…ในที่สุดโครงการ The Reserve 61 Hideaway ก็สร้างเสร็จสมบูรณ์ และพร้อมที่จะให้เราได้เข้าชมกันแล้วนะครับ โดยโครงการนี้พี่ปั้นเคยไปรีวิวเอาไว้เมื่อ 4 ปีก่อน ซึ่งผมก็เคยได้เห็นภาพ Perspective มาแล้ว ก็รู้สึกว่ามันสวยมากจนอยากมาเห็นของจริงด้วยตาตัวเองสักที และในที่สุดเราก็ได้มารีวิวตึกเสร็จจริงๆซะอย่างงั้น ขอบอกเลยว่าสวยงามไม่ผิดหวังแน่นอน โดยผมก็ได้ไปสำรวจมาทุกซอกทุกมุม และสรุปจุดเด่นที่น่าสนใจมาให้ได้ดังนี้

  • ทำเลใจกลางย่านเอกมัย-ทองหล่อ หาของกินง่าย ปากซอยด้านหนึ่งเป็น Major เอกมัย และอีกด้านหนึ่งเป็นเวิ้งโบราณ ตัวโครงการจะตั้งอยู่ภายในซอยที่มีความเงียบสงบ เป็นส่วนตัว
  • พื้นที่ส่วนกลางมีความสวยงามร่มรื่น ให้พื้นที่สีเขียวมากว่า 2,900 ตร.ม. เปรียบเสมือนสวนหลังบ้านขนาดใหญ่ และเป็น Oasis ใจกลางเมือง ตกแต่งบรรยากาศสไตล์รีสอร์ท
  • เน้นห้องพักขนาดใหญ่ เหมาะกับการอยู่อาศัยเป็นครอบครัว ช่องแสงกระจกแบบ Full Height สูงจากพื้นถึงฝ้าเพดาน มีความโปร่งโล่ง และชมวิวได้ดี
  • ขายแบบ Fully Furnished ได้เฟอร์นิเจอร์จาก Olivia Living และยังให้วัสดุต่างๆมาเกรดค่อนข้างดี ทั้งหมดเป็นแบรนด์ชั้นนำระดับโลก (Villeroy & Boch / Gorenje)
  • ยูนิตน้อยมีความเป็นส่วนตัว และได้ที่จอดรถ 100%

ข้อมูลโครงการ

The Reserve 61 Hideaway (เดอะ รีเซิร์ฟ 61 ไฮด์อะเวย์) ณ วันที่ 25 ตุลาคม 2565

 ชื่อโครงการ  The Reserve 61 Hideaway (เดอะ รีเซิร์ฟ 61 ไฮด์อะเวย์)
 ชื่อผู้ประกอบการ  บริษัท พฤกษา เรียลเอสเตท จำกัด (มหาชน)
 SEGMENT CLASS  LUXURY – SUPER LUXURY CLASS (รายละเอียดของ Segment คอนโดปี 2021 )
 โครงการตั้งอยู่  ซอยสุขุมวิท 61 เขตวัฒนา
 ที่ดิน  3-2-60 ไร่
 ประเภทคอนโด  Low Rise 7 ชั้น 2 อาคาร + 3 ชั้นใต้ดินในอาคาร A และ 1 ชั้นใต้ดินในอาคาร B
 จำนวนยูนิต  155 ยูนิต (แบ่งเป็น อาคาร A = 78 ยูนิต / อาคาร B = 77 ยูนิต)
 ยูนิตต่อชั้นสูงสุด  14 ยูนิต ที่อาคาร A
 ที่จอดรถ  162 คัน คิดเป็น 100% (ไม่รวมจอดซ้อนคัน)
 เริ่มก่อสร้าง  ปี 2562
 สถานะปัจจุบัน  สร้างเสร็จพร้อมอยู่ ปี 2565
 ประเภทห้องพัก
    • 1 Bedroom ขนาด 48.42 – 64.6 ตร.ม.
    • 2 Bedrooms ขนาด 66.11 – 127.61 ตร.ม.
    • 3 Bedrooms ขนาด 132.22 – 158.8 ตร.ม.
    • Duplex 3 Bedrooms ขนาด 137.77 ตร.ม. (Sold Out)
    • Triplex 2 Bedrooms ขนาด 206.51 – 228.55 ตร.ม. (Sold Out)

 ฝ้าเพดานสูง  2.7 เมตร ในแบบห้องปกติ
 ราคาเริ่มต้น  12.9 ล้านบาท (Promotion)
 ราคาเฉลี่ยทั้งโครงการ ประมาณ 270,000 บาท/ตร.ม.
 เว็บไซต์โครงการ https://www.pruksa.com/thereserve/61-hideaway
 Call Center  1379

ทำเลที่ตั้ง

Highlights :

  • ตั้งอยู่ภายในซอยที่มีความเงียบสงบ เหมาะแก่การพักผ่อนและอยู่อาศัย
  • ใกล้สิ่งอำนวยความสะดวกใจกลางย่านเอกมัย-ทองหล่อ หาของกินง่าย
  • มีซอยให้ลัดเลาะออกได้ 2 เส้นทาง (ซ.สุขุมวิท 61 และ ซ.เอกมัย 1) สามารถใช้เลี่ยงรถติดบนถนนใหญ่ได้ดี
  • มีตัวเลือกในการเดินทางที่หลากหลาย ไม่ว่าจะเป็นรถไฟฟ้า BTS และยังใกล้ทางด่วนให้เข้าเมืองได้ 2 สาย

พิกัด Google Maps : 13.729782, 100.584210
หรือสามารถ :  คลิกที่นี่

The Reserve 61 Hideaway ตั้งอยู่ในซอยสุขุมวิท 61 ระหว่างซอยทองหล่อ (สุขุมวิท 55) และซอยเอกมัย (สุขุมวิท 63) ลึกเข้าไปจากหน้าปากซอยที่มี Major เอกมัย ตั้งอยู่ประมาณ 950 ม. และห่างจาก BTS เอกมัยประมาณ 1.1 กม. ซึ่งถือว่าไกลเกินระยะเดินได้ง่ายไปแล้วครับ แต่ทางโครงการก็มีเตรียมรถ Shuttle Service คอยบริการรับ-ส่งที่หน้าปากซอยไว้แล้วเรียบร้อย

จุดเด่นของทำเลโครงการนี้ก็คือ “บรรยากาศที่เป็นส่วนตัว และมีความเงียบสงบ” เหมาะสำหรับการพักผ่อนและอยู่อาศัย ด้วยความที่เป็นซอยสุขุมวิทฝั่งเลขคี่(บางซอย) จะมีลักษณะเป็นซอยตันที่มีเฉพาะ Residental Area อยู่ด้านในเท่านั้น และสำหรับซอยสุขุมวิท 61 ส่วนใหญ่ก็จะเป็นบ้านเดี่ยวหลังใหญ่ของคนมีฐานะในย่านเป็นหลัก จึงมีความเงียบสงบ แลกมากับความอุดมสมบูรณ์ที่อาจไม่ได้คึกคักเท่ากับซอยหลักอย่างเอกมัย- ทองหล่อ แต่ก็สามารถออกไปจับจ่ายใช้สอย หรือไปทานข้าวที่ร้านอาหารใกล้ๆนี้ได้ไม่ยากเลยครับ

ตัวโครงการจะสามารถเข้า-ออกได้ 2 ทางคือ

  1. ซอยสุขุมวิท 61 : เป็นซอยหลักที่สามารถไปออกถนนใหญ่สุขุมวิทได้ครับ ถือว่าเป็นเส้นทางหลักที่เราคงจะได้ใช้บ่อยๆ โดยมีระยะห่างจากปากซอยประมาณ 950 m. ซึ่งจุดเด่นของปากซอยนี้คือ เราสามารถเลือกเลี้ยวซ้ายไปทางอ่อนนุช หรือจะเลี้ยวขวาข้ามไปยังถนนฝั่งตรงข้ามเพื่อเข้าเมืองก็ได้
  2. ซอยเอกมัย 1 : เป็นอีกหนึ่งซอยที่เราสามารถใช้ลัดมาออกมายังซอยเอกมัยได้เลย ซึ่งจะมาโผล่ตรงแถวๆเวิ้งโบราณนั่นเองครับ มีระยะทางประมาณ 180 m. มักใช้เป็นทางลัดเลี่ยงรถติดบนถนนสุขุมวิทได้ดี โดยลัดเลาะผ่านซอยย่อยต่างๆด้านในแทน

ทางด่วนที่ใกล้ที่สุด :

Image 1/2
ทางด่วนที่ใกล้ที่สุดคือ ทางพิเศษฉลองรัช มีระยะห่างจากโครงการประมาณ 3.7 km. โดยเราสามารถมาตามเส้นทางบนถนนสุขุมวิทปกติก็ได้ หรือถ้าถนนใหญ่รถติดมากๆ ก็สามารถลัดเลาะมาตามซอยได้เหมือนกัน สามารถเข้าเมืองไปทางพระราม 9 - ลาดพร้าว - รามอินทราได้ครับ

ทางด่วนที่ใกล้ที่สุดคือ ทางพิเศษฉลองรัช มีระยะห่างจากโครงการประมาณ 3.7 km. โดยเราสามารถมาตามเส้นทางบนถนนสุขุมวิทปกติก็ได้ หรือถ้าถนนใหญ่รถติดมากๆ ก็สามารถลัดเลาะมาตามซอยได้เหมือนกัน สามารถเข้าเมืองไปทางพระราม 9 - ลาดพร้าว - รามอินทราได้ครับ

สภาพแวดล้อมรอบโครงการ

**รูปนี้จัดทำขึ้นเพื่อให้เห็นภาพรวมของโครงการแบบคร่าวๆไม่สามารถใช้อ้างอิงอย่างเป็นทางการได้

เนื่องจากเป็นทำเลในซอยจึงมีความเงียบสงบ และเป็นส่วนตัว เพราะไม่ค่อยมีรถขับผ่านไป-มา และแวดล้อมด้วยชุมชนแนวราบดั้งเดิม โดยมีโครงการคอนโดรุ่นพี่ที่เป็นเพื่อนบ้านอยู่ก่อนหน้านี้คือ The Reserve สุขุมวิท 61 นั่นเองครับ ส่วนทิศอื่นๆสามารถสรุปได้ดังนี้

  • ทิศเหนือ : ติดกับ ชุมชนบ้านพักอาศัย 1 – 2 ชั้น
  • ทิศใต้ : ติดกับ The Reserve สุขุมวิท 61 คอนโดสูง 7 ชั้น ซึ่งห้องที่หันมาด้านนี้ก็จะมองเห็นวิวพื้นที่ส่วนกลางของโครงการด้วยนะครับ
  • ทิศตะวันออก : ติดกับ ชุมชนบ้านพักอาศัย 1 – 2 ชั้น
  • ทิศตะวันตก : ติดกับ ชุมชนบ้านพักอาศัยสูง 1 – 3 ชั้น และมีอาคารพักอาศัยที่เพิ่งก่อสร้างใหม่สูง 7 – 8 ชั้นด้วยครับ

และนี่คือภาพบรรยากาศภายในซอยสุขุมวิท 61 ซึ่งจะมีความเงียบสงบดีทีเดียวครับ โดยบริเวณท้ายซอยด้านในสุดจะเป็นที่ตั้งคอนโด The Reserve ของพฤกษาทั้ง 2 โครงการนั่นเอง

เมื่อเข้ามาด้านในเราจะเจอกับโครงการรุ่นพี่อย่าง The Reserve สุขุมวิท 61 ก่อนนะ ส่วนโครงการใหม่ The Reserve 61 Hideaway จะอยู่ถัดเข้าไปด้านในทางขวามือครับ

และก่อนจะถึงซุ้มประตูทางเข้าโครงการ เราจะเจอทางเชื่อมเล็กๆกับซอยเอกมัย 1 ที่สามารถใช้ลัดไปออกซอยเอกมัยแถวๆเวิ้งโบราณ และยังใกล้กับ Donki Mall มากๆอีกด้วย ซึ่งจะเห็นได้ว่ามี Security Guard คอยดูแลความปลอดภัยอยู่หลายคนเลยทีเดียวนะ

โดยพี่ๆเค้าจะมีการสอบถามรถที่เข้า-ออกทุกคัน เพราะถ้าไม่ได้มีธุระจะมาติดต่อกับโครงการของ The Reserve ก็จะไม่สามารถผ่านเข้ามาได้ เพื่อความเป็นส่วนตัวและปลอดภัยในการพักอาศัยครับ

สถานที่สำคัญใกล้เคียงต่างๆ เช่น

ห้างสรรพสินค้า / ตลาด

  • Donki Mall ทองหล่อ ~ 400 m.
  • Big C เอกมัย ~ 450 m.
  • Major Cineplex เอกมัย ~ 950 m.
  • J Avenue Thonglor ~ 1.2 km.
  • Market Place ทองหล่อ ~ 1.4 km.
  • Gateway เอกมัย ~ 2.4 km.
  • W-District ~ 2.4 km.
  • Emporium / Emquartier ~ 3.5 km.
  • Summer Hill ~ 3.5 km.
  • Habito Mall ~ 3.6 km.

โรงพยาบาล

  • รพ.สุขุมวิท ~ 1.5 km.
  • รพ.สมิติเวช สุขุมวิท ~ 1.6 km.
  • รพ.คามิลเลียน ~ 1.7 km.
  • รพ.เทพธารินทร์ ~ 2.7 km.
  • รพ.กล้วยน้ำไท ~ 3.2 km.

โรงเรียน

  • รร.นานาชาติ St Andrews ~ 1.8 km.
  • รร.นานาชาติ Bangkok PREP (Primary Campus) ~ 2 km.
  • รร.พระแม่มารีพระโขนง ~ 2.2 km.
  • ม.กรุงเทพ (กล้วยน้ำไท) ~ 2.3 km.
  • รร.นานาชาติ Wells (Thonglo Campus) ~ 2.3 km.
  • รร.นานาชาติ St Andrews (Srivikorn Campus) ~ 2.7 km.

รายละเอียดโครงการ

Highlights :

  • ยูนิตน้อยเป็นส่วนตัว และได้ที่จอดรถ 100%
  • ส่วนกลางเยอะ บรรยากาศสไตล์รีสอร์ท สวยงามน่าใช้งาน
  • เน้นความร่มรื่นโดยให้พื้นที่สีเขียวมากว่า 2,900 ตร.ม. มีความเงียบสงบในทำเลใจกลางเมือง และให้บรรยากาศเหมือนเป็นสวนหลังบ้านขนาดใหญ่
  • วางผังอาคารให้โอบล้อมพื้นที่ส่วนกลาง ทำให้ห้องที่หันเข้ามาด้านในได้วิวสวนและสระว่ายน้ำสวยๆของโครงการ
  • มีการดีไซน์ให้ทุกฟังก์ชันของส่วนกลาง สามารถสัมผัสกับธรรมชาติของสวนตรงกลางได้ตลอดเวลา ไม่ว่าจะเป็นการมองเห็นพื้นที่สีเขียว หรือการได้ยินเสียงน้ำไหล

แบรนด์ The Reserve นับว่าเป็นหนึ่งในแบรนด์คอนโดระดับ Top ของทางพฤกษา ที่จะมีการออกแบบและเลือกใช้แต่วัสดุที่เรียกได้ว่าพรีเมี่ยมมากๆครับ และสำหรับโครงการ The Reserve 61 Hideaway ก็นับว่าเป็นคอนโดรุ่นน้องที่อยู่ติดกับ The Reserve Sukhumvit 61 ตัวรุ่นพี่ก่อนหน้านี้เลย

อีกทั้งยังมีสไตล์การออกแบบเป็น Modern Classic Luxury ที่คล้ายๆกันอีกด้วย เพียงแต่จะมีการลดทอนรายละเอียดลง เพื่อให้ตัวอาคารดูมีความทันสมัยมากขึ้น และยังเพิ่มคอนเซ็ปต์ Hideaway โดยเน้นเรื่องความเป็นส่วนตัว กับบรรยากาศส่วนกลางสไตล์ Pool Villa Resort เข้าไปด้วยครับ ซึ่งโครงการนี้ก็ได้มีการร่วมมือจากบริษัทออกแบบชั้นนำหลายเจ้าเลยทีเดียวนะ ประกอบด้วย

  • บ.สถาปนิก I’ll Design Studio : ออกแบบสถาปัตยกรรม Modern Classic
  • TROP : ออกแบบภูมิสถาปัตย์ Terrains + Open Space
  • PIA Interiror : ออกแบบและตกแต่งภายใน Concept : The Srapery Space + Classic Twist

โครงการ The Reserve 61 Hideaway เป็นคอนโด Low Rise 7 ชั้น 2 อาคาร และมีชั้นใต้ดิน 1 – 3 ชั้น โดยจะมีห้องพักอาศัยรวม 155 ยูนิต ถือว่าค่อนข้างน้อยและเป็นส่วนตัวมากๆ อีกทั้งยังให้พื้นที่ส่วนกลางมาเยอะถึง 2.3 ไร่ และมีพื้นที่สีเขียวรวมกว่า 2,900 ตร.ม. พร้อมกับที่จอดรถแบบ 100% ด้วยครับ

สำหรับ Master Plan ชั้นที่ 1 นอกจากจะเป็นชั้น Facilities หลักของโครงการอย่าง Lobby / Hideaway Garden และสระว่ายน้ำแล้ว ยังถูกจัดให้เป็นชั้นของยูนิตพิเศษอย่าง Duplex 3 Bedrooms และ Triplex 2 Bedrooms อีกด้วยนะครับ (ปัจจุบัน Sold Out เป็นที่เรียบร้อย) โดยยูนิตเหล่านี้ที่หันหน้าเข้ามาสระด้านในจะเป็นห้องแบบ Pool Access ส่วนยูนิตที่หันออกไปด้านนอกก็จะเป็นห้องแบบ Garden  Access นั่นเอง ถือได้ว่าจะเป็นจุดเด่นที่แตกต่างจากเพื่อนบ้านโดยรอบมากๆ

ซึ่งถึงแม้ว่าห้องพักเหล่านี้จะตั้งอยู่บนชั้น 1 และอยู่ติดกับพื้นที่ส่วนกลางเลยก็จริง แต่ก็เป็นตำแหน่งที่ค่อนข้างได้ความเป็นส่วนตัวนะครับ เพราะพื้นที่คอร์ดด้านในก็จะมีแค่คนที่มาว่ายน้ำจริงจังเท่านั้น ที่จะได้ผ่านไปตรงระเบียงห้องส่วนตัว ส่วนคอร์ดด้านนอกก็เป็นสวนเล็กๆ ที่ปกติก็อาจไม่ค่อยมีคนไปใช้งานบ่อยอยู่แล้วนั่นเอง จึงไม่แปลกใจเลยที่ตำแหน่งเหล่านี้จะได้รับความสนใจอย่างมาก และขายออกไปได้อย่างรวดเร็ว

เริ่มกันที่ทางเข้าหลักที่อยู่ด้านหน้าจะมีทั้งกล้อง CCTV และไม้กั้นกระดกระบบ Scan ป้ายทะเบียนรถ สำหรับลูกบ้านก็จะเปิดให้อัตโนมัติเลยครับ แต่ถ้าเป็น Visitor ก็จะต้องติดต่อกับเจ้าหน้าที่เพื่อแลกบัตรก่อนนะ

เมื่อผ่าน Gate หลักทางด้านหน้าเข้ามาแล้ว เราก็จะเจอกับ Drop Off ที่อยู่ใต้อาคาร A ทางซ้ายมือ สามารถวนรถรับ-ส่งคนบริเวณนี้ได้สะดวกเลยครับ

อีกทั้งยังเป็นการดีไซน์ช่องเปิดของอาคารให้มีขนาดใหญ่ เพื่อที่เวลาเราขับรถเข้า-ออกโครงการ ก็จะสามารถมองผ่านเข้าไปเห็นพื้นที่สีเขียวเป็นส่วนต้อนรับได้ตลอดเวลาเลยนั่นเองครับ

และเมื่อเราลงจากรถแล้วก็จะสามารถเดินเข้า Lobby ได้เลยนะ ส่วนรถคันนี้จะเป็น Shuttle Service บริการรับ-ส่งลูกบ้านไปยังบริเวณปากซอยสุขุวิท 61 หรือปากซอยเอกมัย 1 ได้ครับ (แต่ของจริงอาจไม่ได้จอดตรงนี้นะ วันนี้มาจอดโชว์ให้ดูเฉยๆ ซึ่งก็ดูเท่ดีไม่เบาเลย)

เข้ามาด้านใน Lobby ของอาคาร A ซึ่งเป็นส่วนต้อนรับหลักของทั้งลูกบ้านและแขกที่มาหา โดยจะมีชื่อเรียกอีกอย่างว่า Panoramic Lobby เพราะรอบๆจะเป็นผนังกระจกทั้งหมด จึงทำให้เราสามารถชมวิวพื้นที่สีเขียวภายนอกได้แบบ 180 องศาเลยครับ

เมื่อเราเดินเข้ามาด้านในก็จะเจอกับพื้นที่โซฟานั่งเล่น ที่เป็นแบบ Sunken ลดระดับลงไปเล็กน้อย ซึ่งจะทำให้คนที่มานั่งได้ใกล้ชิดกับธรรมชาติภายนอกมากขึ้น รวมถึงยังช่วยเพิ่มความเป็นส่วนตัว และไม่บังวิวคนที่เดินผ่านไป-มาด้านหน้าด้วยนะครับ

และถ้าเราเดินออกจาก Lobby มาทางซ้ายมือ ก็จะเจอกับพื้นที่ Semi-Outdoor ที่เราเห็นในตอนแรก ซึ่งสามารถเดินเชื่อมต่อไปยังพื้นที่ส่วนกลางหลักได้ด้วยนั่นเอง

ทางเดินทางด้านซ้ายมือจะเชื่อมต่อไปยังสระส่วนน้ำตื้น และสามารถมองเห็นพื้นที่ส่วนกลางด้านในนี้ได้เกือบทั้งหมดเลยครับ ถือเป็นอีกหนึ่งจุดชมวิวที่เป็น Highlight หลักของโครงการที่สวยมากๆ

และถ้าใครที่อยากมานั่งเล่นพักผ่อนริมสระสวยๆแบบนี้ ด้านซ้ายมือจะมี Day Bed ขนาดใหญ่ และมีระยะห่างจากกันพอสมควร จึงทำให้มีความเป็นส่วนตัวดีทีเดียวครับ

ซึ่งวิวที่มองเห็นก็จะไม่ได้เป็นสระว่ายน้ำแบบทั่วไปอย่างเดียว แต่จะเป็นพื้นที่สีเขียวที่อยู่ตรงกลางโครงการที่เรียกว่า Hideaway Garden จึงทำให้ได้ความสดชื่นสบายตามากๆเลย

รวมถึงเรายังสามารถมองเห็นตัวอาคาร ที่ออกแบบมาในสไตล์ Modern Classic Luxury ซึ่งได้มีการลดทอนรายละเอียดลงจากโครงการรุ่นพี่ก่อนหน้านี้ลงไปเยอะเลยครับ

โดยเฉพาะลวดลายของกรอบบานหน้าต่างและวงกบต่างๆ เพื่อทำให้ดูทันสมัยและสะอาดตามากขึ้น (เห็นว่าวัสดุกรุผนังนี้เป็นชนิดเดียวกันกับที่ใช้ใน White House ของสหรัฐอเมริกาอีกด้วยนะ)

ส่วนทางด้านขวาจะเป็น Lap Pool ที่สามารถว่ายออกกำลังกายได้จริงจัง โดยจะมีขนาดประมาณ 17 x 4.8 m. ซึ่งก็เป็นโซนน้ำล้นที่เรามองเห็นน้ำตกได้จาก Lobby ก่อนหน้านี้นั่นเองครับ

กลับมาตรงโถงด้านหน้าบริเวณข้าง Lobby กันอีกครั้ง ซึ่งจะมีบันไดให้สามารถเดินลงไปยังชั้นใต้ดิน หรือชั้น B1 ของส่วนกลางได้ครับ

เมื่อลงมาด้านล่างเราก็จะเจอกับพื้นที่สวนแบบกลางแจ้ง และพื้นที่อเนกประสงค์แบบ Semi-Outdoor ที่อยู่ใต้สระน้ำตื้นด้านบนก่อนหน้านี้

บริเวณนี้จะเรียกว่า Pool Lounge ซึ่งจะมี Counter+Sink สำหรับใช้เป็นพื้นที่จัดปาร์ตี้กันได้ โดยวิวที่เห็นก็จะเป็นสวนแบบขั้นบันไดที่ดูสดชื่น (ไม่ได้เป็นวิวสระว่ายน้ำเหมือนชื่อนะครับ ถ้าอยากได้วิวสระก็ต้องเดินขึ้นด้านบนแทนนะ)

ซ้ายมือจะเป็นโซนของ Private Massage Room ที่เราสามารถเรียกหมอนวดส่วนตัว มาคอยให้บริการตรงนี้ได้สบายๆ รวมถึงด้านนอกก็จะเป็นพื้นที่นั่งเล่น และพื้นที่นั่งพักคอยต่างๆได้ครับ

คราวนี้เราจะไปดูทางด้านขวากันบ้างครับ

โดยฟังก์ชันทางฝั่งนี้จะเป็นห้องน้ำแยกชาย-หญิง และจุดล้างตัวก่อนลงสระ รวมถึงถ้าใครมานั่งเล่น จัดปาร์ตี้ หรือมานวดอยู่ที่ชั้นนี้ ก็สามารถมาเข้าห้องน้ำตรงนี้ได้สะดวกเช่นกัน

อีกด้านหนึ่งของ Pool Lounge จะมีบันไดให้สามารถเดินขึ้นมายังสวน Hideaway Garden ที่อยู่ตรงกลางสระว่ายน้ำชั้น 1 ได้แบบนี้ครับ

ซึ่งจากสวนนี้ก็จะมีทั้งพื้นที่นั่งเล่น และบันไดทางเดินลงสระว่ายน้ำได้หลายจุดแบบนี้เลย เหมาะที่จะชวนเพื่อนๆมาจัดปาร์ตี้ริมสระ หรือมานั่งเล่นพักผ่อนมากๆครับ

นอกจากนี้ก็ยังมีพื้นที่นั่งเล่นแบบ Pocket แยกเป็นสัดส่วนอีกด้านหนึ่งด้วยนะครับ ซึ่งก็จะอยู่คนละระดับสายตากับ Day Bed บนชั้นสระก่อนหน้านี้ ทำให้ได้ความเป็นส่วนตัวในระดับหนึ่ง สอดคล้องกับชื่อคอนเซ็ปต์โครงการ Hideaway ที่พยายามจัดให้แต่ละโซน/แต่ละฟังก์ชัน มีความเป็นส่วนตัวจากกันมากที่สุดนั่นเองครับ

อีกทั้งต้นไม้ที่ปลูกเอาไว้เหล่านี้ นอกจากจะช่วยให้ร่มเงาและเพิ่มความสดชื่นแล้ว ก็ยังมีส่วนช่วยในการพรางสายตา และเพิ่มความเป็นส่วนตัวได้ดีอีกด้วยครับ (ซึ่งคนที่อยู่ด้านล่างและบนห้องพักอาศัยจะมองไม่ค่อยเห็นกันและกันนั่นเอง)

กลับเข้ามาใน Lobby อาคาร A อีกครั้ง ซึ่งอีกด้านหนึ่งจะเป็นทางเดินไปยังโถงลิฟต์ ห้องน้ำ และมีบันไดที่เดินเชื่อมต่อไปยัง Facilities ที่อยู่ในอาคารชั้นใต้ดินได้อีกด้วย

แปลนชั้น B1 จะเป็นชั้นใต้ดินที่มีทั้งพื้นที่จอดรถ และมี Main Facilities ให้ได้ใช้งานกันด้วยครับ โดยหลักๆก็จะอยู่ใต้อาคาร A ซึ่งเรียกว่า Wellness Retreat & Onsen เอาใจคนรักสุขภาพและชอบแช่ออนเซ็น/นวดสปาแบบสุดๆ รวมถึงจะมีโซนของ Pool Lounge ที่อยู่ตรงคอร์ดกลางที่เราพาไปดูกันก่อนหน้านี้แล้ว และถ้าใครต้องการจะติดต่อกับนิติบุคคล ก็สามารถลงมาได้ที่ชั้นนี้เช่นกันครับ

เมื่อลงบันไดลงมาจาก Looby ชั้น 1 ก็จะเจอกับพื้นที่อเนกประสงค์สำหรับนั่งพักผ่อนขนาดใหญ่ และถึงแม้ว่าจะอยู่ที่ชั้นใต้ดินแบบนี้ ก็ยังคงมีช่องแสงธรรมชาติขนาดใหญ่ ให้ได้มองเห็นน้ำล้นจากสระได้ตลอดเวลาเลยครับ

อีกด้านหนึ่งของห้องก็จะเป็นสำนักงานนิติบุคคล พร้อมกับมีห้องประชุมเล็กๆ 2 ห้องให้ได้มายืมใช้งานกันได้ด้วย

ส่วนฟังก์ชันหลักจริงๆของชั้นนี้คือ Wellness Retreat & Onsen โดยจะแบ่งโซนชาย-หญิงแยกออกจากกันชัดเจนคนละห้อง ซึ่งภายในจะมีขนาดพื้นที่ค่อนข้างใหญ่มาก และแน่นอนว่าการออกแบบยังคงคอนเซ็ปต์เดิมคือ ทุกพื้นที่ส่วนกลางจะต้องสามารถมองเห็นสวน/ธรรมชาติ ที่อยู่ตรงกลางโครงการได้ตลอดเวลาแบบนี้นั่นเองครับ

นอกจากนี้ทางดีไซน์เนอร์ก็ยังตกแต่งผนังให้เป็นลอนคลื่นแบบนี้ ซึ่งได้รับแรงบันดาลใจมาจากผ้าม่านที่มีความพริ้วไหว ทำให้มีความสวยงามและแปลกตาดีครับ

สำหรับฟังก์ชันภายในหลักๆจะประกอบด้วย อ่างล้างหน้า โถสุขภัณฑ์ ห้องอาบน้ำ พื้นที่แต่งตัว โต๊ะแต่งหน้า และตู้ล็อคเกอร์เป็นมาตรฐานทั้งชาย-หญิง รวมถึงยังมีบริการผ้าขนหนูให้ใช้เหมือนกับอยู่โรงแรมเลยอีกด้วยนะ

แต่ที่จะมีความแตกต่างกันเล็กน้อยก็คือ ของผู้หญิงจะได้เป็นฟังก์ชันห้อง Stream แบบนี้ครับ

ส่วนของผู้ชายจะเป็น Sauna และห้อง Massage Room ที่อยู่ติดกันก็จะมีเหมือนกันแบบนี้เลย ซึ่งเราก็สามารถเรียกช่างส่วนตัวจากภายนอกให้มาบริการที่นี่ได้เลย

สุดท้ายก็จะเป็นทีเด็ดของชั้นนี้ก็คือ Private Onsen ซึ่งคงเป็นที่ถูกอกถูกใจสายญี่ปุ่นแน่ๆครับ โดยด้านในจะมีที่นั่งอาบน้ำอยู่ตรงกลาง ให้เราได้ล้างทำความสะอาดร่างกายก่อนลงสระแบบนี้

ส่วนบ่อน้ำจะแยกออกเป็น 2 สระ (บ่อน้ำร้อน และบ่อน้ำเย็น) โดยวิธีการแช่ที่ได้ผลดีที่สุดคือ เราควรแช่บ่อน้ำร้อนก่อนแล้วจึงไปแช่บ่อน้ำเย็น ซึ่งจะช่วยทำให้การไหลเวียนของเลือดถูกกระตุ้น และสามารถผ่อนคลายความเมื่อยล้าได้ดี

ถัดมาจะเป็นส่วนของลานจอดรถนะครับ ซึ่งจากบริเวณ Drop-Off ในตอนแรก ก็จะมีทางลาดของรถลงมาด้านล่างแบบนี้

ด้านซ้ายมือเราจะเจอกับที่จอดรถ Visitor สำหรับแขกก็สามารถจอดรถตรงนี้ได้เลย ส่วนประตู Garage ที่เห็นทั้ง 2 ด้าน จะเป็นโรงจอดรถของห้อง Triplex 2 Bedrooms ที่เค้าจะมีโฉนดส่วนตัวแยกต่างหากแบบนี้ด้วยนั่นเอง

สำหรับที่จอดรถใต้ดินจะมีทางแยกออกไปใต้ 2 อาคารตรงนี้ครับ ซึ่งหลักๆแล้วก็จะเป็นการจอดที่อาคาร A เพราะมีเยอะถึง 3 ชั้น ส่วนของอาคาร B จะมีเพียงแค่ชั้นเดียวนะครับ

วันนี้เราจะพามาดูที่จอดรถของอาคาร B กันนะ ซึ่งจะมีความพิเศษตรงที่ช่องจอดจะมีขนาดใหญ่กว่าปกติ เหมาะสำหรับการจอดรถแบบ Super Car แต่ทางโครงการก็ไม่ได้ Fixed ที่เอาไว้นะครับ รถทั่วไปก็สามารถมาจอดได้เหมือนกัน (มาก่อนได้ก่อน) เพียงแต่ถ้าใครมีรถคันใหญ่ก็แนะนำให้มาจอดตรงนี้ จะได้ขึ้น-ลงรถสะดวกนั่นเอง

ส่วนบริเวณด้านในสุดจะเป็นช่องจอด EV Charger ทั้งหมด 5 เครื่อง 10 ช่องจอด ถ้าใครใช้รถพลังงานไฟฟ้าก็สามารถมาชาร์จไฟที่ตรงนี้ได้เลยครับ

และเมื่อจอดรถเสร็จก็จะสามารถขึ้นลิฟต์ตรงขึ้นไปยังชั้นพักอาศัยได้สะดวกเลย รวมถึงจะมีบันไดให้เดินเชื่อมต่อขึ้นไปยัง Main Hall ของอาคาร B ที่อยู่บนชั้น  1 ได้ด้วยครับ

สำหรับ Main Hall ส่วนนี้จะเป็นโถงกลางที่เชื่อมต่อฟังก์ชันต่างๆของอาคาร B ได้ครับ ไม่ว่าจะเป็นสระว่ายน้ำภายนอก โถงลิฟต์ และ Lobby ที่อยู่ด้านหลังผมนี้

เมื่อออกมาด้านนอกเราก็จะมาเจอสระว่ายน้ำอีกด้านหนึ่ง ที่ค่อนข้างเป็นส่วนตัวมากกว่าตอนแรก

ซึ่งสระทั้ง 2 ด้านนี้จะเป็น Lap Pool ที่สามารถว่ายออกกำลังกายได้จริงจัง โดยสระที่อยู่ทางขวามือจะมีขนาดประมาณ 32 x 5.5 m. ส่วนสระที่อยู่ตรงกลางจะมีขนาดประมาณ 35 x 4.2 m. ตามลำดับ เวลาใช้งานหลายคนพร้อมกันก็สามารถแยกกันใช้คนละสระได้เลยครับ หรือใครจะว่ายวนรอบก็จะมีความยาวทั้งหมดอยู่ที่ 84 m.

ส่วนทางซ้ายมือจะเป็น Jacuzzi ที่สามารถมานั่งแช่น้ำเล่นกันได้ ซึ่งจะหลบอยู่ในมุมอาคารเป็นส่วนตัวแบบนี้เลยครับ

กลับเข้ามาที่ด้านในอาคาร B อีกครั้ง ซึ่งอีกด้านของห้องจะมีทางเดินเชื่อมต่อไปยัง Lobby อาคาร B ตรงกลางจะเป็นพื้นที่นั่งเล่นขนาดใหญ่ และสามารถชมวิวพื้นที่สีเขียวเล็กๆที่อยู่ทางด้านหลังโครงการได้แบบนี้ครับ

ทางด้านซ้ายมือจะมีห้อง Meeting Room ที่กั้นด้วยผนังกระจกเพื่อความโปร่งโล่ง แต่ก็สามารถปิดม่านเพิ่มความเป็นส่วนตัวได้ครับ

ภายในจะแบ่งฟังก์ชันออกเป็น 2 โซนคือ โต๊ะขนาดใหญ่ที่สามารถคุยงานเป็นกลุ่มหลายคนแบบจริงจังได้ กับชุดเก้าอี้ชิลๆสำหรับพูดคุยสบายๆ

ส่วนอีกด้านหนึ่งของ Lobby จะเป็น Concierge by The Reserve room ที่ปัจจุบันจะมีบริการหลักๆอยู่ 4 อย่างดังนี้

  • บริการจองตั๋วเครื่องบิน/โรงแรม
  • ชำระค่าสาธารณูปโภค
  • ติดต่อร้านอาหาร-แม่บ้าน
  • บริการขนย้ายของเข้าบ้าน

กลับมาที่โถงบันไดซึ่งจะต้องใช้ระบบ Face Scan หรือใช้ Key Card Access ในการเข้า-ออก และขึ้น-ลงอาคารเพื่อความปลอดภัยครับ

แปลนชั้น 2 จะเป็นห้องพักอาศัยทั้งหมด ซึ่งเป็นชั้นที่ยูนิตค่อนข้างน้อยที่สุด (ประมาณ 11 – 13 ยูนิต/ชั้น) จึงมีความเป็นส่วนตัวสูงค่อนข้างสูง โดยห้องส่วนใหญ่ที่หันเข้ามาด้านในก็ยังคงเป็น Duplex 3 Bedrooms และ Triplex 2 Bedrooms ที่สูงต่อเนื่องมาจากชั้นแรกครับ ส่วนห้องที่หันออกไปรอบนอกก็จะเน้นห้อง 1 Bedroom เป็นหลัก

แปลนชั้น 3 เป็นอีกหนึ่งชั้นที่มี Facilities ให้ขึ้นมาใช้งานครับ อีกทั้งยังมีสะพานให้เดินเชื่อมถึงกันได้อีกด้วย ซึ่งจะช่วยให้การมาใช้งานส่วนกลางมีความสะดวกสบายมากขึ้น โดยอาคาร A จะเน้นเป็นพื้นที่นั่งเล่นและห้องประชุมที่มีความเงียบสงบ ส่วนอาคาร B จะเป็นห้อง Fitness ที่เน้นความ Active สำหรับสายออกกำลังกายครับ

สำหรับโซนห้องพักอาศัยก็จะอยู่แยกออกไปจากส่วนกลาง ซึ่งจะมีประตูกระจกกั้นเอาไว้เพื่อความเป็นส่วนตัวและปลอดภัย แต่จะมีอยู่เพียงห้องแค่โซนเดียวเท่านั้นของอาคาร A ที่จะอยู่ระหว่างเส้นทางของโถงลิฟต์และส่วนกลาง (กรอบสีแดง) จึงอาจมีความเป็นส่วนตัวลดลงอยู่บ้าง (…ทั้งนี้ลูกบ้านก็จะทราบได้ตั้งแต่ตอนเห็นแปลนแล้วครับ ซึ่งถ้าใครโอเคไม่ติดปัญหาเรื่องนี้เท่าไหร่ เราก็จะได้ห้องที่สามารถเดินไปใช้ส่วนกลางได้ง่ายๆ เหมือนเป็นส่วนหนึ่งของห้องในชั้นเดียวกันได้เลยทีเดียว)

เรามาเริ่มกันที่หน้าโถงลิฟต์ชั้น 3 ของอาคาร B กันก่อนนะครับ ซ้ายมือจะเป็นประตูกระจกที่กั้นโซนพักอาศัยออกไป ทำให้มีความเป็นส่วนตัวและปลอดภัย โดยจะมีระบบ Face Scan หรือใช้ Key Card Access สำหรับลูกบ้านที่พักอาศัยชั้นนี้เท่านั้นจึงจะเข้าไปได้ ส่วนทางด้านขวามือจะเป็นทางเดินไปยังพื้นที่ส่วนกลางและสะพานเชื่อมตึกครับ

โดยฟังก์ชันของอาคาร B จะเป็นห้อง Fitness ขนาดใหญ่ ซึ่งห้องกระจกเล็กๆทางซ้ายมือคือ Yoga Room ที่เราสามารถปิดประตูกั้น เพื่อใช้เป็นพื้นที่ออกกำลังกายแบบส่วนตัวได้เลยครับ

ถัดเข้ามาเราจะเจอกับเครื่องออกกำลังกายจาก Technogym ให้มีใช้งานหลายเครื่องเลยครับ โดยถ้าเป็นลู่วิ่งหรือเครื่องปั่นจักรยานที่ต้องใช้เวลาเบิร์นนานๆ เค้าก็จะวางเอาไว้ติดกับช่องหน้าต่าง ให้สามารถมองออกไปชมวิวภายนอกได้ด้วย (สามารถคลิกชมภาพอุปกรณ์ต่างๆได้จาก Gallery ด้านล่างนี้ได้เลยครับ)

Image 1/4

หรือถ้าวันไหนที่อากาศดีๆอย่างช่วงหน้าหนาวนี้ เราก็อาจเปิดประตูระเบียงเพื่อให้อากาศถ่ายเท และสามารถออกไปยืนชมวิวพักเหนื่อยด้านนอกได้ด้วย ซึ่งนี่เป็นการดีไซน์ที่เค้าตั้งใจให้ได้อารมณ์สบายๆเหมือนอยู่บ้านนั่นเองครับ

อีกด้านหนึ่งของห้องเป็นมุมที่ผมชอบมากๆ เพราะจะมีฟังก์ชันสิ่งอำนวยความสะดวกที่จำเป็นต่างๆให้ในห้อง Fitness นี้ครบเลยทีเดียว

โดยหลักๆก็จะมีตู้สำหรับกดน้ำดื่มอัตโนมัติ และมีห้องน้ำแบบ Powder Room แยกชาย-หญิงเอาไว้ให้เรียบร้อย ทำให้เราไม่ต้องเสียเวลาเดินไปเข้าห้องน้ำไกลๆเลยนั่นเอง

ถัดมาจะเป็นสะพานทางเชื่อมอาคารทั้ง 2 ซึ่งเค้าก็ได้ดีไซน์ออกมาในรูปแบบของ Glass House ที่นอกจากจะดูสวยงามดีแล้ว ยังช่วยป้องกันการเปียกฝน และสามารถมาใช้งานเป็นพื้นที่อเนกประสงค์ได้อีกด้วย

ตรงกลางจะมีโต๊ะเคาน์เตอร์หินอ่อน ที่เราอาจสามารถมานั่งทำงาน หรือจะมาจัดปาร์ตี้ทานอาหารร่วมกับเพื่อนๆก็ได้ โดยที่เค้าจะมี Sink ล้างจานเตรียมไว้ให้ใช้ล้างมือหรือภาชนะเล็กๆน้อยๆเอาไว้แล้ว

รวมถึงวิวของสะพานทางเชื่อมนี้ก็ยังสามารถมองเห็น สระว่ายน้ำเป็นแนวยาวได้แบบนี้อีกด้วยนะ

ข้ามมาที่ฝั่งอาคาร A จะเป็น The Reserve Lounge ซึ่งจะแบ่งพื้นที่นั่งเล่นและทำงานออกเป็นหลายๆโซน

เริ่มที่ห้องกระจกทางซ้ายมือจะเป็น Private Meeting Room ที่แบ่งออกเป็น 2 ห้องเล็กๆเป็นแบบชุดโซฟานั่งคุยสบายๆ กับชุดโต๊ะตัวใหญ่ให้นั่งประชุมกันได้แบบจริงจัง

แต่หากใครต้องการความเป็นส่วนตัวในใช้งานมากขึ้น ก็สามารถเลื่อนประตูมากั้นแยกได้นะครับ รวมถึงเค้ายังมี Projector ให้ยืมใช้สำหรับการประชุมได้อีกด้วย

อีกด้านหนึ่งของห้องก็จะเป็นโซนให้นั่งเล่นได้หลายจุดเลย เหมาะที่จะมานั่งทำงานอ่านหนังสือ หรือมาพบปะเพื่อนๆกันตรงนี้ได้ชิลๆครับ

และแน่นอนว่าเราก็สามารถเปิดประตู เพื่อออกไปสูดอากาศและชมวิวตรงระเบียงแบบนี้ได้เหมือนกับห้อง Fitness เลยครับ

แปลนชั้น 4 – 7 จะเป็นชั้นพักอาศัยแบบเต็ม Floor ซึ่งผมต้องขออธิบายก่อนว่า ในระหว่างที่โครงการเปิดขายเค้าจะมี Option ให้ลูกค้าสามารถเลือก Combine ห้องที่ซื้อติดกันให้กลายเป็นห้องใหญ่ห้องเดียวได้ด้วย ดังนั้นตอนนี้จึงมีห้องพักอาศัยรวมทั้งหมด 155 ยูนิต (จากเดิมคือ 164 ยูนิต) นั่นจึงทำให้โครงการนี้มีความเป็นส่วนตัวมากขึ้น และความหนาแน่นในบางชั้นก็อาจไม่เท่ากันนะครับ (แต่โดยพื้นฐานอาคาร A จะมีเพื่อนบ้านมากกว่าอยู่ที่ประมาณ 14 ยูนิต/ชั้น และอาคาร B คือ 11 ยูนิต/ชั้น)

อีกหนึ่งเรื่องที่อยากเล่าเพิ่มเติมก็คือ ผนังที่กั้นระหว่างยูนิตจะเป็นแบบ Double Wall ที่ก่อด้วยอิฐมวลเบา 2 ด้าน และมีการเว้น Air Gap หรือช่องอากาศไว้ตรงกลาง ซึ่งจะช่วยป้องกันเสียงรบจากเพื่อนบ้านห้องข้างๆได้ดี และเพิ่มความเป็นส่วนตัวในการอยู่อาศัยให้มากขึ้นได้ด้วยครับ

มาพูดถึงเรื่องการออกแบบกันบ้าง โดยอาคารทั้ง 2 จะวางผังให้โอบล้อมพื้นที่ส่วนกลางเอาไว้ จึงทำให้ห้องพักที่หันเข้ามาด้านในจะได้วิวสวยๆของสระและสวนสีเขียว ซึ่งส่วนใหญ่ก็จะเป็นห้องไซส์ใหญ่ และมีราคาค่อนข้างสูงอยู่เหมือนกัน ในขณะที่ห้องเล็กๆก็จะหันหน้ารับวิวด้านนอกโครงการแทน โดยจะมีตำแหน่งที่ผมคิดว่าน่าสนใจดังนี้

  • กรอบสีแดง : เป็นตำแหน่งห้อง 1 Bedroom เพียงห้องเดียวที่เราจะได้รับวิวพื้นที่ส่วนกลางด้านใน ถึงแม้จะโดนอาคาร A บังวิวไปบางส่วนบ้าง แต่ก็พอจะทำให้เราได้สัมผัสกับบรรยากาศของสายน้ำและธรรมชาติของโครงการ ซึ่งหากลองคูณราคาต่อตารางเมตรดูแล้ว ก็น่าจะเป็นห้องวิวด้านในที่มีราคาจับต้องได้ง่ายที่สุดด้วยครับ
  • กรอบสีน้ำเงิน : เป็นตำแหน่งห้อง 2 Bedrooms ไซส์เล็กสุดที่หันหน้าเข้ามารับวิวด้านในแบบเต็มๆ ซึ่งก็เป็นอีกหนึ่งห้องที่มีราคาจับต้องได้ง่ายกว่าห้องอื่นๆครับ
  • กรอบสีเขียว : เป็นตำแหน่งห้อง 2 Bedrooms ขนาดใหญ่ที่อยู่ตรงกลางโครงการพอดี จึงทำให้ได้รับวิวสวนและสระทั้งหมดได้สวยมากที่สุดเลยก็ว่าได้ (เป็นตำแหน่งเดียวกับห้องตัวอย่างเลยครับ)
  • กรอบสีชมพู : เป็นตำแหน่งห้อง 2 Bedrooms ที่ผนังไม่ติดกับใครเลยครับ ซึ่งจะอยู่ตรงสุดทางเดินและได้ความเป็นส่วนตัวที่สูงมากๆ

***อัพเดตสถานะการขาย (25/10/2565) ปัจจุบันโครงการนี้ขายไปแล้วประมาณ 90% ตอนนี้ก็เหลือตำแหน่งห้องให้เลือกอีกไม่มากแล้วนะครับ โดยจากการสอบถามห้องที่ได้วิวคอร์ดด้านในจะเหลืออยู่แค่ประมาณ 2 – 3 ห้องเท่านั้น ส่วนที่เหลือจะเป็นห้องไซส์เล็กทางฝั่งทิศตะวันตกเป็นหลัก ซึ่งหากใครสนใจก็ลองสอบถามรายละเอียดกับทางโครงการเพิ่มเติมได้เลยครับ

สรุปสิ่งอำนวยความสะดวก

Main Court (Outdoor) :

  • Pool Lounge พร้อม Counter+Sink สำหรับจัดปาร์ตี้
  • Private Massage Room
  • Hideaway Garden ขนาด 500 ตร.ม. และพื้นที่สีเขียวรวมทั้งโครงการกว่า 2,900 ตร.ม.
  • Infinite Pool (ลึก 1.2 m.) แบบ Endless Pool ความยาวผิวน้ำประมาณ 144 m. (แบ่งเป็นสระว่ายจริงจัง 3 ด้าน ยาวด้านละ 17 m. / 32 m. และ 35 m. สามารถว่ายได้รวม 84 m.)

Building A :

ชั้น 1

  • Panoramic Lobby

ชั้น B1

  • Wellness Retreat & Onsen
  • Massage Room
  • Sauna (ชาย)
  • Stream (หญิง)

ชั้น 3

  • The Reserve Lounge
  • Private Meeting Room (มี 2 ห้อง พร้อม Projector สำหรับการประชุม)

Building B :

ชั้น 1

  • Lobby
  • Meeting Room
  • Concierge by The Reserve room (ให้บริการจองตั๋วเครื่องบิน โรงแรม, ชำระค่าสาธารณูปโภค, ติดต่อร้านอาหาร-แม่บ้าน, บริการขนย้ายของเข้าบ้าน เป็นต้น)

ชั้น 3

  • Fitness Suite & Yoga Room
  • Pathway on 3rd เชื่อมต่อ 2 อาคาร รูปแบบ Glass House

 

  • ลิฟต์โดยสาร 2 ตัว/อาคาร
  • อัตราส่วนลิฟต์รวมทั้งโครงการ 39 :  1
  • อัตราส่วนลิฟต์ตึก A 39 : 1
  • อัตราส่วนลิฟต์ตึก B 38 : 1
  • ที่จอดรถ 162 คัน คิดเป็น 100% (ไม่รวมจอดซ้อนคัน)
  • บริการรถ Shuttle Service ไป-กลับบริเวณปากซอยสุขุมวิท 61
  • ระบบรักษาความปลอดภัยในโครงการ  CCTV / Key Card Access / Face Scan

 

แบบห้อง

Highlights :

  • เป็นห้องไซส์ใหญ่ มีขนาดพื้นที่ใช้สอยเยอะ ภายในห้องกว้างขวาง
  • ช่องแสงมีขนาดใหญ่แบบ Full Height สูงจากพื้นถึงฝ้าเพดาน 2.7. m. และได้กระจกทรงโค้งในตำแหน่งห้อง 2 Bedrooms
  • Fully Furnished จากแบรนด์ Olivia Living และยังให้วัสดุต่างๆมาเกรดค่อนข้างดี ทั้งหมดเป็นแบรนด์ชั้นนำระดับโลก

โครงการนี้จะมีแบบห้องให้เลือกหลายแบบ โดยก็จะเน้นเป็นห้องขนาดใหญ่ พื้นที่ใช้สอยเยอะ ซึ่งก็ได้รับการตอบรับค่อนข้างดีเลยนะครับ และถึงแม้ห้องยูนิตพิเศษต่างๆอย่าง Duplex หรือ Triplex Floor จะขายหมดไปแล้ว เพราะลูกค้าส่วนใหญ่เน้นอยู่อาศัยจริงจังแบบครอบครัว หรือไม่ก็จะเป็นชาวต่างชาติที่ชอบพื้นที่ห้องขนาดใหญ่แบบนี้ แต่ปัจจุบันก็ยังพอจะมีห้อง 1 – 3 Bedrooms แบบปกติให้เลือกอยู่นะครับ ประกอบด้วย

  • 1 Bedroom ขนาด 48.42 – 64.6 ตร.ม.
  • 2 Bedrooms ขนาด 66.11 – 127.61 ตร.ม.
  • 3 Bedrooms ขนาด 132.22 – 158.8 ตร.ม.

อีกหนึ่งความน่าสนใจคือ “การเลือกใช้วัสดุ” ที่ได้คัดสรรค์มาแต่ของแบรนด์ชั้นดี และเหมาะสมกับการใช้งานมาไว้ภายในห้อง ไม่ว่าจะเป็น Villeroy & Boch / Gorenje / Engineering Wood ปูรูปลาย Herringbone / กระเบื้องพอร์ซเลนลายหินธรรมชาติ / Top ครัวหิน Quartz คุณภาพ Food Grade / ผนังหินอ่อน Black Forest แบบต่อลาย เป็นต้น

รวมถึงยังมีรูปแบบการขายเป็นแบบ Fully Furnished จากแบรนด์ Olivia Living เหมือนห้องตัวอย่างอีกด้วยนะครับ ซึ่งทางเจ้าของผลิตภัณฑ์เค้าจะนำเฟอร์นิเจอร์ต่างๆมาลงให้ หลังจากที่เราได้ซื้อห้องและโอนรับมอบแล้วเรียบร้อย จึงทำให้เราจะได้ของใหม่แกะกล่อง เหมือนเพิ่งไปถอยมาจากร้านสดๆร้อนๆเลยนั่นเอง

สำหรับห้องตัวอย่างจะเป็น 2 Bedrooms ขนาด 121.36 ตร.ม. ที่เป็นห้องไซส์ใหญ่เลยนะครับ ซึ่งปัจจุบันจะเหลืออยู่เพียง 2 ยูนิตเท่านั้น (รวมห้องตัวอย่างนี้ด้วย) และมีราคาเริ่มต้นประมาณ 29 ล้านบาท

จุดเด่นของห้องนี้คือ Common Area ขนาดใหญ่ โดยจะได้เป็นฟังก์ชันครัวเปิดเพื่อความกว้างขวางและโปร่งโล่ง รวมถึงยังมีพื้นที่ส่วนโค้งที่ยื่นออกไปนอกอาคารที่เรียกว่า Hideaway Terrace ซึ่งนอกจากจะช่วยทำให้พื้นที่ใช้สอยภายในมีขนาดใหญ่มากขึ้นแล้ว ยังทำให้เราสามารถชมวิวได้กว้างมากขึ้น อีกทั้งยังมีห้องอเนกประสงค์ที่กั้นด้วยผนังกระจก และสามารถจัดฟังก์ชันได้หลากหลายตามต้องการได้ด้วย (เหมือนเราได้ห้อง 2 Bedrooms Plus เลยครับ)

ส่วนห้องนอนทั้ง 2 ก็จะอยู่แยกคนละด้านเป็นส่วนตัว พร้อมกับมีห้องน้ำในตัวที่ได้เป็นผนังกระจกแบบ Sexy Bath อีกด้วย จึงทำให้ได้ความโปร่งโล่ง และให้อารมณ์สไตล์รีสอร์ทที่ต่างจังหวัดเลยครับ เหมาะกับการอยู่อาศัยเป็นครอบครัวจริงจัง แบบมีลูกแค่คนเดียวและสามารถอยู่ได้ตั้งแต่เล็ก-โต รวมถึงต้องการพื้นที่ใช้สอยในแต่ละฟังก์ชัน ที่มีขนาดใหญ่ กว้างขวาง และโปร่งโล่งเป็นพิเศษแบบนี้ด้วยนั่นเองครับ

เริ่มกันที่ประตูหน้าห้องเราจะได้เป็นขนาด Oversize ที่สูงจากพื้นถึงฝ้า มาพร้อมกับ Digital Door Lock จาก Yale (รองรับ 5 ฟังก์ชัน Key Card / Finger Scan / Passcode / Bluetooth / กุญแจ)

อีกทั้งยังมีช่อง Mail Box สำหรับรับจดหมาย และบริเวณธรณีประตูก็จะมีพื้นต่างระดับ ที่จะช่วยป้องกันฝุ่นผงภายนอกโถงทางเดินไม่ให้เข้าไปในห้องได้อีกด้วยครับ

พื้นที่ส่วนแรกเมื่อเข้ามาคือ Foyer เป็นโถงต้อนรับบริเวณหน้าห้อง ซึ่งจะสามารถมองเข้ามาเห็นพื้นที่ส่วนกลางของห้องได้เกือบทั้งหมด จึงทำให้ได้บรรยากาศที่กว้างขวางและโปร่งโล่ง รวมถึงยังปูพื้นด้วยกระเบื้องพอร์ซเลนลายหินธรรมชาติ ที่หากเราใส่รองเท้าเข้ามาในห้อง ก็สามารถเช็ดทำความสะอาดได้ง่ายๆเลยครับ

ส่วนตรงผนังห้องจะมี Video Door  Phone ที่จะเชื่อมต่อกับเครื่องที่ติดอยู่ตรงหน้า Lobby เวลามีแขกมาหาก็จะสามารถพูดคุย และกดเปิดประตูให้เข้ามานั่งรอด้านในอาคารได้นั่นเองครับ

และประตูห้องที่อยู่ทางด้านซ้ายมือจะเป็น Laundry หรืออาจใช้เป็นห้องเก็บของก็ได้ (กว้าง 1.5 x 1.65 m.) ซึ่งทางโครงการก็จะ Built-in ตู้และชั้นวางมาให้แบบนี้ด้วยครับ

ต่อเนื่องมาจาก Foyer ก็จะเป็นส่วนของครัวเปิดแบบฝรั่ง ซึ่งจะทำให้ได้บรรยากาศที่โปร่งโล่งและกว้างขวางแบบนี้ โดยที่ความสูงของฝ้าตรงครัวจะเป็น 2.4 m. เนื่องจากอยู่บริเวณใต้แอร์แบบ Conceal Type ที่ฝังอยู่บนฝ้าเพดานพอดี

ส่วนถ้าเป็นโซนด้านในห้องฝ้าจะสูง 2.7 m. พร้อมกับพื้น Engineering Wood ที่ปูเป็นลาย Herringbone (หรือลายก้างปลา) ที่นอกจากจะมีความสวยงามแล้ว ยังสามารถป้องกันรอยขีดข่วนและความชื้นได้ดีอีกด้วยนะครับ

ครัวนี้จะมีโต๊ะ Island อยู่ตรงกลางด้วย โดยจะใช้วัสดุปิดผิวเป็นหินอ่อน Black Forest  แบบต่อลายสวยงาม ซึ่งคนที่ประกอบอาหารหรือล้างจานอยู่ ก็จะสามารถหันหน้าออกไปชมวิวภายนอกหน้าต่าง หรือมีปฏิสัมพันธ์ร่วมกับคนอื่นๆในห้องได้ด้วยนั่นเองครับ

Top ครัวเป็นหิน Quartz คุณภาพ Food Grade ที่เราสามารถใช้ประกอบอาหารแทนเขียงได้สบายๆ อีกทั้งยังมีการเพิ่มรายละเอียดเล็กๆน้อยๆ อย่างการเซาะร่องช่วยระบายน้ำได้ง่ายมากขึ้น ซึ่งเป็นดีไซน์จาก PIA Interiror ที่เป็นคนออกแบบและตกแต่งห้องของโครงการแห่งนี้นั่นเองครับ

ส่วนวัสดุอื่นๆที่โดดเด่นก็คือ Sink จาก Blanco ที่มาพร้อมกับเครื่องบดเศษอาหารที่ติดอยู่ข้างใต้อ่าง ก๊อกน้ำจาก Cotto เป็นแบบระบบสัมผัส และข้างๆกันก็จะมีที่คว่ำแก้วน้ำ (หรือจะเอาตะแกรงออก แล้วใส่น้ำแข็งกลายเป็นที่แช่เครื่องดื่มเล็กๆน้อยๆได้ด้วย) ส่วนช่องเก็บของข้างใต้ก็คือเยอะมากๆ ทั้งหมดเป็นระบบ Soft Close ช่วยลดแรงกระแทกได้เป็นอย่างดี

พื้นที่ทำครัวมีความกว้างประมาณ 1.25 m. เพียงพอที่จะสามารถยืนใช้งาน 2 ฝั่งพร้อมกันได้สบายๆ และยังคงปูด้วยกระเบื้องพอร์ชเลน ที่เราสามารถเช็ดทำความสะอาดได้ง่ายครับ

อีกด้านหนึ่งจะเป็นเคาน์เตอร์ครัวฝั่งทำอาหารจริงจัง ซึ่งเราจะได้ Built-in มาแบบนี้เลยครับ โดยเราจะได้ Hob&Hood จาก Gorenje / Top ครัวหิน Quartz / Backsplash กระจกสีชา และเตาอบจาก Gorenje by Starck ที่มีดีไซน์สวยงาม

นอกจากตู้ด้านล่างแล้ว ก็ยังมีตู้เก็บของด้านบนให้ใช้งานเพียงพอได้สบายๆ พิเศษหน่อยสำหรับตู้ทางด้านขวามือ ที่เราจะสามารถดึงชั้นวางของลงมาได้ด้วย ซึ่งจะทำให้การใช้งานสำหรับคุณผู้หญิงตัวเล็กๆสะดวกสบายมากขึ้นนั่นเอง

สำหรับวัสดุปิดผิวของหน้าบานตู้ด้านบนจะกรุด้วยกระจกสีชา ซึ่งดูสวยงามและหรูหราเข้ากับชุดเครื่องครัวจาก Gorenje ส่วนลิ้นชักด้านล่างจะกรุด้วยลามิเนต High Gloss แบบที่มี Texture ไม่ได้เป็นแบบมันเงาเหมือนทั่วไปนะครับ

ประตูทางด้านขวามือจะเป็นห้องน้ำ ที่ตอนแรกผมก็ดูไม่ค่อยออกเหมือนกันว่าเป็นห้องอะไร เพราะเค้าใช้บานประตูเหมือนกับห้องอื่นๆ เลยดูกลมกลืนและสวยงามดีทีเดียวครับ

ภายในเป็นห้องแบบ Powder Room สำหรับแขกและคนที่มาใช้งาน Common Area มีขนาดกว้างประมาณ 1 x 1.4 m. และได้สุขภัณฑ์จาก Vileroy & Boch เป็นมาตรฐานตามห้องตัวอย่างเลยครับ

อีกด้านจะเป็นอ่างล้างหน้าที่ Top เคาน์เตอร์จะเป็นหินอ่อน Black Forest พร้อมตู้เก็บของด้านล่าง และกระจกเงาที่มีชั้นวางของซ่อนอยู่ด้านหลังแบบนี้ด้วยครับ

ถัดเข้ามาด้านในจะเป็นพื้นที่นั่งเล่นดูทีวี มีระยะความกว้างอยู่ที่ประมาณ 4 m. สามารถใช้ทีวีขนาดใหญ่ 50 – 60 นิ้วได้สบายๆเลยครับ

แต่ข้อจำกัดอย่างหนึ่งของพื้นที่นี้ก็คือ ตำแหน่งของการวางทีวีจะไม่ค่อยตรง Center กับโซฟาเท่าไหร่นัก ซึ่งเราอาจต้องยอมวางทีวีให้พ้นระยะผนังออกมา หรือจะ Built-in เพิ่มเติมก็สามารถปรึกษากับทาง Designer ดูได้นะครับ

สำหรับเฟอร์นิเจอร์ส่วนนี้เราจะได้ทั้ง Sofa / Armchair / โต๊ะกลางอเนกประสงค์ และชั้นวางทีวี หน้าตาเหมือนกับในห้องตัวอย่างนี้เลยจาก Olivia Living

ติดกันจะเป็นช่องแสงหลักของห้องนี้ ซึ่งเป็นส่วนยื่นออกไปนอกอาคารที่เรียกว่า Hideaway Terrace โดยจะเป็นช่องแสงขนาดใหญ่แบบ Full Height ที่สูงจากพื้นถึงฝ้า พร้อมกับกระจกทรงโค้งที่ไม่มีเหลี่ยมมุมรบกวนสายตา จึงทำให้เราสามารถชมวิวได้อย่างเต็มที่และกว้างขวางมากขึ้น

ตัวกรอบบานเป็นอลูมิเนียม Powder Coat และใช้เป็นกระจก Euro Grey ที่ช่วยลดแสง/ลดความร้อน แถมยังช่วยลดการมองเห็นจากภายนอกได้ดี และเพิ่มความเป็นส่วนตัวให้กับคนที่พักอาศัยอยู่ในห้องได้มากขึ้น รวมถึงยังมีการเซาะร่องสำหรับใส่รางม่าน และซ่อนไฟ LED เพื่อความสวยงามไว้แบบนี้ให้อีกด้วย

ถัดมาจะเป็นห้องนอนที่อยู่ทางด้านขวาของห้อง ซึ่งจะมีผนังทึบกั้นแยกออกไปเป็นส่วนตัว

ภายในห้องก็ค่อนข้างกว้างขวางเลยทีเดียวครับ ขนาดประมาณ 3.2 x 4 m. สามารถวางเตียง King Size ได้สบายๆ โดยเราจะได้เฉพาะฐานเตียงและผนักพิงหัวเตียงนะ แต่สำหรับฟูกที่นอนก็สามารถหาซื้อได้ตามความชอบของแต่ละคน ส่วนเฟอร์นิเจอร์ลอยตัวอื่นๆอย่าง โต๊ะหัวเตียง+ชั้นวางทีวี เราก็จะได้มาทั้งเซ็ตเหมือนห้องตัวอย่างนี้เลยครับ

จุดเด่นอีกอย่างของห้องนอนเล็กนี้คือ “ระเบียงส่วนตัว” ที่เราสามารถออกไปยืนสูดอากาศและชมวิวภายนอกได้ โดยจะมีขนาดประมาณ 1.7 x 0.75 m. มาพร้อมกับราวกันตกแบบกระจกนิรภัย Tempered Glass ที่ช่วยให้มองวิวสวยๆได้ดีมากขึ้น

รวมถึงอีกด้านหนึ่งจะเป็นที่แขวน Condensing Unit ของเครื่องปรับอากาศทุกตัวในห้อง ซึ่งจะมีประตูระแนงกั้นปิดไว้เพื่อพรางสายตา ทำให้ดูเป็นระเบียบเรียบร้อย และเป็นสัดส่วนมากขึ้นครับ

ส่วนอีกด้านหนึ่งของห้องจะเป็นพื้นที่แต่งตัวและห้องน้ำ

เริ่มกันที่ Walk-in Closet กว้างประมาณ 80 cm. และจะมีการ Built-in ตู้เสื้อผ้ากระจกสีชา พร้อมซ่อนไฟ LED เพื่อความสวยงามและช่วยส่องสว่างมาให้แบบนี้ด้วย ซึ่งพื้นห้องตรงนี้ก็จะปูเป็นกระเบื้องพอร์ชเลน ที่เราสามารถเดินออกมาแต่งตัวจากห้องน้ำได้สบายๆ โดยไม่ต้องกลัวพื้นจะเปียกเลยครับ

ส่วนภายในห้องน้ำจะมีการแบ่งฟังก์ชันเป็นสัดส่วน แยกระกว่างพื้นที่ส่วนแห้งกับพื้นที่อาบน้ำมาให้แบบนี้แล้วครับ

เริ่มกันที่พื้นที่ส่วนแห้งด้านนอกจะมีขนาดประมาณ 1.35 x 0.9 m. และเราจะได้สุขภัณฑ์จาก Vileroy & Boch ครบเหมือนเดิม เพิ่มเติมในเรื่องของระบบก๊อกน้ำที่จะมีการเดินท่อน้ำร้อนไว้ในผนังด้วย จึงสามารถปรับการใช้งานได้ทั้งน้ำอุ่นและน้ำปกติ เพียงแต่เราอาจต้องติดตั้ง Boiler หรือเครื่องทำน้ำร้อนเพิ่มเองนะครับ

ส่วนพื้นที่ยืนอาบน้ำจะมีขนาดประมาณ 1.6 x 0.9 m. กั้นด้วยกระจกนิรภัย Tempered Glass แบบไม่มีกรอบดูสวยงาม โดยพื้นด้านในก็ยังคงเป็นกระเบื้องพอร์ชเลน ที่มีสีและลายเหมือนกับพื้นด้านนอกเลยครับ เพียงแต่จะมีผิวที่หยาบและช่วยกันลื่นได้ดีมากขึ้นนั่นเอง

อีกหนึ่งจุดเด่นของห้องน้ำนี้ก็คือ เราจะได้ผนังกระจกแบบ Sexy Bath ที่สามารถมองเห็นทะลุกันได้ 2 ด้าน ข้อดีคือเราจะได้ความสว่างและโปร่งโล่ง รวมถึงยังให้อารมณ์เหมือนห้องน้ำตามโรงแรม/รีสอร์ทอีกด้วย แต่ก็จะขาดเรื่องความเป็นส่วนตัวอยู่บ้าง ซึ่งอาจติดเป็นม่านหรือมูลี่เพิ่มเติมได้นะครับ

กลับมาที่บริเวณ Common Area โดยอีกด้านหนึ่งของห้องจะเป็นพื้นที่ทานอาหาร ซึ่งเราจะได้โต๊ะขนาด 6 ที่นั่งแบบนี้เลยครับ

รวมถึงบริเวณผนังก็จะมีการ Built-in ตู้เก็บของเอาไว้ให้ด้วย

ฝั่งตรงข้ามจะเป็นห้องอเนกประสงค์ ที่กั้นด้วยผนังกระจกดูโปร่งโล่ง แต่ก็มีความเป็นสัดส่วนดีครับ

ภายในมีขนาดกว้างประมาณ 3.4 x 3 m. สามารถปรับเป็นห้องต่างๆได้ตามต้องการ เช่น ห้องทำงานนั่งประชุม / ห้องสตูดิโอสำหรับถ่ายวิดีโอ และห้องงานอดิเรกต่างๆ เป็นต้น รวมถึงเราจะได้แอร์เป็นแบบ Wall Type นะครับ

โดยห้องนี้จะอยู่บริเวณ Hideaway Terrace หรือผนังกระจกส่วนที่ยื่นออกมานอกอาคารเช่นเดียวกับ Living Area ก่อนหน้านี้ จึงทำให้มีพื้นที่ใช้สอยภายในที่กว้างขวางกว่าห้องอเนกประสงค์ทั่วๆไป และยังสามารถชมวิวได้ดีมากขึ้นอีกด้วย

…ถือเป็นอีกหนึ่ง Signature ของแบรนด์นี้เลยก็ว่าได้ครับ ซึ่งถ้าเป็น The Reserve Sathorn เค้าจะเรียกว่า Crystal Balcony และอาจมีชื่อเรียกอื่นๆที่แตกต่างกันออกไปในแต่ละโครงการในอนาคต

ซึ่งช่องแสงของห้องนี้จะเป็นบานกระทุ้งทรงสูง 3 ช่อง ที่เราสามารถเปิดออกไปเชื่อมต่อกับภายนอกห้องได้ โดยจะมีการทำราวกันตกกระจกนิรภัยกั้นเอาไว้ เลยทำให้ห้องนี้เป็นเหมือนระเบียง Semi-Outdoor ขนาดใหญ่ในตัวครับ

ดังนั้นทางโครงการจึงเลือกใช้วัสดุปูพื้นเป็นกระเบื้องพอร์ชเลน ที่สามารถทนน้ำและแดดได้ดี เผื่อใครที่อยากทำพื้นที่ตรงนี้เป็นระเบียงนั่งเล่น และปลูกต้นไม้กระถางในห้อง ก็สามารถทำได้สบายๆเลยครับ (แต่อาจต้องระวังน้ำไหลย้อนเข้ามาโดนพื้นไม้ในห้องด้วยนะครับ เพราะระดับพื้นของเค้าจะเสมอกัน ไม่ได้ต่างระดับแบบระเบียงจริงๆ)

สุดท้ายจะเป็นห้อง Master Bedroom ที่จะอยู่แยกออกมาทางโซนด้านซ้ายของห้องแบบนี้ครับ

ภายในมีขนาดพื้นที่ใช้สอยที่ใหญ่ทีเดียว โดยจะมีการแบ่งฟังก์ชันออกเป็น 2 ส่วนหลักๆคือ พื้นที่เตียงนอน และ Walk-in Closet

เริ่มกันที่พื้นที่วางเตียงนอนขนาด King Size จะมีพื้นที่ใช้สอยกว้างประมาณ 4 x 3.5 m. และยังอยู่ติดกับช่องแสงขนาดใหญ่ที่ไม่มีกรอบบานมาเกะกะสายตา เลยสามารถชมวิวภายนอกได้อย่างเต็มที่ รวมถึงเราจะได้เฟอร์นิเจอร์ต่างๆเหมือนในห้องนี้อีกด้วยนะครับ ไม่ว่าจะเป็นฐานเตียง โต๊ะหัวเตียง และชั้นวางทีวี (สามารถคลิกชมได้ใน Gallery ด้านล่างนี้ได้เลย)

Image 1/3

ส่วนอีกด้านจะมีผนังกระจกกั้นห้องเอาไว้ เพื่อทำเป็น Walk-in Closet ขนาดใหญ่

ภายในจะแบ่งโซนชาย-หญิงออกเป็น 2 ฝั่ง และฟังก์ชันทุกอย่างจะแบ่งออกเป็น 2 ชุด เลยทำให้คู่สามี-ภรรยาสามารถใช้งานพร้อมๆกันได้ครับ

ซึ่งเราจะได้ชุด Built-in เหมือนในห้องตัวอย่างนี้เลยครับ ไม่ว่าจะเป็นอ่างล้างหน้าแบบ His & Her โต๊ะแต่งหน้า และตู้เสื้อผ้ากระจก 2 ฝั่ง (พื้นที่ใช้สอยโดยรอบกว้างประมาณ 65 – 85 cm. สามารถใช้งานได้พอดีๆ)

ถัดเข้ามาด้านในจะเป็นโซนของห้องน้ำครับ โดยจะมีพื้นที่กว้างมากพอที่จะมาใช้งาน 2 คนพร้อมๆกัน แบบว่าแยกคนละฟังก์ชันได้สบายๆเลย

จุดเด่นอย่างหนึ่งที่เห็นได้ชัดคือ ผนังที่กรุด้วยกระเบื้องหินอ่อน Black Forest ที่จะมีการต่อลายขนาดใหญ่ให้แบบเต็มผนัง ซึ่งดูสวยงามดีทีเดียวครับ

ขวามือจะเป็นโถสุขภัณฑ์ที่มีประตูกระจกกั้นปิดเป็นสัดส่วน ภายในกว้างประมาณ 1.25 x 0.95 m. สามารถใช้งานได้พอดีๆ แต่ที่พิเศษกว่าห้องอื่นๆคือ เราจะได้โถสุขภัณฑ์แบบอัตโนมัติ (Washlet) ที่ช่วยเพิ่มความสะดวกสบายในการใช้งานนั่นเองครับ

ส่วนอีกด้านก็จะมีฟังก์ชันอาบน้ำให้เลือก 2 แบบ คือเราสามารถนอนแช่น้ำในอ่างสบายๆ หรือจะเข้าไปยืนอาบฝักบัวแบบปกติก็ได้

โดยภายในพื้นที่ยืนอาบน้ำจะมีขนาดกว้างประมาณ  1.4 x 0.95 m. มาพร้อมกับฝักบัวและ Rain Shower จาก Villeroy & Boch ระบบ Thermostatic รวมถึงยังมีที่ให้นั่งอาบได้สบายๆด้วยครับ ส่วนอ่างอาบน้ำด้านนอกของ TRUSOL จะเป็นแบบลอยตัวสวยงามแบบนี้เลย

สำหรับ 1 Bedroom ขนาด 49.73 ตร.ม. ห้องนี้จะเป็นขนาดเริ่มต้นเล็กที่สุดในปัจจุบัน และยังมีจำนวนยูนิตเหลือให้เลือกมากที่สุดอีกด้วย โดยจะมีราคาเริ่มต้นอยู่ที่ 12.9 ล้านบาท ซึ่งจุดเด่นของห้องนี้คือ ความเป็นสัดส่วนและเป็นส่วนตัวของห้องนอน ที่จะมีการกั้นห้องด้วยผนังทึบแยกจาก Common Area อีกทั้งยังมี Walk-in Closet และห้องน้ำให้ใช้งานได้ในตัวด้วยนะครับ

ส่วนภายนอกก็ยังคงเน้นความโปร่งโล่งของ Common Area โดยเราจะได้เป็นครัวเปิดที่เชื่อมต่อกับพื้นที่นั่งเล่นติดระเบียง เลยทำให้มีความกว้างขวางไม่อึดอัด เหมาะกับการอยู่อาศัย 1 – 2 คน ชอบความเป็นส่วนตัวในการพักผ่อน และอาจไม่ได้เน้นการทำอาหารทานเองเป็นประจำ ซึ่งห้องนี้จะไม่ได้มีห้องตัวอย่างที่จัดเฟอร์นิเจอร์ไว้ให้ดูนะครับ แต่ผมก็ได้ถ่ายบรรยากาศห้องเปล่ามาตรฐานมาฝากกันด้วย สามารถคลิกชมใน Gallery ด้านล่างนี้ได้เลย

Image 1/6

**รายละเอียดของวัสดุต่างๆเช่น ยี่ห้อ และรุ่น ของจริงอาจจะเป็นรุ่นนี้หรือเทียบเท่านะครับ

แบบแปลน

สำหรับแบบห้องทั้งหมดก็สามารถคลิกชมใน Gallery ด้านล่างนี้ได้เลยนะครับ

Image 1/19

ราคา

The Reserve 61 Hideaway ราคา ณ วันที่ 25 ตุลาคม 2565

  • 1 Bedroom ขนาด 48.42 – 64.6 ตร.ม. ราคาเริ่มต้น 12.9 ล้านบาท (Promotion)
  • 2 Bedrooms ขนาด 66.11 – 127.61 ตร.ม. ราคาเริ่มต้น 17 ล้านบาท (Promotion)
  • 3 Bedrooms ขนาด 132.22 – 158.8 ตร.ม. ราคาเริ่มต้น 34 ล้านบาท (Promotion)

  • รูปแบบการขาย Fully Furnished
  • ความสูงจากพื้นถึงฝ้าเพดาน 2.7 เมตร
  • Kitchen & Sink / ท็อปหินสังเคราะห์
  • Hob & Hood / ของยี่ห้อ Gorenje
  • มีรถ Shuttle Service ไป-กลับบริเวณปากซอยสุขุมวิท 61
  • จอง 1 -2 Bedrooms 100,000 บาท / 3 Bedrooms 200,000 บาท
  • ทำสัญญา 1 -2 Bedrooms 200,000 บาท / 3 Bedrooms  300,000 บาท
  • ค่ากองทุน 500 บาท/ตร.ม.
  • ค่าส่วนกลาง 90 บาท/ตร.ม./เดือน (ชำระล่วงหน้า 2 ปี)
  • Link ลงทะเบียน : http://bit.ly/3DaE0Mw

**ราคาที่เอามาลงในบทความเป็นราคา ณ วันที่เข้าไปเก็บข้อมูลทำรีวิว ดังนั้นราคาต่างๆอาจมีการเปลี่ยนแปลงได้ค่ะ/ครับ

บทสรุป

ทำเล : ตั้งอยู่ภายในซอยสุขุมวิท 61 ซึ่งปกติแล้วจะเป็นซอยตันที่ภายในเป็น Residental Area จึงได้ความเงียบสงบและเป็นส่วนตัวค่อนข้างสูง จุดที่น่าสนใจคือจะมีทางลัดเล็กๆของโครงการ ที่เชื่อมต่อกับซอยเอกมัย 1 ได้ด้วยครับ จึงทำให้สามารถเข้า-ออกได้ 2 ทาง โดยตรงปากซอยสุขุมวิท 61 จะเป็น Major เอกมัย และปากซอยเอกมัย 1 จะเป็นเวิ้งโบราณ หรือเรียกได้ว่าเกือบจะเป็นใจกลางซอยเอกมัย-ทองหล่อเลยก็ว่าได้ ดังนั้นเรื่องความอุดมสมบูรณ์ต่างๆจึงมีครบมากๆ สามารถออกไปเดินจับจ่ายใช้สอย หรือไปทานอาหารที่ร้านใกล้ๆได้ทุกวันเลย

การเดินทางโดยใช้รถ : เรียกได้ว่าเป็นซอยที่ค่อนข้างสะดวกทีเดียวครับ เพราะสามารถเข้า-ออกได้ 2 ทาง อย่างปากซอยสุขุมวิท 61 จะมีข้อดีคือ เราสามารถเลือกที่จะเลี้ยวซ้ายเพื่อออกเมือง หรือเลี้ยวขวาเพื่อเข้าเมืองก็ได้ ส่วนซอยเอกมัย 1 เราก็สามารถใช้เป็นทางลัดเลี่ยงรถติดบนถนนใหญ่ได้ดี รวมถึงยังใกล้ทางด่วนให้ใช้เข้าเมืองได้ 2 จุด ระยะทางประมาณ 3.5 km. และที่เด่นที่สุดก็คือ ที่จอดรถของโครงการนี้มีทั้งหมด 100% เลยครับ รับรองว่ากลับบ้านมาจะมีที่จอดแน่นอน

การเดินทางโดยไม่ใช้รถ : โครงการนี้จะอยู่ห่างจากรถไฟฟ้า BTS สถานีเอกมัย ประมาณ 1.1 km. ซึ่งถือว่าไกลกว่าระยะเดินได้ง่ายไปแล้ว แต่ทางโครงการก็ได้เตรียม Shuttle Service เอาไว้บริการรับ-ส่งไปที่บริเวณปากซอยเอาไว้แล้วครับ ซึ่งก็จะช่วยอำนวยความสะดวกแก่ลูกบ้านได้เยอะเลยทีเดียว เพราะทำเลในซอยแบบนี้อาจเรียกรถสาธารณะได้ยากอยู่สักหน่อย หรือสมัยนี้เราสามารถเรียกผ่านทาง Application ในโทรศัพท์มือถือก็ได้นะครับ

การออกแบบโครงการ : มียูนิตน้อยเป็นส่วนตัว เป็นโครงการที่ออกแบบมาเพื่อคนที่ชอบธรรมชาติและความเงียบสงบ โดยเน้นพื้นที่สีเขียวให้ได้อารมณ์เหมือนเป็นสวนหลังบ้านขนาดใหญ่ ซึ่งหัวใจหลักสำคัญของโครงการนี้ก็คือ Main Court ของสวนและสระว่ายน้ำที่อยู่ตรงกลาง

โดยทุกพื้นที่ของโครงการจะสามารถสัมผัสธรรมชาติตรงส่วนนี้ได้ ไม่ว่าจะเป็นการมองเห็นวิวสวยๆ หรือจะได้ยินเสียงน้ำไหลอยู่ตลอดเวลา ไม่เว้นแม้แต่ส่วนกลางชั้นใต้ดินเอง ก็ยังมีการดีไซน์ช่องแสงให้มองเห็น และสัมผัสกับธรรมชาติด้านนอกได้ด้วยนะ แน่นอนว่าการวางผังอาคารที่โอบล้อม Court นี้เอาไว้ จะทำให้ห้องที่หันรับวิวด้านในได้บรรยากาศที่ดี และมีราคาที่สมน้ำสมเนื้อพอสมควรเลยทีเดียวครับ

การออกแบบห้องพักอาศัย : โครงการนี้จะเน้นเป็นห้องไซส์ใหญ่ พื้นที่ใช้สอยเยอะ เหมาะสำหรับการอยู่อาศัยเป็นครอบครัว ซึ่งตอนนี้ห้องยูนิตพิเศษต่างๆก็ได้ Sold Out ไปหมดแล้ว ปัจจุบันส่วนใหญ่จะเหลือเป็นห้อง 1 Bedroom และ 2 – 3 Bedrooms อีกไม่กี่ยูนิตเท่านั้น โดยห้องขนาดเริ่มต้นอย่าง 1 Bedroom 49.73 ตร.ม. จะเน้นความเป็นส่วนตัวของห้องนอนที่กั้นด้วยผนังทึบ และได้ครัวเปิดที่ทำให้ Common Area ดูกว้างขวางดีทีเดียว

ส่วนห้องตัวอย่างที่เราพามาชมกันวันนี้จะเป็น 2 Bedrooms 121.28 ตร.ม. ซึ่งถือเป็นอีกหนึ่งห้องยูนิตพิเศษที่มี Hideaway Terrace เป็นส่วนที่ยื่นออกไปนอกอาคาร จึงทำให้ภายในห้องมีขนาดพื้นที่ใช้สอยเยอะ โดยเฉพาะห้องอเนกประสงค์ที่จะมีขนาดใหญ่ เหมือนเราได้เป็นห้อง 2 Bedroom Plus มาเลยด้วยซ้ำครับ

นอกจากนี้บริเวณ Common Area ก็ยังมีขนาดใหญ่มาก เพราะต้องการให้เป็นพื้นที่ส่วนรวมของคนในครอบครัว โดยเราจะได้เป็นครัวเปิดเพื่อความโปร่งโล่ง ในขณะที่ห้องนอนก็จะอยู่แยกออกไปเป็นส่วนตัว รวมถึงยังได้ห้องน้ำกับพื้นที่แต่งตัวเป็นของตัวเองอีกด้วย เหมาะกับการอยู่อาศัยเป็นครอบครัว ที่อาจมีลูกสักคนและอยู่ได้สบายๆตั้งแต่เล็ก-โตเลยครับ

วัสดุ : ถือว่าให้มาดีเลยทีเดียว โดยปัจจุบันได้มีการปรับรูปแบบการขายมาเป็น Fully Furnished ซึ่งเราจะได้เฟอร์นิเจอร์จาก Olivia Living หน้าตาเหมือนห้องตัวอย่างเลยนะครับ ซึ่งจะช่วยประหยัดเวลาในการซื้อของตกแต่งห้องไปได้เยอะมาก ส่วนพวกวัสดุต่างๆก็ให้มาเป็นเกรดที่ดีและเหมาะสมกับการใช้งาน ไม่ว่าจะเป็นพื้นกระเบื้องพอร์ชเลน / Engineering Wood / ช่องแสงกระจก Euro Grey แบบ Full Height / ผนังหินอ่อน Black Forest แบบต่อลาย

และที่ชอบที่สุดก็คงจะเป็น Top ครัวหิน Quartz ที่นอกจากจะเป็นคุณภาพแบบ Food Grade สามารถทำอาหารบนโต๊ะได้แล้ว ยังมีการใส่ใจรายละเอียดเล็กๆน้อยๆ อย่างการทำร่องระบายน้ำให้อีกด้วยครับ ส่วนเครื่องครัวหลักๆจะเป็นแบรนด์ยี่ห้อชั้นนำอย่าง Gorenje ที่มีความสวยงามเป็นอย่างดี และได้สุขภัณฑ์จาก Villeroy & Boch เป็นต้น

สาธารณูปโภค : ถือเป็นอีกหนึ่งจุดเด่นที่สุดของโครงการนี้เลยก็ว่าได้ครับ และคาดว่าหลายๆคนก็น่าจะตั้งตารอดูที่จะเห็นของจริงเหมือนผมแน่ๆ ซึ่งก็ทำออกมาได้สวยงามและร่มรื่นดี ใกล้เคียงกับภาพ Perspective เลยทีเดียว โดยเฉพาะตรงโซน Main Court ของสวนและสระว่ายน้ำที่อยู่ตรงกลาง จะทำให้เราสามารถสัมผัสความเป็นธรรมชาติได้จากทุกๆจุดของโครงการ ไม่ว่าจะเป็นการมองเห็น และการได้ยินเสียงน้ำที่ไหลเวียนอยู่ตลอดเวลา

อีกทั้งยังมีการทำเป็นฟังก์ชันใต้ดินอย่างโซน Wellness Retreat & Onsen เอาใจสายรักสุขภาพและชาวญี่ปุ่น ที่จัดเต็มมาให้เหมือนได้ออกไปร้านดังข้างนอกเลยทีเดียวครับ ส่วนฟังก์ชันบนชั้น 3 หลักๆก็จะประกอบด้วย Fitness / The Reserve Lounge และ Private Meeting Room ให้ใช้งานครบ นอกจากนี้ยังมีบริการ Concierge Service ที่จะคอยช่วยอำนวยความสะดวกต่างๆให้กับลูกบ้านได้ดี เหมือนเรามีเลขาส่วนตัวเลยครับ

Judgement

การให้คะแนน ให้แบบ Weight Average โดยมุ่งหาความคุ้มค่า เทียบกับราคาที่จ่ายไป โดยมีส่วนที่พิจารณาดังนี้

ทำเล 35%, การเดินทางโดยใช้รถ 15%, การเดินทางโดยไม่ใช้รถ 15%, วัสดุ 15%, การออกแบบ 10% และสาธารณูปโภค 10%

เทียบกับช่วงราคาเฉลี่ยแบบทั้งโครงการ AVG 270,000 บาท/ตร.ม., 25 ตุลาคม 2565

  • ทำเล 7.5/10 – อยู่ในซอยที่เงียบสงบ ไม่ได้อุดมสมบูรณ์เท่าทองหล่อ-เอกมัย แต่ก็หาของกินได้ไม่ยาก
  • เดินทางด้วยรถ 7.75/10 – มีตัวเลือกให้เข้า-ออกได้ 2 ทาง ที่จอดรถ 100%
  • ไม่ใช้รถ 7/10 – ห่างจากรถไฟฟ้าเกินระยะเดินง่าย แต่ก็มี Shuttle Service รับ-ส่งปากซอย
  • วัสดุ 9/10 – Fully Furnished ได้เฟอร์นิเจอร์จาก Olivia Living และแบรนด์ชั้นนำอย่าง Villeroy & Boch / Gorenje ซึ่งเกรดวัสดุมีคุณภาพดี เหมาะกับราคาและการใช้งาน
  • แบบ 8.5/10 – ยูนิตน้อยเป็นส่วนตัว เน้นห้องหน้ากว้างไซส์ใหญ่ ช่องแสงเยอะ เปิดรับวิวภายนอกได้ดี
  • สาธารณูปโภค 9/10 – เน้นพื้นที่สีเขียวขนาดใหญ่ บรรยากาศร่มรื่นสวยงาม ฟังก์ชันครบ มีการแชร์ยูนิตร่วมกันไม่มาก

  • SUPER LUXURY CLASS
  • 7.91 / 10.00

The Reserve 61 Hideaway เหมาะกับใคร

โครงการ The Reserve 61 Hideaway เหมาะกับคนที่มองหาคอนโดในซอยย่านเอกมัย ที่มีความเงียบสงบ ยูนิตน้อยเป็นส่วนตัว เน้นบรรยากาศส่วนกลางสไตล์รีสอร์ท มีความสวยงามร่มรื่น โดยให้พื้นที่สีเขียวมาเยอะมากๆ และมีห้องพักขนาดใหญ่ พื้นที่ใช้สอยเยอะ ขายแบบ Fully Furnished ให้เฟอร์นิเจอร์และเกรดวัสดุที่ดี เป็นแบรนด์ชั้นนำระดับโลก มีงบประมาณระดับ 12.9 – 34 ล้าน หรือมีกำลังผ่อนประมาณ 90,000 – 234,000 บาท/เดือน


ThinkofLiving มี LINE Official Account แล้วนะ
ไม่อยากพลาดข้อมูลข่าวสารก็ Add เลย > https://lin.ee/svACOxc