รีวิวโครงการ

The Sneak EP.29 – The ESSE อโศก

26 พฤษภาคม 2019

อ่านรีวิวล่าสุด

รีวิวฉบับที่ 1867 … The ESSE อโศก เป็นคอนโดจาก สิงห์ เอสเตทตัวแรกที่สร้างเสร็จ โครงการนี้จัดว่าเป็นตึกที่สูงที่สุดในย่านอโศกนี้เลยก็ว่าได้ ด้วยความสูง 236.65 เมตร กับจำนวนชั้น 55 ชั้น การออกแบบเน้นความ Luxury ด้วยห้องที่เริ่มมาก็ขนาดใหญ่เลย 1 Bedroom 37 ตร.ม.  ฝ้าเพดานสูง 3 เมตร และยังมีที่จอดรถให้มา 100% รวมไปถึงส่วนกลางที่จัดมาให้ค่อนข้างเยอะ เราลองไปดูกันดีกว่าค่ะ ว่าตึกสร้างเสร็จแล้วของที่นี่จะเป็นอย่างไรกันบ้าง

Fact @ 13 MAY 2019

  • THE ESSE Asoke (ดิ เอส อโศก)
  • Singha Estate Public Company Limited
  • SUPER LUXURY CLASS (อ่านรายละเอียดของ Segment คอนโดได้ที่นี่)
  • ที่ตั้งโครงการ : ถนนอโศกมนตรี แขวงคลองเตย เขตวัฒนา กรุงเทพ
  • คอนโด High Rise 55 ชั้น 1 อาคาร จำนวน 419 ยูนิต
  • ยูนิตต่อชั้นสูงสุด : 12 ยูนิต ที่ชั้น 11-32
  • ที่จอดรถ : ประมาณ 428 คัน (รวมจอดซ้อนคัน และ supercar) คิดเป็น 102 %
  • ที่จอดรถ Superbike 9 คัน
  • ที่ดินประมาณ : 2-2-73.7 ไร่
  • เริ่มก่อสร้าง : 2016
  • สร้างเสร็จ : 2019
  • 1 Bedroom 37 – 53 ตร.ม. ราคาเริ่มต้น 9.59 ล้านบาท
  • 2 Bedrooms 75.5 – 84 ตร.ม. ราคาเริ่มต้น 19.23 ล้านบาท
  • Penthouse 104.5 – 195.5 ตร.ม. ราคาเริ่มต้น 35.61 ล้านบาท
  • ฝ้าเพดานสูง 3 เมตร
  • ราคาห้องเริ่มต้น 9.59 ล้านบาท
  • ราคาเฉลี่ยต่อตารางเมตรทั้งโครงการ 240,000 บาท/ตร.ม.
  • ราคาเฉลี่ยต่อตารางเมตรต่ำสุด – สูงสุด : 219,556-257,678 บาท/ตร.ม.
  • เวปไซต์โครงการ : คลิกที่นี่
  • โทร : 1221

สามารถเลือกอ่านตามหัวข้อต่างๆได้โดยกดปุ่มด้านล่างค่ะ


เจาะลึกเรื่องทำเลที่ตั้ง

พิกัด Google Maps : 13.743232, 100.561876
หรือสามารถ :  คลิกที่นี่

แผนที่จากทางโครงการค่ะ THE ESSE อโศก จะตั้งอยู่บนถนนอโศกมนตรีเลย โดยจะอยู่กึ่งกลางระหว่างถนนเพชรบุรีตัดกับถนนสุขุมวิท ฝั่งมุ่งหน้าไปยังถนนเพชรบุรี

The ESSE อโศก ตั้งอยู่บนถนนอโศกมนตรี หรือซอยสุขุมวิท 21 ฝั่งมุ่งหน้าไปทางถนนเพชรบุรี โดยจะอยู่บริเวณกึ่งกลางของถนนอโศก ซึ่งถนนอโศกนี้เอง จัดว่าเป็นถนนอีกแห่งที่สำคัญของกรุงเทพ เพราะเป็นอีกหนึ่งแหล่ง CBD ที่มีความหลากหลายของประเภทกิจกรรม การใช้ชีวิตค่อนข้างมาก ทั้งอาคารสำนักงานขนาดเล็ก กลาง ใหญ่ ทำให้วันธรรมดามีคนทำงานจำนวนมากเดินทางเข้า-ออก และใช้ชีวิตบนถนนเส้นนี้ค่อนข้างเยอะ เกิดห้าง ร้าน ตลาดมากมายบนถนนเส้นนี้ ทั้งร้านอาหารตามอาคารสำนักงาน ซอยต่างๆ หรือจะเป็นตลาดรวมทรัพย์ที่อยู่กลางถนนอโศก ที่นี่ก็สามารถเป็นเเหล่งฝากท้องของโครงการในวันธรรมดาได้ แต่ต้องบอกก่อนว่า ภายในตลาดค่อนข้างจะปิดเร็ว ในกรณีที่ตลาดปิด ก็ยังคงหาอาหารการกินได้ง่าย เพราะจะมีร้านอาหารต่างๆเปิดตามอาคารสำนักงาน เช่นอโศกมิดทาวน์ข้างโครงการเราก็จะมีร้านอาหาร ร้านฟาสฟู้ดเปิดให้บริการค่อนข้างมาก (เช่น S&P, Pizza, KFC) หรือจะเป็นปั๊มน้ำมันฝั่งตรงข้ามก็จะมี butger king เปิดอยู่ อีกทั้งตามตึกเเถวอาคารพาณิชย์ข้างเคียงก็จะมีร้านอาหารระดับบ้านๆ หรือจะเป็นร้านกินดื่มปิดดึกแบบ Izakaya ถนนอโศกนี้ก็มีมากไม่แพ้ย่านทองหล่อเอกมัยเลยค่ะ ส่วนใครที่อยากได้ตัวเลือกอื่นๆ เดินไปทางฝั่งเพชรบุรีจะมีคอมมูนิตี้มอลล์เปิดใหม่อย่าง บ้านก้ามปู ด้านหลังบ้านก้ามปูก็จะมีอีกเวิ้งนึงชื่อThe gardens ตรงนี้ถือว่าเป็นคอมมูเปิดใหม่เลย มีทั้งร้านอย่างไก่ทอดบอนชอน  ร้านเขียวไข่กา(อาหารไทยอร่อยมาก) คาเฟ่น่ารักอย่าง Moomin pop Cafe’และอื่นๆอีกมากก็มีให้เดินไปได้ไม่ไกลค่ะ ส่วนตำแหน่งสี่เเยกที่ตัดกับถนนเพชรบุรี จะมี สิงห์ คอมเพล็กซ์ที่เป็นอาคาร Mix-used เปิดใหม่ เจ้าของเดียวกับโครงการเราเลย ตรงนี้ก็จะมีร้านอาหารอีกมาก หรือจะเป็นอโศกฝั่งที่ตัดกับถนนสุขุมวิทก็จะมีห้างดังอย่าง Terminal 21 อยู่ค่ะ ดังนั้นถ้าพูดถึงเรื่องอาหารการกิน ย่านอโศกนี้ไม่ต้องห่วงเลยทีเดียว

บรรยากาศบ้านก้ามปูและ The Gardens คอมมูนิตี้เปิดใหม่ใกล้มหาวิทยาลัยประสานมิตร

บรรยากาศ อโศก มิดทาวน์ ข้างโครงการ

ในเเง่การเดินทาง อโศกนับว่าเป็นทำเลนึงที่สะดวกทั้งการเดินทางด้วยรถยนต์และระบบขนส่งมวลชนต่างๆค่ะ (ต้องตัดเรื่องรถติดออกไปก่อนนะคะ) มาดูในแง่การเดินทางด้วยรถยนต์ก่อน ถนนอโศกนี้จะสามารถใช้ไปเชื่อมต่อกับถนนสุขุมวิทและถนนเพชรบุรีได้ หรือจะเลยไปยังพระราม 9 และฝั่งถนนพระราม 4 ได้เช่นกัน ส่วนถนนสุขุมวิทและถนนเพชรบุรีนั้นจะเป็นถนนสองสายหลักในการใช้เดินทางเพื่อนเข้าและออกเมืองอยู่แล้ว อย่างถนนสุขุมวิทเอง ก็จะเป็นเส้นทางที่สามารถเชื่อมต่อเข้าเมืองไปยังสยามได้ หรือจะออกเมืองไปยังสมุทรปราการได้เลย ส่วนถนนเพชรบุรี จะเป็นเส้นที่ใช้เดินทางไปยังพญาไท ราชเทวีได้ หรือจะออกเมืองไปยังพัฒนาการ ศรีนครินทร์ได้อีก แม้แต่ถนนอโศกเอง ก็จะมีทางลัดเลาะไปได้ เช่นไปออกยังซอยนานา หรืออีกฝั่งก็จะเชื่อมไปยังซอยสุขุมวิท 39 ไปออกทองหล่อ เอกมัยก็ได้ค่ะ ถือว่าเป็นทำเลที่สามารถเชื่อมต่อได้หลากหลาย เเละมีตัวเลือกให้ใช้งานค่อนข้างมาก แต่ก็ต้องอย่าลืมนะคะเรื่องทำเลใจกลางเมือง แหล่ง CBD ที่มีคนใช้งานมาก จำนวนรถที่ผ่านก็ย่อมมากตาม ดังนั้นเรื่องรถติดจึงเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ ทำให้เราอาจจะต้องพึ่งพิงรถสาธารณะอื่นๆอีกค่ะ

ส่วนระบบขนส่งสาธารณะอื่นบนถนนอโศกนี่ก็มีให้เลือกใช้งานหลากหลายอีกเช่นกัน ตั้งแต่วินมอเตอร์ไซค์ที่อยู่ข้างโครงการเลย ไปยังรถเมล์และรถ Taxi ที่ผ่านถนนเส้นนี้ตลอดเวลา ขยับออกไปหน่อยก็จะมีทั้ง BTS และ MRT ที่เเยกอโศก-สุขุมวิท และอีกหนึ่งสถานี MRT และ ARL ที่เเยกอโศก-เพชรบุรี และที่ unique กว่าทำเลอื่นๆคือมีท่าเรืออโศกที่อยู่ท้ายซอยใกล้กับ MRT เพชรบุรีค่ะสามารถเข้าเมืองไปยังย่านผ่านฟ้า วัดภูเขาทองได้เลย

สามารถเข้าไปอ่านทำเลโดยละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ : คลิกที่นี่

อัพเดทบรรยากาศและวิวรอบๆโครงการ

THE ESSE อโศก มีที่ตั้งอยู่ใจกลางถนนอโศก ซึ่งนับว่าเป็นถนนอีกเส้นที่มีการสร้างอาคารสูงขึ้นอยู่ค่อนข้างหนาแน่น รวมไปถึงรอบๆโครงการเราเช่นกันค่ะ

  • ทิศเหนือ – ติดกับซอยตัน , Asoke Midtown , Grand park view สูง 32 ชั้น และ The Room สูง 29 ชั้น
  • ทิศตะวันออก – ติดกับถนนอโศกมนตรี และ ปั๊มน้ำมัน
  • ทิศใต้ – ติดกับอาคารพาณิชย์สูง 7 ชั้น และ Ocean Tower 2 สูง 42 ชั้น
  • ทิศตะวันตก – ติดกับโรงเรียนวัฒนาวิทยาลัย

เดี๋ยวเราลองไปดูบรรยากาศรอบๆโครงการกันดีกว่าค่ะ

ทิศเหนือ ติดกับซอยตันและอาคาร Grand Park view สูง 32 ชั้น ระยะไม่ประชิดมากค่ะ ส่วน ทิศใต้ ระยะประชิดเลย ติดกับ Ocean Tower 2 สูง 42 ชั้น ตำแหน่งของ The Esse อโศกฝั่งนี้จะถูกออกแบบเป็นทางเดินค่ะ เพื่อความเป็นส่วนตัวในการพักอาศัย

ทิศตะวันออก ติดกับปั๊มน้ำมันค่ะ ทำให้ห้องที่หันหน้าทางนี้จะไม่มีอาคารสูงบังวิวและได้ความเป็นส่วนตัวมากขึ้นหน่อย แต่ในอนาคตฝั่งนี้อาจจะมีการเปลี่ยนเเปลงได้นะคะ

ทิศใต้ ติดกับอาคารพาณิชย์สูง 7 ชั้น ตึกนี้จะเป็นหัวมุมของถนนเข้าโรงเรียนวัฒนา ที่ตึกนี้จะมี 7-11 อยู่ค่ะ

ซอยเข้าโรงเรียนวัฒนา ซอยนี้สามารถออกไปยังสุขุมวิท 19 (เข้า Terminal 21) และถ้าเรามาจากฝั่งเพชรบุรีสามารถขับเลี้ยวขวาซอยนี้ได้ ไปยูเทิร์นด้านในซอยเพื่อขับกลับมายังโครงการได้ค่ะ

วิวจากภายในโครงการ

เรามีภาพบรรยากาศถ่ายจากชั้น 43 ซึ่งเป็นชั้น Facility ที่สูงที่สุดในโครงการมาฝากกัน ที่ชั้นนี้จะเป็นชั้นที่สูงพ้นจากโครงการที่เป็นตึกสูงรอบด้าน วิวจะเป็นอย่างไร ไปชมกันเลยค่ะ

วิวทิศเหนือจากชั้น 43 จะพ้นอาคารอโศกมิดทาวน์ คอนโด Grand Park view และ The Room แล้วค่ะ ฝั่งนี้จะมองไปยังทางพระราม 9 – รัชดา แอบมองเห็นสถานีแอร์พอร์ตลิ้ง มักกะสันด้วย

วิวทิศเหนือจากชั้น 43 ก้มลงมองดูจะเห็นอาคารเรียนและหอพักนักเรียนประจำของเด็กวัฒนาทางซ้ายมือ

วิวทิศตะวันตกจากชั้น 43 ฝั่งนี้จะได้วิวที่เปิดโล่งมากที่สุดเลย และไม่น่าจะมีการสร้างอาคารสูงในระยะประชิดค่ะ

วิวทิศตะวันตกจากชั้น 43 มองลงไปเป็นโรงเรียนวัฒนาค่ะ เด็กกระโปรงเเดง อาคารเรียนเเนวราบก็หลังคาสีแดงโดดเด่นเลย

วิวทิศตะวันตกเฉียงเหนือ จากชั้น 43 ลองมองเฉียงๆ ทิศนี้ดูเปิดโล่งมากเลยค่ะ

วิวทิศตะวันออกจากชั้น 43 ฝั่งนี้จะหันหน้าไปยังถนนอโศก ยังเเอบเห็นตึกเเกรมมี่ที่อยู่ฝั่งตรงข้ามนะคะ

ทิศใต้จากชั้น 43 ฝั่งนี้จะมองไปยังถนนสุขุมวิท มีตึกสูงคอนข้างมาก แต่ก็ยังแอบเห็นวิวสวนเบญจกิติอยู่

สถานที่สำคัญใกล้เคียงต่างๆ

  • Midtown อโศก ~ 35 เมตร
  • อาคาร GMM Grammy ~ 50 เมตร
  • โรงเรียนวัฒนาวิทยาลัย ~ 100 เมตร
  • ตลาดรวมทรัพย์ ~ 150 เมตร
  • มหาวิทยาลัยศรีนครินทร์วิโรจน์ประสานมิตร ~ 250 เมตร
  • บ้านก้ามปู Community ~ 300 เมตร
  • อาคาร Fico ~ 400 เมตร
  • โรงพยาบาลจักษุรัตนิน ~ 400 เมตร
  • สยามสมาคม ~ 450 เมตร
  • สถานี MRT สุขุมวิท ~ 600 เมตร
  • สถานี MRT เพชรบุรี ~ 600 เมตร
  • สถานี BTS อโศก ~ 700 เมตร
  • ท่าเรือสะพานอโศก ~ 700 เมตร
  • Terminal 21 ~ 700 เมตร
  • อาคาร Interchange Tower ~ 800 เมตร
  • สถานี Airport Rail Link มักกะสัน ~ 850 เมตร
  • โรงแรม The Continent Sukhumvit ~ 850 เมตร
  • โรงพยาบาลผิวหนังอโศก ~ 850 เมตร
  • อาคาร Exchange Tower ~ 950 เมตร
  • โรงเรียนเซนต์ดอมินิก ~ 1.1 กิโลเมตร
  • เซ็นทรัลพระราม 9 ~ 1.7 กิโลเมตร


เจาะลึกตัวโครงการ

THE ESSE Asoke ถือว่าเป็นคอนโดตัวแรกที่สร้างเสร็จจาก สิงห์ เอสเตท โครงการนี้เป็นคอนโด High Rise สูง 55 ชั้น 419 ยูนิต ตั้งอยู่บนที่ดินขนาดประมาณ 2 ไร่ครึ่ง มาใน Concept “LIVE HIGHEST, LIVE FINEST”  ซึ่งความ Highest ที่จัดว่าเป็นตึกที่สูงที่สุดบนถนนอโศกมนตรีนี้ด้วยความสูง 236.65 เมตร กับ Finest ของวิวที่ ณ ปัจจุบัน ทิศตะวันออกและทิศตะวันตกยังได้วิวที่เปิดโล่ง โดยเฉพาะทางทิศตะวันตกหรือด้านหลังอาคาร ที่ติดกับที่ดินของโรงเรียนวัฒนาวิทยาลัย ซึ่งเป็นโรงเรียนประจำหญิงล้วนแห่งแรกของประเทศไทย อาคารเรียนและหอพักก็จะเป็นอาคารแนวราบหรือ Low Rise เป็นส่วนมากบนที่ดินขนาดใหญ่เลย โรงเรียนนี้ไม่น่าจะถูกเปลี่ยนเป็นตึกสูงได้ง่ายๆเนื่องจากเป็นโรงเรียนเก่าแก่ ( ปี 2019 ก็นับว่าโรงเรียนครบรอบ 145 ปีแล้วค่ะ) ดังนั้นห้องทางทิศตะวันตกจึงได้วิวที่สวยเลยทีเดียว ในส่วนภาพรวมของอาคารเราสามารถแบ่งเป็นชั้นๆตามนี้ค่ะ

  • Basement (ชั้นใต้ดิน) : ที่จอดรถ 2 ชั้น
  • ชั้น 1 : Garden, Waiting Area, Lobby, Storage, Mail Room
  • ชั้น 2-9 : ที่จอดรถ
  • ชั้น 10 : เริ่มเป็นห้องพักอาศัยและมี Facilityที่มีชื่อว่า Sculpture Court(เป็นสวนที่สามารถ Take view ไปยังถนนอโศกมนตรีได้ และตัวสวนนี้ก็สามารถเป็นวิวให้กับห้องพักอยู่โซนด้านหน้าของอาคารได้ด้วย)
  • ชั้น 11-32 : ชั้นพักอาศัย จำนวนห้องพักต่อชั้นมากที่สุด 12 ยูนิตต่อชั้น
  • ชั้น 33 : เป็นชั้นของ Facility ทั้งชั้นเลยค่ะ โดยชั้นนี้จะเป็นชั้นที่ Active หน่อยๆคือ เป็นชั้นสำหรับการออกกำลังกายนั่นเอง ประกอบด้วย Pool Terrace (Semi outdoor สำหรับนั่งพักผ่อนริมสระว่ายน้ำ), Swimming Pool (สระว่ายน้ำระบบเกลือ ขนาดส่วนที่แคบสุดจะอยู่ที่ 20×8.5 เมตร ลึก 1.2 เมตร และยังประกอบไปด้วย Kids pool (สระว่ายน้ำเด็ก), LAP Pool (พื้นที่ว่ายทวนแรงดันน้ำ) และ Jacuzzi), ห้องน้ำแยกชาย-หญิง มีห้องสุขา ห้องอาบน้ำ ห้องเปลี่ยนชุด ห้อง Steam และ Plunge Pool (อ่างอาบน้ำ) ภายใน Sky Gym Centre (ฟิตเนส), Golf Simulator
  • ชั้น 34-42 : ชั้นพักอาศัย มี 8-9 ยูนิตต่อชั้น
  • ชั้น 43 : เป็นชั้นของ Facility อีกชั้นนึงค่ะ ที่ชั้นนี้จะเป็นส่วนกลางที่เอาไว้นั่งเล่น ชมวิว อ่านหนังสือ หรือทำงานมากกว่า ประกอบด้วย Sky Garden, Meeting room ตรงนี้จะมีให้เลือกอยู่ 3 ขนาดห้องเลย size S,M,L การจองอาจจะต้องติดต่อกับนิติบุคคลอีกที ,Business Centre, Lounge and Sky terrace
  • ชั้น 44-50 : ชั้นพักอาศัย มี 8 ยูนิตต่อชั้น
  • ชั้น 51-54 : Penthouse มี 2-3 ยูนิตต่อชั้น
  • ชั้น 55 : เป็นพื้นที่งานระบบและพื้นที่หนีไฟทางอากาศ

มาดูที่แปลนกันก่อนนะคะ จาก Layout ชั้น 1 ของอาคาร จะเห็นได้ว่าตัวตึก จะเว้นระยะจากถนนมาประมาณนึงเลย เป็นพื้นที่สวนที่อยู่หน้าอาคาร ทำให้ทั้งตัวอาคารและจุด Drop-off อยู่เข้ามาด้านใน ได้ความเป็นส่วนตัวมากขึ้น ใครที่เดินผ่านหรือขับรถผ่านก็จะไม่เห็นคนที่ใช้งานหรือขึ้น – ลงรถที่จุด Drop-off นี้ค่ะ ส่วนทางเข้านั้นจะมีทางคนเดินและทางรถยนต์ โดยทางรถยนต์นั้นจะมีจุดเข้า-ออกอยู่จุดเดียวหน้าอาคาร มีป้อมรปภ.อยู่ข้างๆ ใกล้กับทางเข้าออก เมื่อเข้ามาจะเจอกับVisitor Parking ที่อยู่ข้างๆป้อมรปภ.เลยค่ะ ส่วนที่จอดรถจะมีทั้งส่วนที่อยู่ใต้ดิน 2 ชั้น และส่วนที่อยู่บนอาคารอีก 8 ชั้น รวมแล้วจอดได้ 428 คัน เป็นแบบ Conventional หมดเลยค่ะ มีที่จอดสำหรับ EV Charger และ BigBike เตรียมไว้ให้ด้วย

พื้นที่ในอาคารจะเป็นส่วนแรกจะเป็น Lobby และ Waiting Area บริเวณนี้แขกที่มาเยี่ยมจะสามารถมานั่งรอได้ตรงนี้ค่ะ ระหว่างทางเดินไปยังลิฟต์ จะมีห้อง Storage และ Mail Room อยู่ด้านข้าง รวมไปถึงมีห้องน้ำให้บริการทั้งห้องน้ำชาย ห้องน้ำหญิง และห้องน้ำคนพิการค่ะ สุดทางเดินจะมีประตูกั้นก่อนเข้าไปยังโถงลิฟต์ ตรงนี้จะเป็นจุดเเรกที่จะต้องใช้ Key Card ในการ Access เพื่อขึ้นไปบนอาคาร และการใช้ลิฟต์ของโครงการนี้ก็จะเป็นระบบ Key Card Lock ชั้นเอาไว้ สามารถใช้งานลิฟต์ได้ทั้งหมด 5 ตัวค่ะ

ส่วนชั้น 2-9 จะเป็นพื้นที่จอดรถทั้งหมด เราขอข้ามมาที่ชั้น 10 เลยนะคะ ที่ชั้นนี้จะเริ่มเป็นพื้นที่สำหรับห้องพักอาศัยกันเเล้ว โดยที่ขันนี้จะมีทั้งหมด 11 ยูนิต และจะมีสวนภายนอกอาคาร เปิดมุมมองไปยังถนนอโศกและปั๊มน้ำมันที่อยู่ฝั่งตรงข้าม และยังเป็นวิวให้กับห้องพักที่หันหน้าไปทางทิศเหนือและทิศตะวันออกอีกด้วยค่ะ

ส่วนของที่พักจะมีประตูกั้นให้ ต้องสแกน Keycard เข้าอีกครั้ง เพิ่มความเป็นส่วนตัวให้กับผู้พักอาศัยที่ชั้นนี้ ส่วนของทางเดินหน้าห้องจะเป็น Single Corridor ทั้งหมดเลย ทำให้ได้ความเป็นส่วนตัวด้วย ไม่เจอห้องใครที่อยู่ฝั่งตรงข้ามค่ะ ถ้ามองเรื่องวิว ทางทิศใต้จะถือว่าเป็นทิศที่วิวค่อนข้างแย่ที่สุดเลย เพราะจะมีอาคาร Ocean Tower 2 ตั้งอยู่ในระยะประชิด สูง 42 ชั้นอีกด้วย ทำให้ถ้าเกิดฝั่งนี้เป็นห้องพักวิวจะไม่มี และไม่ได้ความเป็นส่วนตัว ดังนั้นโครงการจึงออกแบบพื้นที่ฝั่งนี้เป็นทางเดินค่ะ ซึ่งจะทำให้สามารถเปิดช่องเปิด เป็นหน้าต่าง ทำให้โซนนี้ทางเดินหน้าห้องจะสว่างและระบายอากาศได้ดีค่ะ

ส่วนชั้น 11-32 จะถือว่าเป็น Typical Floor Plan ค่ะ อาคารจะถูกวางเป็นรูปตัว L มีจำนวน 12 ยูนิตต่อชั้นถือว่าไม่หนาแน่นเลย ได้ทางเดินเป็น Single Corridor ด้วย ที่ชั้นนี้จะมียูนิตอยู่ 2 แบบคือแบบ 1 Bedroom และ 2 Bedroom ซึ่งจะวางห้อง 2 Bedroom ไปที่หัวมุมอาคาร ทางทิศเหนือ หันหน้าไปทางทิศตะวันออกและทิศตะวันตก ซึ่งเป็นตำแหน่งที่ไม่มีอาคารสูงในระยะประชิด จะได้ความเป็นส่วนตัวค่ะ ส่วนตำแหน่งอื่นๆจะถูกวางเป็นห้องแบบ 1 Bedroom ค่ะ

พอมาถึงชั้น 33 จะเป็นชั้นที่มีพื้นที่ส่วนกลางทั้งชั้นเลย โดยฟังก์ชันการใช้งานของชั้นนี้จะเป็นแบบ Active หน่อย เป็นพื้นที่สำหรับออกกำลังกายเเละเล่นกีฬาค่ะ ประกอบไปด้วย สระว่ายน้ำที่ทิศตะวันออก มี Terrace และห้องน้ำอยู่ฝั่งนี้ด้วยเช่นกัน ส่วนทางทิศตะวันตกจะมีห้อง Sky Gym และ Golf Simulation ที่จะได้วิวที่ค่อนข้างดีเลยค่ะทางทิศนี้

ส่วนชั้น 34 ผังอาคารจะเหลือเป็นรูปสี่เหลี่ยมจัตุรัสเเทน เพราะจะมีส่วนที่เป็น Double Volume บนสระว่ายน้ำอยู่ค่ะ ชั้นนี้จะมี Core หรือส่วนที่เป็นลิฟต์ตรงกลาง มีทางเดินล้อมรอบ จำนวนยูนิตจะลดลงเหลือ 7 ยูนิตต่อชั้นค่ะ ยังเป็นห้องแบบ 1 Bedroom และ 2 Bedroom เหมือนเดิม ห้องที่หันไปทางทิศเหนือจากชั้นนี้ไปจะมีข้อดีที่พ้นอาคารสูงข้างๆเเล้ว ทำให้มุมมองจากภายในห้องเปิดกว้างได้มากขึ้นค่ะ

ส่วนชั้น 35-42 จะมีอยู่ 9 ยูนิตต่อชั้นค่ะ ยังคงมีปีกอาคารทางทิศตะวันออกอยู่ แต่จำนวนยูนิตลดลง ช่วงชั้นนี้จะได้ข้อดีที่วิวโดยรอบไม่มีอาคารไหนมาบังเเล้วค่ะ ได้ทั้งวิวและความเป็นส่วนตัวเลย

ที่ชั้น 44-50 จะเป็นช่วงชั้นสุดท้ายที่จะมียูนิตแบบ 1 Bedroom และ 2 Bedroomแล้วค่ะ ผังจะเหลือเป็นรูปร่างสี่เหลี่ยมจัตุรัสมีจำนวน 8 ยูนิตต่อชั้น

ขึ้นมาที่ชั้น 51 จากชั้นนี้เป็นต้นไปจะเป็นห้องพักอาศัยแบบ Penthouse ค่ะ โดยที่ชั้นนี้จะมีอยู่ 3 ยูนิต ขนาด 104.5-136.5 ตร.ม. เป็นห้องหัวมุมหมดเลย เปิดมุมมองได้เต็มที่เลยค่ะ

ส่วนชั้น 52 จะเหลืออยู่ 2 ยูนิตต่อชั้น มีห้องขนาด 136.5 และ 169.5 ตร.ม. แต่ว่าที่ชั้นนี้จะเหลือลิฟต์เพียง 3 ตัวที่สามารถใช้งานขึ้นมาที่ชั้นนี้ได้นะคะ

ที่ชั้น 53 จะเป็นยูนิตแบบ Penthouse เช่นกันค่ะ แต่จะมีห้องขนาดใหญ่ที่สุดอยู่ 195.5 ตร.ม.ค่ะ

ส่วนชั้น 54 จะเป็นชั้นพักอาศัยที่สูงสุดในโครงการเเล้ว มี Penthouse อยู่ 2 ยูนิตค่ะ

ของจริงเรามาเริ่มดูที่ตัวตึกกันก่อนเลยค่ะ ตำแหน่งของตัวตึกจะถูก Set เข้าไปจากถนนอโศกมนตรี ซึ่งถ้าเรามองจากภาพเนี่ย จะเห็นว่าอยู่แนวเดียวกันกับอาคาร Ocean Tower 2 ที่ต้องเข้าจากซอยข้างๆแทน ทำให้พื้นที่ด้านหน้าของอาคารสามารถจัดเป็นสวนซึ่งตัวอาคารก็จะสามารถเปิดมุมมองที่กว้างมากขึ้นได้ (ส่วนฝั่งที่ติดกับอาคาร Ocean Tower 2 จะถูกออกแบบให้เป็นทางเดินหน้าห้องแทน) ตัวอาคารจะเป็นอาคารสูง 55 ชั้น ในช่วง 10 ชั้นแรก จะเป็นส่วนของล็อบบี้และที่จอดรถ ทำให้หน้าตาของอาคารออกมาจะถูกจัดให้เป็นกลุ่มเดียวกันเปรียบเสมือนฐานอาคารที่มีรูปด้านหน้าอาคารเน้นเส้นเเนวตั้งดูค่อนข้าง Classic ในส่วนของชั้น 10-33 ตัวห้องพักจะมีผังเป็นรูปตัว L โอบล้อม Sculpture Court ที่ชั้น 10 เอาไว้ ส่วนชั้น 34-43 ก็ยังมีผังเป็นรูป ตัว L เช่นกันค่ะแต่จะถูกลดหลั่นพื้นที่เข้าไปจากถนนใหญ่ ซึ่งเราจะมองไม่เห็นจากมุมนี้ การออกแบบอาคารที่ค่อยๆลดหลั่นพื้นที่ไปเรื่อยๆนั้นก็จะช่วยให้อาคารดูมีมิติมากขึ้น ไม่ดูเป็นแท่งทึบตัน และบางส่วนที่เป็นพื้นที่สวนส่วนกลาง Outdoor ตามชั้นต่างๆ ก็จะกลายมาเป็นพื้นที่วิวให้กับห้องพักอาศัยได้ด้วย

หน้าโครงการจะมีการสร้างถนนเพิ่มขึ้นมาหน่อย ประมาณ 1 เลน จากเดิมฝั่งละ 2 เลน ทำให้การจราจรของรถที่ขับเข้า-ออกโครงการ เลี้ยวมาเเลกบัตร ไม่กระชั้นมาก ทำให้การจราจรบนถนนเส้นหลักรถไม่ติดค่ะ

ทางเข้าของอาคารจะมีทั้งส่วนที่เป็นประตูบานเลื่อนอัตโนมัติ และไม้กั้นกระดกค่ะ พื้นที่บริเวณทางเข้าส่วนนี้จะปูด้วยคอนกรีตสแตมป์ ดูเรียบร้อยสวยงาม ทางซ้ายมือจะเป็นป้อม รปภ. ผู้มาติดต่อก็สามารถแลกบัตรเข้า-ออกได้ ณ จุดนี้

ส่วนไม้กั้นกระดกการผ่านเข้าออกก็จะต้องใช้ Key Card ในการใช้งานค่ะ เป็น Key Card ระยะไกล คล้ายกับระบบ Easy pass บนทางด่วน

ผ่านประตูทางเข้ามาจะมี Visitor Parking ทางซ้ายมือ สำหรับผู้มาติดต่อ สามารถจอดรถได้ประมาณ 5 คัน ตรงเข้าไปก็จะมีจุด Drop off หน้าอาคารเลย เลี้ยวขวาไป Drop ผู้โดยสารแล้ววนออกได้เลย ส่วนทางซ้ายมือจะเป็นถนนไปยังส่วนที่จอดรถค่ะ จุดนึงที่น่าสนใจคือโครงการนี้จะมีเซนเซอร์คอยนับจำนวนที่จอดรถไว้ให้ด้วย ทำให้เราสามารถรู้ได้ว่าชั้นไหนมีที่จอดรถว่างบ้างค่ะ

ส่วนที่เป็น Visitor Parking นั้นจะเป็นพื้นที่กลางเเจ้ง แต่ก็ไม่ได้ดูร้อนมากมายอะไรนะคะ เพราะริมกำแพงของโครงการจะปลูกต้นไม้ใหญ่เอาไว้ ดูร่มรื่นมากขึ้น ตัวรั้วก็จัดมาค่อนข้างสูงเลย เท่ากับความสูงของชั้น 2 อาคารข้างๆ ทำให้ภายในโครงการเราได้ความเป็นส่วนตัวอยู่ และที่บอกว่าแม้จะเป็นพื้นที่กลางแจ้ง แต่แดดไม่ร้อน อีกเหตุผลนึงคือย่านอโศก นับว่าเป็น CBD แห่งนึงที่มีอาคารสำนักงาน ตึกสูงเยอะมากทั้ง 2 ฝั่งของถนน ซึ่งตัวตึกนี้เองก็จะช่วยบังแดดให้กับพื้นที่ต่างๆได้ค่ะ

เราลองตรงมายังส่วนที่จอดรถก่อน ต้องบอกก่อนว่าทางเข้า-ออกของอาคารจะมีอยู่ทางเดียวรวมไปถึงทางขึ้น-ลงที่จอดรถของอาคารด้วย ดังนั้นการเลี้ยวเข้าใช้งานก็อาจจะต้องระมัดระวังรถที่เลี้ยวเข้า-ออกเช่นกันนะคะ โดยทางลงไปยังชั้นใต้ดินจะถึงก่อน ส่วนทางขึ้นไปยังชั้นบนจะอยู่ถัดเข้าไปค่ะ

บริเวณทางเข้า-ออกที่จอดรถจะต้องใช้ Key Card ในการเข้า-ออก อีกครั้ง ซึ่งเราว่าค่อนข้างดีเลยค่ะ เพราะว่าจะช่วยเพิ่มความปลอดภัยให้กับผู้อยู่อาศัยมากขึ้น

ทางขึ้น-ลงส่วนจอดรถต่างๆแม้จะเป็นการขับแบบสวนกัน แต่ระยะก็จัดว่าค่อนข้างกว้างเลยนะคะ ถือว่าขับได้สบายอยู่

ภายในชั้นจอดรถก็จะมีไฟส่องสว่างให้ รวมถึงสัญลักษณ์ขึ้น-ลงต่างๆ และยังมีทางจัดไว้สำหรับคนเดินด้วย สร้างความปลอดภัยให้คนที่เดินระหว่างชั้นมากขึ้น

โครงการนี้จะมีที่จอดรถสำหรับ EV Charger ด้วยค่ะ

และจากที่จอดรถก็จะสามารถเข้าไปยังโถงลิฟต์ได้ทันที แต่ก็จะต้องใช้ Key Card ในการเข้า-ออก ส่วนลิฟต์เช่นกัน ที่จอดรถฝนตึกนี้จะเป็นที่จอดรถสำหรับลูกบ้านเท่านั้น ดังนั้นใครที่ไม่มี Key Card เช่นผู้มาเยี่ยมที่บังเอิญขึ้นมาจอดชั้นบนได้ จะขึ้น-ลงอาคารก็จะไม่สามารถเข้าไปใช้ลิฟต์ได้อยู่ดีค่ะ

บรรยากาศการตกแต่งโถงลิฟต์ก็จะเน้นความเรียบหรู มีการเลือกใช้วัสดุลายไม้ กับสเตนเลส และการให้แสงเเบบ indirect light สว่างแต่ไม่แยงตา

นอกจากนี้ลิฟต์ของโครงการนี้จะเป็นลิฟต์แบบ Lock ชั้น คือใช้ Keycard Scan ลงบนเครื่องนี้ พร้อมกดตัวเลขชั้นที่เราจะไป Card 1 ใบของเราก็จะสามารถใช้ขึ้น-ลงได้เฉพาะชั้นพักอาศัยของเราและชั้นที่เป็นพื้นที่ส่วนกลางเท่านั้นค่ะ

จบจากที่จอดรถแล้ว ลองมาดูที่หน้าอาคารกันใหม่ เดี๋ยวเราจะไปดูพื้นที่ภายในอาคารส่วนอื่นๆกันบ้างนะคะ อย่างทางเข้าอาคารเลย ด้านหน้าจะเป็นจุด Drop-off ใหญ่เต็มความกว้างของหน้าอาคาร การออกแบบมีหลังคายื่นออกมารับส่วน Drop-off ด้วย ทำให้การใช้งานเช่นช่วงฝนตก ก็ยังใช้งานได้สะดวก ตัวไม่เปียกค่ะ

ด้านหน้าบริเวณ Drop-off จะตกแต่งด้วยน้ำพุทั้ง 2 ฝั่ง ที่ชั้น Lobby ก็จะมีความสูงแบบ Double volume ด้วย ทำให้ทางเข้าดู Grand และโอ่อ่ามากขึ้นค่ะ เราจะสังเกตได้ว่าทางเข้าจะไม่ได้ออกแบบให้เป็นกระจกเปิดโล่งมาก ทั้งนี้ก็จะช่วยสร้างความเป็นส่วนตัวให้กับคนที่ใช้งานอยู่ใน Lobby ได้ด้วย

เราลองมองจากทางเข้าออกไปยังถนนอโศกมนตรีกันนะคะ ระหว่างถนนกับส่วนที่เป็น Drop-off นี้จะมีสวนอยู่ด้านหน้าอาคารอยู่

พื้นที่สวนนี้จะเป็นลานสี่เหลี่ยมจัตุรัส มีน้ำพุตกแต่งอยู่ตรงกลาง การจัดว่า Lay-out ต่างๆจะเน้นความสมมาตร หรือ Symmetry การออกแบบเช่นนี้จะคล้ายกับการออกแบบสถานที่ราชการ หรือวัด โบสถ์ต่างๆ ให้ความรู้สึกหนักแน่น น่าเชื่อถือค่ะ

สวนด้านหน้านี้จะมีทางเดินและมุมนั่งพักผ่อนรอบๆ มีการเลือกปลูกต้นไม้ใหญ่ ช่วยสร้างบรรยากาศให้ภายในโครงการร่มรื่นมากขึ้น ตัดจากความวุ่นวายบนถนนอโศก ฝุ่น ควัน มลพิษได้ด้วย นอกจากนี้ยังทำให้พื้นที่ส่วนที่เป็น Drop-off ด้านในนั้นมีความ Private ขึ้นด้วยค่ะ

ข้างๆลานน้ำพุจะมีส่วนที่เป็นสนามหญ้าอยู่ เหมาะกับใครที่มีลูกหลาน สามารถพามาวิ่งเล่นช่วงเย็นๆได้ มีศาลานั่งรอในร่มสำหรับผู้ปกครองด้วยค่ะ

ด้านข้างอาคารฝั่งนี้จะถูกจัดเป็นสวน และมีมุมนั่งเล่นพักผ่อนอยู่ รั้วด้านข้างก็ดีไซน์ให้มีไม้พุ่มทรงสูง และไม้กระถางต้นใหญ่ ทำให้รอบๆอาคารไม่ใช้ถนนคอนกรีตร้อนๆ เเต่เป็นพื้นที่สีเขียวที่ดูร่มรื่นสบายตามากขึ้น เป็นวิวสีเขียวให้กับภายในอาคารส่วนที่เป็น Lobby มองออกมาได้ค่ะ

มาดูที่ประตูทางเข้าอาคารกันนะคะ ทางเข้าอาคารจะจัดอยู่ตรงกลางอาคารพอดี ดูแกรนด์ด้วยความสมมาตร และความสูงของทางเข้าด้วยค่ะ วัสดุที่นำมาตกแต่งกรอบประตูก็จะเป็นโทนสี Copper สีทองแดงเงาๆหน่อย ใช้เป็นกรอบของช่องหน้าต่างรอบๆอาคารชั้น 1 นี้และเป็นหนึ่งในวัสดุตกแต่งอื่นๆเช่นมือจับประตูด้วยค่ะ

เมื่อเข้ามาเราจะเจอเคาน์เตอร์อยู่ตรงกลาง จะมี concierge นั่งอยู่ตรงนี้ค่ะ ลูกบ้านสามารถให้ช่วยรับของ เรียกรถหรือทำธุระเล็กๆน้อยๆได้ พื้นที่ชั้นนี้จะมีความสูง 7.5 เมตร

หันมาทางซ้ายจะเป็นส่วนของ Waiting Area เป็นพื้นที่กว้างความสูงแบบ Double Volume มีงาน Sculpture ที่เป็นโครงรูปปลาวาฬตกแต่งอยู่รอบๆ และมีโซฟานั่งพักผ่อนจัดไว้ให้หลายๆชุดค่ะ พื้นที่ส่วน Waiting Area นี้ยังเป็นส่วนที่แขกหรือผู้มาเยือนสามารถมานั่งรอลูกบ้านได้ และยังเป็นส่วนที่ลูกบ้านสามารถนัดคนนอกมาคุยธุระได้ โดยที่ไม่ต้องขึ้นไปใช้งานส่วนอื่นๆบนอาคาร

หันมาอีกฝั่งนึงก็ยังคงเป็นส่วนของ Waiting Area เช่นกัน ผนังรอบๆจะเป็นผนังทึบสลับกับกระจกแนวสูง แต่มีม่านช่วยกรองแสงสว่าง ในช่วงเวลากลางวันความร้อนจะได้ไม่เข้ามาภายในอาคารมากเกินไป สามารถมานั่งเล่นใช้งานได้สบายค่ะ

ส่วน Lobby และ Waiting Area นั้น นอกจากโซนด้านหน้าสองฝั่งของ Concierge แล้วยังมีส่วนที่อยู่ถัดเข้าไป เลียบทางเดินไปยังโถงลิฟต์ด้วยค่ะ การตกแต่งภายในก็เน้นความหรูหรา มีการเลือกใช้พื้นลายหินอ่อนรุ่น Glan de Portoro Black Silver Marble

การจัดวางชุดโซฟาต่างๆค่อนข้างเว้นระยะห่างกันพอสมควร การใช้งานก็จะได้ความเป็นส่วนตัวมากขึ้นค่ะ สบายๆ ไม่แออัด

ระหว่างทางเดินไปยังโถงลิฟต์ ทางเดินจะค่อนข้างกว้างขวางเลย ทางซ้ายมือของทางเดินจะเป็น Storage กับ Mail Room ส่วนทางขวามือจะมีห้องน้ำให้บริการอยู่ตรงตำแหน่งนี้ค่ะ

Storage นี้จะเป็นตู้เก็บของ “box24” เป็น Smart Locker คือเมื่อเราสั่งพัสดุ , ซักผ้า ,ซื้อของ หรือฝากของต่างๆ เมื่อมีของมาส่งจะมีสัญญาณแจ้งเตือนพร้อมรหัสการรับของผ่านทาง Application ตัว Locker แบบนี้เรามักจะเห็นกันบ่อยขึ้นตามคอนโดมิเนียมเเล้วนะคะ เนื่องจากปัจจุบันคนเริ่มซื้อของ Online มากขึ้น พัสดุที่มาส่งตามคอนโดก็มีจำนวนเยอะมากในแต่ละวัน เพราะฉะนั้นตามคอนโดเก่าๆที่มีเฉพาะ Mail Room ของเหล่านั้นก็จะถูกกองวางเอาไว้หน้าตู้จดหมายนั่นแหละ หรืออาจจะต้องฝากไว้กับทางนิติบุคคล การมี Locker ฝากของให้ครบทุกห้องก็อาจจะเป็นการสิ้นเปลืองพื้นที่ด้วย ดังนั้น Model Locker นี้จึงเหมือนเป็นการแชร์พื้นที่เก็บของชั่วคราวค่ะ

ข้างๆห้อง Storage ก็จะเป็นส่วนของ Mail Room

ภายในตกแต่งด้วยกระจกเงา มี Sculpture ตกแต่งอยู่ด้วย ดูหรูหราดีค่ะ

ลองมาดูห้องน้ำกันบ้าง ตัวห้องน้ำจะมีแยกชาย-หญิง อย่างละห้อง ที่น่าสนใจคือมีห้องน้ำสำหรับคนพิการด้วย ซึ่งสะดวกทั้งผู้พิการเเละผู้สูงอายุเลย

ภายในห้องน้ำคนพิการก็จะมีราวจับติดตั้งให้ พร้อมพื้นที่ขนาดใหญ่ สามารถเข็นรถเข็นเข้าไปใช้งานได้

ส่วนห้องน้ำปกติจะมีการเเยกส่วนพื้นที่อ่างล้างมือกับห้องสุขาออกจากกัน ใครที่อยากจะเเค่ล้างมือก็สามารถเข้าใช้งานได้ทันทีค่ะ

ถัดเข้าไปจะเป็นโถงลิฟต์นะคะ ตรงนี้จะเป็นจุดที่ต้องมี Key Card เท่านั้นถึงจะเข้าไปภายในนี้ได้ค่ะ

เข้ามาก็จะมีการตกแต่งด้วย Sculpture คนอ้วน ดูน่ารักดีค่ะ เป็นโทนเดียวกันกับโครงปลาวาฬบริเวณ Lobby

ลิฟต์โดยสารของที่นี่จะมีให้ทั้งหมด 5 ตัว อัตราส่วนการใช้งานก็อยู่ที่ 1 : 84 จัดว่ากลางๆค่ะ ไม่หนาแน่น รอไม่นาน

ลิฟต์ที่นี่จะเป็นลิฟต์ล็อคชั้น คือสามารถกดเลขชั้นและ Scan Key Card ได้ ลิฟต์จะพาเราไปยังชั้นที่เราต้องการค่ะ จะเห็นว่าภายในลิฟต์จะไม่มีปุ่มเลขชั้นให้กดนะคะ

เราขึ้นมายังชั้น 10 กันก่อน ที่ชั้นนี้จะเริ่มเป็นชั้นพักอาศัย และมีส่วนที่เรียกว่า Sculpture Court เป็นสวนส่วนกลางของอาคารค่ะ การตกแต่งโถงลิฟต์ก็จะเน้นวัสดุลายไม้ ให้บรรยากาศอบอุ่น

ส่วนที่พักอาศัยก็จะต้องใช้ Key Card Scan เข้าไปอีกรอบ ช่วยเพิ่มความเป็นส่วนตัวให้กับคนที่พักอาศัยอยู่ที่ชั้นนี้ค่ะ

อย่างที่บอกไปตอนอธิบายผัง คือโครงการนี้จะออกแบบให้ทุกห้องได้ทางเดินแบบ Single Corridor หมดเลย และมีการเเก้ปัญหาเรื่องวิวทางทิศใต้ที่จะติดกับอาคาร Ocean Tower 2 ซึ่งเป็นอาคารสูงข้างๆ ดังนั้นโครงการนี้จึงแก้ปัญหาด้วยการเอาทางเดินมาชิดฝั่งนี้เลย ทำให้ภายในห้องพักได้ความเป็นส่วนตัวด้วย ในขณะที่ทางเดินก็สามารถเปิดช่องแสงได้เต็มที่ ได้ทั้งแสงสว่าง และช่วยระบายอากาศไม่ให้บริเวณทางเดินอับชื้นด้วยค่ะ

และอีกจุดน่าสนใจคืองานระบบของโครงการ ภายในยูนิตพักอาศัยของที่นี่จะให้แอร์เป็นแบบ Conceal Type ค่ะ แต่จะมีการเดินงานระบบแอร์มาฝากไว้ที่จุดเดียวกัน ใกล้กับทางเดินบริเวณลิฟต์ค่ะ (แต่ละชั้นจะมีตำแหน่งแตกต่างกันไป) ทำให้ภายในห้องพักของเราไม่จำเป็นที่จะต้องมีพื้นที่สำหรับวาง CDU ของเครื่องปรับอากาศ ระเบียงก็สามารถใช้งานอื่นๆได้เต็มที่ เมื่อมองจากนอกอาคารเข้ามาก็จะดูเรียบร้อยอีกด้วย และถ้าห้องไหนมีปัญหาเรื่องแอร์ก็สามารถติดต่อทางนิติบุคคลได้เลยค่ะ

มาดูสวนกันต่อค่ะ ก่อนที่จะออกไปยังพื้นที่สวนจะมีมุมนั่งพักผ่อนบรรยากาศ Semi outdoor นั่งตากลม หลบแดดได้

พื้นที่ Sculpture court ตรงกลางจะมีงานประติมากรรมตั้งอยู่ และรอบๆเป็นทางเดินเเละสวนค่ะ

รอบๆทางเดินก็จะมีมุมสำหรับนั่งเล่นได้ ตัวสวนก็ออกแบบมาสวยงามดีนะคะ ยังคงเน้นความสมมาตรอยู่ คล้ายๆสวนแบบฝรั่งเศส

เดินถัดเข้าไปจะมีทางเดินไปยังสนามหญ้า มองออกไปจะเป็นวิวที่หันไปทางถนนอโศกมนตรีหรือหน้าโครงการค่ะ

มุมมองจากชั้น 10 ฝั่งตรงข้ามโครงการเลยจะเป็นปั๊มน้ำมัน ทำให้ยังไม่มีอาคารสูงขึ้นในระยะประชิด อาคารฝั่งนี้ที่ใกล้ๆก็จะเป็นตึกแกรมมี่ค่ะ

พื้นที่สวนนี้จะถูกโอบล้อมด้วยแนวอาคาร 2 ด้าน คือทิศตะวันตกและทิศใต้ ซึ่งก็จะช่วยบังแดดได้ค่อนข้างมาก ทำให้เราสามารถมาใช้งานพื้นที่ตรงนี้ได้ยาวนานมากขึ้นค่ะ และในส่วนของห้องพักที่อยู่ชั้น 10 นี้ก็จะมีบางส่วนที่โครงการปลูกต้นไม้เอาไว้ ทำให้คนที่มาใช้งานมองเข้าไปไม่เห็นภายในห้องเรา แต่ก็จะมีบางส่วนที่ไม่มีแนวต้นไม้ปลูกไว้ให้ ซึ่งแน่นอนก็ต้องเสียความเป็นส่วนตัวบ้าง แลกกับวิวที่มองจากภายในห้องออกมาเจอสวนใหญ่ๆแทน

เราลองขึ้นมาที่ชั้น 33 กันต่อนะคะ ที่ชั้นนี้จะจัดไว้เป็นพื้นที่ส่วนกลางทั้งชั้นเลย โดยจะเน้นฟังก์ชันที่เป็น Active function เป็นกิจกรรมออกกำลังกายเป็นส่วนใหญ่ ฝั่งนึงจะเป็นห้องฟิตเนส และ Golf Simulation

มาดูที่ห้อง Golf simulation กันก่อน ห้องนี้จะเป็นห้องที่น่าจะถูกใจคนรักการเล่นกอล์ฟเลยค่ะ ถึงเเม้จะเป็นห้องที่ไม่ใหญ่มาก แต่ก็มีพื้นที่สำหรับไดร์ฟกอล์ฟอยู่

และข้างๆกันตรงนี้คือไฮไลท์เลย เพราะเป็นการจำลองการตีกอล์ฟแบบ Visual simulation ลองเลือกสนาม และเล่นดู ตัวโปรเจคเตอร์จะจำลองออกมาให้เห็นว่าเราจะสามารถตีลูกได้ไปไกลถึงหลุมไหนค่ะ ใครที่ไม่เคยเล่นกอล์ฟก็สามารถมาลองเล่นสนุกๆได้นะคะ แต่ต้องบอกกว่าห้องนี้การจะเข้าใช้ได้ต้องจองกับทางนิติบุคคลก่อน ซึ่งระบบแบบนี้ก็จะดีที่เราจะไม่ต้องเจอคนมาเเย่งกันใช้ ได้ความเป็นส่วนตัวขณะเล่นอีกด้วยค่ะ

มาดูที่ห้องฟิตเนสที่อยู่ข้างๆกันบ้าง ขนาดห้องจะใหญ่พอดูเลย มีเครื่องเล่นหลากหลายของ Life Fitness ให้เลือกเล่น

ส่วนที่เป็นไฮไลท์ของฟิตเนสเลยคือวิวค่ะ ห้องนี้จะเปิดมุมมองไปทางทิศตะวันตกเป็นหลัก ซึ่งติดกับที่ดินของโรงเรียนวัฒนาฯ ทำให้วิวด้านนี้เนี่ยจะได้ค่อนข้างเปิดโล่งเลย และไม่มีอาคารสูงในระยะประชิด

มาดูที่อีกฝั่งของโถงลิฟต์กันค่ะ ทางนี้จะเป็นตำแหน่งของสระว่ายน้ำและห้องน้ำ จากโถงลิฟต์มาเนี่ย เราจะเห็นว่าการตกแต่งจะเน้นการใช้ไม้เป็นหลัก ทั้งพื้นและผนังเลย วันที่เราไปจะเป็นช่วงที่มีฝนตกอยู่บ้าง เราจะได้กลิ่นไม้ชื้นๆด้วยค่ะ (ส่วนตัวเราชอบกลิ่นนี้นะคะ ได้บรรยากาศธรรมชาติดี แต่อาจจะต้องดูเรื่องการดูแลรักษาวัสดุชนิดนี้ในระยะยาว เพราะสีมันจะจางลงได้ตามกาลเวลา)

ก่อนจะไปเจอสระว่ายน้ำจะมี Terrace เป็นชานไม้ในร่ม (ไม่ติดแอร์) มีพื้นที่นั่งเล่นพักผ่อนอยู่

ดีไซน์ของเฟอร์นิเจอร์ก็จะเลือกที่เป็นโทนไม้ + เหล็ก เฟรมบางดูเฉียบดีค่ะ ชอบดีไซน์นี้

ถัดมาจะเป็นส่วนของสระว่ายน้ำเเล้วค่ะ สระว่ายน้ำของที่นี่จะเป็นระบบเกลือค่ะ ตัวสระเป็นแนวลึกเข้าไป ส่วนที่ว่ายได้เต็มที่จะอยู่ข้างในทางซ้ายมือส่วนทางขวามือจะเป็นสระเด็ก Sofa bed กลางสระ , LAP Pool และ Jacuzzi

สระเด็กจะมีขนาดอยู่ที่ 2.8×4 เมตร ค่ะ ส่วน LAP Pool ที่เอาไว้ว่ายออกกำลังกายทวนน้ำจะมีขนาดอยู่ที่ 2.8×3.8 เมตร ส่วน Jacuzzi จะมีขนาด 3.6×7 เมตรค่ะ

ในส่วนตัวสระที่ว่ายน้ำจริงจังได้จะอยู่มุมด้านใน บริเวณนี้จะออกแบบที่เราจะไม่เห็นราวกันตกเลยค่ะ ว่ายน้ำไปสามารถมองวิวออกไปได้รอบๆเลย และระยะความสูงที่ชั้น 33 นี้ค่อนข้างสูงพ้นจากอาคารสูงข้างๆเเล้ว ทำให้ได้ความเป็นส่วนตัวในการใช้งานด้วย ตึกสูงที่ใกล้สุดก็จะเป็นตึกแกรมมี่ที่อยู่ฝั่งตรงกันข้ามค่ะ ส่วนตัวสระถ้าวัดขนาดส่วนใช้งานที่สั้นที่สุดจะอยู่ที่ 20×8.5 เมตร ลึก 1.2 เมตร ยังถือว่าเป็นระยะที่ใช้งานพร้อมกันหลายๆคนได้สบายเลยนะคะ

เราลองมาดูห้องน้ำกันบ้างค่ะ ตำแหน่งของห้องน้ำจะอยู่ฝากเดียวกันกับสระว่ายน้ำค่ะ จะมีทั้งห้องน้ำชาย ห้องน้ำหญิง และห้องน้ำคนพิการให้บริการ โทนการตกแต่งภายในก็จะใช้เป็นโทนไม้อยู่ค่ะ

เราลองมาดูในห้องน้ำหญิงกันต่อ ห้องน้ำที่นี่จะค่อนข้างใหญ่เลย เข้ามาเราจะเจอเคาน์เตอร์อ่างล้างมืออยู่ตรงการ ฝั่งซ้ายเมื่อมองไปยังเคาน์เตอร์จะเป็นตำแหน่งของห้องแต่งตัว ส่วนทางขวามือจะเป็นห้องอาบน้ำ

ห้องแต่งตัวอาจจะเป็นพื้นที่สำหรับใครที่อยากเปลี่ยนชุดก่อนว่ายน้ำหรือเล่นกีฬามาใช้งาน จะเป็นพื้นที่ส่วนที่เเห้งสนิท ส่วนห้องอาบน้ำที่นี่จะมีการออกแบบแยกส่วนเปียกและส่วนแห้งเอาไว้ สามารถอาบน้ำเสร็จเปลี่ยนชุดได้ทันทีเลยภายในห้อง มีพื้นที่ให้วางของ เเละเสื้อผ้าไม่เปียกขณะเปลี่ยนชุดด้วยค่ะเพราะอยู่ในส่วนแห้ง พื้นไม่เปียก

และมีอีกหนึ่งไฮไลท์ในห้องน้ำที่น่าสนใจคืออ่างแช่น้ำแบบนี้ มีให้ทั้งห้องน้ำชายและห้องน้ำหญิงเลย สามารถแช่น้ำไปและชมวิวไปได้ด้วย

หันมาอีกฝั่งนึงกันบ้าง ฝั่งนี้จะมีห้อง Steam ห้องอาบน้ำอีก 1 ห้อง และห้องสุขา 2 ห้องค่ะ

ภายในห้องต่างๆก็ยังคงเน้นลายไม้ทั้งพื้นและผนัง

ระยะการใช้งานในแต่ละห้องก็ไม่ได้แคบค่ะ ใช้งานได้สะดวกตามมาตรฐาน

ในส่วนของห้องน้ำชายฟังก์ชันการใช้งานก็จะคล้ายๆกันค่ะ มีการวาง Lay-out แตกต่างกันเล็กน้อย

มาดูที่ชั้น 43 กันต่อค่ะ ที่ชั้นนี้จะเป็นชั้นสุดท้ายสำหรับ Facility ของโครงการ เรามาดูฝั่งเเรกกันก่อน ฝั่งนี้จะเป็นส่วนของ Lounge ค่ะ

ภายใน lounge จะเป็นพื้นที่สำหรับพักผ่อน ฝ้าเพดานสูง และมีวิวด้านหลังอาคารทางทิศตะวันตก ทางฝั่งเดียวกับฟิตเนสค่ะ

บริเวณนี้จะมีส่วนที่ลดระดับลงไปเป็น Sunken seat กลายเป็นพื้นที่ที่มีความเป็นส่วนตัวมากขึ้น ระดับสายตาของคนที่อยู่ระดับปกติกับบริเวณ Sunken Seat จะแตกต่างกันค่ะ ทำให้เราไม่รู้สึกว่ามีคนคอยมองกันตลอด

นอกจากนี้ยังมีส่วนที่เป็นเคาน์เตอร์ครัว สามารถซื้ออาหารมาจัดปาร์ตี้พักผ่อนได้ มีอ่างล้างจานเตรียมไว้ให้ด้วย

เดินมาอีกทางจะเป็นส่วนของห้อง Meeting Room และพื้นที่นั่งเล่นอีกโซนนึง Meeting Room ตรงนี้จะมีอยู่ 2 ขนาด เป็นห้องไซส์ S กับ M ค่ะ การเข้าใช้งานอาจจะต้องจองกับทางนิติบุคคลก่อน รูปล่างซ้ายจะเป้นห้องไซส์ M ส่วนรูปล่างขวาเป็นห้องไซส์ S จะเป็นห้องประชุมแบบนั่งโซฟาคุยงานมากกว่าค่ะ

บริเวณหน้าห้องก็จะมีชุดโซฟานั่งพักผ่อนอีกหลายชุดค่ะ ถือว่าจัดให้มาค่อนข้างมากเลย

นอกจากนี้ยังมีส่วนที่เรียกว่า Sky Terrace เป็นมุมนั่งเล่นชมวิวด้านนอกอีกจุดนึงค่ะ

เดินมาดูอีกฝั่งนึงของโถงลิฟต์กันค่ะ ทางฝั่งนี้จะมีห้องสมุด ห้องประชุมไซส์ L และสวนค่ะ

มาดูส่วนห้องสมุดกันก่อน ห้องนี้จะมีชื่อว่า Reading club เป็นห้องสำหรับอ่านหนังสือ หรือนั่งทำงานค่ะ

การเลือกเฟอร์นิเจอร์ก็จะแตกต่างจากทางฝั่ง Lounge ที่เน้นเป็นชุดโซฟา แต่ทางห้องนี้จะเป็นโต๊ะและเก้าอี้ที่เหมาะกับการมานั่งอ่านหนังสือ กางโน๊ตบุ๊คทำงานค่ะ

บรรยากาศก็จะสบายๆ ฝ้าเพดานสูง แสงสว่างเต็มที่ เเละมีโต๊ะหลายขนาดให้เลือกใช้ เผื่อใครมานั่งทำงานกันเป็นกลุ่มก็สามารถทำได้ค่ะ

และห้อง Meeting Room Size L จะเป็นห้องขนาดใหญ่สุด เหมือนห้องประชุมของ Board บริหารตามออฟฟิศใหญ่เลยค่ะ ห้องนี้จะมีโต๊ะยาว และมีทีวีให้ใช้ด้วย สำหรับใครที่คุยงานแล้วอยากใช้ทีวีเชื่อมต่อจากคอมพิวเตอร์ไปก็ใช้ได้ค่ะ

ข้างๆกันจะมีสวนอยู่ ตรงนี้จะมีชื่อว่า Sky Garden

การตกแต่งจะคล้ายๆที่ชั้น 1 และชั้น 10 ค่ะ คือจะเป็นลานสี่เหลี่ยมจัตุรัส มีพื้นที่นั่งรอบๆ มีสวยตรงกลาง สร้างความน่าสนใจของพื้นที่ด้วยระแนงที่ทำมาเป็นผนังและกรอบของพื้นที่ต่างๆ

พื้นที่ส่วนนี้ก็จะกลายเป็นวิวสีเขียวของห้องพักที่อยู่ชั้นบนขึ้นไปด้วยค่ะ

สรุปสิ่งอำนวยความสะดวก

  • ชั้น 1 :

  • Garden
  • Double Volume Waiting Area
  • Double Volume Lobby
  • Storage
  • Mail Room

  • ชั้น 10
    • Sculpture Court (สวน)

  • ชั้น 33
    • Pool Terrace
    • Sky panorama pool ส่วนที่ยาวที่สุดยาว 29.2 เมตร กว้าง 8.5 เมตร มี kids pool, lap pool and jacuzzi
    • ห้องน้ำแยกชายหญิง 
    • Sky Gym (ฟิตเนส)
    • Golf Simulator

  • ชั้น 43
    • Sky Garden
    • Meeting room size S,M,L
    • Business Centre
    • The ESSE residences lounge
    • Reading club
    • Skyscraper deck

  • สวนสาธารณะที่ชั้น 1 , ชั้น 10 และชั้น 43 รวมแล้วประมาณ 1 ไร่
  • ลิฟท์โดยสาร 5 ตัว อัตราส่วนลิฟท์ 84 : 1 + ลิฟท์ขนของ 1 ตัว
  • ที่จอดรถ : ประมาณ 428 คัน (รวมจอดซ้อนคันและ supercar) คิดเป็น 102 % ที่จอดรถ Superbike 9 คัน
  • ระบบ CCTV / Access Card
  • Concierge Service

  • Product Walkthrough

    THE ESSE อโศกจะมียูนิตพักอาศัยให้เลือกหลักๆอยู่ 3 แบบนะคะ เป็นแบบ 1 Bedroom ขนาด 37 – 53 ตร.ม. ห้องแบบ 2 Bedrooms ขนาด 75.5 – 84 ตร.ม. และห้องขนาดใหญ่ Penthouse ขนาด 104.5 – 195.5 ตร.ม.ค่ะ รวมแล้วจำนวนทั้งหมดจะมี 419 ยูนิต แบบที่มีจำนวนยูนิตมากที่สุดจะเป็นแบบ 1 Bedroom ค่ะ ดังนั้นในรีวิวนี้เราจะมีห้องตัวอย่างมาให้ชมกันทั้งหมด 2 ห้อง เป็นแบบ 1 Bedroom ทั้งคู่เลย แต่จะมีขนาดที่แตกต่างกันคือ 1 Bedroom Type 1B-3 ขนาด 46.5 ตร.ม. กับห้องแบบ 1 Bedroom Type 1B-4 ขนาด 52.5 ตร.ม.ค่ะ  ซึ่งโครงการนี้จะขายห้องเป็นแบบ Fully Fitted จะมีพวก Built-in เคาน์เตอร์ครัว ตู้เสื้อผ้ามาให้ แต่ภายในเดือนพฤษภาคม 2562 จะมีโปรโมชันแถมเฟอร์นิเจอร์มาให้ด้วยค่ะ ซึ่งภายในห้องตัวอย่างที่ตกแต่งนี้ก็จะถูกตกแต่งจากเฟอร์นิเจอร์ที่แถมมาในช่วงโปรโมชันนี้เองค่ะ เราไปชมห้องตัวอย่างกันเลยดีกว่า

    ห้องแรกจะเป็นห้อง 1 Bedroom Type 1B-3 ขนาด 46.50 เมตรค่ะ ห้องนี้จะมีอยู่หลายตำแหน่งในอาคารนะคะ เป็นห้องหน้ากว้าง ที่จะมีพื้นที่ทั้งส่วนห้องนอนและพื้นที่ห้องนั่งเล่นอยู่ชิดริมหน้าต่างค่ะ เมื่อเข้ามาภายในห้องจะเจอกับพื้นที่ส่วนครัวก่อน ขนาดกว้างขวางเลย เคาน์เตอร์จัดได้เป็นรูปตัว U มี Built-in ตู้วางของต่างๆให้มาครบ ทั้งเตาไฟฟ้า อ่างล้างจาน รวมไปถึงตู้เย็นที่เป็นส่วนหนึ่งของชุด Built-in นี้ด้วยค่ะ ส่วนฝั่งตรงข้ามจะมีพื้นที่สำหรับวางเครื่องซักผ้า มีหน้าบานปิดเรียบร้อย ในส่วนของที่นั่งรับประทานอาหารตรงนี้จะมีโต๊ะยาวให้มาวางชิดกับเคาน์เตอร์ครัวค่ะ สามารถนั่งทานได้ 2 ที่นั่ง พื้นที่ส่วนครัวนี้จะต่อเนื่องไปกับส่วนที่เป็นห้องนั่งเล่นที่อยู่ถัดเข้าไปด้านใน ครัวที่ได้จะเป็นครัวเปิด เราสามารถกั้นประตูเพิ่มให้เป็นครัวปิดได้ค่ะ แต่ก็จะเสียพื้นที่สำหรับนั่งทานอาหารไปแทน ส่วนพื้นที่นั่งเล่นก็จะมีขนาดค่อนข้างกว้างเลย จัดวางโซฟาได้ 2-3 ที่นั่ง มีพื้นที่ส่วนที่อยู่ริมหน้าต่างเป็น Bay window ที่สามารถจัดมุมนั่งเล่น หรือชั้นวางของเพิ่มบริเวณนี้ได้เช่นกันค่ะ พื้นที่ส่วนนี้จะชิดกับระเบียงที่สามารถเดินออกไปสูดอากาศหรือตากผ้าเล็กน้อยได้ ส่วนของห้องนอนจะได้ห้องนอนที่อยู่ติดกับหน้าต่างที่เปิดเต็มความกว้างของห้องเลย มีห้องน้ำที่ได้เป็นแบบ Sexy bath มีอ่างอาบน้ำที่เป็นผนังกระจก มองเชื่อมต่อไปได้ระหว่างห้องน้ำกับห้องนอน ด้านหน้าห้องน้ำก็จะมีพื้นที่ Walk-in Closet เอาไว้ให้ เป็นมุมสำหรับวางตู้เสื้อผ้าและโต๊ะเครื่องแป้งค่ะ เราลองไปดูห้องจริงกันเลยดีกว่า

    ด้านหน้าห้องจะเป็นประตูไม้สำเร็จรูป มี Digital Door Lock ของ Yale ให้มา การเข้าใช้งานจะสามารถใช้ได้ทั้ง Password, Keycard, fingerprint( สแกนลายนิ้วมือ) และกุญแจค่ะ

    เข้ามาเราจะเจอกับส่วนครัวที่ต่อเนื่องไปยังพื้นที่ห้องนั่งเล่นค่ะ ห้องนี้จะมีความสูงอยู่ที่ 3 เมตร พื้นส่วนครัวจะเป็นกระเบื้องแกรนิตโต้ ส่วนห้องนั่งเล่นและห้องนอนจะเป็นพื้น Engineering Wood ภายในห้องจะมี Wallpaper ติดไว้ให้ค่ะ

    มองย้อนกลับไปดูพื้นที่ส่วนครัวกันอีกที พื้นที่ส่วนนี้จะมีการ Drop ฝ้าเพดานลงมาเล็กน้อยเพราะเป็นการเดินงานระบบต่างๆและซ่อนแอร์ด้วย ทำให้พื้นที่ส่วนนี้จะสูง 2.7 เมตร (เเต่ยังเป็นระยะที่สูงอยู่นะคะ) ความสูงนั้นสำคัญยังไง? ถ้าห้องที่สูงขึ้น บรรยากาศภายในห้องจะดูโปร่งโล่งมากขึ้นค่ะ ไม่อัดอัด การใช้งานก็จะดูสบายมากขึ้นด้วย

    เราชอบที่ทางเดินของห้องนี้จะค่อนข้างกว้างเลยคือจากผนังไปยังเคาน์เตอร์จะกว้าง 1.45 เมตร สามารถเดินสวนกันได้สบาย แล้วพื้นบริเวณนี้จะเป็นพื้นกระเบื้องแกรนิตโต้ ที่เหมาะกับการใช้งานส่วนครัวดีค่ะ เวลาทำครัว อาจจะมีโอกาสที่จะเกิดคราบเลอะเทอะเปรอะเปื้อนได้ง่าย การเลือกใช้กระเบื้องก็จะสะดวกในการทำความสะอาดด้วยค่ะ

    ถ้าเราดูบริเวณทางเข้า ด้านหน้าประตูจะมีไฟอยู่ 1 ดวง ตรงนี้จะเป็นเซนเซอร์ที่เราใช้งานบริเวณประตูเช่นเปิดประตูมา หรือยืนบริเวณนั้น ไฟดวงนี้ก็จะส่องสว่างขึ้นมา ทำให้เวลาที่เรากลับบ้านเข้าห้องมา ก็จะมีเเสงสว่างให้เราสามารถมองเห็นส่วนต่างๆภายในห้องได้ด้วยค่ะ และจากภาพ ทางซ้ายมือเราจะมี Built-in ตู้อยู่ชุดนึง ดีไซน์เป็นระนาบเดียวกันกับผนังเลย ส่วนทางขวามือนอกจากเคาน์เตอร์ครัวเเล้วยังมี Built-in ตู้เย็นและชั้นวางต่างๆให้มาพร้อมห้องด้วย ลองไปดูรายละเอียดกันค่ะ

    ตู้ทางซ้ายมือที่อยู่ระนาบเดียวกันกับผนังจะเป็นพื้นที่สำหรับวางเครื่องซักผ้าค่ะ พื้นที่ตรงนี้จะมีขนาดกว้าง 75 ซม. ลึก 70 ซม. มีการเดินงานระบบ รวมถึงจุด drain น้ำ (เผื่อพื้นที่ส่วนนี้เปียก)ไว้ให้แล้ว ที่เราว่าน่าสนใจคือ จะมีชั้นวางของ สามารถวางอุปกรณ์ เช่นน้ำยาซักผ้าได้ รวมถึงมีราวแขวนผ้าไว้ให้ด้วยค่ะ เก็บรายละเอียดที่เหมาะกับการใช้งานดีเลย

    ส่วนทางขวามือจะเป็นส่วนครัวที่จัด Built-in มาเป็นรูปตัว U ถือว่าพื้นที่ใช้งานตรงกลางค่อนข้างกว้างเลย ประมาณ 1.5×1.5 เมตร ชุดที่อยู่ติดกับประตูจะมีหน้าบานเป็น Hi-gloss ค่ะ

    ตู้สีขาวที่เห็นเมื่อสักครู่จะสามารถเปิดได้ 2 ฝั่ง คือด้านที่ติดกับประตูห้องจะเป็นชั้นวางรองเท้า ส่วนทางขวามือจะเป็นตู้เย็นของ Siemens ดูเป็นระเบียบเรียบร้อย

    พื้นที่ใช้งานครัวจะมีส่วนที่เป็นเตาไฟฟ้ามาพร้อมกับเครื่องดูดควัน และมีไมโครเวฟให้มาด้วยอยู่ชิดกับผนัง ส่วนขาของตัว U ส่วนที่ติดกับพื้นที่ห้องนั่งเล่นจะมีพื้นที่บนเคาน์เตอร์สามารถใช้งานเตรียมอาหารบริเวณนี้ได้ มีอ่างล้างจานอยู่ฝั่งนี้ค่ะ

    เคาน์เตอร์ที่ให้มามีขนาดค่อนข้างใหญ่เลย มีช่องวางของเตรียมให้มาค่อนข้างเยอะ

    เตาไฟฟ้าจะได้มาเป็นแบบ 2 หัวพร้อมเครื่องดูดควันของ Siemens ส่วน Top เคาน์เตอร์ และผนังด้านหลังที่เป็น Back splash จะใช้วัสดุเป็นหินควอทซ์ที่มีความคงทนต่อสารเคมีและการขีดข่วนกว่ากระเบื้องทั่วๆไปค่ะ

    ใต้เคาน์เตอร์ฝั่งอ่างล้างจานจะมีถังขยะให้มา และมีลิ้นชักสำหรับเก็บของต่างๆตามนี้

    ชุดอ่างล้างจานจะเป็นสเตนเลสแบบฝังใช้เคาน์เตอร์ของ MEX ค่ะ

    ส่วนที่ติดกับเคาน์เตอร์จะมีโต๊ะยาวให้มา สามารถทานอาหารได้ 2 ที่นั่ง(ช่วงเดือนพฤษภาคม 2019 จะมีโปรโมชันแถมเก้าอี้ให้มา 2 ตัว ดีไซน์แบบนี้ค่ะ)

    มาดูมุมนั่งเล่นกันบ้าง มุมนี้ก็จะเป็นสัดส่วนสบายๆ ดูโปร่งเพราะมีกระจกแบบ Low wall (สูงเกือบถึงพื้น) และสูงเท่าฝ้าเพดานเลย

    รวมๆแล้วพื้นที่ส่วนนี้จะมีขนาดประมาณ 3 x 4 เมตรเลยค่ะ

    สามารถจัดโซฟาได้ 2 ที่นั่ง มีโต๊ะกลางได้

    มีส่วนที่เว้าเข้าไปเป็น Bay Window ที่มาพร้อมกับกระจกเข้ามุม มุมนี้เราสามารถจัดที่นั่งเข้ามุมตามเเนวห้องได้ กลายเป็นพื้นที่อีกส่วนที่น่ามานอนเล่นใช้งานค่ะ

    ติดกันจะมีระเบียงพักผ่อนอยู่ เปิดเข้า-ออกด้วยประตูบานเลื่อน

    พื้นที่ระเบียงจะลดระดับลงไปเล็กน้อย กันน้ำไหลย้อนเข้าห้อง พื้นปูด้วยกระเบื้องเเกรนิตโต้ พื้นที่ใช้งานจะมีขนาดกว้าง 65 ซม. ยาว 1.5 เมตร ยืนชมวิวได้ค่ะ ที่น่าสนใจคือทั่วไปแล้วพื้นที่ระเบียงจะเป็นตำแหน่งสำหรับวาง CDU ของแอร์ใช่ไหมค่ะ แต่ที่นี่จะรวมตำแหน่ง CDU ไว้ที่ส่วนกลางอาคาร ทำให้เราสามารถใช้งานระเบียงได้ ไม่มีลมร้อนบริเวณนี้ค่ะ

    ตำแหน่งวางทีวีก็จะอยู่หน้าห้องนอนพอดี เราสามารถทำเป็นชั้นวางของเพิ่มได้ค่ะ พื้นที่การใช้งานสามารถ Built-in ตู้ลึกได้

    แต่ในช่วงเดือนพฤษภาคมนี้จะมีแถมเฟอร์นิเจอร์หน้าตาแบบนี้ให้มา

    ไปดูห้องนอนกันต่อค่ะ ประตูเข้าห้องนอนจะเป็นบานทึบลายไม้ ทำให้ภายในห้องนอนได้ความเป็นส่วนตัวเต็มที่ สามารถล็อกประตูได้ มือจับประตูได้เป็นแบบก้านโยก

    เข้ามาภายในห้องที่เป็นจุดเด่นของโครงการ THE ESSE อโศกนี้อีกอย่างคือห้องนอนจะได้อ่างอาบน้ำ และห้องน้ำจะเป็นแบบ Sexy Bath ค่ะ มีกระจกเข้ามุมให้มาค่ะ ทำให้ภายในห้องดูกว้างขึ้นด้วย

    ส่วนที่นอนจะมีขนาด 3.2×3.35 เมตร มีกระจกขนาดใหญ่เป็นแบบ Low wall อยู่ข้างๆ ทำให้แสงสว่างเข้ามาได้เต็มที่ค่ะ แต่ก็จะมีผนังทึบบริเวณตำแหน่งใกล้หัวเตียง ทำให้เเสงไม่แยงตาเกินไปเวลานอน

    ปลายเตียงมีพื้นที่สามารถวางทีวีได้ค่ะ จะทำเป็นชั้นวางทีวีหรือจะเป็นแบบเเขวนผนังก็ได้ค่ะ

    ในห้องตัวอย่างจัดออกมามีขนาดรอบๆเตียงค่อนข้างกว้างเลยค่ะปลายเตียงวางชั้นวางของเเล้วเหลือทางเดิน 60 ซม. และทั้งสองฝั่งทางเดินข้างเตียงก็จะมีระยะประมาณ 60 ซม.เช่นกัน เป็นระยะที่เดินสะดวก ไหล่ไม่ชนของหรือชั้นวางข้างๆ

    มาดูส่วนห้องน้ำกันค่ะ ทางเข้าห้องน้ำจะอยู่ด้านข้างนะคะ เราจะเห็นทางเดินทางขวามือ ส่วนนี้จะเป็นตำแหน่งของ Walk-in Closet ค่ะ ตัวตู้เสื้อผ้าจะถูก Built-in มาให้อยู่ระนาบเดียวกันกับกำแพง ทำให้ห้องดูเรียบร้อย

    ทางเดินก็จะมีขนาด 1 เมตร ถือว่ากว้างเลยค่ะ ปลายทางเดินสามารถจัดมุมโต๊ะเครื่องเเป้งได้

    หน้าบานตู้เสื้อผ้าจะเป็นกระจกเงา ภายในมีลิ้นชักเก็บของ ชั้นวางของ และราวเเขวนเสื้อผ้าให้มาดังภาพ ห้องนี้จะได้ดูกว้าง 1.8 เมตร

    มาดูภายในห้องน้ำกันค่ะ ด้านในจะมีพื้นที่ค่อนข้างกว้างเลย มีฟังก์ชันการใช้งานให้มาครบ รวมไปถึง Built-in ต่างๆด้วย ทางซ้ายมือจะเป็นอ่างอาบน้ำ ทางขวามือจะเป็นโถสุขภัณฑ์และห้องอาบน้ำ ส่วนตรงกลางจะเป็นอ่างล้างมือ มีทางเดินตรงกลาง จัดว่าใช้งานสะดวก เเต่ละพื้นที่แยกเป็นสัดส่วน

    เคาน์เตอร์อ่างล้างมือก็มี Built-in ชั้นวางของให้มาเหมือนกัน ทั้งด้านข้างเเล้วก็ด้านล่างอ่าง นอนเเช่อ่าง เล่นมือถือ สามารถเอื้อมไปวางที่เคาน์เตอร์ได้ บริเวณชั้นวางของก็จะมีปลั๊กไฟไว้ให้ เราจะมาเปิดเพลง จุดอโรม่าเเช่อ่างผ่อนคลายก็ได้ไปอีกบรรยากาศค่ะ

    ตัวอ่างล้างมือจะเป็นแบบฝังใต้เคาน์เตอร์ของ KOHLER เดินงานระบบน้ำร้อนมาให้ ระบบน้ำร้อนนี้ก็จะได้น้ำที่ไหลแรงกว่าเครื่องทำน้ำอุ่นค่ะ

    อ่างอาบน้ำก็จะเป็นมุม Sexy Bath ที่เชื่อมต่อไปยังห้องนอนได้เลย แสงสว่างเข้ามาภายในห้องน้ำได้เต็มที่ ใครที่เขินๆก็อาจจะติดม่านเพิ่มเอาได้นะคะ

    บริเวณอ่างอาบน้ำก็จะมีฝักบัวไว้ให้ แช่เสร็จก็ล้างตัวในอ่างได้เลย

    มาดูอีกด้านกันค่ะ ฝั่งนี้ทางซ้ายจะเป็นห้องอาบน้ำ ส่วนทางขวาจะเป็นตำแหน่งโถสุขภัณฑ์ที่จะมีผนัง Low wall ก่อด้านหลัง เราสามารถวางของตกแต่ง เครื่องหอม หรือแอบวางหนังสือไว้ได้ ทำธุระนานก็นั่งอ่านหนังสือได้ เผื่อใครอยากพักจากหน้าจอบ้าง

    โถสุขภัณฑ์จะได้ของ KOHLER มีที่ใส่กระดาษชำระกับสายฉีดชำระให้มาด้วย

    ส่วนพื้นที่อาบน้ำจะมีฉากกั้นกระจกให้มา เป็นแบบบานเปิดสวิงเข้า ทำให้น้ำไม่เลอะเทอะนอกห้องค่ะ

    ด้านในจะมีพื้นที่อาบน้ำ 1.0 x 0.9 เมตร จัดว่ากว้าง ใช้งานหมุนตัวได้สบายเลยค่ะ

    ฝักบัวจะใช้ของ GROHE เป็นระบบน้ำร้อนเช่นกันค่ะ

    มาดูห้องตัวอย่างกันอีกห้องนะคะ ห้องนี้จะเป็นห้องแบบ 1 Bedroom Type 1B-4 ขนาด 52.5 ตร.ม. การจัดวางผังจะคล้ายกันกับห้องที่แล้ว เเต่จะมีขนาดใหญ่กว่าค่ะ คือในห้องนี้ในห้องจริงจะมีส่วนที่ต่างจากผังคือ เคาน์เตอร์ครัวจะได้เป็นรูปตัว L ทำให้เราสามารถจัดวางโต๊ะรับประทานอาหารได้ถึง 4 ที่นั่งและด้วยความที่ตำแหน่งห้องนี้จะเป็นห้องหัวมุมของอาคาร ทำให้บริเวรห้องนอนเราจะได้ชุดหน้าต่างเข้ามุมเป็น Bay window ด้วย พื้นที่ใช้สอยต่างๆภายในห้องก็จะมีขนาดที่ใหญ่ขึ้น อยู่อาศัยสบายมากขึ้นค่ะ

    เข้ามาดูภายในห้องกันเลย ส่วนเเรกที่เราจะเจอคือส่วนครัวค่ะ รายละเอียดห้องก็จะได้เหมือนกันทั้งโครงการนะคะ ส่วนครัวจะเป็นพื้นกระเบื้องแกรนิตโต้ ส่วนห้องนอนเเละห้องนั่งเล่นจะได้พื้น Engineering Wood

    ห้องนี้จะได้เคาน์เตอร์ครัวเป็นรูปตัว L ค่ะ ในห้องนี้จะจัดโต๊ะทางอาหารให้ดูเป็นตัวอย่างถึง 4 ที่นั่ง เหลือทางเดิน 1.65 เมตร ซึ่งถือว่ายังกว้างขนาดที่เดินสวนกันสองคนสบายเลยค่ะ

    ชุดโต๊ะรับประทานอาหารนี้จะได้เเถมเป็นหนึ่งในโปรโมชันเดือนพฤษภาคมนี้

    ส่วนเคาน์เตอร์ก็จะมีช่องเก็บของให้ค่อนข้างเยอะ รายละเอียดคล้ายกันกับห้องเมื่อสักครู่

    หน้าประตูมีไฟอัตโนมัติ ส่วนด้านข้างก็จะเป็นชั้นวางรองเท้า ที่ Built-in เป็นระนาบเดียวกันกับเคาน์เตอร์ครัว

    เตาไฟฟ้าและเครื่องดูดควันจะเป็นของ SIEMENS เช่นเดิมค่ะ ส่วนข้างๆเคาน์เตอร์จะมีพื้นที่มากขึ้นหน่อย วางของหรือเตรียมอาหารได้มากขึ้น

    ส่วนอ่างล้างจานจะเป็นของ MEX อยู่ใกล้กับตู้เย็นค่ะ

    ส่วนที่ติดกับครัวจะเป็นพื้นที่ห้องนั่งเล่น ส่วนนี้วัสดุพื้นจะเปลี่ยนไปเป็นพื้น Engineering Wood

    ส่วนนี้จะมีความสูงของฝ้าเพดานอยู่ที่ 3 เมตร จะมีผนังกระจกเข้ามุมบริเวณระเบียงห้องเป็น Bay window ทำให้พื้นที่ส่วนนี้ดูสว่างและดูมีมิติมากขึ้นด้วยค่ะ สามารถจัดวางโซฟาแบบ 2 ที่นั่งได้ และจะหาอาร์มแชร์มาวางเพิ่มแบบในห้องตัวอย่างก็เป็นไอเดียที่ดีนะคะ เผื่อมีแขกมาเยี่ยมที่บ้านหลายคนก็จะมีที่นั่งมากขึ้น การมีโซฟาหลายๆแบบก็ทำให้เราได้พื้นที่พักผ่อนภายในห้องที่หลากหลายอีกด้วย

    สำหรับระเบียงของห้องนี้จะเล็กลงอีก ขนาดระเบียงอยู่ที่ 0.46×1.58 เมตร ออกไปใช้งานอาจจะหมุนตัวยากนะคะ ถ้าปิดประตู

    มองจากโซฟาไปจะเห็นพื้นที่ผนังที่สามารถติดตั้งทีวีได้ และมีประตูเข้าห้องนอน ส่วนใครที่กำลังคิดว่าตำแหน่งวางเครื่องซักผ้าของห้องนี้อยู่ที่ไหน เพราะระเบียงห้องก็ดูไม่น่าจะสามารถวางเครื่องซักผ้าได้ ลองดูตู้ทางขวามือก่อนเข้าห้องสิคะ ตรงนี้จะทำ Built-in ไว้ให้ เป็นตู้สำหรับวางเครื่องซักผ้าค่ะ

    ตู้นี้ฟังก์ชันการใช้งานและดีไซน์จะเหมือนเดิม เพียงแต่เปลี่ยนตำแหน่งวางภายในห้องเท่านั้น

    มาดูห้องนอนกันดีกว่าค่ะ เมื่อเข้ามาภายในห้องนอน ห้องนี้ยังจะได้ห้องน้ำแบบ Sexy Bath อยู่ค่ะ ตำแหน่งอยู่ทางขวามือ

    ความพิเศษของ Type นี้คือห้องนอนที่จะได้ชุดหน้าต่างเข้ามุมเป็น Bay Window ค่ะ

    ห้องตัวอย่างจะอยู่ที่ชั้น 16 ซึ่งยังคงชนกับอาคารข้างๆอยู่ แต่ยังไม่ใช่ในระยะที่ประชิดมาก และยังสามารถมองเยื้องๆไปทางถนนอโศกที่อยู่หน้าโครงการได้ค่ะ

    ส่วนห้องนอนจะมีขนาด 3.4 x 3.75 เมตร นับว่ากว้างเลยค่ะ ทำให้เราสามารถวางเตียง king size ได้สบาย (ในห้องตัวอย่างจะจัดเป็นเตียงขนาด King size ค่ะ ดูพื้นที่รอบๆแล้วเหลือระยะพอสมควรเลย)

    ลองดูระยะรอบๆเตียงกันบ้าง ปลายเตียงสามารถวางชั้นวางทีวีได้ เหลือทางเดินสบายๆ ข้างเตียงฝั่ง Bay window มีพื้นที่ประมาณ 1.2 เมตร วางเฟอร์นิเจอร์เพิ่มเติมที่ฝั่งนี้ก็ได้ ส่วนข้างเตียงฝั่งที่ติดกับห้องน้ำ ในห้องตัวอย่างจะเหลือระยะประมาณ 55 ซม. แต่ด้วยความที่ผนังห้องน้ำฝั่งนี้เป็นกระจก ก็จะช่วยให้ระยะตรงนี้ดูกว้างขึ้นด้วย

    ห้องนี้จะเป็นห้องหัวมุมที่มีหน้าต่างแบบ Bay Window ด้วย และเพราะขนาดห้องที่กว้างขึ้นทำให้เราจะมีพื้นที่มุมนี้เหลือ สามารถจัดเป็นมุมทำงานหรือมุมพักผ่อนเพิ่มเติมได้ อย่างห้องตัวอย่างจะเอาโซฟาแบบไม่มีพนักพิงมาตั้ง นั่งเล่นได้ แถมไม่บังวิวด้วยค่ะ

    มองย้อนกลับไปการจัดฟังก์ชันก็ยังคงเหมือนเดิมคือ มีทางเดินเข้าห้องน้ำอยู่ทางขวามือ ปลายสุดทางเดินสามารถทำเป็นมุมโต๊ะเครื่องแป้งได้ ส่วนฝั่งตรงข้ามกับทางเข้าห้องน้ำจะเป็นตู้เสื้อผ้า

    ทางเดินของห้องนี้ก็กว้างเช่นกันค่ะ อยู่ที่ 1.2 เมตร เดินผ่านได้สบายๆ

    ทางขวามือของทางเดินจะเป็นตู้เสื้อผ้าที่ Built-in มาให้ ตู้นี้กว้าง 1.8 เมตรค่ะ

    เข้ามาในห้องน้ำการวางตำแหน่งฟังก์ชันต่างๆภายในห้องน้ำยังเหมือนเดิมค่ะ ทุกอย่างจัดเป็นสัดส่วน มีทางเดินตรงกลาง ซ้ายมือเป็นอ่างอาบน้ำ ขวามือเป็นห้องอาบน้ำกับโถสุขภัณฑ์ ส่วนตรงกลางจะเป็นอ่างล้างมือ

    ตำแหน่งอ่างอาบน้ำจะเป็นจุดที่ติดกับผนังกระจกแบบ Sexy Bath ผนังกระจกนี้ก็จะช่วยทำให้ห้องดูกว้างขึ้น ทั้งภายในห้องนอนและห้องน้ำค่ะ

    เคาน์เตอร์อ่างล้างหน้าจะอยู่ตรงกับประตูทางเข้าห้องน้ำเลย ส่วนนี้จะกว้าง 1.6 เมตร มีชั้นวางของด้านนึง ส่วนอีกฝั่งจะเป็นกระจกเงาขนาดใหญ่เลย เราชอบที่พื้นที่ตรงนี้จะเป็นห้องน้ำที่ยังได้แสงธรรมชาติอยู่ สำหรับคุณผู้หญิงก็จะแต่งหน้าในห้องน้ำได้ง่ายขึ้น (บางทีที่เราเเต่งหน้าในห้องน้ำที่ไฟเหลืองมากๆ ออกนอกบ้านเจอแสงธรรมชาติ สีสันที่เราเเต่งไปอาจจะเพี้ยนไปได้ค่ะ การมีแสงธรรมชาติเข้ามาก็จะช่วยเรื่องนี้ได้ด้วย)

    อ่างล้างหน้าจะเป็นแบบฝังใต้เคาน์เตอร์พื้นที่รอบอ่างสามารถวางของได้ค่อนข้างเยอะเลยค่ะ อย่างการที่เราหาถาดมาวางพวกอุปกรณ์แปรงฟัน ล้างหน้า หรือพวกครีม Skincare ต่างๆก็นับว่าเป็นไอเดียที่ดีนะคะ ด้านข้างจะมีตู้อยู่ เราจะใช้งานอะไรก็หยิบทั้งถาดออกมาเลยก็ได้ จะทำความสะอาดก็ง่ายขึ้นด้วยค่ะ

    มาดูกันที่ส่วนอื่นกันต่อค่ะ ตำแหน่งโถสุขภัณฑ์จะใกล้กับประตูเลย ใช้งานได้สะดวก ผนังด้านหลังเราสามารถนำภาพสวยๆมาเเขวนตกแต่งแทนกระจกเงาในห้องตัวอย่างได้

    โถสุขภัณฑ์ใช้ของ KOHLER เช่นเดิมค่ะ พื้นที่ส่วนนี้กว้าง 95 ซม. ถือว่าหันไปหยิบจับสายฉีดชำระหรือที่ใส่กระดาษชำระทั้งทางขวาและซ้ายได้สะดวก

    ส่วนพื้นที่อาบน้ำห้องนี้จะอยู่ที่ 1.2 x 0.875 เมตร จัดว่าใช้งานหรือหมุนตัวสบายอยู่ภายในติดตั้งเครื่องทำน้ำร้อนให้ มีทั้งฝักบัวสายอ่อน และ Rain Shower ให้เหมือนกันทุกห้อง บริเวณผนังจะมีช่องสำหรับวางอุปกรณ์อาบน้ำต่างๆได้

    มาดูผังห้องอื่นบ้างค่ะ เริ่มจากห้องขนาดเริ่มต้น 1 Bedroom Type 1B-1 ขนาด 37 ตร.ม. เป็นห้องที่ Layout คล้ายกับห้องตัวอย่างเเรกที่พาไปดูนะคะ แต่จะมีขนาดเล็กลง และภายในห้องน้ำก็จะไม่มีอ่างอาบน้ำและมุม Sexy Bath

    มาดูตัวอย่างของห้องแบบ 2 Bedroom กันค่ะ ห้องนี้จะเป็นตำแหน่งหัวมุมหันทางทิศเหนือเป็นหลัก Type 2B-1 ขนาด 75.5 ตร.ม. ห้องนี้จะเป็นห้องหน้ากว้างเช่นกัน ตำแหน่งเข้าห้องจะอยู่กลางๆของยูนิต เมื่อเข้ามาจะเจอกับส่วนครัวเเละจุดรับประทานอาหาร ซึ่งต่อเนื่องไปกับพื้นที่นั่งเล่น ครัวนี้จะเป็นครัวเปิด ทราสามารถกั้นเป็นครัวปิดได้ค่ะ พื้นที่ครัวจะได้ขนาดค่อนข้างใหญ่เลย มีเคาน์เตอร์เป็นเกาะกลาง จัดเป็นมุมทาน Breakfast แบบง่ายๆได้ ส่วนพื้นที่นั่งเล่นจะอยู่ถัดเข้าไปใกล้กับระเบียงและหน้าต่างค่ะ ในส่วนของห้องนอนจะเเยกออกไปทั้งปีกซ้ายและขวาจากพื้นที่นั่งเล่น โดยห้องนอนเล็กจะได้เป็นห้องแนวลึก ทำให้ยังสามารถจัดมุมทำงานและตู้เสื้อผ้าได้ ขนาดเตียงถ้าอยากได้เตียงใหญ่ขึ้นสำหรับอาศัย 2 คน อาจจะต้องแลกกับพื้นที่ทำงานหรือโต๊ะเครื่องเเป้งภายในห้องแทน ห้องนอนเล็กนี้จะติดกับห้องน้ำที่สามารถเข้า-ออกได้ 2 ทาง ทำให้เกิดความสะดวกสบายเเละความเป็นส่วนตัวในการใช้งาน ที่ต้องใช้งานร่วมกับเเขกที่มาเยือนภายในบ้านเรา ส่วนห้อง Master Bedroom จะอยู่อีกฝั่งนึง ขนาดค่อนข้างใหญ่เลย ได้กระจกแบบ Bay Window ในห้องนอน มี Sexy Bath ,อ่างล้างหน้าแบบ His&Her และ Walk-in Closet ขนาดใหญ่ ห้องแบบนี้เหมาะกับครอบครัวขนาดเริ่มต้น อยู่กัน 3-4 คนค่ะ

    มาดูห้อง 2 Bedroom กันอีกซักห้อง เป็นห้อง Type 2B-2 ขนาด 84 ตร.ม. ห้องนี้เป็นห้องมุมเช่นกัน ได้วิวทางถนนอโศกมนตรีเป็นหลัก รูปร่างของห้องจะค่อนข้างเป็นสี่เหลี่ยมจัตุรัส เข้ามาจะเจอกับ Foyer เล็กๆ ทำให้ไม่เห็นภายในห้องทั้งหมด ได้ความเป็นส่วนตัวดี สำหรับห้องนี้จะได้เป็นครัวปิดค่ะ เกิดความสะดวกในการใช้งานครัวมากขึ้น มีพื้นที่ส่วนทานอาหารและพื้นที่นั่งเล่นที่ต่อเนื่องกันไป ตรงข้ามฟังก์ชันนี้จะเป็นส่วนพักผ่อน ห้องนอนเล็กจะอยู่ใกล้กับประตูเข้าห้อง โดยจะมีทางเดินเข้าไปก่อนเข้าถึงห้องนอน โดยจะผ่านห้องน้ำก่อน ซึ่งเป็นห้องน้ำที่ต้องใช้ร่วมกันระหว่างพื้นที่ส่วนกลางห้องกับห้องนอน ส่วนห้องนอนใหญ่จะได้ห้องค่อนข้างกว้าง มีมุม Walk-in closet และมุมโต๊ะเครื่องแป้งที่ใหญ่ขึ้น ส่วนห้องน้ำจะได้ทั้ง His & Her และ อ่างอาบน้ำแบบ Sexy Bath สิ่งที่น่าสนใจคือห้องน้ำนี้จะอยู่ติดผนังด้านนอกทำให้มีส่วนที่เป็นกระจก ระบายอากาศและได้แสงสว่างที่ดี ส่วนภายในห้องนอนก็จะมีพื้นที่กว้างขึ้น ปลายเตียงสามารถจัดมุมเป็นชุดโซฟานั่งเล่นดูทีวีที่ปลายเตียงได้อีกจุด โดยที่เหลือทางเดิน ใช้งานได้สบายค่ะ

    **รายละเอียดของวัสดุต่างๆเช่น ยี่ห้อ และรุ่น ของจริงอาจจะเป็นรุ่นนี้หรือเทียบเท่านะคะ

    ราคาและเงื่อนไขการขาย @ 13 May 2019

    • 1 Bedroom ขนาด 44.5 ตร.ม. ราคาเริ่มต้น 9.59 ล้านบาท
    • 2 Bedrooms ราคาเริ่มต้น 19.23 ล้านบาท
    • Penthouse ราคาเริ่มต้น 35.61 ล้านบาท

    • รูปแบบการขาย Fully Fitted
    • โปรโมชันพิเศษพร้อมเข้าอยู่ รับ Furniture Package by ARKITEKTURA มูลค่า 500,000 บาท
    • ความสูงจากพื้นถึงฝ้าเพดาน 3 เมตร
    • Kitchen & Sink ของ MEX / ท๊อปหินควอทซ์
    • Hob & Hood / ของยี่ห้อง SIEMENS
    • จอง ห้อง 1 Bedroom 50,000 บาท , 2 Bedroom 100,000 บาท Penthouse 300,000 บาท
    • ทำสัญญา 3%
    • ดาวน์ n/a% ผ่อนดาวน์ n/a งวด
    • ค่ากองทุน 800 บาท/ตร.ม.
    • ค่าส่วนกลาง 80 บาท/ตร.ม./เดือน

    **ราคาที่เอามาลงในบทความเป็นราคา ณ วันที่เข้าไปเก็บข้อมูลทำรีวิว ดังนั้นราคาต่างๆอาจมีการเปลี่ยนแปลงได้ค่ะ


    เจาะลึกรวบยอด

    ทำเล : ตั้งอยู่ใจกลางถนนอโศกมนตรี (เยื้องๆกับตึกแกรมมี่) จัดว่าเป็นแหล่ง CBD ย่านหนึ่งในกรุงเทพ มีความหลากหลายของพื้นที่ค่อนข้างสูง ทั้งสำนักงาน โรงเรียนชื่อดัง โรงพยาบาล ศูนย์การค้า ตั้งสลับกับความอุดมสมบูรณ์ด้านอาหารการกิน ทั้งตลาด ร้านอาหาร คาเฟ่ จนไปถึงร้านกินดื่มกลางคืน บนถนนนี้มีให้หมด การใช้ชีวิตจึงค่อนข้างสะดวกสบายตลอด 24 ชม. (อาคารข้างๆทั้ง 2 ฝั่ง มีร้านสะดวกซื้ออย่าง 7-11 เปิดอยู่) และด้วยความที่เป็นใจกลางเมืองที่สามารถเชื่อมต่อกับย่านความเจริญอื่นๆได้ง่าย เพราะมีถนนหนทางหลากหลายเส้นล้อมรอบ ทั้งถนนอโศกที่พาไปพระราม 4 กับพระราม 9 ได้ ถนนเพชรบุรี วิ่งไปราชเทวีหรือพัฒนาการได้ ส่วนถนนสุขุมวิทเองก็จะพาเข้าเมืองไปโซนสยามหรือจะออกเมืองไปยังสมุทรปราการได้เช่นกันค่ะ

    การเดินทางโดยใช้รถ : ถึงแม้ว่าจะอยู่ใจกลางเมืองที่โดยทั่วไปมักจะเน้นการใช้งานระบบขนส่งสาธารณะเป็นหลัก แต่ความน่าสนใจของ THE ESSE อโศกอย่างหนึ่งเลยคือจำนวนที่จอดรถที่ให้มาเกิน 100% ทั้งที่ทำเลอยู่ใจกลางเมืองจึงเป็นคอนโดที่ถือว่าอำนวยความสะดวกให้คนที่ใช้รถยนต์ส่วนตัวในชีวิตประจำวันจริงๆ อย่างที่ทราบกันว่าถนนอโศกมนตรีขึ้นชื่อว่าเป็นถนนที่รถติดมากเส้นหนึ่งในกรุงเทพก็ว่าได้ จึงไม่สามารถพูดได้เต็มปากกว่าใช้รถสะดวกมาก ดังนั้นอาจจะต้องหลีกเลี่ยงช่วงเวลารถหนาแน่นอย่างเข้างานตอนเช้า หรือเลิกงานตอนเย็นจะดีกว่า และอีกสิ่งหนึ่งที่ค่อนข้างลำบากคือการขับรถไปฝั่งสุขุมวิท เพราะจุดกลับรถจะได้เลยแยกอโศกเพชรบุรีไปอีก ทำให้ค่อนข้างลำบากในช่วงเวลารถติดพอสมควร

    การเดินทางโดยไม่ใช้รถ : โครงการตั้งอยู่ใจกลางอโศกที่ถือว่าเป็นย่านที่มีตัวเลือกระบบขนส่งสาธารณะในการเดินทางมากที่สุดเเห่งหนึ่งเลย มีทั้งรถเมล์ วินมอเตอร์ไซค์ รถไฟฟ้า BTS, MRT, ARL แม้กระทั่งเรือด่วนคลองแสนแสบ ตำแหน่งโครงการอยู่กึ่งกลางระหว่างถนนสุขุมวิทและถนนเพชรบุรี(ซึ่งเป็นตำแหน่งที่มีระบบขนส่งทางรางหรือรถไฟฟ้าตั้งอยู่) ห่างออกไปประมาณ 600-700 เมตร ซึ่งเป็นระยะที่เดินเหนื่อยอยู่ แต่คนที่ทำงานย่านนี้ก็มักจะเดินกัน (เราเองก็เป็นหนึ่งในนั้น) หรือถ้าใครรีบก็อาจจะเรียกวินมอเตอร์ไซค์ใช้บริการก็ได้ จะมีพี่วินอยู่ข้างๆโครงการเลยค่ะ ฝั่งอโศก มิดทาวน์

    วัสดุ : โครงการให้วัสดุตกแต่งพื้นที่ส่วนกลางออกมาค่อนข้างดี ทั้งหินและไม้ รวมไปถึงงานตกแต่งที่เป็น Sculpture ต่างๆที่ช่วยสร้างบรรยากาศความหรูหราให้ภายในโครงการ ในส่วนของตัวห้องจะให้มาเป็นแบบ Fully Fitted แต่จะมี Built-in ต่างๆให้มาค่อนข้างครบ ดูเรียบร้อยเหมาะสมกับการวางผังห้อง ตู้ต่างๆที่ให้มาก็จะมีทั้งครัว ตู้เก็บรองเท้า ตู้เก็บเครื่องซักผ้า ตู้เสื้อผ้าต่างๆ ภายในห้องจะได้พื้นกระเบื้องแกรนิตโต้ที่ส่วนครัวและห้องน้ำ และพื้น Engineering Wood ที่ห้องนั่งเล่นและห้องนอน ผนังจะให้ Wallpaper มาด้วย ส่วนฝ้าเพดานจะฉาบเรียบทาสี ความสูงอยู่ที่ 3 เมตร มีส่วนที่ลดระดับลงมาเหลือ 2.7 เมตรเพื่อเก็บงานระบบ แต่ก็ยังถือว่าสูงอยู่ แอร์จะได้เป็น Conceal Type มีการแยกเก็บ CDU ไว้ที่ส่วนกลาง ทำให้ได้พื้นที่มากขึ้น ครัวจะได้ของ SIEMENS และ MEX ส่วนห้องน้ำจะมีทั้ง GROHE และ KOHLER ค่ะ

    การออกแบบ : ตัวอาคารมีการออกแบบผังที่ค่อนข้างตอบโจทย์กับบริบทรอบๆอาคาร ในขณะเดียวกันก็ได้ความเป็นส่วนตัวเหมาะกับระดับราคาที่ขายด้วย ด้วยความวุ่นวายบนถนนอโศก เต็มไปด้วยตึกสูงมากมาย การออกแบบอาคารจึงพยายามจัดห้องได้เป็นห้องหน้ากว้าง และเปิดมุมมองไปยังพื้นที่ที่เปิดโล่งให้ได้มากที่สุด หรือเว้นระยะห่างจากอาคารข้างเคียงมากที่สุด ในส่วนที่ชิดกับอาคารข้างจริงๆก็จะจัดเป็นพื้นที่ทางเดินหน้าห้องพัก ทำให้ภายในห้องพักอาศัยได้ทั้งมุมมองที่เปิด และความเป็นส่วนตัวจาก Single Corridor ในส่วนของพื้นที่ส่วนกลางก็จัดมาให้เป็นระยะเกือบทุก 10 ชั้นโดยประมาณ ได้ทั้งความสะดวกในการใช้งานจากทุกยูนิต และพื้นที่ส่วนกลางบางชั้นสามารถกลายเป็นวิวให้กับห้องพักอาศัยได้อีกด้วย

    ส่วนตัวห้องก็จะได้ห้องหน้ากว้างแทบทุกยูนิต มีพื้นที่ใช้สอยเริ่มต้นค่อนข้างใหญ่ ทำให้การใช้งานภายในห้องสามารถใช้งานได้สบาย การที่ห้องขนาดใหญ่ทำให้สามารถจัดบางมุมหรือบางพื้นที่เพิ่มเติม เช่น Bay window ที่ห้องนั่งเล่น เป็นพื้นที่ใช้สอยอื่นๆเพิ่มเติมได้ เช่นเป็นมุมทำงาน เป็นต้น

    สาธารณูปโภค : พื้นที่ส่วนกลางจะอยู่ที่ชั้น 1 , 10 , 33 และชั้น 43 ซึ่งที่ชั้น 1, 33 และ 43 จะเป็นพื้นที่ส่วนกลางทั้งชั้นเลย ทำให้เกิดพื้นที่ใช้งานที่ค่อนข้างใหญ่ มีทั้งโซน Active ที่ชั้น 33 อย่างห้องฟิตเนส สระว่ายน้ำ และ Golf Simulation ส่วนชั้น 43 จะเป็นพื้นที่ทำงานอ่านหนังสือ หรือพักผ่อนเป็นหลัก ส่วนพื้นที่สีเขียวจะจัดอยู่ที่ชั้น 1 หน้าอาคารและชั้น 10 รวมเเล้วประมาณ 1 ไร่ รวมไปถึง Lobby ที่มีขนาดใหญ่และสูง มีหลายมุมให้เลือกใช้งาน โดยรวมเมื่อเทียบจำนวนยูนิตกับขนาดพื้นที่ส่วนกลางเเล้ว จัดว่าให้มาค่อนข้างเหมาะสม ทั้งขนาด ฟังก์ชัน และดีไซน์ค่ะ

    Judgement

    การให้คะแนน ให้แบบ Weight Average โดยมุ่งหาความคุ้มค่า เทียบกับราคาที่จ่ายไป แต่เนื่องจากโครงการนี้เป็นระดับ Super Luxury ซึ่งความคุ้มค่าในการตัดสินใจนั้น ขึ้นอยู่กับรสนิยมความชอบส่วนบุคคลอีกด้วย ดังนั้น เราจึงขอไม่ให้คะแนนสำหรับโครงการนี้นะคะ

    BOTTOM LINE

    THE ESSE อโศก เหมาะกับคนที่มองหาที่อยู่อาศัยใจกลางเมือง ใกล้แหล่งงานหรือสถานศึกษาบนถนนอโศก ไม่เน้นความใกล้ระบบขนส่งมวลชนเท่าไรนัก มีที่จอดรถเพียงพอ ชอบส่วนกลางอย่างพื้นที่สีเขียวและความโปร่งโล่งไม่แออัด ได้วิวที่เปิดโล่ง ส่วนตัวห้องเหมาะสำหรับอยู่อาศัยกัน 2 คน หรือครอบครัวขนาดเล็ก มีงบประมาณ 10 ล้านสำหรับห้อง 1 Bedroom หรือมีกำลังผ่อนต่อเดือนอย่างต่ำ 70,000 บาทต่อตร.ม.