..ผ่านไปแค่เพียงปีกว่าๆเท่านั้น ตอนนี้โครงการ THE MUVE ราม 22 ก็สร้างเสร็จพร้อมให้เข้าอยู่แล้วนะครับ เป็นคอนโดแบรนด์ใหม่จากแสนสิริที่เพิ่งจะเปิดตัวกันไปเมื่อปีที่แล้วนี้เอง ซึ่งก็เป็นที่จับตามองของใครหลายคนอย่างมาก เพราะด้วยราคาที่จับต้องได้ไม่ยาก ทำเลก็ค่อนข้างใกล้เมือง และยังมีการดีไซน์ฟังก์ชันภายในห้องที่เรียกได้ว่ารื้อแบบใหม่ทั้งหมดเลย โดยสำหรับโครงการนี้ผมก็คิดว่าเค้ามีจุดเด่นที่น่าสนใจดังนี้ครับ

  • ทำเลอุดมสมบูรณ์ ใกล้ห้าง The Mall / Big C และตลาดในระยะเดิน หาของกินได้ง่าย
  • ใกล้รถไฟฟ้าสายสีส้ม สถานีรามคำแหง 12 ในระยะ 500 m. ปากซอยมีวินมอเตอร์ไซค์และป้ายรถเมล์ให้เรียกรถสาธารณะได้สะดวก
  • ราคาจับต้องได้ไม่ยาก First Jobber ก็สามารถหยิบจับเป็นเจ้าของได้ เน้นห้อง 1 Bedroom ไซส์เล็ก แต่ฟังก์ชันเฟอร์นิเจอร์และพื้นที่เก็บของค่อนข้างจัดเต็มมาก
  • เป็นแบรนด์ที่มีการลดทอนฟังก์ชันส่วนกลางบางอย่างออกไป เพื่อลดภาระค่าใช้จ่ายของลูกบ้าน และเหลือแต่ฟังก์ชันที่จำเป็นเท่านั้น ซึ่งก็เพียงพอและเหมาะสมไปตามยุคสมัย

ข้อมูลโครงการ

THE MUVE Ram 22 (เดอะ มูฟ ราม 22) ณ วันที่ 2 ธันวาคม 2565

 ชื่อโครงการ  THE MUVE Ram 22 (เดอะ มูฟ ราม 22)
 ชื่อผู้ประกอบการ  บริษัท แสนสิริ จํากัด (มหาชน)
 SEGMENT CLASS  MAIN CLASS (รายละเอียดของ Segment คอนโดปี 2021 )
 โครงการตั้งอยู่  ซอยรามคำแหง 22 เขตบางกะปิ
 ที่ดิน  ประมาณ 1 ไร่
 ประเภทคอนโด  Low Rise 8 ชั้น 2 อาคาร และอาคาร 1 ชั้น 1 อาคาร
 จำนวนยูนิต  254 ยูนิต แบ่งเป็นอาคาร A 121 ยูนิต , อาคาร B 133 ยูนิต
 ยูนิตต่อชั้นสูงสุด   อาคาร A 18 ยูนิต , อาคาร B 19 ยูนิต
 ที่จอดรถ  ที่จอดรถปกติ + ที่จอดรถอัตโนมัติ คิดเป็น 30%
 สถานะโครงการ  สร้างเสร็จพร้อมอยู่
 ประเภทห้องพัก
  • 1 Bedroom พื้นที่ใช้สอยภายใน 21.5 – 22 ตร.ม.
  • 1 Bedroom พื้นที่ใช้สอยภายใน 23.75 – 24.75 ตร.ม.
  • 1 Bedroom พื้นที่ใช้สอยภายใน 24.25 ตร.ม.

 ฝ้าเพดานสูง  2.55 เมตร
 ราคาเริ่มต้น 1.89 ล้านบาท (Promotion)
 ราคาเฉลี่ยทั้งโครงการ  ประมาณ 79,000 บาท/ตร.ม.
 เว็บไซต์โครงการ https://www.sansiri.com/themuve
 Call Center  1685

 

ทำเลที่ตั้ง

Highlights :

  • ทำเลอุดมสมบูรณ์ ใกล้ห้าง The Mall / Big C และตลาดต่างๆในระยะเดิน หาของกินง่าย
  • เดินทางด้วยรถสาธารณะสะดวก และใกล้รถไฟฟ้าสายสีส้ม 500 m.
  • ตัวโครงการตั้งอยู่ในซอยที่ไม่พลุกพล่านเพียง 150 m.

พิกัด Google Maps : 13.753812, 100.614114
หรือสามารถ :  คลิกที่นี่

โครงการ THE MUVE Ram 22 ตั้งอยู่ภายในซอยรามคำแหง 22 ที่นับว่าเป็นมีความอุดมสมบูรณ์สูงมากๆอีกจุดหนึ่งของย่านเลยทีเดียวครับ ซึ่งจะแตกต่างจากโซนแถวหน้าม.รามฯหรือหัวหมาก เพราะที่ตั้งของโครงการจะอยู่ใกล้ทั้งตลาด และห้างสรรพสินค้าหลายๆแห่งในระยะเดินถึงได้ โดยเฉพาะซูเปอร์มาร์เก็ตขนาดใหญ่อย่าง Big C ที่เราสามารถไปช้อปปิ้งซื้อของตุนเข้าบ้านได้ง่ายๆ

รวมถึงยังมี The Mall รามคำแหง ที่กำลังจะสร้างเป็นโครงการ Mixed-used ขนาดใหญ่ ซึ่งจะมีสิ่งอำนวยความสะดวกครบครันมากขึ้น เพื่อรองรับการเติบโตของย่านนี้ต่อไปในอนาคต อีกทั้งยังเป็นที่ตั้งของสถานศึกษาชื่อดังหลายแห่ง ตั้งแต่ชั้นประถมไปจนถึงระดับมหาวิทยาลัยอีกด้วยครับ

การเดินทางด้วยรถสาธารณะ :

โครงการจะห่างจากปากซอยประมาณ 150 m. และอยู่ไม่ไกลจากรถไฟฟ้าสายสีส้ม สถานีรามคำแหง 12 ประมาณ 500 m. ซึ่งเป็นระยะที่สามารถเดินได้ โดยรถไฟฟ้ามีกำหนดแล้วเสร็จในปี 2024 และจะไปเชื่อมต่อกับสายสีน้ำเงินที่สถานีศูนย์วัฒนธรรม รวมถึงจะไป Interchange กับสายสีเหลืองที่แยกรามคำแหงอีกด้วย จึงทำให้การเดินทางในอนาคตของย่านนี้จะสะดวกมากยิ่งขึ้น

ส่วนท่าเรือก็อยู่ไม่ไกลจากโครงการมากนัก โดยท่าเรือเดอะมอลล์ 3 จะอยู่ทางด้านหลังของ The Mall รามคำแหง เราสามารถเดินข้ามถนนและผ่านเข้าซอยทางด้านข้างของห้างไปได้ และภายในซอยรามคำแหง 22 ที่โครงการตั้งอยู่ก็จะมีวินมอเตอร์ไซค์ และป้ายรถเมล์อยู่ตรงปากซอยด้วย จึงทำให้สามารถเรียกใช้บริการรถสาธารณะต่างๆได้ไม่ยากเลยครับ

ทางด่วนที่ใกล้ที่สุด :

ทางพิเศษศรีรัชด่านรามคำแหง จะอยู่ห่างจากโครงการเพียง 2.2 km. สามารถขับตรงมาขึ้นทางด่วนได้เลย โดยไม่ต้องเสียเวลากลับรถก่อนให้ยุ่งยาก เหมาะกับคนที่ทำงานในเมืองอย่างพระราม 9 – เพลินจิต

สภาพแวดล้อมรอบโครงการ

**รูปนี้จัดทำขึ้นเพื่อให้เห็นภาพรวมของโครงการแบบคร่าวๆไม่สามารถใช้อ้างอิงอย่างเป็นทางการได้

โครงการตั้งอยู่ภายในซอยรามคำแหง 22 โดยจะเข้ามาประมาณ 150 m. จึงมีความเงียบสงบกว่าบริเวณถนนใหญ่ และรอบๆก็จะเป็นอาคารพักอาศัยทั้งหมด สูงประมาณ 2 – 6 ชั้น ดังนั้นหากเราอาศัยอยู่ในห้องชั้นสูงๆหน่อย หรือขึ้นไปบนดาดฟ้าของอาคาร ก็จะสามารถชมวิวที่ค่อนข้างเปิดโล่งรอบๆได้ครับ สามารถสรุปได้ดังนี้

  • ทิศเหนือ : ติดกับ อาคารพักอาศัย 3 – 4 ชั้น และลานจอดรถ

  • ทิศใต้ : เป็นทางเข้าหลักของโครงการ ติดกับ ถนนซอยรามคำแหง 22 และฝั่งตรงข้ามเป็นบ้านพักอาศัยสูง 2 ชั้น มีวิวพื้นที่สีเขียวและค่อนข้างเปิดโล่งดีทีเดียว

  • ทิศตะวันออก : ติดกับ บ้านพักอาศัยสูง 2 ชั้น และได้วิวพื้นที่สีเขียวจากบ้านคนด้านในซอย

  • ทิศตะวันตก : ติดกับ บ้านพักอาศัยสูง 2 ชั้น และได้วิวไปทางถนนใหญ่ที่อยู่ปากซอย มองเห็นห้าง Big C และรถไฟฟ้าได้ครับ

เรามาเดินดูบรรยากาศรอบๆกันสักหน่อยครับ เริ่มจากทางด้านขวาของโครงการจะเป็นทางเข้าไปด้านในซอยรามคำแหง 22 ที่ไม่ค่อยพลุกพล่านเท่าไหร่นัก แต่ก็ไม่ได้เปลี่ยวจนเกินไป

ส่วนทางด้านซ้ายของโครงการจะเป็นทางไปยังปากซอย ซึ่งมีระยะประมาณ 150 m. สามารถเดินได้สบายๆ และระหว่างทางก็จะมีบ้านพักอาศัย โรงแรม และลานจอดรถแบบนี้ครับ

บริเวณปากซอยจะมีวินมอเตอร์ไซค์ตั้งอยู่ เผื่อใครอยากใช้บริการเดินทางไปยังสถานที่ใกล้ๆและรวดเร็วก็จะสะดวกมากๆเลย

ปากซอยจะเป็นถนนใหญ่รามคำแหง ซึ่งเดี๋ยวเราจะแวะไปดูทางด้านซ้ายของซอยก่อนสักนิดนึงครับ

ตามข้างทางจะมีร้านค้าขายของเล็กๆน้อยๆ และถ้าเราเดินตรงมาประมาณ 70 m. ก็จะเจอกับสะพานลอยที่ใช้ข้ามถนนไปยัง Big C ที่อยู่ฝั่งตรงข้ามได้ครับ

ส่วนทางด้านขวาของปากซอย 22 จะเป็นที่ตั้งของธนาคารกรุงเทพ ซึ่งเราก็สามารถเดินมากดเงินที่ตู้ ATM ตรงนี้ได้สะดวก

เดินเลยธนาคารมาหน่อยก็จะเจอกับป้ายรถเมล์และเซเว่น รวมถึงยังมีพวกร้านอาหารและร้านขายของอยู่เกือบตลอดทางแบบนี้ด้วย สามารถเดินมาซื้อของกินของใช้กันได้ง่ายๆเลย

และจากหน้าปากซอยเดินมาทางขวาเรื่อยๆประมาณ 400 m. ก็จะเจอกับที่ตั้งของรถไฟฟ้าสายสีส้ม สถานีรามคำแหง 12 ที่อยู่ตรงหน้าปากซอย 12 พอดี รวมถึงยังมีสะพานลอยให้ใช้ข้ามถนนไปเชื่อมต่อเข้ากับตัวห้าง The Mall เก่าได้อีกด้วย ซึ่งในอนาคตก็จะเปลี่ยนไปเป็นโครงการ Mixed-used นั่นเองครับ

สถานที่สำคัญใกล้เคียงต่างๆ เช่น

ห้างสรรพสินค้า / ตลาด

  • Big C Supercenter หัวหมาก ~ 280 m.
  • ตลาดเสรี หัวหมาก ~ 350 m.
  • Major Cineplex รามคำแหง ~ 600 m.
  • The Mall รามคำแหง ~ 650 m.
  • Foodland รามคำแหง ~ 1 km.
  • The Nine พระราม 9 ~ 2.8 km
  • The Mall บางกะปิ ~ 4.2 km.
  • Central พระราม 9 ~ 7.2 km.

โรงพยาบาล

  • รพ.รามคำแหง ~ 2.9 km.
  • รพ.สมิติเวช ศรีนครินทร์ ~ 4 km.
  • รพ.เวชธานี ~ 4.3 km.
  • รพ.วิภาราม ~ 7 km.

โรงเรียน

  • โรงเรียนสาธิตมหาวิทยาลัยรามคำแหง (ประถม) ~ 350 m.
  • โรงเรียนนานาชาติ Traill International School ~ 650 m.
  • มหาวิทยาลัยรามคำแหง ~ 1.5 km.
  • มหาวิทยาลัยอัสสัมชัญ วิทยาเขตหัวหมาก ~ 1.9 km.
  • โรงเรียนบดินทรเดชา (สิงห์ สิงหเสนี) ~ 2 km.
  • โรงเรียนอุดมศึกษา ~ 2.7 m.
  • โรงเรียนสาธิตมหาวิทยาลัยรามคำแหง (มัธยม) ~ 4.4 km.
  • สถาบัน NIDA ~ 5 km.

รายละเอียดโครงการ

Highlights :

  • มีแนวคิดที่จะลดทอนส่วนกลางบางอย่างออกไป ให้เหลือเพียงแต่ฟังก์ชันที่จำเป็นเท่านั้น เพื่อลดต้นทุนและภาระของลูกบ้าน
  • มีสะพานเชื่อมต่อระหว่าง 2 อาคาร เพื่อทำให้สามารถข้ามมาใช้งานส่วนกลางได้สะดวกมากขึ้น
  • มีการแยกฟังก์ชันนิติบุคคลและ Mail Box ออกมาอยู่อาคารเล็กทางด้านหน้า เพื่อทำให้เกิดความเป็นส่วนตัวจากบุคคลภายนอกที่มาติดต่อมากขึ้น

โครงการ THE MUVE Ram 22 เป็นคอนโดแบรนด์ใหม่จากแสนสิริ ที่เพิ่งได้เปิดตัวกันไปเมื่อปีที่แล้วนี้เองครับ ซึ่งก็เป็นที่จับตามองของผู้บริโภคหลายๆคนเลยทีเดียว โดยเหตุผลหลักๆก็น่าจะเป็นในเรื่องของ “ราคา” ที่จับต้องได้ง่าย เพราะแสนสิริได้วาง Position ของแบรนด์นี้เอาไว้ใกล้เคียงกับ dcondo ที่จับกลุ่มเป็นนักศึกษาและใกล้มหาวิทยาลัยเป็นหลัก

แต่สำหรับแบรนด์ THE MUVE จะขยับเข้ามาอยู่ใกล้เมืองมากขึ้น และจับกลุ่มวัยทำงาน First Jobber หรือเด็กจบใหม่ที่มีเงินเดือนประมาณ 20,000 ก็สามารถเป็นเจ้าของคอนโดแบรนด์นี้ได้ไม่ยาก อีกทั้งยังมีคอนเซ็ปต์การออกแบบที่น่าสนใจ มีการตัดฟังก์ชันส่วนกลางบางอย่างที่ไม่จำเป็นออกไป รวมถึงยังมีไอเดียออกแบบเฟอร์นิเจอร์ เพื่อเพิ่มพื้นที่เก็บของในห้องพักให้มากขึ้นอีกด้วยครับ

…คำว่า Muve นอกจากจะเล่นคำที่มาจากคำว่า การเคลื่อนไหว และสไตล์การตกแต่งแนว Active ที่ดูโฉบเฉี่ยวทันสมัยแล้ว ยังหมายถึงการ move on แยกตัวออกมาจากครอบครัวเดิม เพื่อเริ่มต้นชีวิตในบ้านหลังใหม่ได้อีกด้วยครับ

โครงการ THE MUVE Ram 22 เป็นคอนโด Low Rise 8 ชั้น 2 อาคาร 254 ยูนิต โดย Master Plan ชั้นแรกส่วนใหญ่จะเป็นพื้นที่จอดรถใต้อาคารเกือบทั้งหมด และยังมี Mechanical Parking มาให้อีกส่วนหนึ่งด้วย รวมแล้วก็สามารถจอดรถได้ประมาณ 30% และที่เหลือก็จะเป็นพื้นที่สีเขียวเล็กๆอยู่ทางด้านหน้าครับ

จุดที่ผมว่าน่าสนใจคือ เค้าจะตัดฟังก์ชัน Lobby ออกไป และแยกส่วนของนิติบุคคล + Mail Room มาไว้เป็นอาคารเล็กๆ 1 ชั้นทางด้านหน้า ซึ่งเวลาคนภายนอกจะมาติดต่อธุระใดๆ เช่น ส่งพัสดุ / ไปรษณีย์ หรือคนที่จะมาติดต่อเรื่องซื้อขาย-เช่าห้อง ก็จะไม่ต้องเดินเข้าไปในโครงการให้ลูกบ้านเสียความเป็นส่วนตัวเลยนั่นเอง

รวมถึงหากเราเป็นลูกบ้านที่อยู่โครงการนี้อยู่แล้ว ก็สามารถตรงขึ้นห้องได้แบบไม่ต้องเดินผ่านฟังก์ชันเหล่านี้ให้เสียเวลาด้วย แต่ก็แลกมากับเวลาที่เราจะติดต่อหรือรับจดหมายในบางครั้ง ก็จะต้องเดินแยกอาคารออกมาสักหน่อยนะครับ

บริเวณทางเข้าโครงการจะมีไม้กั้นกระดก และเข้า-ออกด้วย Key Card Access แบบระยะใกล้ พร้อมกล้อง CCTV เพื่อความปลอดภัย (ตอนนี้หน้างานยังไม่เสร็จดี เดี๋ยวอนาคตจะมาติดตั้งเพิ่มนะครับ) ส่วนถ้าเป็น Visitor ก็จะต้องแลกกบัตรกับพี่ยามก่อนตามปกติ

เมื่อเข้ามาด้านในจะมีเส้นทางเดินรถวนไปด้านซ้าย พร้อมกับมีที่จอดอยู่ใต้อาคารทั้ง 2 ตึก ส่วนทางเข้าอาคารเราจะเห็นตั้งแต่ด้านหน้าเลยครับ และมีทางลาดให้ใช้ลากกระเป๋าหรือรถเข็นได้สะดวกอีกด้วย

ทางขึ้นอาคารจะเป็นโถงลิฟต์ ที่มีทางเดินเชื่อมต่อด้านหน้าและด้านหลังอาคารถึงกันได้ โดยจะใช้เป็นประตูกระจกบานเลื่อนที่เปิดแบบอัตโนมัติเพื่อความสะดวก ซึ่งไม่ต้องเสียเวลาแตะ Key Card ให้ยุ่งยากครับ เพราะลิฟต์โดยสารก็จะเป็นแบบล็อคชั้นอยู่แล้วนั่นเอง

บริเวณใต้อาคารตรงพื้นที่จอดรถ จะมีช่อง EV Charger สำหรับรถยนต์ไฟฟ้าด้วยครับ ซึ่งถือเป็นอีกหนึ่งฟังก์ชันที่ทางโครงการใส่เพิ่มเข้ามา เพราะถ้าดูจากข่าวยอดการจองรถ Tesla เมื่อเร็วๆนี้ ก็คาดว่าเทรนด์การใช้รถยนต์ไฟฟ้าในอนาคตคงกำลังมาแรงอย่างแน่นอน

และอีกมุมหนึ่งก็จะมี Mechanical Parking (เป็นลิฟต์จอดรถแบบซ้อนคันกันได้) ซึ่งจะช่วยประหยัดพื่นที่ในการจอดรถได้ดี และเพิ่มช่องจอดให้เพียงพอมากขึ้น โดยปัจจุบันหน้างานก็กำลังติดตั้งกันอยู่นะครับ

สำหรับอาคารทั้ง 2 จะมีสะพานเชื่อมต่อกันที่บริเวณชั้น 3 และ 8 ซึ่งจะทำให้คนที่พักอาศัยในอาคาร B สามารถข้ามไปใช้ Facilities ที่อยู่ทางฝั่งของอาคาร A ได้สะดวกมากขึ้น รวมถึงที่ชั้นล่างสุดก็จะทำเป็นมุมนั่งเล่นในสวนเล็กๆ ให้มาใช้งานพักผ่อนกันได้ด้วยครับ

ถัดมาเราจะมาดู Facilities ในชั้น 1 กันบ้างครับ โดยจะอยู่ทางขวามือของ Main Gate ในตอนแรก ซึ่งถ้าหันขวามาก็จะเป็นที่จอดรถสำหรับ Visitor และอาคาร 1 ชั้นของนิติ

โดยบุคคลภายนอกสามารถมาติดต่อธุระได้ที่ตรงนี้ได้เลย ไม่ต้องเข้าไปในโครงการให้เสียความเป็นส่วนตัว และถ้าเป็นลูกบ้านก็สามารถเดินเชื่อมต่อจากอาคารพักอาศัยมาได้ง่ายๆ โดยจะมีหลังคาคลุมให้ตลอดเส้นทาง

ภายในอาคารหลักๆจะเป็น Mail Box และช่องทางสำหรับติดต่อกับนิติบุคคล รวมถึงยังมี Smart Locker ที่จะเชื่อมต่อกับ Application ในโทรศัพท์มือถือด้วย

โดยเราสามารถแจ้งกับคนส่งพัสดุให้นำของมาไว้ใน Locker ที่ระบุเอาไว้ และมาเปิดรับเมื่อไหร่ก็ได้ตลอด 24 ชม. ซึ่งถือว่าสะดวกมากๆครับ

ถัดมาด้านข้างของอาคารจะมีทางเดินเชื่อมต่อไปยังสวนเล็กๆ และมีบันไดให้เดินขึ้นไปชั้น 2 ได้ด้วย ถ้างั้นเดี๋ยวเราลองเดินขึ้นไปดูกันสักหน่อยครับ

ด้านบนจะเป็นส่วนที่เรียกว่า Sansiri Backyard ซึ่งจะเป็นการปลูกพืชผักสวนครัวต่างๆในกระถาง และลูกบ้านก็สามารถเก็บผลผลิตไปประกอบอาหารได้ครับ รวมถึงยังมีมุมเล็กๆให้นั่งเล่นพักผ่อนกันได้อีกด้วย

ถัดมาจากอาคารนิติบุคคลจะเป็นส่วนที่เรียกว่า Creative Garden ซึ่งเป็นพื้นที่สีเขียวที่เราสามารถมานั่งเล่นพักผ่อนในตอนเย็นๆได้ โดยจะมีโต๊ะเก้าอี้เตรียมไว้ให้ 2 – 3 ชุด รวมถึงมุมด้านในสุดจะเป็น Live Pod พื้นที่ Sunken ที่สามารถมาถ่ายรูปวิดีโอ Live สดกันแบบได้แบบนี้ครับ

แปลนชั้น 2 จะเป็นชั้นพักอาศัยทั้งหมดครับ โดยจะแบ่งออกเป็น 2 อาคาร ซึ่งถ้าเป็นอาคาร A จะมีจำนวนยูนิตที่น้อยกว่านิดนึงอยู่ที่ 18 ห้อง/ชั้น (รวม 121 ยูนิต) ส่วนอาคาร B จะมียูนิต 19 ห้อง/ชั้น (รวม 133 ยูนิต) แน่นอนว่าจำนวนเพื่อนบ้านในอาคารจะย่อมส่งผลต่ออัตราส่วนการใช้งานลิฟต์ ซึ่งตัวฝั่งอาคาร B จะหนาแน่นกว่านิดหน่อยครับ ส่วนตำแหน่งห้องที่น่าสนใจหลักๆก็จะมี 2 จุดด้วยกันคือ

  • กรอบสีแดง : เป็นห้องที่ได้โถงทางเดินเป็น Single Corridor และมีผนังอยู่ติดกับเพื่อนบ้านแค่ด้านเดียว จึงมีความเป็นส่วนตัวสูง
  • กรอบสีชมพู : เป็นห้อง 1 Bedroom หน้ากว้างที่มีเพียงตำแหน่งเดียวในชั้น ซึ่งทั้งโครงการจึงมีเพียง 7 ยูนิตเท่านั้นครับ อีกทั้งยังเป็นตำแหน่งที่สามารถก้มลงมามองเห็นพื้นที่สีเขียวชั้น 1 ได้อีกด้วย

**อัพเดตปัจจุบันโครงการขายไปแล้วกว่า 90% ซึ่งยูนิตที่เหลืออยู่ตอนนี้ส่วนใหญ่จะเป็นชั้น 2 ของอาคาร A ทางฝั่งทิศตะวันตกนะครับ ส่วนตำแหน่งอื่นๆสามารถลองสอบถามที่หน้างานได้เลย เผื่อยังมีห้องที่เราสนใจอยู่ก็ได้นะ

เราแวะมาดูบรรยากาศตรงโถงลิฟต์บนอาคารกันสักหน่อยครับ คือถ้าเป็นชั้นที่มี Facilities อยู่รวมกับห้องพักอาศัย เค้าก็จะมีประตูที่ต้องใช้ Key Card Access เพื่อความเป็นส่วนตัวและปลอดภัยกั้นแยกเอาไว้แบบนี้

ส่วนภาพนี้จะเป็นบรรยากาศของโถงทางเดินหน้าห้อง ซึ่งก็ดูสะอาดตาเรียบร้อยดี เพียงแต่ช่องแสงอาจน้อยไปสักหน่อยครับ ก็เลยต้องมีการเปิดไฟส่องสว่างช่วยเยอะสักหน่อยนะ

แปลนชั้น 3 จะเป็นชั้นที่มีทั้ง Facilities และสะพานทางเชื่อมระหว่าง 2 อาคารครับ โดยส่วนกลางของชั้นนี้หลักๆก็จะเป็น Co-Working Space / Meeting Room และ Camera Studio

ซึ่งถือเป็นฟังก์ชันสำคัญเลยครับ เพราะการทำงานส่วนใหญ่ในสมัยนี้จะ Work from home ทำที่ไหนก็ได้อยู่แล้ว ดังนั้นเราจึงสามารถเปลี่ยนบรรยากาศจากในห้องมาเป็นนั่งทำงานที่นี่ก็ได้ และภายในก็มีสิ่งอำนวยความสะดวกให้ใช้งานครบเลย

ภาพนี้เป็นบรรยากาศของสะพานทางเชื่อมระหว่างตึก A และ B ให้สามารถเดินทางข้ามไปใช้ Facilities ร่วมกันได้ง่าย โดยจะมีอยู่ในชั้น 3 และ 8 ซึ่งเค้าก็จัดตกแต่งเป็นมุมสวยๆให้นั่งเล่นพักผ่อนได้ด้วย

ส่วนห้องที่เป็น Facilities จะอยู่ทางฝั่งของอาคาร A และมีประตูที่ต้องใช้ Key Card Access ในการเข้าไปใช้งาน ประกอบกับเป็นประตูบานเล็กที่เป็นกระจกลูกฟูก จึงช่วยเพิ่มความเป็นส่วนตัวให้กับผู้ใช้งานภายในได้เป็นอย่างดีเลยทีเดียว

สำหรับฟังก์ชันบนชั้น 3 จะเน้นเป็น Co-Working Space ที่มีชุดเก้าอี้และโซฟาให้นั่งใช้งานพร้อมกันได้หลายจุด รวมถึงยังมีพวกปลั๊กไฟและ Wi-Fi เตรียมเอาไว้แล้วด้วยครับ ซึ่งเหมาะที่จะมานั่งทำงานอ่านหนังสือมากๆ

และจุดที่ผมชอบเป็นพิเศษก็คือ ตู้ขายน้ำและขนมอัตโนมัติ ซึ่งถือเป็นส่วนสำคัญที่จะช่วยอำนวยความสะดวก และทำให้เรานั่งทำงานต่อได้ยาวๆ โดยไม่ต้องเสียเวลาลุกออกไปซื้อด้านนอกให้ยุ่งยาก รวมถึงอีกด้านก็จะมีห้องเล็กๆอีก 2 ห้องอยู่แยกออกไปด้วย

สำหรับห้องแรกทางซ้ายมือจะเป็น Meeting Room ที่เราสามารถใช้นั่งพูดคุยหรือประชุมงานกันแบบส่วนตัวได้ โดยจะมีโต๊ะขนาด 6 ที่นั่ง กระดานไวท์บอร์ดสำหรับจดบันทึกที่ผนัง และทีวีจอใหญ่สำหรับพรีเซนต์งานครับ

ติดกันจะเป็นห้อง Camera Studio ภายในมีอุปกรณ์จัดแสงไฟและฉากหลังให้ยืมใช้ครบครัน สามารถใช้เป็นห้องถ่ายแบบสินค้าหรือ Live สดก็ได้ครับ โดยถ้าต้องการใช้งานแบบส่วนตัวตลอดทั้งวัน ก็สามารถติดต่อจองห้องกับนิติบุคคลได้นะ

แปลนชั้น 4 จะมีฟังก์ชัน Fitness และห้องน้ำให้ใช้งานครับ โดยชั้นนี้จะไม่มีสะพานทางเชื่อมระหว่างอาคารนะ นั่นจึงทำให้คนที่อยู่อาคาร A จะสามารถมาใช้งานห้องออกกำลังกายได้สะดวกกว่า แต่สำหรับอาคาร B จะต้องไปเปลี่ยนลิฟต์ที่ชั้น 1, 3 หรือ 8 ก่อนนะครับ

บรรยากาศภายในห้อง Fitness จะมีอุปกรณ์หลักๆให้ใช้งานครบ ไม่ว่าจะเป็นลู่วิ่งและดัมเบล โดยจะหันหน้าออกไปรับวิวภายนอกได้ รวมถึงยังตกแต่งด้วยโทนสีส้มที่แสดงถึงความสดใสและ Active อีกด้วย

อีกด้านหนึ่งของห้องก็จะเป็นมุมสำหรับปั่นจักรยานของ Absolute You เหมาะสำหรับคนที่ชอบปั่นจักรยานคลาสแบบจริงจัง และยังมีตู้กดน้ำดื่มไว้คอยให้บริการด้วยครับ

ติดกันจะเป็นห้องน้ำขนาดใหญ่ 1 ห้อง ซึ่งใช้งานร่วมกันทั้งผู้ชาย-ผู้หญิง และผู้ใช้รถวีลแชร์ โดยจะช่วยอำนวยความสะดวกสำหรับคนที่มาใช้งานส่วนกลางได้ดี ทำให้ไม่ต้องเดินกลับไปเข้าห้องน้ำที่ห้องตัวเองไกลๆให้เสียเวลานั่นเองครับ

แปลนชั้น 5 – 7 จะเป็นห้องพักอาศัยทั้งหมด (เหมือนชั้น 2 ก่อนหน้านี้) โดยสรุปแล้วหากเป็นคนที่ต้องการความสะดวกในการมาใช้งาน Facilities ผมคิดว่าเหมาะที่จะอยู่อาคาร A ส่วนคนที่เน้นความเงียบสงบ และได้วิวพื้นที่สีเขียวบนชั้น 1 อยู่บ้าง ก็จะเหมาะกับอาคาร B ครับ ถึงแม้ว่าจำนวนยูนิตและอัตราส่วนการใช้งานลิฟต์จะมากกว่านิดหน่อยก็ตาม แต่ก็มีความพลุกพล่านของคนที่มาใช้ส่วนกลางน้อยกว่าด้วยนั่นเอง

แปลนชั้น 8 จะเป็นอีกหนึ่งชั้นที่มีสะพานทางเชื่อมตึกระหว่าง 2 อาคาร ซึ่งหลักๆแล้วก็จะใช้สำหรับการขึ้นไปยังสวนบนชั้นดาดฟ้าของอาคาร A นั่นเองครับ

ชั้นดาดฟ้าหลักๆจะเป็นพื้นที่สวนสีเขียวให้ขึ้นมานั่งพักผ่อนและชมวิวได้ โดยจะสามารถขึ้นมาได้ด้วยบันไดหนีไฟจากชั้น 8 และลิฟต์ของอาคาร A นะครับ

บรรยากาศของสวนบนชั้นดาดฟ้าอาคาร A นอกจากจะมีการปลูกต้นไม้และทำเป็นสนามหญ้าแล้ว ยังมีเครื่องออกกำลังกายกลางแจ้งให้ใช้งาน รวมถึงมี Jogging Track ให้เดิน/วิ่งออกกำลังกายวนรอบสวนได้นิดๆหน่อยๆด้วยครับ

นอกจากนี้ก็จะมีมุมให้นั่งเล่นพักผ่อน หรือจะขึ้นมาชมวิวเปิดโล่งโดยรอบด้วยก็ได้นะ

สรุปสิ่งอำนวยความสะดวก

ชั้น 1

  • Lift Lobby
  • Mailbox
  • Juristic Office
  • Laundry Room
  • Creative Garden
  • EV Charger

ชั้น 3

  • Co-Working Space (อาคาร A)
  • Camera Studio (อาคาร A)
  • Meeting Room (อาคาร A)
  • Walkway เชื่อมระหว่างอาคาร A และอาคาร B

ชั้น 4

  • Fitness (อาคาร A)

ชั้น 8

  • Walkway เชื่อมระหว่างอาคาร A และอาคาร B

ชั้น Rooftop

  • Rooftop Garden
  • Internet WIFI บริเวณส่วนกลางโครงการ
  • ลิฟต์โดยสาร 1 ตัว/อาคาร
  • อัตราส่วนลิฟต์รวมทั้งโครงการ 127 : 1
  • อัตราส่วนลิฟต์ อาคาร A 121 : 1 , อาคาร B 133 : 1
  • ที่จอดรถปกติ + ที่จอดอัตโนมัติ คิดเป็น 30%
  • กล้องวงจรปิด CCTV 24 ชม.
  • เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัย 24 ชม.

 

 

แบบห้อง

Highlights :

  • เน้นห้อง 1 Bedroom ที่มีบรรยากาศโปร่งโล่งคล้าย Studio และได้ครัวปิดทุกแบบ
  • ได้เฟอร์นิเจอร์แพ็คเกจแบบจัดเต็ม ไม่ต้องเสียเวลาไป Built-in ด้วยตัวเอง และทำให้มีพื้นที่เก็บของเยอะมากๆ ถือว่าใช้พื้นที่ได้อย่างคุ้มค่าดีทีเดียว
  • ชอบวิธีการจัดเฟอร์นิเจอร์ของตู้เสื้อผ้า ที่ทำให้เกิดฟังก์ชัน Walk-in Closet ที่เป็นสัดส่วนและใช้งานได้จริงในห้องไซส์เล็กแบบนี้

โครงการ THE MUVE Ram 22 จะเน้นห้องพัก 1 Bedroom เป็นหลัก โดยจะมีให้เลือกทั้งหมด 3 Type ประกอบด้วย

  • 1 Bedroom พื้นที่ใช้สอยภายใน 21.5 – 22 ตร.ม.
  • 1 Bedroom พื้นที่ใช้สอยภายใน 23.75 – 24.75 ตร.ม.
  • 1 Bedroom พื้นที่ใช้สอยภายใน 24.25 ตร.ม.

จุดเด่นที่น่าสนใจจริงๆคือ Layout ของห้องที่มีความเป็นสัดส่วน และเฟอร์นิเจอร์แพ็คเกจที่จัดมาให้แบบ Fully Furnished ซึ่งถูกออกแบบมาให้มีความเหมาะสมกับขนาดห้อง ทำให้เกิดฟังก์ชันที่น่าสนใจ และสามารถใช้พื้นที่เก็บของได้อย่างคุ้มค่ามากๆเลยนั่นเองครับ

สำหรับห้องตัวอย่างวันนี้จะเป็น 1 Bedroom ขนาด 24.5 ตร.ม. ซึ่งเป็นรูปแบบห้องมาตรฐานที่มีจำนวนมากที่สุดในโครงการ โดยทางด้านหน้าห้องเราจะได้เป็นครัวปิดที่พอจะทำอาหารได้จริงจังระดับหนึ่ง ส่วนด้านในห้องจะเป็นพื้นที่เชื่อมต่อกันขนาดใหญ่คล้ายห้อง Studio จึงมีความกว้างขวางและได้บรรยากาศโปร่งโล่งดีทีเดียว

จุดที่ผมชอบมากๆคือ ลักษณะของตู้เสื้อผ้าที่เป็นรูปตัว L ซึ่งช่วยแบ่งพื้นที่ใช้สอยให้เกิดความเป็นสัดส่วนมากขึ้น กลายเป็น Walk-in Closet ไปด้วยในตัว โดยที่เตียงนอนจะถูกดันให้ชิดไปกับริมหน้าต่าง เพื่อที่จะได้มีพื้นที่กลางห้องกว้างๆให้ใช้งาน แต่ก็เพิ่มลูกเล่นอย่างช่องเก็บของรอบเตียงให้ได้ใช้งานกันอย่างคุ้มค่ามากขึ้นอีกด้วย

ส่วนภาพนี้จะเป็นรายการเฟอร์นิเจอร์ ที่เราจะได้เป็นมาตรฐานภายในห้องครับ ซึ่งพวกตู้ต่างๆจะเห็นได้ว่ามีช่องเก็บของที่เยอะมากๆเลยทีเดียว หมดปัญหาพื้นที่เก็บของในคอนโดไม่พอ และไม่ต้องเสียเวลาไป Built เพิ่มเองอีกต่อไป

เรามาเริ่มกันตั้งแต่หน้าห้องเลยครับ โดยจะเป็นประตูไม้บานทึบที่มีช่องตาแมวแบบนี้ มาพร้อมกับ Digital Door Lock และขอบธรณีประตูที่ยกสูงขึ้นมาเล็กน้อย เพื่อช่วยป้องกันเศษฝุ่นจากภายนอกไม่ให้เข้ามาด้านใน

เมื่อเปิดประตูเข้ามาเราจะเจอกับส่วนครัวก่อนเป็นอันดับแรก มีความกว้างประมาณ 1.2 m. ซึ่งพื้นก็จะเป็นกระเบื้องแกรนิตโต้ เวลาทำอาหารหรือใส่รองเท้าเข้ามาในห้อง ก็สามารถเช็ดทำความสะอาดได้สบายๆเลยครับ

โดยครัวนี้จะมีประตูกระจกบานเลื่อนแบบ 3 ตอน กรอบอลูมิเนียมสีดำและกระจกเขียวตัดแสงกั้นปิดเอาไว้ ทำให้ช่วยกันกลิ่น/ควันจากการประกอบอาหาร ไม่ให้เข้ามารบกวนพื้นที่พักผ่อนภายใน ทำให้กลายเป็นครัวปิดที่สามารถทำอาหารจริงจังได้ในระดับหนึ่ง

รวมถึงยังมีส่วนช่วยป้องกันเสียงรบกวนจากภายนอกห้องอีกชั้นหนึ่ง ทำให้ภายในมีความเงียบสงบและเป็นส่วนตัวมากขึ้นได้ด้วยครับ

ชุดครัว Built-in เราจะได้มาแบบนี้เลยนะ ประกอบด้วย Hob&Hood จาก Teka (เป็นแบบดูดหมุนเวียนภายใน) / อ่างล้างจาน และ Top เคาน์เตอร์ครัวเป็นหินสังเคราะห์ ที่สามารถทนความร้อนหรือกรดด่างได้ดี แต่ถ้าใครที่เป็นสายชอบทำอาหารจริงจังบ่อยๆ ก็อาจติดตั้ง Backsplash ที่ผนังเพิ่มเติมก็ได้ครับ จะได้เช็ดทำความสะอาดได้ง่ายมากขึ้น

ฝั่งตรงข้ามจะเป็นตู้เก็บรองเท้าและตู้เก็บของ ซึ่งเราสามารถจัดเก็บเข้าไปในตู้ให้เรียบร้อยได้เลย ถือเป็นอีกฟังก์ชันหนึ่งที่ผมชอบมากๆ และช่วยแก้ปัญหาที่เก็บรองเท้าของห้องในคอนโดส่วนใหญ่ได้ดี

รวมถึงเรายังสามารถใช้วางสิ่งของ ที่อาจต้องหยิบจับก่อนออกจากห้องบ่อยๆได้สะดวกด้วย อย่างเช่น กุญแจรถ กระเป๋าเงิน และร่ม เป็นต้น

ถัดเข้ามาภายในห้องจะเป็นพื้นที่เชื่อมต่อกันคล้าย Studio จึงทำให้มีพื้นที่ใช้สอยขนาดใหญ่และกว้างขวาง บรรยากาศค่อนข้างโปร่งโล่งดีครับ ส่วนพื้นห้องก็จะเป็นไม้ลามิเนตลายธรรมชาติสวยงาม

สำหรับไอเดียการวางตำแหน่งโซฟาของห้องนี้ โดยส่วนตัวผมมองว่าอาจทำให้การใช้งานดูทีวีไม่ค่อยสะดวกนัก ซึ่งแนะนำให้ลองสลับที่เลื่อนโซฟามาชิดกับเตียงนอน ก็น่าจะช่วยทำให้พ้นระยะการบังของตู้เสื้อผ้าได้มากขึ้นนะครับ

ส่วนไอเดียของโต๊ะตัวนี้ที่ทางโครงการวางไว้ชิดกับเตียงคือ เราสามารถใช้แทนโต๊ะหัวเตียงไว้วางของได้ด้วย หรือเราอาจเลื่อนออกมาใช้เป็นโต๊ะนั่งทานอาหารชั่วคราว และเลื่อนเก้าอี้มาใช้นั่งทานร่วมกัน 2 คนแบบนี้ก็ได้ครับ

ต่อมาจะเป็นโซนของเตียงนอนที่จะตั้งอยู่ติดกับช่องแสงแบบนี้ ทำให้สามารถนอนดูวิวภายนอกได้สบายๆ และได้พื้นที่ใช้สอยกลางห้องเพิ่มขึ้นอีกด้วย โดยแลกกับการที่เราอาจต้องขึ้น-ลงเตียงเพียงด้านเดียวแทนครับ

ซึ่งเตียงนอนนี้ก็ได้ถูกออกแบบพิเศษให้พอดีกับขนาดพื้นที่ และมีช่องเก็บของเยอะมาก ไม่ว่าจะเป็นตรงปลายเตียงและลิ้นชักใต้เตียง จึงทำให้เราสามารถใช้พื้นที่ได้อย่างคุ้มค่ามากขึ้น

รวมถึงผนังปลายเตียงทางโครงการก็ใส่ไอเดียว่า เราสามารถทำชั้นวางของเล็กๆเพิ่มแบบนี้ได้ด้วยนะครับ

อีกด้านของห้องจะเป็นโต๊ะตัวยาวที่ Built-in แขวนผนังไว้แบบนี้ สามารถใช้เป็นชั้นวางทีวีก็ได้ เป็นโต๊ะอเนกประสงค์สำหรับแต่งหน้า/นั่งทำงานก็ดี รวมถึงที่ผมชอบมากๆเลยก็คือ ด้านหลังตู้เสื้อผ้าจะมีช่องให้เราได้เก็บของเพิ่มเยอะมากๆครับ

และติดกันก็จะเป็นระเบียงขนาด 1.1 x 0.75 m. ด้านบนแขวน Condensing Unit และเป่าลมร้อนออกไปด้านนอก ทำให้เราสามารถออกมายืนสูดอากาศ หรือตากผ้าเล็กๆน้อยๆได้ครับ

อีกด้านหนึ่งของห้องนับว่าเป็นไอเดียที่ผมชอบมากที่สุด คือเค้าจะใช้ตู้เสื้อผ้ารูปตัว L มากั้นฟังก์ชันเอาไว้ และทำให้เกิดเป็นพื้นที่ Walk-in Closet เป็นสัดส่วนจริงจัง โดยยังคงความกว้างขวางและโปร่งโล่งของพื้นที่ใช้สอยส่วนอื่นๆในห้องได้เป็นอย่างดี

ภายในตู้สามารถเก็บของได้ทั้ง 2 ด้านเลยครับ และเพียงพอสำหรับการอยู่อาศัย 1 – 2 คนสบายๆ โดยจะมีพื้นที่แต่งตัวกว้างประมาณ 75 cm. ให้ใช้งานได้แบบพอดีๆ

ติดกันจะเป็นห้องน้ำที่มีการแบ่งฟังก์ชันอย่างเป็นสัดส่วน โดยพื้นที่ส่วนแห้งจะกว้าง 1 x 0.9 m. และได้สุขภัณฑ์จาก Bath line ครบชุดแบบนี้เลย แต่ที่ชอบมากๆก็คือ กระจกเงาที่สามารถเราเปิดออกมาและเก็บของด้านในได้ด้วยนั่นเอง

สุดท้ายจะเป็น Shower Box ที่กั้นด้วยประตูกระจกบานเลื่อนนิรภัย Tempered Glass แบบ 3 ตอน ทำให้ช่วยป้องกันไม่ให้น้ำกระเด็นออกมาเปียกด้านนอก

ภายในกว้าง 1 x 0.9 m. สามารถยืนอาบได้แบบพอดีๆ มีช่องตรงผนังให้วางอุปกรณ์อาบน้ำได้ ส่วนเครื่องทำน้ำอุ่นของจริงจะได้เป็นเพียง Junction Box ที่ให้มาต่อเติมเองนะครับ

สำหรับห้อง 1 Bedroom  ขนาด 21.75 ตร.ม. จะเป็นแบบห้องเล็กสุดของโครงการ ที่ปัจจุบันก็ยังคงมีขายอยู่นะครับ (แต่ก็เหลืออยู่เพียงไม่กี่ยูนิตแล้ว) โดยลักษณะของแปลนห้องนี้ก็จะเหมือนกับห้องตัวอย่างที่เราเพิ่งรีวิวไปก่อนหน้านี้เลย เพียงแต่ด้วยขนาดพื้นที่ใช้สอยที่เล็กลง จึงอาจไม่ได้จัดตู้เสื้อผ้าเป็น Walk-in Closet เหมือนเดิม แต่ก็แน่นอนว่าบรรยากาศห้องโดยรวมก็จะมีความโปร่งโล่งและกว้างขวางมากขึ้นครับ

**รายละเอียดของวัสดุต่างๆเช่น ยี่ห้อ และรุ่น ของจริงอาจจะเป็นรุ่นนี้หรือเทียบเท่านะครับ

ราคา

THE MUVE ราม 22 (เดอะ มูฟ ราม 22) ราคา ณ วันที่ 2 ธันวาคม 2565

  • 1 Bedroom พื้นที่ใช้สอย 21.5 – 22 ตร.ม. ราคาเริ่มต้น 1.89 ล้านบาท (Promotion)
  • 1 Bedroom พื้นที่ใช้สอย 23.75 – 24.75 ตร.ม. ราคาเริ่มต้น 2.09 ล้านบาท (Promotion)

  • รูปแบบการขาย Fully Furnished
  • ความสูงจากพื้นถึงฝ้าเพดาน 2.55 เมตร
  • Kitchen & Sink wood patern melamine panel / Top ครัวหินสังเคราะห์
  • Hob & Hood / ของยี่ห้อ TEKA เตา 1 หัว Induction
  • จอง 10,000 บาท
  • ทำสัญญา 20,000 บาท
  • ค่ากองทุน 600 บาท/ตร.ม.
  • ค่าส่วนกลาง 45 บาท/ตร.ม./เดือน. จัดเก็บล่วงหน้า 2 ปี

**ราคาที่เอามาลงในบทความเป็นราคา ณ วันที่เข้าไปเก็บข้อมูลทำรีวิว ดังนั้นราคาต่างๆอาจมีการเปลี่ยนแปลงได้ครับ

บทสรุป

ทำเล : ตั้งอยู่ภายในซอยรามคำแหง 22 ซึ่งเข้ามาเพียง 150 m. โดยรอบถือว่าค่อนข้างอุดมสมบูรณ์มากๆครับ เพราะอยู่ใกล้กับตลาดและห้างสรรพสินค้าในระยะเดินได้ประมาณ 500 m. ไม่ว่าจะเป็น Big C และ The Mall ที่ปัจจุบันเค้าจะสร้างเป็นโครงการ Mixed-used ที่จะมีสิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆครบครันมากขึ้น เพื่อรองรับการเติบโตของย่านนี้ในอนาคต รวมถึงยังอยู่ใกล้กับสถานศึกษาชื่อดังหลายแห่ง ที่มีตั้งแต่ชั้นประถมไปจนถึงระดับมหาวิทยาลัยอีกด้วย

การเดินทางโดยใช้รถ : เป็นอีกหนึ่งย่านที่สามารถเข้าเมืองได้ง่าย ถ้าใครเน้นใช้ชีวิตไปทางพระราม 9 – พัฒนาการ หรือไปขึ้นทางด่วนก็จะสะดวกมาก สามารถขับตรงยาวไปทำงานได้เลยแบบไม่ต้องเสียเวลากลับรถ รวมถึงยังมีทางลัดอย่างซอยวัดเทพลีลา ที่ใช้เชื่อมต่อไปยังเลียบด่วนรามอินทรา-ประชาอุทิศ-ห้วยขวาง-รัชดาได้สบายๆ แต่อาจต้องเสียเวลากลับรถสักนิดหน่อยนะครับ ส่วนที่จอดรถจะมีประมาณ 30% ถือว่าไม่ค่อยเยอะเท่าไหร่ เพราะเค้าต้องการเน้นกลุ่มเป้าหมายที่ใช้รถสาธารณะเป็นส่วนใหญ่นั่นเอง

การเดินทางโดยไม่ใช้รถ : ถือว่าสะดวกมากครับ โดยเฉพาะการมาของรถไฟฟ้าสายสีส้มนั้น จะช่วยลดปัญหาการจราจรที่หนาแน่นบนท้องถนนในอนาคตได้ดี และยังทำให้เดินทางเข้าเมืองได้สะดวกมากขึ้นอีกด้วย ซึ่งสถานีที่ใกล้ที่สุดคือ สถานีรามคำแหง 12 ประมาณ 500 m. รวมถึงบริเวณหน้าปากซอยก็ยังมีวินมอเตอร์ไซค์ และป้ายรถเมล์ให้เรียกใช้บริการรถสาธารณะอื่นๆได้สะดวกอีก

วัสดุ : ขายแบบ Fully Furnished ให้มาครบไม่ต้องเสียเวลาแต่งเพิ่มเอง และถึงแม้ว่าเรื่องสเปควัสดุจะให้มาเป็นมาตรฐานสำหรับราคานี้ แต่ที่ผมคิดว่าเป็นจุดเด่นมากๆเลยก็คือ การดีไซน์เฟอร์นิเจอร์ให้พอดีกับตัวห้อง และทำให้เราสามารถใช้สอยพื้นที่ได้อย่างคุ้มค่า สังเกตได้จากตู้เก็บของต่างๆที่ให้มาเยอะมากๆ ไม่ว่าจะเป็นตู้รองเท้า ตู้เสื้อผ้า และเตียงนอน ทำให้หมดปัญหาเรื่องพื้นที่เก็บของในห้องคอนโดไม่พอ และยังดูเป็นระเบียบเรียบร้อยดีอีกด้วย

การออกแบบโครงการ : เป็นโครงการขนาดไม่ใหญ่มากนัก แบ่งออกเป็น 2 อาคาร และเชื่อมต่อกันด้วยสะพานที่ชั้น 3 และ 8 ทำให้ลูกบ้านสามารถข้ามฝั่งเพื่อไปใช้งาน Facilities ร่วมกันได้สะดวกมากขึ้น โดยถ้าใครเป็นคนที่ชอบใช้งานส่วนกลางบ่อยๆ ก็จะเหมาะกับอาคาร A เพราะส่วนกลางทั้งหมดจะอยู่ที่อาคารนี้เป็นหลัก แต่ถ้าเป็นอาคาร B ก็จะไม่ค่อยวุ่นวายมากนัก ถึงแม้ว่าอาจจะมีจำนวนเพื่อนบ้านเยอะกว่านิดหน่อยก็ตาม แถมห้องพักทางด้านหน้าก็ยังได้วิวของพื้นที่สีเขียวชั้นล่างอีกด้วย

การออกแบบพื้นที่ใช้สอย : ทั้งโครงการจะเน้นเป็นห้อง 1 Bedroom ถึงแม้ว่าจะมีขนาดพื้นที่ใช้สอยเพียง 21.5 – 24.75 ตร.ม. แต่ก็สามารถจัดฟังก์ชันได้อย่างลงตัวและเป็นสัดส่วนมากๆครับ โดยลักษณะห้องจะคล้าย Studio จึงมีความกว้างขวางไม่อึดอัด และจุดที่ผมชอบมากๆคือแบบห้อง 24 ตร.ม. ที่มีการใช้ตู้เสื้อผ้ามากั้นพื้นที่ทำเป็น Walk-in Closet อย่างเป็นสัดส่วน ถือว่าเป็นฟังก์ชันที่หาได้ยากสำหรับห้องไซส์นี้ รวมถึงยังได้ห้องครัวปิดที่พอจะทำอาหารจริงจังได้ในระดับหนึ่งด้วยครับ แต่ก็มีข้อจำกัดเล็กน้อยคือ ตัวเตียงจะตั้งอยู่ชิดริมหน้าต่างพอดี ซึ่งจะขึ้น-ลงได้เพียงแค่ฝั่งเดียว ทำให้ไม่ค่อยสะดวกเวลานอนด้วยกัน 2 คนสักเท่าไหร่นั่นเอง

สาธารณูปโภค : ถึงแม้ว่าแบรนด์ THE MUVE จะมีแนวคิดในการตัดฟังก์ชันส่วนกลางบางอย่างที่ไม่จำเป็นออกไป เพื่อช่วยลดต้นทุนหรือภาระค่าใช้จ่ายต่างๆของลูกบ้าน ไม่ว่าจะเป็น Lobby และสระว่ายน้ำ ซึ่งคนที่อาศัยอยู่คอนโดบางคนเองก็อาจไม่เคยได้ใช้งานเลยด้วยซ้ำ แต่สำหรับฟังก์ชันหลักๆอย่างอื่นถือว่าใส่มาให้ครบ โดยเฉพาะ Co-Working Space / Meeting Room และ Camera Studio ที่ถือว่าเป็นฟังก์ชันที่ขาดไม่ได้ในยุคสมัยนี้ ที่หลายๆคนก็ยังทำงานอยู่บ้านนั่นเอง รวมถึงยังมีห้องออกกำลังกาย และ EV Charger สำหรับคนใช้รถยนต์ไฟฟ้าให้ใช้งาน รวมถึงมีพื้นที่สีเขียวให้เดินเล่นพักผ่อน หรือจะขึ้นไปชมวิวบนดาดฟ้าได้อีกด้วย

Judgement

การให้คะแนน ให้แบบ Weight Average โดยมุ่งหาความคุ้มค่า เทียบกับราคาที่จ่ายไป โดยมีส่วนที่พิจารณาดังนี้

ทำเล 35%, การเดินทางโดยใช้รถ 15%, การเดินทางโดยไม่ใช้รถ 15%, วัสดุ 15%, การออกแบบ 10% และสาธารณูปโภค 10%

เทียบกับช่วงราคาเฉลี่ยแบบทั้งโครงการ AVG 79,000 บาท/ตร.ม., 2 ธันวาคม 2565

  • ทำเล 8/10 – อุดมสมบูรณ์ ใกล้ตลาดและห้างสรรพสินค้าในระยะเดิน หาของกินง่าย
  • เดินทางด้วยรถ 8/10 – เข้าเมืองสะดวก ใกล้ทางด่วนและซอยลัด มีที่จอดรถ 30%
  • ไม่ใช้รถ 8.5/10 – ใกล้รถไฟฟ้าสายสีส้ม 500 m. มีวินมอเตอร์ไซค์และป้ายรถเมล์ตรงปากซอย เรียกรถสาธารณะได้ง่าย
  • วัสดุ 7.75/10 – Fully Furnished แต่งครบพร้อมอยู่ มีฟังก์ชันให้เก็บของได้เยอะ
  • แบบ 8/10 – เน้นห้อง 1 Bedroom ไซส์เล็ก แต่แบ่งฟังก์ชันเป็นสัดส่วนได้ดี และใช้พื้นที่เก็บของได้อย่างคุ้มค่า
  • สาธารณูปโภค 7.75/10 – มีฟังก์ชันหลักๆที่จำเป็นครบ เน้นพื้นที่ทำงาน และมีสวนบนดาดฟ้าใช้ขึ้นไปใช้ได้

  • MAIN CLASS
  • 7.99 / 10.00

THE MUVE Ram 22 (เดอะ มูฟ ราม 22) เหมาะกับใคร

โครงการ THE MUVE ราม 22 เหมาะกับคนที่มองหาคอนโดในย่านซอยรามคำแหง ที่ใกล้ตลาดและห้างสรรพสินค้าในระยะเดิน รวมถึงใกล้รถไฟฟ้าสายสีส้มสถานีรามคำแหง 12 ประมาณ 500 m. และเรียกบริการรถสาธารณะอื่นๆสะดวก โดยเป็นโครงการที่มีส่วนกลางหลักๆครบ โดยเฉพาะพื้นที่นั่งทำงาน แต่จะไม่มีสระว่ายน้ำ และเน้นเป็นห้อง 1 Bedroom ไซส์เล็ก ขายแบบ Fully Furnished มีการดีไซน์เฟอร์นิเจอร์ได้ดี ช่วยแบ่งพื้นที่ฟังก์ชันให้เป็นสัดส่วน และเพิ่มพื้นที่เก็บของในห้องได้เยอะ มีงบประมาณเริ่มต้น 1.89 – 2.09 ล้าน หรือมีกำลังผ่อนประมาณ 13,000 – 15,000 บาท/เดือน


ThinkofLiving มี LINE Official Account แล้วนะ
ไม่อยากพลาดข้อมูลข่าวสารก็ Add เลย > https://lin.ee/svACOxc