติดมาก เพราะซอยรัชดา 36 จะสามารถเชื่อมต่อมายังซอยรัชดา 32 ได้เช่นกัน เป็นเส้นทางหลักที่มีระยะทางที่สั้นที่สุดเพียง 850 m.

2.) ถนนลาดพร้าว-วังหิน เป็นถนนแกนกลางที่เข้ามาได้จากหลายเส้นทาง ทั้งจากถนนเสนานิคม ถนนโชคชัย 4 ถนนนาคนิวาส ถนนประเสริฐมนูกิจ และถนนเลียบด่วนรามอินทรา ซึ่งก็เป็นการเข้าซอยรัชดา 32 อีกด้านหนึ่งที่อาจจะได้ใช้บ่อยไม่แพ้กัน มีระยะทางโดยเริ่มจากเข้าสู่ซอยรัชดา 32 มาถึงโครงการประมาณ 1.3 km.

3.) ถนนลาดพร้าว ที่แนะนำทางนี้เพิ่มเพราะเผื่อคนที่มาจากทางห้าแยกลาดพร้าว พระราม 9 หรือถนนลาดพร้าว สามารถใช้ซอยลาดพร้าวต่างๆนี้ เพื่อเชื่อมต่อมายังซอยรัชดา 32 ได้เช่นกัน โดยที่ไม่จำเป็นต้องเข้ามายังถนนรัชดาภิเษก แล้วต้องอ้อมไปกลับรถที่แยกรัชโยธินก่อนซึ่งรถจะติดมากๆ มีระยะทางประมาณ 2.1 – 3.3 km.

ส่วนการเดินทางโดยไม่ใช้รถ ในอนาคต (ประมาณปี 2564) จะมีรถไฟฟ้า MRT สายสีเหลือง (ลาดพร้าว-สำโรง) สถานีรัชดา อยู่ใกล้ที่สุดครับ ระยะห่างจากโครงการประมาณ 1.8 km. ซึ่งก็คงจะต้องต่อรถมาก่อนอีกต่อหนึ่งนะ และโชคดีอีกอย่างที่สถานีนี้เป็นสถานีต้นสาย จึงมีโอกาสได้นั่งสูงไม่ต้องยืนให้เมื่อยนั่นเองครับ (ปล.หากใครเคยได้ยินข่าวมาว่า MRT สายสีเหลือง จะสร้างต่อไปเชื่อมกับสายสีเขียวเหนือบริเวณแยกรัชโยธินนั้น ณ ปัจจุบันตอนนี้ยังคงเป็นแค่แผนร่างอยู่เท่านั้นนะ ยังไม่มีการอนุมัติใดๆทั้งสิ้น ซึ่งผมได้มีการโทรไปสอบถามกับทาง MRT โดยตรงด้วยตัวเอง ซึ่งเพื่อนๆสามารถติดเข้าไปหาข้อมูล ติดตามข่าวสาร หรือโทรสอบถามกับเจ้าหน้าที่ได้โดยตรงจากเว็บไซต์ mrta-yellowline.com)

และทางด่วนที่จะแนะนำมีอยู่ 2 เส้นทางครับ เริ่มด้วยทางยกระดับอุตราภิมุข ให้ไปที่ห้าแยกลาดพร้าวก่อน จากนั้นวนไปทางถนนพหลโยธิน แล้วใช้ถนนหอวังซึ่งอยู่ด้านข้างเซ็นทรัลเพื่อไปขึ้นทางด่วนด่านลาดพร้าวที่อยู่ทางด้านหลังได้ครับ ระยะทางประมาณ 5.5 km.

ส่วนอีกจุดหนึ่งคือทางพิเศษฉลองรัช สามารถใช้เส้นทางภายในลัดเลาะผ่านถนนโชคชัย 4 และถนนสุคนธสวัสดิ์มาได้เรื่อยๆ แล้วมาออกที่ถนนใหญ่ ก่อนจะเลี้ยวขึ้นทางด่วนที่ด่านโยธินพัฒนาได้ครับ ระยะทางประมาณ 7.3 km.

การเดินทางในวันนี้ผมจะเริ่มจากแยกรัชโยธิน ขับตรงมาเรื่อยๆบนถนนรัชดาภิเษก มุ่งหน้าไปทางแยกรัชดา-ลาดพร้าว จากนั้นจึงเลี้ยวซ้ายเข้าสู่ซอยรัชดาภิเษก 32 ขับตรงเข้ามาประมาณ 800 m. ก็จะเจอ Sale Gallery อยู่ทางซ้ายมือ ซึ่งจะอยู่คนละที่กับที่ตั้งโครงการนะครับ แต่ก็อยู่ไม่ไกลกันมากนัก

เริ่มต้นบนถนนรัชดาภิเษกจากแยกรัชโยธิน ให้ขับตรงไปมุ่งหน้าไปทางแยกรัชดา-ลาดพร้าว

ขับมาจนมีจุดสังเกตเป็นอาคาร คปภ. ก็ให้เตรียมตัวชิดซ้าย ตามป้ายลาดพร้าว-โชคชัย 4 ได้เลยครับ

และเมื่อขับมาจนถึงหน้าปากซอยรัชดาภิเษก 32 จะมีป้ายด้านบนเขียนว่าเป็นทางลัดไปรามอินทราได้ ก็ให้เลี้ยวซ้ายเข้าไปได้เลย

บรรยากาศภายในซอยค่อนข้างคึกคักนะ โดยเฉพาะต้นซอยจะมีทั้งวินมอไซค์ขนาดใหญ่ ร้านกาแฟ Amazon และ Lotus Express ซึ่งเปิดตลอด 24 ชม. ให้ใช้บริการอีกด้วย ซึ่งถ้าขับตรงมาเรื่อยๆ จะเจอเซเว่นขนาดใหญ่อยู่ทางซ้ายมือ ตั้งอยู่หน้าปากซอยรัชดา 36 แยก 19-1 ซึ่งเป็นที่ตั้งของโครงการนั่นเอง แต่เราจะขับตรงไปที่ Sale Gallery กันก่อนนะครับ

เมื่อเลยซอยเมื่อสักครู่นี้มานิดเดียว เราก็จะเจอกับ Sale Gallery ตั้งอยู่ทางซ้ายมือ ก็ให้เราเลี้ยวซ้ายเข้าไปได้เลย

ตัว Sale Gallery จะตั้งอยู่ริมถนนซอยรัชดา 32 ซึ่งด้านในจะมีที่จอดรถไว้คอยบริการอยู่ด้วยครับ

ภายในมีที่นั่งหลายจุด ทั้งแบบชุดโต๊ะเก้าอี้และแบบชุดโซฟา และมีโมเดลตั้งไว้ให้ดูอยู่ตรงกลาง ซึ่งก็จะมีเจ้าหน้าที่คอยให้ข้อมูลอยู่ตรงเคาน์เตอร์ตลอดเวลา

ต่อมาเราจะไปดูที่ตั้งโครงการกันบ้างนะ ซึ่งจะอยู่ห่างจากสำนักงานขายไปแค่ประมาณ 350 m. เองครับ

จาก Sale Gallery ก็ให้เราเลี้ยวขวาย้อนกลับไปทางเดิมเมื่อสักครู่นี้ครับ

และเมื่อขับมาจนเจอเซเว่นขนาดใหญ่ ก็ให้เลี้ยวขวาเข้าสู่ซอยรัชดาภิเษก 32 แยก 19-1 ได้เลย

ขับตรงเข้ามาประมาณ 210 m. ก็จะเจอกับที่ตั้งโครงการอยู่ทางขวามือครับ

**รูปนี้จัดทำขึ้นเพื่อให้เห็นภาพรวมของโครงการแบบคร่าวๆไม่สามารถใช้อ้างอิงอย่างเป็นทางการได้นะครับ

บริบทโดยรอบโครงการจะเป็นชุมชนพักอาศัย มีทั้งคอนโด โรงแรม อพาร์ทเม้นท์ และบ้านเดี่ยว แต่ก็ไม่ได้พลุกพล่านเหมือนซอยข้างเคียงที่อยู่ด้านหลัง ม.ราชภัฏจันทรเกษม ที่จะมีนักศึกษาและหอพักรวมอยู่ด้วย โดยรวมของซอยนี้จึงมีความเงียบสงบมากกว่า ซึ่งที่ดินข้างเคียงจะประกอบด้วย

  • ทิศเหนือ : ติดกับที่ว่างขนาดใหญ่
  • ทิศใต้ : ติดกับโฮมออฟฟิศ สูง 6 ชั้น
  • ทิศตะวันออก : ติดกับบ้านเดี่ยวสูง 2 ชั้น
  • ทิศตะวันตก : ติดกับเป็นทางเข้า-ออกหลักโครงการ ติดกับถนนซอยรัชดาภิเษก 36 แยก 19-1 และฝั่งตรงข้ามเป็นบ้านเดี่ยวสูง 2 ชั้น

มาดูของจริงกันเลยครับ เริ่มจากที่ตั้งโครงการจะอยู่ทางด้านขวาของซอย โดย ณ ปัจจุบันทางโครงการได้ล้อมรั้วเตรียมสำหรับการก่อสร้างเรียบร้อยแล้วครับ และติดกับที่ดินโครงการทางซ้ายจะเป็นที่ว่างนะ

ฝั่งตรงข้ามเป็นบ้านเดี่ยวสูง 2 ชั้น และถนนซอยด้านหน้าจะกว้างประมาณ 8 m. รถสามารถขับสวนทางกันได้ 2 เลนแบบพอดีๆ

คราวนี้เรามาเริ่มจากทางด้านซ้ายของโครงการกันก่อนนะ ด้านในซอยจะเป็นที่อยู่อาศัยที่เงียบสงบ มีทั้งบ้านเดี่ยว คอนโด อพาร์ทเม้นท์ และโรงแรม แต่ส่วนใหญ่ก็ค่อนข้างเก่าและมีมานานแล้วทั้งนั้นครับ โดยซอยนี้ไม่ใช่ซอยตัน สามารถขับรถไปออกถนนรัชดาภิเษกจากซอนรัชดา 36 ได้ เพียงแต่เส้นทางอาจจะอ้อมๆวนๆหน่อย

ส่วนทางด้านขวาของที่ตั้งโครงการจะเป็นโฮมออฟฟิศสูง 6 ชั้น ชื่อว่า The Quartier รัชดา 32 ราคาประมาณเกือบ 30 ล้าน ซึ่งปัจจุบันกำลังอยู่ในระหว่างการก่อสร้างครับ

ส่วนฝั่งตรงข้ามของโฮมออฟฟิศจะเป็นที่ว่าง 2 แปลง โดยแปลงหนึ่งที่อยู่ติดกับคอนโด Vino จะก่อสร้างเป็นโรงแรมในอนาคตครับ และที่เห็นเป็นรั้วสีขาวๆเหลืองๆด้านซ้ายมือจะเป็นร้านอาหารและร้านขายน้ำนะครับ

ที่หน้าปากซอยจะมีเซเว่นขนาดใหญ่ตั้งอยู่ ห่างจากโครงการประมาณ 210 m. แต่ถ้าหากใครเห็นป้าย 108 Shop ที่อยู่ตรงอาหารสีส้มๆก่อนถึงปากซอย หน้างานจริงจะไม่มีนะครับ แต่จะเป็นร้านเสริมสวยแทนนะ

ส่วนถนนซอยรัชดา 32 ด้านหน้าก็จะเป็นถนนขนาด 2 เลน ที่มีทางเท้าให้เดินได้อยู่ทั้ง 2 ข้าง และจะมีรถสัญจรไปมาตลอดวัน มีความคึกคักค่อนข้างสูง รวมถึงอาจมีรถติดบ้างในเวลาเร่งด่วนอีกด้วย เพราะเป็นซอยใหญ่ที่คนนิยมใช้เป็นทางลัดเลี่ยงรถติดครับ

สถานที่สำคัญใกล้เคียงต่างๆ เช่น

  • เซเว่นหน้าปากซอย ~ 210 เมตร
  • Lotus Express ~ 850 เมตร
  • ศาลอาญา ~ 1 กิโลเมตร (ระยะเดินข้ามสะพานลอย)
  • Plaza Lagoon ~ 1.5 กิโลเมตร
  • ม.ราชภัฎจันทรเกษม ~ 1.8 กิโลเมตร
  • Green Plaza ~ 1.9 กิโลเมตร
  • The JAS ~ 2 กิโลเมตร
  • ตลาดวังหินยิ่งเจริญ ~ 2.8 กิโลเมตร
  • Big C Extra ลาดพร้าว ~ 3.1 กิโลเมตร
  • Major Cineplex รัชโยธิน ~ 4.6 กิโลเมตร
  • ตลาดโชคชัย 4 ~ 4.7 กิโลเมตร
  • Union Mall ~ 5.7 กิโลเมตร
  • เซ็นทรัลลาดพร้าว ~ 6.8 กิโลเมตร
  • Crystal Design Center ~ 7.5 กิโลเมตร
  • ตลาดหัวมุม ~ 8.5 กิโลเมตร

รายละเอียดโครงการ

โครงการ THE COLLECT รัชดา 32 เป็นคอนโด Low Rise สูง 8 ชั้น 64 ยูนิต ตั้งอยู่บนที่ดินขนาด 0-1-98 ไร่ ถือว่าค่อนข้างมีความเป็นส่วนตัวสูง และต้องขอเกริ่นไว้ก่อนว่าโครงการนี้เป็นโครงการขนาดเล็ก (ไม่ถึง 79 ยูนิต) จึงไม่จำเป็นต้องขอ EIA ครับ ซึ่งภายนอกออกแบบลักษณะ Modern ตัวอาคารเป็นโทนสีเทา และใช้เส้นสายแนวตั้งสีส้มเป็นเส้นตรง แสดงถึงความมั่นคงและเรียบง่าย แต่ก็ดูโดดเด่น และมีส่วนของ Facilities จะเป็นกล่องกระจกที่มองเห็นได้ชัดเจนอยู่ทางด้านบน

มาดูด้านข้างโมเดลกันต่อครับ ตัวอาคารมีความสูง 8 ชั้น โดยจะจอดรถใต้อาคารที่ชั้น 1 และมี Lobby อยู่ที่ชั้น 2 ร่วมกับ Co-Working Space และห้องพักอาศัยอีก 10 ยูนิต เพียงแต่ที่ชั้น 5 – 8 จะเป็นชั้นที่มีห้อง Duo Space หรือห้อง Loft ที่มีฝ้าเพดานสูง 2 ชั้น (โมเดลในภาพทำผิดแบบนะครับ ให้อิงคำอธิบายในรีวิวของผมเป็นหลัก ซึ่งเพื่อนๆจะเห็นอีกทีในแปลน ซึ่งจะชัดเจนมากขึ้น) และจะมี Double Space Fitness อยู่ด้านหน้า สุดท้ายคือจะมี Roof Top Facilities อยู่ด้านบนเป็น Swimming Pool ครับ

โดยตัวห้อง Duo Space ที่ว่า จะมีเพียงครึ่งเดียวของชั้น 5 – 8 เท่านั้นนะครับ ส่วนอีกครึ่งหนึ่งก็จะเป็นห้องแบบปกติไป โดยห้อง Duo Space จะหันมาทางโฮมออฟฟิศสูง 6 ชั้น ดังนั้นถ้าเลือกเป็นชั้น 7 – 8 ขึ้นไปก็น่าจะพ้นระยะบังสายตาได้อยู่ครับ

มาต่อกันที่แปลนเลยครับ ทางเข้า-ออกมีแค่ทางเดียว จึงทำให้ดูแลรักษาความปลอดภัยได้ง่าย โดยชั้น 1 จะเป็นที่จอดรถทั้งหมด จอดได้ประมาณ 23 คัน คิดเป็น 35% (ถ้ารวมจอดซ้อนคัน คิดเป็น 50%) และจะไม่มี Lobby ที่ชั้นนี้นะ แต่จะเป็นโถงลิฟต์ที่จะต้องใช้ Key Card Access เข้าไปด้านในเพื่อความปลอดภัย ภายในมีลิฟต์ 1 ตัว จึงทำให้มีอัตราส่วนลิฟต์เป็น 64 : 1 ซึ่งก็ยังถือว่าไม่หนาแน่นครับ

จากโมเดลจะเห็นทางเข้าของโครงการที่ไม่มี Key Card Access หรือไม้กั้นกระดกให้ครับ ซึ่งของจริงอาจเป็นรั้วแบบล้อเลื่อนและมี ร.ป.ภ. คอยดูแลอยู่ตลอด 24 ชม. แทนนะ ส่วนที่จอดรถทางด้านซ้ายของอาคาร จะมีส่วนที่เกินออกมานอกอาคารอยู่ครึ่งคันนะครับ

และทางด้านขวาของอาคารจะมีพื้นที่สวนเล็กๆ เอาไว้นั่งเล่นพักผ่อนได้ ซึ่งจะยาวต่อเนื่องกันไปตลอดแนวอาคาร ทำให้ห้องพักชั้นไม่สูงมากนักที่หันมาทางด้านนี้จะได้วิวสวนตรงนี้ได้อีกด้วย

ด้าน Facilities ของโครงการนี้จะกระจายตัวกันอยู่หลายๆชั้นของอาคาร ข้อดีคือเป็นการกระจายความหนาแน่นในการใช้งานส่วนกลาง ไม่ให้แออัดจนเกินไป และยังช่วยแยกฟังก์ชันแต่ละโซนออกจากกันอย่างชัดเจนมากขึ้น เพียงแต่การใช้งานก็จะไม่ค่อยต่อเนื่องกัน และพื้นที่ส่วนกลางบางส่วนจะไปอยู่ในชั้นเดียวกับส่วนพักอาศัย ในชั้นนั้นอาจจะเสียความเป็นส่วนตัวไปบ้างครับ

โดยส่วนกลางที่ชั้น 2 จะเป็นโซนที่ต้องการความเงียบสงบ เป็น Lobby และ Co-Working Space อยู่ในพื้นที่เดียวกัน ส่วนชั้น 7 – 8 จะเป็น Fitness กับ Yoga area และมีสระว่ายน้ำที่ชั้นดาดฟ้า เป็นโซน Sport Active เหมาะกับคนชอบออกกำลังกายครับ

Facilities แรกจะเริ่มที่ชั้น 2 เป็น High Ceiling Lobby และ Co-Working Space ซึ่งตำแหน่งจะอยู่ทางด้านหน้าโครงการ และมีพื้นที่ส่วนหนึ่งเป็นฝ้าเพดานสูงขึ้นมาจนถึงชั้น 3 ซึ่งหลายคนอาจจะสงสัยว่าทำไม Lobby ซึ่งเป็นพื้นที่รับแขกของโครงการนี้จึงมาอยู่ที่ชั้น 2 นั่นเป็นเพราะโครงการนี้ต้องการเน้นความเป็นส่วนตัว ด้วยจำนวนห้องพักเพียง 64 ยูนิต ซึ่งน้อยคนนักที่จะมีแขกภายนอกมาหากันบ่อยๆ รวมถึงต้องการรวมพื้นที่ร่วมกับ Co-Working Space ที่อาจมีการใช้งานที่บ่อยกว่า ก็จะทำให้กลายเป็นว่าได้พื้นที่ใช้งานขนาดใหญ่ขึ้นนั่นเอง

แต่แปลนชั้น 2 จะไม่มีการกั้นประตูเพื่อแยกโซนส่วนกลางกับโซนพักอาศัยออกจากกัน ทำให้คนในชั้นอื่นมาสามารถมาในชั้นนี้ได้ เพราะไม่ได้จำกัดการเข้าถึงส่วนพักอาศัยและส่วนกลางไว้ โดยเฉพาะตำแหน่งห้อง 01 ที่อยู่ติดกับส่วนกลางนั่นเองครับ ส่วนชั้นที่ 3 ก็จะมีห้องเพิ่มขึ้นมาอีก 1 ห้อง กลายเป็น 11 ยูนิต ซึ่งจะมีความเป็นส่วนตัวสูงกว่าเพราะไม่มี Facilities ที่ชั้นนี้นั่นเอง

ขึ้นมาที่ชั้น 4 กันต่อ ชั้นนี้จะเป็นชั้นพักอาศัยทั้งหมด และมีจำนวน 12 ยูนิต โดยโครงการนี้มีการวางผังอาคารดูเรียบง่ายแต่ก็ค่อนข้างน่าสนใจ จากภาพผมจะมีกรอบเอาไว้ให้ 3 สี ซึ่งจะอธิบายได้ดังต่อไปนี้

  • กรอบสีน้ำเงิน เป็นห้องแบบตอนลึกที่กันหน้าไปทางทิศเหนือซึ่งแดดไม่ร้อน และยังได้วิวที่เปิดโล่งของแปลงที่ดินว่างเปล่าข้างๆ(ในปัจจุบัน) โดยห้องที่ผมตีกรอบจะเป็นห้องริมสุด ซึ่งจะมีความเป็นส่วนตัวสูง เพราะมีผนังติดกับห้องอื่นแค่ด้านเดียว และอยู่ในตำแหน่งที่เพื่อนบ้านห้องอื่นๆจะไม่ต้องเดินผ่านหน้าห้องเราอีกด้วย
  • กรอบสีแดง เป็นห้อง type เล็ก แต่เป็นแบบห้องหน้ากว้าง และยังเป็นห้องมุมเหมือนกันอีกด้วย เพียงแต่ตำแหน่งนี้จะไม่อยู่ติดกับห้องใดๆเลย นอกจากบันไดหนีไฟ จึงทำให้มีความเป็นส่วนตัวสูงมากๆ แต่ก็แลกมากับต้องเดินไกลจากลิฟต์มากกว่าเพื่อนหน่อยนะครับ
  • กรอบสีเขียว เป็นตำแหน่งที่ค่อนข้างน่าสนใจ ถึงแม้จะอยู่ใกล้โถงลิฟต์ แต่ทางเข้าจะไปอยู่ตรงสุดทางเดินหลักของอีกด้านซ้ายมือ จึงทำให้มีความเป็นส่วนตัวบริเวณหน้าห้องสูง และผังห้องยังมีการนำด้านฟังก์ชันครัวมาไว้ติดกับฝั่งโถงลิฟต์ ซึ่งเป็นจุดที่ต้องมีเสียงจากภายนอกเข้ามาแน่ๆครับ นั่นหมายความว่า “ครัว” จะทำหน้าที่กันเสียงให้เราได้อีกชั้นหนึ่ง ไม่ให้เข้าไปรบกวนพื้นที่พักผ่อนภายในที่ต้องการความเงียบสงบได้นั่นเอง

ขั้นมาที่ชั้น 5  ซึ่งจะมีความพิเศษตรงที่มี type ห้องแบบ Loft อยู่ด้วย โดยจะอยู่ทางฝั่งทิศใต้ของอาคาร หันหน้าไปทางโฮมออฟฟิศสูง 6 ชั้น ดังนั้นห้องของชั้นนี้อาจจะยังถูกบังวิวอยู่บ้างนะครับ ส่วนชั้น 6 จะมีแต่ห้อง 1 Bedroom แนวลึกแบบธรรมดา แต่ที่ไม่ธรรมดาคือชั้นนี้จะมีเพียง 8 ยูนิตเท่านั้น เพราะอีกด้านของตึกจะเป็นชั้นลอยของห้อง Loft ชั้นก่อนหน้านี้ ทางเดินจึงกลายเป็นผนังทึบ และได้โถงแบบ Single corridor จึงมีความเป็นส่วนตัวมากๆครับ

ขึ้นมาที่ชั้น 7 ชั้นนี้จะคล้ายกับชั้น 5 นะ เพราะมีห้อง Loft ด้านหนึ่งที่เหมือนกัน แต่ที่ไม่เหมือนกันคือระดับความสูงที่อาจจะมากกว่าโฮมออฟฟิศข้างเคียง ทำให้อาจไม่โดนบังวิวแล้วนั่นเองครับ และอีกสิ่งหนึ่งที่ต่างกันคือชั้นนี้ห้อง Loft จะหายไปห้องหนึ่ง กลายเป็นห้อง Fitness แทนนะ ซึ่งก็จะเหมือนๆกับชั้น 2 ที่ไม่มีประตูกั้นแยกส่วนพักอาศัยออกจากพื้นที่ส่วนกลาง ทำให้อาจมีความเป็นส่วนตัวลดน้อยลงไปบ้าง ดีหน่อยที่เพื่อนบ้านโครงการนี้ไม่เยอะมาก ชั้นนี้จึงอาจเหมาะกับคนที่ชอบใช้ส่วนกลางพวก Fitness เป็นประจำ เพราะจะทำให้สะดวกมากๆนั่นเองครับ

ส่วนชั้น 8 จะไม่มีห้องพักอาศัย แต่จะเป็นพื้นที่ชั้นลอยของห้อง Loft และมีส่วนกลางอย่าง Yoga area ที่สามารถเดินขึ้นบันไดมาจาก Fitness ที่อยู่ชั้นล่างได้เลย หรือจะเดินออกมาที่ชั้น 8 จากประตูด้านบนนี้ก็ได้ ด้านบนมีห้องน้ำแบบ Powder room นั่นหมายความว่าจะไม่สามารถอาบน้ำที่ส่วนกลางได้นะครับ ต้องไปอาบที่ห้องตัวเองแทนนะ และจะมีบันไดให้เดินขึ้นไปที่สระว่ายน้ำบนชั้นดาดฟ้าจากชั้นนี้ได้ครับ

ภาพจำลองบรรยากาศห้อง Double Space Fitness อย่างที่บอกไปแล้วว่าเป็นห้องฝ้าเพดานสูง ซึ่งชั้นล่างจะเป็น Fitness ส่วนชั้นลอยด้านบนจะเป็น Yoga area ครับ ผนังโดยรอบจะเป็นกระจกทรงสูง ทำให้เวลาออกกำลังกายไปก็สามารถ Take View ภายนอกไปได้ด้วยครับ

ขึ้นมาที่ชั้นสุดท้ายกันแล้วซึ่งเป็นชั้นดาดฟ้า ด้านบนจะเป็นสระว่ายน้ำขนาด 5.75 x 17.4 เมตร มีพื้นที่ต้นสระให้นั่งพักผ่อนได้เล็กน้อย ซึ่งจะจัดเป็นสวนและต้นไม้สีเขียวเอาไว้เพื่อความสดชื่นครับ

จากภาพโมเดลที่ชั้นบนสุดที่เป็นสระว่ายน้ำ จะกินพื้นที่แค่ส่วนหนึ่งของชั้นดาดฟ้าเท่านั้นนะครับ โดยด้านหนึ่งจะเป็นผนังกระจก ทำให้สามารถว่ายน้ำไปก็จะมองวิวภายนอกไปได้ด้วย ส่วนผนังอีกด้านหนึ่งที่เป็นปล่องลิฟต์กับงานระบบ ก็จะมีการปลูกแนวต้นไม้ช่วยบังสายตา ทำให้ดูเรียบร้อยและสดชื่นมากขึ้น รวมถึงมีพื้นที่สวนเล็กๆให้นั่งเล่นพักผ่อนด้านบนกันได้อีกด้วย

ภาพจำลองบรรยากาศสระว่ายน้ำบนชั้นดาดฟ้า เราสามารถนั่งพักผ่อนที่ daybedแล้วมองวิวโดยรอบไปได้ และถ้าของจริงมีการปลูกไม้ยืนต้นแบบในภาพก็จะทำให้ส่วนกลางดูร่มรื่น สวยงาม และน่าใช้งานมากขึ้นอีกด้วยครับ

สุดท้ายที่อยากให้ดูคือด้านหลังของโมเดล ซึ่งก่อนหน้านี้เราได้เห็นด้านหน้ากันไปแล้ว จะพบว่าทั้งด้านหน้าและด้านหลังในส่วนที่เป็นห้องพักอาศัยจะเป็นผนังทึบแบบนี้ทั้งหมดครับ เพราะว่าทั้ง 2 ด้านเป็นทิศตะวันออกกับตะวันตก ซึ่งอาจจะมีแดดส่องเข้ามาภายในห้องจากหน้าต่าง ทำให้ห้องร้อนได้ โครงการเลยตัดปัญหาทำเป็นผนังทึบซะเลย แลกกับห้องมุมของโครงการนี้ก็จะ Take View ได้เพียงด้านเดียวแบบปกติเท่านั้นครับ

สรุปสิ่งอำนวยความสะดวก

  • สวนหย่อมที่ชั้น 1
  • High Ceiling Lobby ชั้น 2
  • Co-Working Space ชั้น 2
  • Double Space Fitness ชั้น 7
  • Yoga area ชั้น 7
  • สระว่ายน้ำระบบ เกลือ ขนาด 5.75 x 17.4 เมตร ลึก 1.20 เมตร
  • ลิฟต์โดยสาร 1 ตัว/อาคาร
  • อัตราส่วนลิฟต์รวมทั้งโครงการ 64 :  1
  • ที่จอดรถประมาณ 23 คันคิดเป็น 35% (ถ้ารวมจอดซ้อนคัน คิดเป็น 50%)
  • ระบบรักษาความปลอดภัยในโครงการ  CCTV / เจ้าหน้าที่ ร.ป.ภ. 24 ชม. / ลิฟต์ล็อคชั้น

แบบห้อง

มาถึงเรื่องห้องพักกันแล้วนะครับ โดยโครงการนี้จะมีห้องอยู่ทั้งหมด 3 แบบ มีทั้งขายแบบ Fully Furnished และ Fully Fitted (ที่เป็นโปรโมชั่น) ส่วนพวกเครื่องใช้ไฟฟ้าจะได้เฉพาะเครื่องปรับอากาศ 2 ตัว โครงสร้างทั้งภายในและภายนอกเป็นผนังก่ออิฐมวลเบาทั้งหมด โดยมีแบบห้องดังนี้

  • 1 Bedroom ขนาด  24.28 – 24.50 ตร.ม.
  • 1 Bedroom ขนาด 28.20 – 28.62 ตร.ม.
  • Duo Space (Loft) ขนาด 24.28 – 24.50 ตร.ม.

ส่วนห้องตัวอย่างที่ทางโครงการมีให้ดูนั้นจะมีแค่แบบเดียวคือ ห้อง 1 Bedroom ขนาด 28.20 ตารางเมตร ซึ่งเป็นห้องมาตรฐานที่มีจำนวนมากที่สุดในโครงการ จะเป็นอย่างไรเราไปชมกันเลยครับ

ห้อง 1 Bedroom ขนาด 28.20 ตารางเมตร เป็นห้องแบบตอนลึกที่กั้นห้องด้วยประตูกระจกบานเลื่อนเพื่อความโปร่งโล่งของห้อง และแบ่งฟังก์ชันการใช้งานออกเป็น 2 ส่วน โดยทางด้านซ้ายจะเป็นส่วนพักผ่อน และทางด้านขวาจะเป็นส่วนของพื้นที่ใช้งาน เมื่อเข้ามาในห้องจะเจอกับ Common area ก่อน ประกอบด้วยพื้นที่นั่งเล่นและโต๊ะทานอาหารแบบ 2 ที่นั่ง ซึ่งอยู่ติดกับห้องนอนที่กั้นด้วยประตูกระจกบานเลื่อน โดยจากแปลนเราจะเห็นได้ชัดเจนว่าห้องนอนนี้ค่อนข้างให้ความสำคัญกับพื้นที่แต่งตัวมากกว่าพื้นที่รอบเตียงที่มีแบบพอดีตัวเท่านั้นครับ

ส่วนฝั่งขวาของห้องที่เป็นส่วนใช้งานนั้นจะมีพื้นที่อเนกประสงค์คั่นอยู่ตรงกลาง เพื่อเป็นตัวแจกไปยังฟังก์ชันต่างๆ ประกอบด้วยส่วนของห้องน้ำที่จะอยู่ติดกับด้านหน้าห้อง ซึ่งอาจไม่ค่อยสะดวกสำหรับห้องนอนนักนะครับ เพราะต้องเดินผ่านพื้นที่ common area มาก่อนอีกที ส่วนห้องครัวก็จะถูกกั้นด้วยประตูกระจกแยกออกเป็นสัดส่วน ซึ่งนอกจากจะได้ความโปร่งโล่งแล้ว ยังทำให้ได้ครัวปิด และทำอาหารได้จริงจัง สามารถเปิดประตูระเบียงเพื่อระบายอากาศก็ได้ครับ ห้องนี้เหมาะกับการอยู่อาศัย 1 – 2 คน เน้นความโปร่งโล่งของพื้นที่และสามารถทำอาหารได้จริงจังครับ

ก่อนจะเข้าไปดูในห้อง ทางโครงการจะมี Digital Door Lock ที่จะติดตั้งให้ดูด้วยนะ เป็นของยี่ห้อ Yale ซึ่งจะรองรับการตั้งระหัสผ่านและการใช้ระบบ Key Card ซึ่งจุดที่น่าสนใจคือเค้าจะมี Key Card ให้ถึง 3 แบบครับ

  • แบบที่ 1 คือ Key Card แบบสี่เหลี่ยมธรรมดาทั่วไป
  • แบบที่ 2 คือ Wristband หรือแบบสายรัดข้อมือ เหมาะสำหรับคนที่กำลังจะไปออกกำลังกายแล้วไม่อยากพกของพะรุงพะรังครับ
  • แบบที่ 3 คือ Mini Key Card ขนาดเล็ก ที่สามารถนำไปติดกับโทรศัพท์ได้ เพราะยังไงทุกๆคนก็ต้องพกโทรศัพท์ติดตัวกันอยู่แล้ว จะทำให้สะดวกมากขึ้นครับ

และเมื่อเราเปิดประตูเข้ามาในห้อง เราก็จะเจอกับพื้นที่ Common area ที่โปร่งโล่งแบบนี้ครับ กั้นห้องด้วยประตูกระจกจึงทำให้ด้านหน้าห้องได้รับแสงธรรมชาติจากหน้าต่างด้านในได้ด้วย พื้นห้องปูด้วยพื้นกระเบื้องยางไวนิลลายไม้ ที่นอกจากจะทำให้ห้องดูอบอุ่นและเป็นธรรมชาติแล้ว ยังทนน้ำและความชื้นได้ดีกว่าพื้นไม้ลามิเนตอีกด้วย (สนใจอ่านบทความเรื่องพื้นทั้ง 2 ประเภทของผม คลิก) ส่วนความสูงจากพื้นถึงฝ้าจะอยู่ที่ 2.4 m. ครับ

เริ่มกันที่พื้นที่นั่งเล่น จะมีระยะห่างจากทีวีประมาณ 2.15 m. สามารถใช้ทีวีขนาดประมาณ 40 – 46 นิ้วได้ครับ โดยพื้นที่ด้านหน้าจะมีเหลือไม่มากนัก ถ้าจะวางโต๊ะกลางหน้าโซฟาอาจจะต้องใช้เป็นโต๊ะที่โปร่งๆหน่อย และต้องมีขนาดไม่ใหญ่มาก จะได้ไม่เกะกะพื้นที่ทางเดิน และตำแหน่งที่ควรวางก็อาจต้องขยับมาทางด้านซ้ายเพื่อให้พ้นระยะเปิดประตูห้องหน่อยนะ หรือจะวางไว้ด้านข้างโซฟาเพื่อไว้วางของเล็กๆน้อยๆก็ได้ครับ

ชั้นวางทีวีทางโครงการจะ Built in มาให้แบบในห้องตัวอย่างเลยครับ ยกเว้นชั้นวางของลอยตัวทางด้านซ้ายนะ ด้านล่างก็สามารถเก็บของได้พอสมควร ซึ่งถ้าใครติดเป็นทีวีแขวนผนังแทนการวางบนตู้ ก็จะทำให้สามารถวางของได้เยอะกว่านี้ครับ ส่วนด้านบนยังพอมีพื้นที่ว่างใต้แอร์นิดหน่อย พอให้ทำชั้นวางของได้เพิ่มอีกสักชั้นครับ แต่ไม่ควรติดเป็นตู้ใหญ่ๆนะ เพราะจะบังทิศทางลมของแอร์นั่นเอง

ตู้ทางด้านขวานี้เราก็จะได้แบบนี้นะครับ ชั้นบนสามารถเก็บของได้เยอะเลย ส่วนชั้นล่างก็เอาไว้เก็บพวกรองเท้าได้นะ ช่วยแก้ปัญหาเรื่องไม่มีพื้นที่เก็บรองเท้าของคอนโดได้ดี เพียงแต่ตู้นี้ดูจะเก็บรองเท้าได้น้อยไปหน่อย อาจจะต้องกินพื้นที่มาที่ชั้นเก็บของด้านบน ซึ่งเราสามารถเก็บคู่ที่ไม่ค่อยใช้ได้ อันที่ใช้บ่อยๆซึ่งจะสกปรกหรือมีกลิ่นก็เก็บไว้ด้านล่างแบบปกติ หรือไม่ก็ต้องไปเก็บไว้ที่ใต้ชั้นวางทีวีแทนครับ

ฝั่งตรงข้ามเป็นโซฟาแบบ 2 ที่นั่งนะครับ ซึ่งเราก็จะได้แบบนี้เลย ที่เราจะไม่ได้ก็คือโต๊ะกลางกับตู้ด้านข้างโซฟาครับ ซึ่งถ้าไม่มีตู้นี้เราก็จะมีพื้นที่ข้างโซฟาเพิ่มเติมพอที่จะขยายโซฟาเป็นแบบ 3 ที่นั่งได้นะครับ จะได้นอนดูทีวีได้สบายๆเลยนะ ส่วนโซฟานี้ก็ยกให้ผมหรือพี่โอ๋ก็ได้นะ ^^

ถัดเข้ามาภายในห้องจะเป็นพื้นที่โต๊ะทานอาหาร ซึ่งทางโครงการจะให้มาแบบ 2 ที่นั่ง หันหน้าเข้ามุมแบบนี้ (แต่อาจไม่ได้ชุดแบบห้องตัวอย่างนะครับ ลองสอบถามโครงการดูอีกที) ซึ่งในความเป็นจริงถ้าเราอยู่กันแบบ 2 คน โต๊ะแค่นี้อาจไม่พอนะ เราสามารถขยายโต๊ะให้ใหญ่ขึ้นได้ เป็นพวกโต๊ะพับที่ปรับขยายได้ก็ได้ครับ จะได้มีที่วางกับข้าวได้เยอะๆ นั่งกินกันได้สบายๆ

ติดกันเป็นประตูกระจกบานเลื่อนแบบ 3 ตอน ซึ่งสามารถเปิดออกได้กว้างถึง 1.5 m. เวลาไม่ใช้งานก็สามาถเปิดค้างทิ้งไว้ได้ ทำให้พื้นที่ห้องดูเชื่อมต่อถึงกันกลายเป็นพื้นที่ขนาดใหญ่ที่โปร่งโล่งได้ครับ แต่ถ้าเราจะนอนหรือมีแขกมา เราก็สามารถกั้นแยกเพื่อความเป็นสัดส่วนและประหยัดพื้นที่แอร์ได้ รวมถึงสามารถติดม่านหรือประจกฝ้าเพื่อเพิ่มความเป็นส่วนตัวได้อีกด้วย

กรอบประตูเป็นอลูมิเนียมสีดำ กระจกเป็นแบบใสธรรมดานะ แต่ที่ผมชอบคือรางด้านล่าง ถึงแม้ว่าจะเป็นบานเลื่อน 3 ตอน แต่ก็มีรางขนาดเล็กเท่า 2 ตอนที่จำเป็นต้องใช้งานเท่านั้น แล้วยังใช้รางแบบหลังเต่าที่ค่อนข้างโค้งมน ไม่มีร่องกว้างหรือลึก ทำให้เวลาเดินจะไม่ค่อยสะดุด หรือเวลาเหยียบก็จะรู้สึกสบายเท้า ไม่เจ็บ และไม่ค่อยเก็บฝุ่นอีกด้วยครับ

ภายในห้องนอนจะมีขนาดพื้นที่ใช้งานแบบพอดีๆ แต่จะมีพื้นที่ด้านหน้าห้องค่อนข้างกว้างทำให้ไม่รู้สึกอึดอัดจนเกินไป ซึ่งเฟอร์นิเจอร์ Built in ในห้องนี้เราจะได้ทั้งหมดตามนี้เลยครับ จะมีอะไรบ้างเราลองมาดูกัน

ทางด้านซ้ายเป็นตู้เสื้อผ้า หน้าบานด้านหนึ่งเป็นกระจกเงาเอาไว้ส่องแต่งตัวได้ ในตู้ก็มีพื้นที่เก็บของเพียงพอสำหรับการอยู่อาศัย 1 – 2 คนครับ

พื้นที่แต่งตัวหน้าตู้ก็กว้าง สามารถยืนแต่งตัวทางด้านซ้าย และนั่งแต่งหน้าที่โต๊ะเครื่องแป้งทางด้านขวาอีกคนไปพร้อมๆกันได้สบายๆ ซึ่งสามารถหาเก้าอี้มาวางเพิ่มเติมได้นะครับ

ปลายเตียงเค้าจะติดโต๊ะเครื่องแป้งพร้อมกระจกเงา(กว้างแค่บนโต๊ะเท่านั้นนะ) ที่ผนังมาให้แบบนี้เลยนะครับ ส่วนแอร์นั้นอาจมีการขยับจากตำแหน่งในภาพมาอยู่ตรงกลางห้องให้มากขึ้น และจะมีพวกปลั๊กกับสายเคเบิ้ลทีวีติดตั้งมาให้เผื่อติดทีวีที่ผนังได้ครับ ซึ่งผนังภายในห้องนี้ก็จะเป็นผนังก่ออิฐมวลเบาเหมือนภายนอก มีความแข็งแรงทนทานครับ

คราวนี้เรามาดูเรื่องระยะโดยรอบเตียงกันบ้างนะ โครงการนี้จะวางเตียงไว้ชิดฝั่งหน้าต่าง ซึ่งจะเว้นไว้ให้พอเลื่อนเปิด-ปิดม่านเท่านั้น เตียงเค้าจะให้มาแบบนี้เลย ด้านล่างมีลิ้นชักเปิดเก็บของได้ แต่โต๊ะข้างเตียงฝั่งซ้ายเราจะไม่ได้นะครับ ซึ่งจะทำให้เราสามารถเลื่อนเตียงให้มาชิดตู้เสื้อผ้าได้อีก 40 cm. และทำให้สามารถขึ้นลงเตียงจากทั้ง 2 ฝั่งได้ก็จริง เพราะปลายเตียงก็มีระยะประมาณ 40 cm. พอให้แทรกๆตัวผ่านได้

แต่ต้องระวังเรื่องการใช้งานหน่อย โดยเฉพาะตรงโต๊ะเครื่องแป้งที่เค้าติดให้ที่ปลายเตียง จากห้องตัวอย่างถ้าเลื่อนเตียงไปชิดหน้าต่างแล้ว ก็พอจะมีระยะห่างจากมุมเตียงกับมุมโต๊ะเครื่องแป้งประมาณ 30 cm. พอให้คนตัวเล็กๆแทรกตัวด้านข้างผ่านไปได้เท่านั้น ซึ่งถ้าเราเลื่อนเตียงมาชิดตู้เสื้อผ้าอย่างที่บอกไปก่อนหน้านี้ ก็จะกลายเป็นว่าจะไม่มีพื้นที่ให้เดินผ่านไปได้เลยครับ แนะนำว่าให้ย้ายตำแหน่งของโต๊ะเครื่องแป้งให้ขยับมาทางด้านขวาอีกหน่อย แต่ก็ไม่ควรขยับมาจนชิดประตูกระจกบานเลื่อนมากเกินไปนะครับ เพราะจะทำให้ขวางการเข้า-ออกห้องนอนได้

หน้าต่างให้ค่อนข้างกว้างนะครับ มีช่องบานกระทุ้งถึง 2 บาน ทำให้เปิดระบายอากาศได้ โดยกระจกที่อยู่ติดกับภายนอกเราจะได้เป็นกระจกเขียวตัดแสงอีกด้วยนะ

มองย้อนกลับไปที่หน้าห้อง จะเห็นพื้นที่เชื่อมต่อกันดีค่อนข้างโปร่งโล่ง และต่อไปเราจะไปดูฟังก์ชันอีกด้านหนึ่งของห้องทางซ้ายกันบ้างครับ

ตรงกลางห้องจะมีพื้นที่อเนกประสงค์กว้างประมาณ 1.3 m. เราสามารถ Built ตู้เพื่อเพิ่มพื้นที่เก็บของได้ ซึ่งอาจเป็นตู้เสื้อผ้าหรือโต๊ะเครื่องแป้งก็ได้นะครับ ออกมาจากห้องน้ำก็จะได้แต่งตัวได้เลยโดยที่ไม่ต้องเข้าไปในห้องนอน

ทางด้านขวาเป็นห้องน้ำ ภายในมีการแยกพื้นที่ส่วนเปียกส่วนแห้งชัดเจน ซึ่งเราจะได้ทุกอย่างที่เห็นตามนี้ยกเว้นของตกแต่ง โดยสุขภัณฑ์ทั้งหมดจะเป็นของ American Standard พื้นที่ส่วนแห้งจะมีขนาดประมาณ 1.3 x 1.4 m. ส่วนฝ้าเพดานของจริงจะมีพัดลมดูดอากาศให้นะครับ เพราะห้องนี้ไม่มีหน้าต่างที่อยู่ติดกับภายนอก

อ่างล้างหน้าจะมีขอบไว้วางของเล็กๆน้อยๆด้านบน และมีการ Built ตู้ไม้ปิดงานระบบที่อยู่ด้านล่าง ดูเรียบร้อยดีครับ ซึ่งจะมีพื้นที่ไว้วางของได้อีกเล็กน้อย

ส่วนโถสุขภัณฑ์ก็จะอยู่ติดกันทางด้านขวา มีพื้นที่ใช้งานได้สะดวกไม่อึดอัด ติดตั้งมาพร้อมกับสายฉีดชำระและที่แขวนกระดาษชำระแล้วเรียบร้อย

ฉากกั้นอาบน้ำจะได้เป็นแบบบานเลื่อน 3 ตอน ซึ่งจะไม่ใช่กระจกแต่เป็นพลาสติกใสแทนนะครับ ข้อดีคือมีน้ำหนักเบาและไม่แตกให้เป็นอันตรายอีกด้วย

พื้นที่อาบน้ำมีขนาดประมาณ 80 x 90 cm. ซึ่งสามารถใช้งานได้แบบพอดีตัว และประตูก็เป็นแบบบานเลื่อน จึงไม่กินพื้นที่เวลาเปิดเหมือนแบบบานสวิงครับ นอกจากนี้ยังมีพื้นที่ส่วนหนึ่งเว้าเข้าไปในผนังด้านข้างช่องงานระบบ ซึ่งทางโครงการได้ก่อเป็นชั้นวางของเอาไว้ให้ ขนาดประมาณ 20 x 30 cm.  เอาไว้วางพวกสบู่หรือแชมพูได้ ซึ่งหากใครวางของไม่พอก็สามารถติดตั้งวางเพิ่มเติมได้นะครับ

ภายใน Shower box จะติดตั้ง Hand Shower มาให้ ก๊อกน้ำเป็นแบบก้านโยก เวลามือลื่นๆก็ยังใช้งานได้สะดวกอยู่ รวมถึงด้านบนของจริงจะมี Junction box ไว้สำหรับติดตั้งเครื่องทำน้ำอุ่นมาให้ด้วยครับ

ฝั่งตรงข้ามห้องน้ำเป็นห้องครัวที่กั้นด้วยประตูกระจกบานเลื่อนแบบ 3 ตอน ซึ่งนอกจากจะทำให้ห้องดูโปร่งโล่งแล้ว แสงสว่างส่องเข้ามาถึงบริเวณหน้าห้องน้ำทำให้ไม่มืดได้แล้ว ยังสามารถเลื่อนเปิดออกได้กว้างถึง 70 cm. ทำให้ขนของได้สะดวก และปิดกั้นแยกส่วนเป็นครัวปิด ให้สามารถทำอาหารได้อย่างจริงจังอีกด้วย

ภายในครัวมีขนาดไม่ใหญ่มากครับ ระยะจากผนังถึงขอบตู้กว้างประมาณ 70 cm. พอที่จะทำอาหารได้แบบพอดีๆ พื้นเปลี่ยนจากกระเบื้องยางไวนิลเป็นพื้นกระเบื้องแกรนิตโต้ ทำให้สามารถเปียกน้ำและเช็ดทำความสะอาดได้ง่าย พื้นที่ทางขวามือส่วนแรกจะเป็นที่วางตู้เย็น ขนาดประมาณ 70 x 60 cm. โดยยังมีพื้นที่ด้านบนเหลือสามารถทำตู้เก็บของเพิ่มเติม หรือจะวางของบนตู้เย็น และใช้ตู้เย็นทรงสูงได้ครับ

ตู้ด้านบนจะสามารถเก็บของได้พอสมควรครับ ซึ่งด้านในจะมีช่องหนึ่งที่มีท่อดูดอากาศต่อออกไปสู่ภายนอก จึงมีพื้นที่ด้านข้างให้เก็บของได้อยู่เล็กน้อย หน้าบานติดโช๊คป้องกันการกระแทกมาให้เรียบร้อย รวมถึงออกแบบที่เปิดแบบปาดมุมเพื่อให้ปิดได้สนิทและเรียบร้อยมากขึ้น ส่วนด้านข้างของตู้ก็จะทำเป็นชั้นวางของแบบไม่มีหน้าบานให้แบบในห้องตัวอย่างเลยครับ ซึ่งก็เอาไว้วางของที่ต้องผึ่งลมหรือใช้งานบ่อยๆได้นะ

เคาน์เตอร์ครัวได้เป็น Top หินสังเคราะห์สีดำแบบนี้ ซึ่งจะมีความแข็งแรงทนทานดีครับ พร้อมมี Backsplash เป็นกระเบื้องแกรนิตโต้สีดำเข้ากับตัวเคาน์เตอร์ แต่อาจไม่ได้เป็นลายแบบนี้นะครับ ติดตั้งอ่างล้างจานขนาด 40 x 50 cm. ลึก 15 cm. ของ Tecno มาให้ พร้อมเตาไฟฟ้าแบบ 2 หัว ยี่ห้อเดียวกัน และยังมีพื้นที่ให้ด้านข้างเหลือให้ประกอบอาหารอีก 80 cm. ครับ

ตู้ด้านล่างมีช่องเก็บของขนาดใหญ่ใต้อ่างล้างจาน ไว้เก็บพวกอุปกรณ์ทำครัวได้ พร้อมลิ้นชักไว้เก็บช้อนส้อมซึ่งจะมีถาดมาให้แบบนี้เลย มีช่องวางเครื่องไมโครเวฟก็จะอยู่ด้านล่าง ทำให้คนตัวเล็กๆก็สามารถใช้งานได้ เวลาหยิบของร้อนออกจากเตาจะได้ไม่อันตราย รวมถึงมีช่องสำหรับวางเครื่องซักผ้าแบบฝาหน้าอยู่ทางซ้ายอีกด้วยครับ ซึ่งทางโครงการจะต่อท่องานระบบต่างๆเอาไว้ให้เรียบร้อยแล้ว

ส่วนสุดท้ายเป็นประตูกระจกบานเลื่อนแบบ 3 ตอน ที่เปิดออกไปใช้งานระเบียงภายนอกได้ โดยจะมีพื้นที่ใช้งานประมาณ 1.3 x 0.85 m. สามารถออกมายืนรับลมได้นะ เพียงแต่ Condensing unit ที่แขวนอยู่ด้านบนอาจต้องหากริลมาติดเพื่อดันลมร้อนออกไปด้านนอก ระเบียงจะได้ไม่ร้อนมากคับ

และมีข้อสังเกตอีกจุดหนึ่งคือ ระดับของพื้นห้องกับระเบียงจะต่างกันแค่ประมาณ 3 cm. ในขณะที่ขอบระเบียงด้านนอกสูง 5 cm. ซึ่งถ้าท่อระบายน้ำไม่ทำงานหรือระบายน้ำไม่ทัน น้ำก็อาจจะท่วมระเบียงและไหลเข้าสู่ตัวห้องได้ง่ายครับ (ซึ่งทางโครงการบอกว่าอาจมีการปรับแบบก่อสร้างโดยอาจก่อธรณีประตูให้สูงขึ้นอีกหน่อย อันนี้ต้องรอดูหน้างานของจริงนะครับว่าจะทำออกมาอย่างไร)

ส่วนแบบห้องอื่นๆของโครงการที่ไม่มีห้องตัวอย่างจะมีดังต่อไปนี้ครับ

ห้อง 1 Bedroom 24.28 – 24.50 ตร.ม. เป็นห้องขนาดเล็กสุดของโครงการ และได้เป็นห้องแบบหน้ากว้าง ซึ่งสามารถจัดฟังก์ชันได้ค่อนข้างลงตัวมากขึ้น มีจุดที่แตกต่างกับห้อง 28 ตารางเมตร โดยเริ่มจาก Common area คือโต๊ะทานอาหารจะสามารถวางเก้าอี้ได้แค่ตัวเดียว แต่ถ้าต้องการนั่งแบบ 2 ที่นั่ง อีกคนก็อาจต้องนั่งบนโซฟาเอาครับ ซึ่งก็ต้องใช้โซฟาแบบไม่มีพนักพิงทางด้านข้างด้วยนะ ส่วนฝั่งทีวีก็จะไม่มีตู้รองเท้าแล้วครับ อาจต้องวางใต้ชั้นวางทีวีแทน และในห้องนอนก็จะเน้นใช้งานพื้นที่ปลายเตียงมากขึ้น จึงสามารถวางเตียงให้อยู่ในตำแหน่งกลางห้องและใช้งานขึ้น-ลงได้จากทั้ง 2 ด้านได้

ทางเข้าห้องน้ำจะอยู่ตรงกลางห้อง สะดวกสำหรับการใช้งานทุกฟังก์ชัน ส่วนห้องครัวจะได้เป็นครัวเปิดก็จริง แต่ก็สามารถกั้นห้องทำเป็นครัวปิดเพื่อทำอาหารจริงจังได้ครับ เพียงแต่พื้นครัวจะไม่ได้เป็นพื้นกระเบื้องแกรนิตโต้แบบห้องที่แล้วนะ แต่พื้นกระเบื้องยางไวนิลก็สามารถทนน้ำหรือความชื้นได้ในระดับหนึ่งอยู่ครับ ห้องนี้เหมาะกับการอยู่อาศัย 1 – 2 คน ซึ่งอาจชอบรูปแบบห้องหน้ากว้าง และต้องการพื้นที่ใช้สอยไม่เยอะมากเท่าห้อง 28 ตารางเมตร แต่ยังมีฟังก์ชันหลักๆครบ และมีราคาที่ถูกกว่า โดยส่วนต่างของราคาห้องหลักแสนบาทนี้สามารถนำมาตกแต่งห้องเพิ่มเติมได้อีกด้วยนะครับ

ห้อง Duo Space (Loft) 24.28 – 24.50 ตร.ม. โดย Type นี้ถือเป็นจุดเด่นของโครงการซึ่งยังไม่มีโครงการไหนในทำเลนี้ทำมาก่อน ขนาดพื้นที่ในโฉนดที่เราได้จะเป็นไปตามพื้นที่ชั้นล่างคือ 24.28 – 24.50 ตร.ม. แต่สำหรับห้องนี้เราจะได้ชั้นลอยเพิ่มอีกประมาณ 10 ตร.ม. ทำให้ห้องมีพื้นที่ใช้สอยจริงประมาณ 34 ตร.ม. ครับ ซึ่งพื้นที่ชั้นลอยนั้นจะถือว่าเป็นหนึ่งในโครงสร้างเฟอร์นิเจอร์ที่เพิ่มเข้ามา ไม่ได้เป็นพื้นที่ใช้สอยจริงตามกฏหมายครับ (แต่ขึ้นไปใช้งานได้ครับ)

ฟังก์ชันต่างๆ เริ่มกันที่ชั้นล่างเข้ามาจะเจอครัวก่อน ซึ่งมีการกั้นพื้นที่ทำเป็นครัวปิดเอาไว้ให้เรียบร้อย สามารถทำอาหารได้นะ เพียงแต่ว่าจะไม่ได้อยู่ติดกับระเบียงเหมือนห้องอื่นๆ ที่จะเปิดประตูระเบียงเพื่อระบายอากาศได้เต็มที่ และเมื่อเข้ามาด้านในจะเป็น Common area แบบฝ้าเพดานสูง 4.3 m. ซึ่งแน่นอนว่าอาจจะต้องเปลืองแอร์มากกว่าห้องแบบปกติแน่นอนครับ โดยเราสามารถวางโต๊ะทานอาหารไว้หลังโซฟา ทำให้กินข้าวไปและดูทีวีไปได้ด้วย ส่วนห้องน้ำก็จะอยู่ที่ชั้นล่าง ทำให้คนด้านล่างสามารถใช้งานได้สะดวก แต่จะไม่สะดวกสำหรับการลุกมาเข้าห้องนอนตอนดึก หรือแม้แต่จะอาบน้ำแต่งตัวก็จะต้องเดินขึ้น-ลง 2 ชั้นแบบนี้ครับ

ขึ้นมาที่ชั้นลอยจะเป็นพื้นที่สำหรับวางเตียงนอนได้แบบพอดีๆ และมีพื้นที่ส่วนหนึ่งทำเป็น Walk in closet ได้ ซึ่งห้องนี้จะเหมาะกับคนที่ชอบห้องสไตล์นี้โดยเฉพาะ ได้มีฝ้าเพดานสูงที่มีกระจกทรงสูงจากพื้นถึงฝ้า เน้นพื้นที่โปร่งโล่งเชื่อมต่อกันทั้งห้องแบบนี้

**รายละเอียดของวัสดุต่างๆเช่น ยี่ห้อ และรุ่น ของจริงอาจจะเป็นรุ่นนี้หรือเทียบเท่านะครับ

ราคา

ราคาและเงื่อนไขการขาย @ 9 May 2019

  • 1 Bedroom 24.28 – 24.50 ตร.ม. ราคา(โปรโมชั่น) เริ่มต้น 1.99 ล้านบาท
  • 1 Bedroom 28.20 – 28.62 ตร.ม. ราคาเริ่มต้น 2.39 ล้านบาท
  • Duo Space (Loft) 24.28 – 24.50 ตร.ม. ราคาเริ่มต้น 3.1 ล้านบาท

  • รูปแบบการขาย Fully Furnished / Fully Fitted (โปรโมชั่น)
  • ความสูงจากพื้นถึงฝ้าเพดานห้องปกติ 2.40 เมตร และห้อง Loft 4.3 m.
  • Kitchen & Sink / ท็อปหินสังเคราะห์
  • Hob & Hood / ของยี่ห้อ Tecno
  • จอง 9,000 บาท
  • ทำสัญญา ห้องปกติ 50,000 บาท, ห้อง Loft 70,000 บาท
  • ดาวน์ % ผ่อนดาวน์ n/a งวด
  • ค่ากองทุน 500 บาท/ตร.ม.
  • ค่าส่วนกลาง 50 บาท/ตร.ม./เดือน

**ราคาที่เอามาลงในบทความเป็นราคา ณ วันที่เข้าไปเก็บข้อมูลทำรีวิว ดังนั้นราคาต่างๆอาจมีการเปลี่ยนแปลงได้ครับ

บทสรุป

ทำเล : โครงการ THE COLLECT รัชดา 32 ตั้งอยู่ในซอยรัชดาภิเษก 36 แยก 19-1 ซึ่งเป็นซอยย่อยของซอยรัชดาภิเษก 32 อีกทีหนึ่ง เป็นทำเลทางลัดเลี่ยงรถติดที่สามารถเข้า-ออกได้หลายเส้นทาง อีกทั้งยังมีความอุดมสมบูรณ์ในพื้นที่สูง มีร้านค้าร้านอาหารมากมาย มีคอมมูนิตี้มอลล์อยู่ใกล้ๆ และยังมีสถานศึกษาอย่าง ม.ราชภัฏจันทรเกษม ตั้งอยู่อีกด้วย ที่สำคัญคือเป็นทำเลที่อยู่ไม่ไกลจากแหล่งงานอย่างห้าแยกลาดพร้าว แยกรัชโยธิน หรือรัชดา-พระราม 9 ซึ่งเต็มไปด้วยอาคารสำนักงานต่างๆมากมาย และถึงแม้ว่าโดยรอบจะมีความคึกคักมากขนาดนี้ แต่กลับกันทำเลที่ตั้งโครงการในซอยย่อยนั้นกลับเงียบสงบ เหมาะแก่การอยู่อาศัยมากกว่าครับ

การเดินทางโดยใช้รถ : ทำเลย่านลาดพร้าวตอนต้นจะมีถนนเชื่อมต่อกันได้หลายเส้นทาง ไม่ว่าจะเป็นถนนรัชดาภิเษกที่ไปเชื่อมต่อกับถนนลาดพร้าว-วังหิน ซึ่งจะไปออกถนนเสนานิคม ถนนพหลโยธิน และถนนประเสริฐมนูกิจได้ หรือจะเชื่อมต่อไปยังถนนโชคชัย 4 เพื่อไปออกถนนลาดพร้าวและถนนเลียบด่วนรามอินทราก็ได้อีกเช่นกัน แน่นอนว่าสามารถไปใช้งานทางด่วนรามอินทรา-อาจณรงค์ได้ในระยะทางประมาณ 7.3 km. หรือจะไปขึ้นทางยกระดับอุตราภิมุขที่ด้านหลังเซ็นทรัลในระยะ 5.5 m. ก็ได้อีกด้วย เพียงแต่ที่จอดรถของโครงการนั้นให้มาค่อนข้างน้อยไปหน่อย ประมาณ 23 คัน คิดเป็น 35% (ถ้ารวมจอดซ้อนคัน คิดเป็น 50%)

การเดินทางโดยไม่ใช้รถ : ก็ค่อนข้างมีตัวเลือกอยู่พอสมควร ซอยรัชดาภิเษก 32 ถือเป็นซอยใหญ่ที่มีทั้งวินมอไซค์และรถแท็กซี่วิ่งผ่าน แต่อาจต้องเดินออกมาหน้าปากซอยสักประมาณ 210 m. นะครับ ส่วนบริเวณแยกรัชดา-ลาดพร้าว จะมีทั้ง MRT สายสีน้ำเงิน สถานีลาดพร้าว ให้ใช้กันอยู่ในปัจจุบัน และในอนาคตจะมีรถไฟฟ้า MRT สายสีเหลือง (ลาดพร้าว-สำโรง) สถานนีรัชดา ให้ใช้ในระยะประมาณ 1.8 km. แต่ก็เป็นระยะที่จะต้องต่อรถมาอีกต่อหนึ่ง ถือเป็นอีกหนึ่งตัวเลือกในการเดินทางเข้าเมืองที่สะดวกอีกหนึ่งเส้นทางครับ

การออกแบบอาคาร : ทำได้ค่อนข้างดีเลยทีเดียวโดยเฉพาะการวางผังห้องในแต่ละชั้น เพราะจะมีหลายห้องที่ผนังจะไม่ติดกับห้องอื่น จึงทำให้มีความเป็นส่วนตัวสูง และมีบางชั้นที่ได้โถงทางเดินแบบ Single Corridor อีกด้วย เพียงแต่ชั้นที่มี Facilities จะไม่มีการกั้นส่วนพักอาศัยกับพื้นที่ส่วนกลางแยกออกจากกัน ทำให้ห้องพักในชั้นนั้นอาจขาดความเป็นส่วนตัวไปได้ครับ โดยโครงการนี้มีจำนวนยูนิตเพียง 64 ห้องเท่านั้น ค่อนข้างมีความเป็นส่วนตัวมาก โดยวิวทางทิศเหนือซึ่งเป็นทิศที่ห้องพักส่วนใหญ่หันไปจะเป็นวิวที่เปิดโล่งอยู่ในปัจจุบัน และทางทิศใต้จะหันไปทางโฮมออฟฟิศสูง 6 ชั้นแทนครับ ส่วนทิศตะวันออกและตะวันตกที่อาจเป็นทิศที่โดนแดดร้อนนั้น ก็ได้ทำเป็นผนังทึบทั้งหมดซึ่งจะทำให้ห้องไม่ร้อน แต่ก็อาจสูญเสียเรื่องวิวและช่องเปิดไปบ้าง

การออกแบบห้องพัก :  โครงการนี้มีฟังก์ชันห้องที่ลงตัวและเป็นสัดส่วน ซึ่งจะเน้นหนักไปทางห้องขนาดกลางของโครงการ ที่เป็นห้องตอนลึกขนาด 28 ตารางเมตร โดยรวมถือว่าโอเคใช้งานได้จริงครับ เพียงแต่ในห้องนอนอาจมีการจัดวางเฟอร์นิเจอร์ที่ไม่ค่อยลงตัวมากนัก แต่ก็แก้ไขได้ไม่ยาก เพียงแค่เลื่อนตำแหน่งโต๊ะเครื่องแป้งมาหน่อยเท่านั้นเองครับ และห้องนี้ก็ยังเหมาะกับคนชอบทำอาหารจริงจังอีกด้วย ส่วนห้องขนาดเล็ก 24 ตารางเมตร ส่วนตัวผมค่อนข้างชอบมากกว่า เพราะได้เป็นห้องหน้ากว้างที่จัดวางฟังก์ชันได้ลงตัว แม้อาจจะต้องเสียพื้นที่ฟังก์ชันบางส่วนไปบ้าง แต่ก็เพียงพอสำหรับการอยู่อาศัย และยังช่วย save เงินในกระเป๋าไปได้ส่วนหนึ่งอีกด้วย

จุดเด่นของโครงการนี้คือห้อง Duo Space หรือแบบ Loft ที่ได้ฝ้าเพดานสูง 4.3 m. และมีพื้นที่ชั้นลอยให้ได้ใช้งานอีกด้วย ซึ่งห้องแบบนี้ ณ ปัจจุบันยังไม่มีโครงการไหนในพื้นที่ทำมาก่อน ซึ่งก็เหมาะกับคนที่ชอบความแปลกใหม่ และได้ฝ้ากับผนังกระจกแบบสูงโปร่งครับ ซึ่งการใช้งานก็อาจจะแปลกๆหน่อยที่ต้องเดินขึ้นๆลงๆ อันนี้ขึ้นอยู่กับ Lifestyle และความชอบส่วนตัวนะครับ

วัสดุ : ถือว่าให้มาค่อนข้างโอเค เหมาะสมกับราคาเลยครับ เริ่มจากผนังของโครงการนี้ทั้งหมดเป็นผนังก่ออิฐมวลเบาทั้งภายนอกและภายในห้อง พื้นห้องเป็นกระเบื้องยางไวนิล และให้พื้นครัวเป็นกระเบื้องแกรนิตโต้(สำหรับห้อง type 28 ตารางเมตร) กรอบประตูหน้าต่างเป็นอลูมิเนียมสีดำ กระจกในห้องเป็นใสธรรมดา และกระจกภายนอกเป็นสีเขียวตัดแสง ชุดเฟอร์นิเจอร์ Built in จาก SB/Index หรือเทียบเท่า หน้าบานลายไม้ทั้งหมดค่อนข้างดูดี Top เคาน์เตอร์ครัวเป็นหินสังเคราะห์ พร้อม Blacksplash กระเบื้องแกรนิตโต้ อ่างล้างจานและ Hob&Hood ของ Tecno พร้อมสุขภัณฑ์ในห้องน้ำทั้งหมดของ American Standard และมีเครื่องปรับอากาศให้อีก 2 ตัว

สาธารณูปโภค : ให้มาค่อนข้างครบ และถือว่าเยอะเมื่อเทียบกับจำนวนยูนิตเพียง 64 ห้อง ชั้นแรกจะมีพื้นที่สวนเล็กๆอยู่ข้างอาคาร ชั้น 2 มี Lobby กับ Co-Working Space ส่วนชั้น 7 – 8 เป็น Double Space Fitness แบบฝ้าเพดานสูง ซึ่งชั้นลอยจะมี Yoga area อยู่ด้วย ส่วนชั้นดาดฟ้าก็จะเป็นสระว่ายน้ำขนาด 5.75 x 17.4 เมตร และมีอัตราส่วนลิฟต์อยู่ที่ 64 : 1 สามารถใช้งานสะดวกไม่หนาแน่น

Judgement

การให้คะแนน ให้แบบ Weight Average โดยมุ่งหาความคุ้มค่า เทียบกับราคาที่จ่ายไป โดยมีส่วนที่พิจารณาดังนี้

ทำเล 35%, การเดินทางโดยใช้รถ 15%, การเดินทางโดยไม่ใช้รถ 15%, วัสดุ 15%, การออกแบบ 10% และสาธารณูปโภค 10%

เทียบกับช่วงราคาเฉลี่ยแบบทั้งโครงการ AVG 88,000 บาท/ตร.ม., 9 May 2019

  • ทำเล 7.5/10 – โดยรอบค่อนข้างอุดมสมบูรณ์ ต้องเข้าซอยย่อย แต่ได้ความเงียบสงบมาแทน
  • เดินทางด้วยรถ 7.5/10 – เป็นทำเลทางลัด เข้า-ออกได้หลายเส้นทาง แต่ในซอยรถก็ติดพอสมควรในเวลาเร่งด่วน และมีที่จอดรถน้อยไปหน่อย
  • ไม่ใช้รถ 7.5/10 – สามารถเรียกวินมอไซค์และแท็กซี่ได้ ตอนนี้มี MRT สายสีน้ำเงิน อนาคตมีสายสีเหลืองให้เลือกใช้
  • วัสดุ 7.75/10 – Fully Furnished พร้อมอยู่ ให้วัสดุค่อนข้างดีเหมาะกับราคา
  • แบบ 8/10 – ยูนิตน้อยได้ความเป็นส่วนตัว มีห้องแบบ Loft ให้เลือก ฟังก์ชันห้องลงตัว
  • สาธารณูปโภค 8/10 – มีครบน่าใช้งาน และถือว่าให้มาเพียงพอเมื่อเทียบกับจำนวนยูนิต

  • MAIN CLASS
  • 7.64 / 10.00

BOTTOM LINE

THE COLLECT รัชดา 32 เหมาะกับคนที่กำลังมองหาคอนโดแถวย่านรัชดา-ลาดพร้าวที่มีความอุดมสมบูรณ์ หาของกินง่าย เน้นความเป็นส่วนตัว มีหลายแบบ มีห้องแบบ Loft ให้เลือก ราคาหยิบจับง่าย ส่วนกลางเพียงพอเมื่อเทียบกับจำนวนยูนิต มีงบประมาณระดับ 1.99 – 3.1 ล้าน หรือมีกำลังผ่อนประมาณ 14,000 – 22,000 บาท/เดือน