รีวิวฉบับที่ 1908 … โครงการ KRAAM สุขุมวิท 26 เป็นคอนโดหรูระดับ Ultimate Class จาก Nye Estate ซึ่งทาง ThinkofLiving เคยได้รีวิวไปแล้วก่อนหน้านี้ ..หลังจากผ่านมา 3 ปี ในที่สุดก็สร้างเสร็จและเปิดให้เราได้ชมของจริงกันแล้วนะครับ ซึ่งต้องขอบอกว่าเป็นโครงการที่ไม่ธรรมดา ทั้งเรื่องการออกแบบฟังก์ชันอาคาร และขนาดห้องที่มีขนาดพื้นที่ใหญ่เหมือนอยู่บ้าน ภายใต้แนวคิด “Luxury Home-Like Condominium” ได้เป็นอย่างดี ของจริงเมื่อสร้างเสร็จจะเป็นอย่างไรบ้าง ตามผมไปชมกันได้เลยครับ

 

ข้อมูลโครงการ

Fact @ 25 June 2019

  •  KRAAM Sukhumvit 26 (คราม สุขุมวิท 26)
  •  บริษัท นายณ์ เอสเตท จำกัด
  • ULTIMATE CLASS (อ่านรายละเอียดของ Segment คอนโดได้ที่นี่)
  • โครงการตั้งอยู่ในเขต : คลองเตย
  • คอนโด High Rise 29 ชั้น 1 อาคาร 128 ยูนิต
  • ยูนิตต่อชั้นสูงสุด 8 ยูนิต
  • ที่จอดรถประมาณ 165 คันคิดเป็น 130%
  • ที่ดินประมาณ 1-3-91 ไร่
  • เริ่มก่อสร้าง : ธ.ค. 2559
  • สถานะโครงการ : สร้างเสร็จพร้อมอยู่
  • 1 Bedroom 61 ตร.ม. จำนวน 50 ยูนิต
  • 2 Bedrooms 100 – 122 ตร.ม. จำนวน 60 ยูนิต
  • 3 Bedrooms 174 – 178 ตร.ม. จำนวน 16 ยูนิต
  • Penthouse 228 ตร.ม. จำนวน 4 ยูนิต
  • ฝ้าเพดานสูง 3 เมตร
  • ราคาห้องเริ่มต้น 16.9 ล้านบาท
  • ราคาเฉลี่ยต่อตารางเมตรทั้งโครงการ 295,000 บาท/ตร.ม.
  • ราคาเฉลี่ยต่อตารางเมตรต่ำสุด 270,000 บาท/ตร.ม. – สูงสุด 340,000 บาท/ตร.ม.
  • EIA (การประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อม) : ผ่านแล้ว
  • เวปไซต์โครงการ : คลิกที่นี่  
  • โทร  : 062-195-9626

ทำเลที่ตั้ง

พิกัด Google Maps : 13.726421, 100.569677
หรือสามารถ :  คลิกที่นี่

โครงการ KRAAM สุขุมวิท 26 ตั้งอยู่ภายในซอยสุขุมวิท 26 หรือซอยอารีย์ ซึ่งไม่ใช่ซอยตันนะครับ สามารถเชื่อมไปออกถนนพระราม 4 ที่ด้านหลังได้ นอกจากนี้ยังเป็นซอยคู่ขนานกับซอยสุขุมวิท 24 ซึ่งมีบริบทและสภาพแวดล้อมที่แตกต่างกันอย่างชัดเจน โดยซอยสุขุมวิท 24 จะมี BTS พร้อมพงษ์ อยู่หน้าปากซอย จึงทำให้ซอยนี้มีความเจริญค่อนข้างมากมาตั้งแต่สมัยที่รถไฟฟ้าเพิ่งเริ่มมีใหม่ๆ ซึ่งปัจจุบันเราจะเห็นว่าเป็นซอยที่มีตึกสูงเต็มไปหมดตลอดทั้งซอย ทั้งโรงแรมและคอนโดมิเนียม แล้วเมื่อเกิดความแออัดมากขึ้น นักลงทุนจึงได้ขยับขยายมายังซอยข้างเคียงอย่างซอยสุขุมวิท 26 ซึ่งปัจจุบันก็เริ่มจะมีโครงการใหม่ๆมาเปิดกันบ้างแล้วครับ แต่ยังไม่หนาแน่นเท่าซอยรุ่นพี่ข้างๆ และอีกบริบทสำคัญที่ส่วนตัวผมชอบมากๆของซอยนี้คือ ตลอดทั้งซอยจะมีต้นไม้ใหญ่ขึ้นปกคลุมเป็นอุโมงค์ต้นไม้ ซึ่งทำให้ดูร่มรื่นและสวยงามมากๆครับ

การเดินทางเรียกได้ว่าสะดวกมากๆ มีทางด่วนเฉลิมมหานครให้ใช้ที่ถนนพระราม 4 และที่สำคัญคือมีรถไฟฟ้าเส้นหลักที่ยังอยู่ในระยะเดินได้ ซึ่งถัดจากสถานีพร้อมพงษ์ไปเพียง 1 สถานี ก็จะเป็นย่านสำคัญอย่างสถานี “อโศก” ซึ่งเป็นจุด Interchange กับรถไฟฟ้าใต้ดินได้ และสถานี “ทองหล่อ” ก็เป็นย่านธุรกิจกับแหล่งสถานบันเทิงขนาดใหญ่หลายแห่ง หรือจะนั่งรถไฟฟ้าไปอีก 4 สถานีก็ถึงสยามแล้วครับ

เรื่องความอุดมสมบูรณ์ไม่ต้องพูดถึงเลยครับ ย่านนี้ขึ้นชื่อมากๆเรื่องของอร่อยๆหลายร้าน ซึ่งภายในซอยสุขุมวิท 26 ของเราก็มีนะครับ (เดี๋ยวจะพาเดินไปดูในพาร์ททำเลนะ) แต่จุดที่เป็นแหล่งช้อปปิ้งหลักๆของที่นี่ นอกจากจะเป็นห้างขนาดใหญ่ตามแนวรถไฟฟ้า ทั้ง EmQuartier และ Emporium หรือจะเป็น Terminal 21 และ Siam Paragon ก็อยู่ไม่ไกล  รวมถึงภายในซอยเอกมัย-ทองหล่อที่เราคุ้นเคยกันแล้ว บริเวณท้ายซอยฝั่งถนนพระราม 4 จะมีซุปเปอร์มาร์เก็ตและคอมมูนิตี้มอลล์ให้เลือกเดินเยอะเลยครับ สำหรับใครที่ชอบทำครัวและทำอาหารก็จะมีตลาดขนาดใหญ่อย่าง “ตลาดคลองเตย” ให้ไปจับจ่ายใช้สอยกันได้ แต่ถ้าเป็นคนรักต้นไม้และธรรมชาติก็ต้องไปที่สวนเบญจสิริ สวนเบญจกิติ หรือสวนลุมพินีเลยครับ เป็นสวนสาธารณะขนาดใหญ่ของกรุงเทพที่อยู่ไม่ไกล สามารถไปนั่งพักผ่อน สูดอากาศบริสุทธิ์ และออกกำลังกายกันได้นะ

ส่วนทางด่วนก็อย่างที่บอกไปแล้วนะครับว่าสามารถมาขึ้นทางพิเศษฉลองรัชได้ที่ถนนพระราม 4 (ด่านท่าเรือ 1) โดยแนะนำให้ใช้ซอยเศรษฐีทวีทรัพย์เพื่อเชื่อมต่อไปยังซอยสุขุมวิท 24 ก่อนจะออกมายังถนนพระราม 4 ตามแผนที่เลยครับ เพื่อที่เราจะได้เลี้ยวขวาตรงแยกเกษมราฏร์แล้วตรงมาขึ้นทางด่วนได้เลย (ถ้าตรงออกมาจากปากซอยสุขุมวิท 26 มันจะเลยทางแยก แล้วต้องเสียเวลาไปกลับรถอีกรอบครับ) ระยะห่างจากโครงการประมาณ 2.7 km. ต้องเผื่อเวลาสักประมาณ 18 นาทีด้วยนะครับ แต่รับรองว่าเส้นพระราม 4 นี้รถติดน้อยกว่าสุขุมวิทแน่นอน

ส่วนขากลับก็ให้เราลงที่ทางลงเพลินจินฝั่งใต้นะครับ หรือจะลงบริเวณจุดเดียวกับตรงที่เรามาขึ้นเมื่อเช้าก็ได้ จากนั้นก็เลี้ยวเข้าซอยสุขุมวิท 26 แล้วตรงกลับบ้านได้เลย

สำหรับการเดินทางด้วยรถไฟฟ้าก็จะมี BTS สถานีพร้อมพงษ์ อยู่ใกล้โครงการมากที่สุด โดยตัวสถานีจะตั้งอยู่หน้าปากซอยสุขุมวิท 24 ซอยรุ่นพี่เรานี่เอง และอยู่ห่างจากโครงการประมาณ 500 m. ซึ่งก็ยังเป็นระยะที่เดินถึงได้สบายๆอยู่นะครับ ระหว่างทางจะมีทั้งวินมอไซค์และเซเว่นอยู่เป็นระยะๆ เดินได้ไม่เปลี่ยวแน่นอน ซึ่งการเดินทางในวันนี้ผมก็มาทางนี้เหมือนกัน จะเป็นอย่างไรบ้างนั้นเราไปชมกันเลยครับ

เริ่มต้นที่ BTS สถานีพร้อมพงษ์ ให้ใช้ทางออกที่ 4 ทางขวามือครับ

เมื่อเราเดินลงมาจากสถานีแล้ว ก็ให้เดินย้อนกลับไปทางขวานะครับ ซึ่งระหว่างทางจะมีร้านค้าแผงลอย ป้ายรถเมล์ และเซเว่นตั้งอยู่ ค่อนข้างคึกคักมากเลยทีเดียว ตอนเช้าๆหรือเย็นๆ สามารถแวะซื้อของกินก่อนไปทำงานหรือเข้าบ้านได้นะ

ระหว่างทางจะมีไซต์งานก่อสร้างอยู่ ซึ่งเค้ากำลังจะทำตึกธนาคาร UOB สำนักงานใหญ่ ตึกใหม่กันครับ เดินถัดมาจะเจอซอยสุขุมวิท 24/1 ซึ่งภายในซอยนี้จะมีวินมอไซค์ขนาดใหญ่ สามารถเรียกใช้บริการเพื่อไปยังโครงการได้นะครับ อัตราค่าบริการที่ผมถามมาให้ก็ 10 บาท

แต่ถ้าใครที่ขยันเดินหน่อยก็ให้เดินตรงต่อมาอีกนิด จะเจอกับซอยสุขุมวิท 26 ก็สามารถเลี้ยวขวาเข้าซอยไปได้เลย ซึ่งบริเวณปากซอยนี้จะเป็นสี่แยกนะ เราสามารถเลี้ยวขวาเพื่อไปยังทองหล่อ-เอกมัย ได้ทันทีอีกด้วยครับ

บรรยากาศภายในซอยรถจะติดแถวๆปากซอยหน่อยๆนะ เพราะคนส่วนใหญ่ก็นิยมใช้ซอยนี้เป็นเส้นทางลัดกันค่อนข้างเยอะ แต่บริเวณด้านขวามือจะสังเกตได้ว่าซอยนี้มีร้านอาหารค่อนข้างเยอะ โดยเฉพาะร้านอาหารญี่ปุ่นครับ (ญี่ปุ่นก็อยู่แถวนี้เยอะนะ) ส่วนตัวเป็นคนชอบอาหารญี่ปุ่นมาก ว่าแล้วผมก็เลยแวะเข้าร้านทางขวามือนี่ซะเลยดีกว่า

ภายในร้านตกแต่งได้บรรยากาศแบบญี่ปุ่นแท้ๆ โดยร้านนี้มีชื่อว่า The Grand Ramen Umai ที่ขึ้นชื่อว่าเป็นราเมงชามยักษ์ ดูจากภาพให้คือให้เยอะมากๆ ชามนึงทานได้ 3 – 4 คนเลยล่ะ (ด้วยความหิวบังตาไม่ทันมองชื่อร้าน เข้ามาก็สั่งเลย ก็ว่าอยู่ร้านคุ้นๆ เอามาเสิร์ฟเท่านั้นแหละ จุกเลยคร้าบบบ)

แต่ถ้าใครอยากทานอะไรเบาๆ ถัดมาก็จะมีร้านก๋วยเตี๋ยวรุ่งเรืองที่อร่อยมากๆตั้งอยู่ภายในซอยนี้อีกด้วย ดูจากปริมาณคนในร้านนั่นสิครับ แถมยังมีทั้ง Line Man และ Food Panda มาต่อคิวซื้อของไปส่งกันเพียบเลย

ถัดจากโซนร้านอาหารหน้าปากซอยเมื่อสักครู่ เข้ามาด้านในก็จะเจอกับบรรยากาศที่สงบและร่มรื่นมาก อย่างที่ผมบอกไปแล้วว่าซอยนี้จะมีบรรยากาศที่แตกต่างจากซอยอื่นๆ ซึ่งส่วนตัวผมค่อนข้างชอบมากๆ เพราะมีการปลูกอุโมงต้นไม้ตลอดทั้งซอยเลย

ข้อแนะนำอย่างนึงคือให้เดินทางฝั่งขวานะครับ เพราะทางเท้ากว้างเดินได้สะดวกมากกว่า พอเข้ามาในซอยสักประมาณ 400 m. ก็จะเจอกับที่ตั้งโครงการอยู่ทางซ้ายมือ ก็ให้เราเดินข้ามถนนไปได้เลยครับ (ระวังรถด้วยนะ)

**รูปนี้จัดทำขึ้นเพื่อให้เห็นภาพรวมของโครงการแบบคร่าวๆไม่สามารถใช้อ้างอิงอย่างเป็นทางการได้นะครับ

ก่อนจะพูดถึงตัวโครงการเรามาดูบริบทโดยรอบกันก่อนครับ จากแผนที่จะเห็นว่าโครงการนี้ ณ ปัจจุบันยังไม่มีอาคารสูงอื่นอยู่ในระยะประชิดเลยครับ จะมีแค่ทางด้านหน้าที่มีอาคารสูงอยู่ฝั่งตรงข้ามแบบเยื้องๆกันเท่านั้น ซึ่งอาคารสูงของย่านนี้ส่วนใหญ่จะไปเกาะกลุ่มอยู่ในซอยสุขุมวิท 24 ซอยรุ่นพี่ที่เค้าเจริญมาก่อนหน้านานแล้ว จึงทำให้เป็นโชคดีของโครงการนี้ที่ได้วิวค่อนข้างเปิดโล่งมากกว่าครับ ซึ่งสามารถสรุปได้ดังนี้

  • ทิศเหนือ : ติดกับอาคาร Low Rise สูง 4 – 5 ชั้น ถัดออกไป 200 – 300 m. จึงจะมีอาคารสูง 18 – 25 ชั้น และชั้นสูงๆจะได้วิวสุขุมวิทและพร้อมพงษ์ฝั่งเหนือ
  • ทิศใต้ : ติดกับซอยท่านหญิงพวงรัตน์ประไพ และข้างๆกันเป็นที่ดินเปล่าและชุมชนแนวราบ ส่วนชั้นสูงๆสามารถมองเห็นแม้น้ำเจ้าพระยาและบางกะเจ้าระยะไกลได้
  • ทิศตะวันออก : ติดกับคอนโด Low Rise และชุมชนแนวราบ ได้วิวฝั่งเอกมัย-ทองหล่อ
  • ทิศตะวันตก : เป็นทางเข้าหลักโครงการ ติดถนนซอยสุขุมวิท 26 ฝั่งตรงข้ามมีทั้งบ้านแนวราบและอาคารสูง 33 – 34 ชั้น รวมถึงจะมองเห็นแผงตึกในซอยสุขุมวิท 24 เรียงต่อกัน

มีภาพวิวจากโครงการชั้น 29 มาฝากกันด้วยครับ ส่วนใหญ่โดยรอบจะเป็น City View แต่จะมีทิศใต้และตกวันออกที่จะได้วิวที่เปิดโล่งหน่อยนะ

มาเดินดูรอบๆโครงการกันครับ ด้านหน้าทางเข้าหลักจะอยู่ติดถนนซอยสุขุมวิท 26 และฝั่งตรงข้ามเป็นบ้านสูง 2 ชั้น บรรยากาศโดยรวมดูร่มรื่นมากๆ

มาดูทางด้านซ้ายของโครงการที่เราได้เดินผ่านกันมาก่อนหน้านี้กันสักหน่อยครับ โดยติดกับที่ดินโครงการจะเป็นอาคารสูง 4 ชั้น

เยื้องๆกันฝั่งตรงข้ามเป็นร้านอาหารชื่อ Mint Restaurant

และเลยมาอีกหน่อยจะเป็นร้านนั่งชิลและร้านอาหาร ซึ่งจะมีกระจายตัวอยู่หลายร้านตลอดทั้งซอย สามารถเดินมาใช้บริการกันได้ง่ายๆครับ

กลับมาที่หน้าโครงการอีกครั้ง คราวนี้เราจะไปดูทางด้านขวากันบ้างนะ

ติดกับทางด้านขวาของที่ดินโครงการจะเป็นซอยเล็กๆชื่อ ซอยท่านหญิงพวงรัตน์ประไพ ซึ่งไม่ใช่ซอยตันนะครับ สามารถเชื่อมต่อไปออกถนนสุขุมวิทที่ซอยสุขุมวิท 34 ได้ โดยภายในซอยจะมีบรรยากาศที่เงียบสงบ เพราะส่วนใหญ่จะเป็นบ้านพักอาศัยและคอนโด Low Rise โดยที่ด้านหลังโครงการจะติดกับคอนโดสูง 8 ชั้น ซึ่งจะยังไม่พ้นชั้นจอดรถโครงการเลยด้วยซ้ำครับ และที่ดินฝั่งตรงข้ามกับโครงการจะเป็นผับเก่าซึ่งตอนนี้ปิดตัวไปแล้วนะ

ถัดจากซอยเมื่อสักครู่ถ้าเราเดินตรงต่อมาก็จะมีร้านกาแฟเล็กๆอยู่ทางซ้ายมือด้วย

แต่ถ้าเรามองไปฝั่งตรงข้ามก็จะเห็น The Twenty Six เป็นเหมือนอาคารพาณิชย์ที่มีร้านอาหารและร้านนวดสปาหลายร้านอยู่ภายใน สามารถเดินมาใช้บริการกันได้ใกล้ๆ ไม่ถึง 100 m.

แล้วถ้าเราเดินเรามาอีกหน่อยจะเจอทางเลี้ยวด้านหน้า The Four Wings Hotel ช่วงกลางซอยนี่เอง ซึ่งจะมีทั้งเซเว่นและวินมอไซค์ขนาดใหญ่ รวมถึงร้านก๋วยเตี๋ยวและส้มตำแบบ street food อยู่ข้างๆเซเว่นด้วยครับ

สถานที่สำคัญใกล้เคียงต่างๆ เช่น

  • EmQuartier และ Emporium ~ 650 m.
  • K Village ~ 700 m.
  • สวนเบญจสิริ ~ 700 m.
  • Rain Hill ~ 850 m.
  • Big C Extra ~ 1.1 km.
  • Nihonmachi ~ 1.4 km.
  • รร. สายน้ำผึ้ง ~ 1.8 km.
  • สวนเพลิน มาร์เก็ต ~ 2 km.
  • รร. สาธิต มศว ประสานมิตร ~ 2.2 km.
  • รพ.สมิติเวช ~ 2 km.
  • Tesco Lotus Extra ~ 2.4 km.
  • Terminal 21 ~ 2.9 km.
  • ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ ~ 3.1 km.
  • ตลาดคลองเตย ~ 3.3 km.
  • สวนเบญจกิติ ~ 4.1 km.
  • สวนลุมพินี ~ 5 km.
  • ONE BANGKOK ~ 5.1 km.

รายละเอียดโครงการ

โครงการ KRAAM สุขุมวิท 26 เป็นอาคารสูง 29 ชั้น จำนวน 128 ยูนิต ถือว่ามีความเป็นส่วนตัวมากๆสำหรับอาคาร High Rise มีการออกแบบสไตล์ Modern โดยใช้ช่องหน้าต่างกระจกแบบ Full Height ที่สูงจากพื้นถึงฝ้าเพดานหมดทุกชั้น เพื่อเปิดรับแสงธรรมชาติและทำให้อาคารโปร่งโล่ง อีกทั้งยังมี Vertical Facade Fin หรือแผงบังแดดแนวตั้ง ที่ช่วยกรองแสงแดดได้อีกด้วย และถ้าสังเกตดีๆ จะเห็นช่องว่างระหว่างยูนิตบางจุดแยกออกจากกัน นั่นเพื่อความเป็นส่วนตัว และทำให้เกิด Cross Ventilation ทั้งภายในยูนิตและในตัวอาคาร เพื่อให้เกิดการถ่ายเทอากาศที่ดี ซึ่งมีผู้ออกแบบคือ บริษัท สถาปนิก 49 จำกัด ส่วนขอบอาคารสีส้มอิฐที่เห็นนั้นก็มาจากสีของดอกต้นหางนกยูง ซึ่งถือเป็น Signature หลักของโครงการนั่นเองครับ

ก่อนอื่นเลยเรามาดู Master Plan กันก่อนนะครับ ทางเข้าโครงการจะมีแค่ทางเดียวคือจากถนนซอยสุขุมวิท 26 ด้านหน้าจะมีพื้นที่จอดรถของ Visitor แยกออกจากของลูกบ้านในโครงการเพื่อความเป็นส่วนตัว ซึ่งประตูที่กั้นอยู่นั้นจะอยู่ถัดเข้ามาด้านในอีกหน่อยครับ และมีพื้นที่ Drop Off ให้วนรถจอดรับ-ส่งกันได้อยู่ทางด้านหน้า ส่วนถ้าจะเข้าไปจอดรถด้านในโครงการจะมีทางเลือกให้ 2 ทางคือ สามารถขึ้นไปจอดรถชั้น 2 – 9 จากด้านข้างอาคาร หรือจะจอดรถที่ชั้นใต้ดินซึ่งจะต้องเข้าจากทางด้านหลังอาคารก็ได้เช่นกันครับ (ถ้าใครเคยอ่านรีวิวตัวเก่า โครงการจะมีการปรับเปลี่ยนแบบนิดหน่อยนะครับ)

หรือทางเข้าอีกช่องทางหนึ่งคือ ด้านหน้าจะมีประตูทางเข้าคนเดินเล็กๆ ซึ่งจะต้องใช้ Key Card Access เพื่อความปลอดภัย และเรายังจะได้เดินผ่านสวนและต้นหางนกยูงขนาดใหญ่ด้านหน้าอีกด้วย ซึ่งสวนบริเวณด้านหน้าโครงการนี้ยังทำหน้าที่อีกอย่างคือ เป็น Buffer กันเสียงและความวุ่นวายภายนอก ทำให้โครงการมีความเป็นส่วนตัวมากขึ้นอีกด้วย

ส่วนด้านในอาคารบริเวณ Lobby จะเป็นโถงขนาดใหญ่ที่เชื่อมต่อกับส่วนของ Library ที่สามารถใช้เป็นทั้งรับแขกหรือนั่งทำงานก็ได้ โดยรอบเป็นผนังกระจกทำให้โปร่งโล่ง และชมวิวสวนภายนอกไปได้ด้วยครับ ซึ่ง Lobby นี้จะมีประตูเข้าได้ทั้งจาก Drop Off และสวนด้านหน้าเลยนะ ส่วนโถงลิฟต์จะอยู่ด้านในซึ่งจะต้องแตะ Key Card ก่อน และฟังก์ชันด้านในก็จะมีการเปลี่ยนแปลงนิดนึง คือจากเดิมที่เป็น Building Management อย่างเดียว ก็จะมีการแบ่งพื้นที่แยกเป็นห้องนิติกับ Mail box ครับ

มาดูของจริงไปพร้อมๆกันเลยดีกว่า เริ่มจากทางเข้าด้านหน้าโครงการจะอยู่ติดกับถนนซอยสุขุมวิท 26 แบบนี้เลย

ทางเข้าชั้นแรกจะเป็นรั้วแบบล้อเลื่อน ซึ่งจะมีพี่ยามที่อยู่ป้อมด้านขวาคอยเลื่อนเปิดให้นะครับ โดยถ้าเป็นลูกบ้านเค้าก็จะให้ผ่านไปได้เลย แต่ถ้าเป็น Visitor ก็จะต้องแลกบัตรก่อนนะ

ถัดเข้ามาจะเป็นที่จอดรถของ Visitor ครับ ถึงแม้จะแลกบัตรแล้วแต่ก็จะได้เข้ามาจอดแค่ตรงนี้เท่านั้นนะ ไม่สามารถเข้าไปในโครงการได้ จึงทำให้ที่นี่มีความปลอดภัยและเป็นส่วนตัวมากๆครับ ซึ่งพอจอดรถเสร็จแล้วก็จะต้องเดินเข้าไปต่อเองนะ

ก่อนจะเข้าไปในโครงการจะมีประตูเลื่อนเหล็กอีกชุดหนึ่ง ซึ่งประตูนี้ไม่ได้เปิดจากสัญญาณ Bluetooth นะครับ แต่บริเวณมุมซ้ายและขวาจะมีอุปกรณ์อยู่ 2 อย่างคือ กล้อง CCTV และเซ็นเซอร์ตรวจจับความเคลื่อนไหว ซึ่งถ้ามีรถหรือคนมาอยู่ในระยะที่เครื่องตรวจจับได้ ก็จะส่งสัญญาณไปที่ป้อม รปภ. เพื่อให้พี่ยามกดเปิดประตูให้นั่นเองครับ ส่วนตัวผมมองว่าระบบนี้ค่อนข้างสะดวก เพราะไม่ต้องมีปัญหาเรื่องสัญญาณ Bluetooth ที่บางครั้งก็ไม่ติดหรือเสียครับ (แต่อาจไม่ได้เปิดแบบทันทีทันใจ เพราะไม่ใช่ระบบอัตโนมัตินะ ต้องพี่ยามกดเท่านั้น)

เมื่อเข้ามาภายในจะมีถนนตรงไปยังที่จอดรถที่อยู่ด้านข้างของอาคาร หรือจะวนรถบริเวณ Drop Off นี้เพื่อรับ-ส่งคนก็ได้ครับ อีกอย่างจะสังเกตว่าถนนตั้งแต่ทางเข้าโครงการจะเป็น Concrete stamp ทั้งหมดเลย ถือว่าเก็บงานได้ดีและสวยงามมากๆครับ

อีกอย่างที่ชอบคือรั้วทางด้านซ้ายมือ เค้าจะทำเป็นสวนแนวตั้งหรือ Vertical Garden ตลอดทั้งแนวเลย ซึ่งนอกจากจะช่วยพรางสายตา สร้างความเป็นส่วนตัวให้กับโครงการแล้ว ยังช่วยเพิ่มความสดชื่น และสวยงามอีกด้วยครับ

แล้วถ้าเราตรงเข้ามาอีกหน่อย ก็จะเจอกับทางขึ้นที่จอดรถของโครงการทางขวามือครับ หรือถ้าใครจะจอดใต้ดินก็สามารถตรงไปแล้วเลี้ยวขวาได้เลย

บริเวณหัวมุมตรงทางเลี้ยวจะติดตั้งกล้อง CCTV เอาไว้ด้วย แต่ถ้าเพิ่มเป็นกระจกนูนที่เอาไว้ส่องดูรถจากอีกด้านนึงได้ ก็จะช่วยเพิ่มความปลอดภัยขณะเลี้ยวได้ครับ ส่วนด้านหลังก็จะมีทางลงไปที่จอดรถชั้นใต้ดินตามภาพเลย แต่เวลาจะออกจากโครงการต้องวนออกทางเดิมนะ

กลับมาที่ทางขึ้นที่จอดรถด้านหน้ากันครับ เราลองขึ้นไปดูกันสักนิดนะว่าเป็นยังไงบ้าง

เมื่อขับรถวนขึ้นมา ชั้นแรกที่เราเจอคือช่องจอด EV Charger ครับ

ซึ่งช่องจอด EV Charger นี้จะมีอยู่ทั้งหมด 10 ช่องจอดนะ แต่จะมีเครื่องชาร์จอยู่ 3 เครื่อง เครื่องละ 2 หัวจ่าย นั่นคือสามารถชาร์จพร้อมกันได้สูงสุด 6 คันนั่นเอง โดยปกติแล้วเค้าจะเอากรวยกั้นมาวางเอาไว้ ถ้าลูกบ้านคนไหนที่ต้องการใช้งานก็แค่ต้องเอากรวยกั้นออกเองครับ แต่วิธีการใช้งานผมยังไม่แน่ใจว่ามันทำงานยังไง ต้องขอนิติก่อนหรือป่าว ซึ่งอันนี้ต้องลองสอบถามกับทางโครงการอีกทีนะ แต่ผมลองเข้าไปดูใกล้ๆ เหมือนจะมีที่ให้แตะ Key Card อยู่ด้วยล่ะครับ

กลับหลังหันมามองทางขึ้นไปชั้นถัดไป จะเห็นว่าเค้ามีการแยกทางเดินรถกับบันไดทางขึ้นของคนออกจากกัน ทำให้เวลาเราลงมาชาร์จไฟที่รถก็สามารถเดินขึ้น-ลงได้อย่างปลอดภัยนั่นเองครับ

ถัดขึ้นมาชั้นบนก็จะเป็นช่องจอดแบบนี้สลับด้านกันไปเรื่อยๆครับ สิ่งที่ต้องระวังคือระยะทางเดินรถค่อนข้างสั้นและเป็นหัวมุม อีกทั้งยังเป็นทางลาดทั้งหมด ดังนั้นเวลาจอดรถหรือขับขึ้น-ลง ต้องขับช้าๆ และระมัดระวังก่อนหน่อยนะครับ ส่วนแต่ละชั้นก็จะมีทางเข้าโถงลิฟต์อยู่ด้วยนะ ซึ่งจะต้องใช้ Key Card Access อีกเช่นกัน

แต่จุดที่น่าสนใจจริงๆของโครงการนี้คือ เค้าบอกว่าจะมีพื้นที่เก็บของที่ชั้นจอดรถให้กับลูกบ้านแต่ละหลังด้วยครับ โดยลักษณะจะเป็นตู้เก็บของใบใหญ่ๆ เท่าที่ทราบมาคืออาจมาตั้งอยู่บริเวณโถงด้านหน้าทางเข้าโถงลิฟต์ก็ได้ครับ (แต่ในวันที่ไปถ่ายรีวิวเค้ายังไม่ได้ติดตั้งนะ) ซึ่งในส่วนนี้ผมมองว่าดี เพราะบางทีเรามีของที่อาจต้องเอาลงจากรถบางครั้ง แต่ไม่อยากเสียเวลาขึ้นไปเก็บบนห้องก็ได้ เช่น พวกถุงกอล์ฟ กระเป๋าเดินทางใบใหญ่ๆอะไรแบบนี้ครับ ซึ่งฟังก์ชันนี้ค่อนข้างตอบโจทย์เลยทีเดียว ส่วนวิธีใช้งานยังไงบ้างนั้นต้องลองสอบถามโครงการดูอีกครั้งนะครับ

กลับมาที่ Drop Off ด้านหน้ากันอีกครั้งครับ ซึ่งคราวนี้เราจะไปดูด้านในกันบ้างนะ

Drop Off นี้จะอยู่ใต้อาคาร ซึ่งไม่ต้องห่วงเรื่องแดดร้อนหรือฝนตกเลยครับ แถมมีข้อดีอีกอย่างคือ ทางเดินรถค่อนข้างกว้าง สามารถวนรถแพงๆที่คันใหญ่ๆได้สะดวกเลยทีเดียว ส่วนด้านซ้ายจะเป็นประตูทางเข้า Lobby ซึ่งตรงส่วนนี้ยังไม่ต้องใช้ Key Card นะครับ ถ้าเป็น Visitor มาเยี่ยมก็สามารถเข้าไปนั่งรอด้านในเย็นๆได้เลย

เมื่อเข้ามาภายในก็จะเจอกับโถง Lobby ขนาดใหญ่ โดยที่ด้านซ้ายจะมีเคาน์เตอร์ประชาสัมพันธ์และจะมีเจ้าหน้าที่คอยต้อนรับสำหรับผู้มาติดต่ออยู่ด้วยครับ

ทางด้านขวาจะเป็นผนังกระจกทั้งหมด ทำให้สามารถ take view สวนภายนอกได้ แล้วยังทำให้โถง Lobby โปร่งโล่งอีกด้วย  ตรงกลางมีประตูกระจกอยู่ครับ สามารถเข้า-ออกจากทางด้านนี้เพื่อไปเดินเล่นในสวนได้

สวนภายนอกจะมีต้นหางนกยูงขนาดใหญ่อายุกว่า 100 ปีตั้งอยู่ และมีทางเดินรอบๆ ซึ่งทางโครงการได้อนุรักษ์ต้นไม้ต้นนี้เอาไว้ด้วยการทำ Buffer รอบๆ ไม่ให้โครงสร้างอาคารไปกระทบทำความเสียหายกับรากของต้นไม้ เพื่อให้ต้นไม้นี้เป็นส่วนหนึ่งของพื้นที่สีเขียวและอยู่คู่กับที่ดินผืนนี้ต่อไปครับ

ทางเดินรอบต้นไม้ยังมีทางเดินส่วนหนึ่งยาวออกไปทางด้านหน้าโครงการอีกด้วย

ซึ่งสุดปลายทางนี้คือประตูทางเข้าคนเดินที่ผมได้พูดไปในช่วงแปลนตอนแรกนั่นเองครับ โดยการเข้า-ออกนั้นจะต้องใช้ Key Card Access เพื่อความปลอดภัยนะ

หันกลับมามองไปยังสวนด้านหน้าโครงการ ขนาดพื้นที่ประมาณ 1 ไร่ แต่มีจุดเด่นคือ ต้นหางนกยูงอายุกว่า 100 ปีที่ได้บอกไปแล้ว ซึ่งในช่วงที่ต้นไม้นี้ออกดอก ก็จะมีดอกสีส้มอิฐเกือบเต็มต้น ดูสวยงามไปอีกแบบครับ โดยถ้าเราเดินเข้ามาจากประตูคนเดินเมื่อสักครู่ ก็จะได้เดินผ่านสวนนี้ด้วยนั่นเอง

แล้วพอเราเงยหน้ามองขึ้นไปมองอาคารด้านบน ก็จะพบว่าอาคารทั้งหลังจะเป็นกระจกทั้งหมดเลย และมีการเจาะช่องเปิดเพื่อระบายอากาศ รวมถึงมี Vertical Fadade Fin ที่ช่วยบังแสงแดด และขอบตึกที่เป็นสีส้มเดียวกับดอกต้นหางนกยูงอีกด้วยครับ

หันมามองทางด้านขวามือจะมีทางเดินต่อไปอีกหน่อย และที่เห็นอาคารด้านหน้านั้นเป็นพื้นที่อเนกประสงค์ให้ลูกบ้านมาใช้งานนั่งเล่นพักผ่อนในสวนได้ครับ

บริเวณด้านหน้าเค้ามีบ่อปลาคราฟและเลี้ยงปลาคราฟตัวใหญ่ๆไว้หลายตัวเลยครับ ใครที่ชอบปลา หรืออยากเลี้ยงแต่เลี้ยงในคอนโดไม่ได้เหมือนเพื่อนผมคงชอบนะ

ส่วนทางเดินด้านข้างนี้ก็จะเชื่อมต่อวนกลับไปยัง Lobby ได้นั่นเองครับ

กลับเข้ามายังด้านในอาคารอีกครั้ง ซึ่งเป็นพื้นที่ที่ต่อเนื่องกับ Lobby ที่อยู่ทางด้านหน้าในตอนแรก คือพื้นที่ Library นั่นเองครับ ซึ่งจริงๆก็คือพื้นที่อเนกประสงค์ที่เอาไว้นั่งเล่นหรือรับแขกก็ได้นะ เพราะเค้าเตรียมชุดโซฟาขนาดใหญ่เอาไว้ให้หลายชุดเลย

แต่ถ้าอยากนั่งทำงานอ่านหนังสือจริงจัง พื้นที่อีกด้านของห้องเค้าจะมีชุดโต๊ะเก้าอี้เตรียมเอาไว้ให้ใช้งานด้วยนะครับ เพียงแต่จะไม่ได้เป็นห้องสมุดที่มีความเป็นส่วนตัวมากนักนะ เพราะพื้นที่จะเชื่อมต่อกับ Lobby และโถงทางเดินที่จะมีคนเดินผ่านไป-มา ไม่ได้กั้นแยกเป็นสัดส่วนเพราะต้องการความโปร่งโล่งครับ

ถัดจาก Lobby และ Library ก็จะเป็นทางไปโถงลิฟต์ที่อยู่ด้านใน

ประตูทางเข้าโถงลิฟต์ส่วนนี้จะต้องใช้ Key Card แล้วนะครับ ทั้งนี้เพื่อความเป็นส่วนตัวของลูกบ้านครับ ส่วนทางขวาจะมีทางเดินไปด้านหลังได้อีกหน่อย

ซึ่งพอลองเดินมาดูก็จะมีประตูทางออกด้านหลังอาคารได้ และห้องน้ำซึ่งเอาไว้ใช้สำหรับแขกหรือคนที่มาใช้งานพื้นที่ชั้นล่างนี้นั่นเอง

กลับมาที่โถงลิฟต์อีกครั้ง ถ้าสังเกตดีๆตั้งแต่แรกที่เข้ามาในอาคาร พื้นส่วนใหญ่ของที่นี่จะเป็นหินอ่อนแท้ทั้งหมด นำเข้ามาจากอิตาลี ซึ่งมีความสวยงามมากๆครับ บรรยากาศเหมือนอยู่ในโรงแรมหรูๆเลย

ถัดเขามาด้านในจะเป็นห้องนิติบุคคล ซึ่งลูกบ้านสามารถเดินมาติดต่อธุระตรงนี้ก่อนขึ้นห้องได้ ส่วนด้านในจะเป็น Mail box ที่มีจุดน่าสนใจอยู่อย่างหนึ่งคือ เค้าจะมีตู้เก็บของขนาดใหญ่ที่สามารถเก็บของชิ้นใหญ่ๆได้อยู่บริเวณนี้ด้วย สามารถนำของมาฝากกับนิติบุคคลได้ ซึ่งรายละเอียดในอนาคตจะเป็นอย่างไรต้องลองสอบถามโครงการดูอีกทีครับ ส่วนตัวแล้วคิดว่าอาจคล้ายๆกับตู้ที่จะเอาไปตั้งตรงลานจอดรถก็ได้นะ

ตัวลิฟต์โดยสารเค้าจะมีปุ่มให้กดแค่ 0 – 9 เท่านั้นครับ วิธีการใช้คือจะต้องแตะ Key Card แล้วกดหมายเลขชั้นที่ต้องการ จากนั้นจึงกด ENT แล้วลิฟจะขึ้นไปชั้นนั้นๆได้ครับ แน่นอนว่านี่เป็นลิฟต์ล็อคชั้นที่สามารถไปได้แค่ชั้นตัวเองและชั้น Facilities เท่านั้นนะ

ชั้นจอดรถจะเป็นชั้น 2 – 9 ส่วนชั้นพักอาศัยจะเริ่มตั้งแต่ชั้น 10 เป็นต้นไปครับ โดยที่ชั้น 10 – 20 จะมีจำนวน 8 ห้องต่อชั้น ซึ่งจะมีห้อง typy เล็กสุดของโครงการอยู่ 4 ห้องครับ ที่เหลือจะเป็นห้องมุมนะ ถือว่ามีความเป็นส่วนตัวมากๆเลย จุดที่น่าสนใจคือ นอกจากเค้าจะวางโถงลิฟต์ไว้ตรงกลางอาคารทำให้ห้องทุกห้องสะดวกในการใช้งานแล้ว จากแปลนจะเห็นพื้นที่สีเขียวๆที่ผมทำไว้ นั่นคือพื้นที่ส่วนกลางของโครงการนะครับ ถึงแม้จะอยู่ในห้องก็ตาม แต่พื้นที่ส่วนนี้เค้าไม่ได้คิดอยู่ในพื้นที่โฉนดที่เราจะได้เป็นกรรมสิทธิ์นะ

ที่เป็นแบบนี้เพราะเกิดจากการออกแบบเรื่อง Cross Ventilation ด้วยการเจาะช่องเปิดของอาคารทั้ง 2 ฝั่ง ให้ลมสามารถพัดผ่านได้ คือถ้ามีแต่ทางเข้าแล้วไม่มีทางออกของลม อากาศก็จะไม่ถ่ายเทนะครับ ส่วนพื้นที่สีเขียวๆที่อยู่ในห้อง ถึงแม้จะไม่ได้เชื่อมต่อกับโถงส่วนกลาง เค้าก็ถือว่าเป็นพื้นที่นอกโฉนดเหมือนกัน เพราะจะมีการเจาะช่องเปิดที่ผนังภายนอก เพื่อให้เกิด Ventilation ภายในห้องได้เช่นเดียวกัน จะได้ตรงกับ concept การออกแบบของโครงการ ซึ่งเจ้าของห้องนั้นๆจะสามารถใช้ประโยชน์จากพื้นที่ส่วนกลางนั้นได้เหมือนเป็นพื้นที่ส่วนตัวได้เลยนั่นเองครับ พอพูดแบบนี้หลายๆคนคงจะเริ่มงงกันแล้วใช่มั๊ย งั้นเราไปดูของจริงกันเลยดีกว่าครับ

เริ่มกันที่บริเวณโถง Lobby ซึ่งมีการตกแต่งด้วยหินอ่อนสวยงามเหมือนที่ชั้น 1 เลยครับ เพียงแต่ช่องเปิดที่เป็นช่องแสงจริงๆของอาคารนี้จะน้อยไปหน่อย เลยทำให้อาจดูมืดๆไปบ้าง และต้องเปิดไฟช่วยอยู่ตลอดเวลา

แล้วถ้าสังเกตดีๆจะเห็นว่า ทั้งทางด้านซ้ายและด้านขวาของโถงลิฟต์จะมีช่องแสงที่เชื่อมต่อกับพื้นที่ช่องเปิดภายนอกอาคารอยู่ด้วยครับ ซึ่งในส่วนนี้เองคือจุดที่ผมบอกว่าจะทำให้อากาศถ่ายเทได้ดี และที่เค้านำระแนงมาติดไว้ก็เพื่อช่วยพรางสายตาให้กับห้องที่มีพื้นที่เชื่อมต่อกับช่องระเบียงตรงนี้นั่นเอง เพราะด้านในห้องนั้นๆเค้าสามารถออกมาใช้งานได้จากหลังบ้านของเค้าเองครับ

ส่วนโถงทางเดินหน้าห้องแบบปกติก็จะมีบรรยากาศแบบนี้ครับ ทุกห้องได้เป็น Single Corridor ทั้งหมดเลย และมีเพื่อนร่วมทางเดินเพียง 2 – 3 ห้องเท่านั้น มีความเป็นส่วนตัวมากๆ

สุดปลายทางของห้องทางฝั่งนี้จะมีประตูที่เปิดออกไปยัง Service Lift ได้ครับ และภายในยังมีพื้นที่ทิ้งขยะซึ่งมีประตูปิดมิดชิดแยกเป็นสัดส่วนอยู่ทางด้านขวามืออีกด้วย

ส่วนถ้าเป็นอีกฝั่งหนึ่งของอาคารก็จะเป็นประตูบันไดหนีไฟแบบนี้ครับ

ที่ชั้น 21 – 25 ก็จะเป็นชั้นพักอาศัยเหมือนกันนะ เพียงแต่ชั้นนี้จะมีเพียง 6 ยูนิตต่อชั้นเท่านั้น ซึ่งก็จะมีความเป็นส่วนตัวมากขึ้น เพราะเค้าได้รวมห้อง 2 Bedrooms กับ 1 Bedroom เข้าด้วยกัน กลายเป็นห้อง 3 Bedrooms ขนาดใหญ่นั่นเองครับ แน่นอนว่ายังมีการออกแบบเรื่อง Cross Ventilation อยู่เหมือนเดิมเลย อีกอย่างที่ชอบมากๆคือ ห้อง 3 Bedrooms จะได้ช่องเปิดของผนังทั้ง 2 ด้านเพิ่มมากขึ้น ลองสังเกตเปรียบเทียบกับห้อง 2 Bedrooms ที่เป็นห้องมุมเหมือนกัน แต่จะมีช่องเปิดอีกด้านที่น้อยกว่าครับ

ต่อมาเป็นชั้น 26 ซึ่งเป็นชั้น Main Facilities โดยที่ชั้นนี้จะมีการปรับแบบนิดหน่อยจากรีวิวก่อนหน้านี้นะครับ เริ่มที่หน้าโถงลิฟต์จะมีทางแยก 2 ฝั่ง โดยทางด้านซ้ายจะเป็น Fitness ขนาดใหญ่ที่รายล้อมไปด้วยกระจก take view โดยรอบได้ ส่วนทางด้านขวาจะเป็นทางไปห้องน้ำทั้งชายและหญิง มี stream แยกภายในและมีตู้ล็อคเกอร์ให้พร้อม ส่วนฉากกั้นจะบังส่วนหน้าลิฟต์กับ Pool Deck เพื่อความเป็นส่วนตัว และมีสระว่ายน้ำขนาดใหญ่อีกด้วย อีกทั้งในชั้นนี้ยังมีห้อง Penthouse ขนาดใหญ่ ซึ่งจริงๆแล้วเป็นห้องเดียว แต่มีการแยกเป็น 2 โฉนด 2 ทางเข้า ดังนั้นทางโครงการจึงจะคิดเป็นพื้นที่ขายตามโฉนดคือเท่ากับ 2 ห้องครับ ของจริงสร้างเสร็จจะเป็นอย่างไรบ้างเราไปดูกันเลยดีกว่านะ

เริ่มแรกพอเราออกมาจากลิฟต์ก็จะเจอกับโถงลิฟต์ที่มีฉากกั้นโปร่งแบบนี้ ซึ่งจะคอยกั้นแยกฟังก์ชันออกจากกันอย่างเป็นสัดส่วน แต่ไม่ทำให้ทึบตันหรืออึดอัด และสามารถเดินไปได้ทั้งซ้ายและขวาเลยครับ

ฟังก์ชันหลักๆจะอยู่ทางด้านซ้ายนะ ซึ่งพอเราเลี้ยวซ้ายมาแล้วเลี้ยวขวาก็จะเจอกับประตูทางเข้าห้อง Fitness เลยครับ

ภายในห้อง Fitness อย่างที่บอกว่ามีการปรับแบบใหม่ โดยเค้าเชื่อมห้องทั้ง 2 เข้าด้วยกัน ทำให้ได้พื้นที่ขนาดใหญ่ที่โปร่งโล่งแบบนี้ครับ โดยรอบเป็นผนังกระจก ซึ่งเราจะสามารถ take view ได้ทั้งสองด้านเลย ส่วนกล่องตรงกลางที่เห็นอยู่นั่นเป็นพื้นที่เก็บ Condensing unit ครับ (เดิมทีมันควรอยู่มุมห้อง แต่พอเค้าเอาผนังออกไป แต่ตำแหน่งพื้นที่เก็บส่วนนี้ย้ายไม่ได้ เลยทำให้มาโผล่อยู่ตรงกลางอย่างที่เห็นนั่นเอง)

และนี่คือภาพอีกมุมหนึ่งของห้อง Fitness ครับ ซึ่งเค้าจะมีเครื่องเล่นอยู่หลายชิ้นเลยทีเดียว วางแยกโซนกันอย่างเป็นสัดส่วน สามารถเลือกเล่นได้ตามอัธยาศัย

โดยเฉพาะมุมที่เป็น Cardio สามารถวิ่งไปและชมวิวภายนอกไปได้ด้วยครับ ซึ่งด้านนี้จะเป็นทิศใต้ เป็นวิวที่เปิดโล่ง สามารถมองเห็นวิวแม่น้ำเจ้าพระยาและบางกะเจ้าในระยะไกลได้เลยครับ หรือถ้าจะปั่นจักรยานก็จะเป็นด้านที่หันออกไปทางสระว่ายน้ำด้านข้างนะ

ออกมาจากห้อง Fitness ถ้าเรามองไปทางขวามือตรงทางแยกก่อนหน้านี้ จะเป็นทางไปยังห้อง Penthouse ของชั้นนี้ครับ ซึ่งจะมีอยู่ทั้งหมด 2 ห้องคนละฝั่งนะ ซึ่งคนที่ซื้อห้องนี้จะต้องเป็นคนที่ชอบใช้พื้นที่ส่วนกลางพอสมควร สามารถออกมาใช้งานได้ง่ายๆ แต่ก็ต้องแลกมากับความเป็นส่วนตัวที่น้อยว่าเพราะเพื่อนบ้านอีก 124 ห้องเค้าก็สามารถมาชั้นนี้ได้เช่นกัน

และพอเราหันมองตรงมายังส่วนกลาง ก็จะเจอกับ Pool Deck หรือพื้นที่นั่นเล่นข้างสระว่ายน้ำแบบนี้ครับ ส่วนตัวค่อนข้างชอบตรงที่สามารถนั่งได้จริงตลอดทั้งวัน เพราะเป็นพื้นที่อยู่ภายในอาคาร แต่ยังได้เป็นพื้นที่ Semi-Outdoor ที่ลมพัดโกรกอยู่ครับ

ซึ่งจากมุมมองของ Pool Deck นี้มีข้อเสียคือ เราจะถูกขนาบข้างด้วยเสาอาคารทั้ง 2 ด้าน ทำให้ไม่สามารถชมวิวแบบ Panorama ได้นั่นเอง

แล้วพอเราเงยหน้ามองขึ้นไปที่ช่องด้านบนจะเห็นว่า เค้ามีการเจาะช่องแสงทำเป็น Skylight ทำให้พื้นที่บริเวณ Pool Deck นี้ค่อนข้างโปร่งโล่งมากขึ้นครับ

ส่วนทางด้านขวามือสุดจะเป็นมุมล้างตัวและพื้นที่สระเด็กครับ มีที่นั่งคอยสำหรับผู้ปกครองเผื่อมานั่งดูแลลูกหลานตรงจุดนี้เพื่อความปลอดภัยด้วยครับ

โดยสระเด็กจะมีขนาดประมาณ 5.5 x 5.5 m. และพื้นที่ล้างตัวจะหลบอยู่บริเวณหลังเสา ช่วยบังสายตาเพิ่มความเป็นส่วนตัวได้ครับ แล้วพอเราล้างตัวเสร็จแล้วก็สามารถเดินอ้อมซ้ายไปหลังเสา ก็จะมีทางลงไปสระใหญ่ได้เลย

ทางลงของสระว่ายน้ำจะมีบันไดให้เดินลงได้สะดวกแบบนี้เลย และถ้าเราออกมายืนตรงริมสระ ก็จะสามารถชมวิวเมืองฝั่งอโศกได้กว้างแบบนี้เลยครับ

มีภาพอีกมุมหนึ่งมีฝากกันด้วยครับ ซึ่งทิศนี้จะมองออกไปทางสุขุมวิทนะ เป็น City view เหมือนกัน

โดยทางด้านล่างที่ผมยืนอยู่นี้ จะเป็นจุดนั่งแช่น้ำแบบ Jacuzzi ครับ เพียงแต่ฟังก์ชันส่วนนี้ไม่สามารถเดินมาจาก Pool Deck ได้โดยตรง เพราะตรงทางที่จะมาเค้ามี Sculpture รูปดอกหางนกยูงที่เป็นสัญลักษณ์ของโครงการอันใหญ่ตั้งกั้นเอาไว้อยู่ อาจต้องลงสระใหญ่ก่อนค่อยว่ายน้ำมาตรงนี้ หรือต้องค่อยๆแทรกตัวผ่าน sculpture นั้นมาครับ ซึ่งการใช้งานอาจดูยากไปสักหน่อยนะผมว่า

แถมอีกภาพซึ่งจะมองเห็นสระว่ายน้ำได้ทั้งหมดเลยครับ โดยสระนี้มีขนาด 24 x 6 m. สามารถว่ายออกกำลังกายได้จริงจัง และขอบสระจะไม่ได้อยู่ติดกับขอบตึกซะทีเดียว แต่จะมีการเว้นระยะของรั้วเอาไว้เพื่อความปลอดภัยครับ

กลับเข้ามาที่ Pool Deck อีกครั้ง ต่อไปเรามาดูอีกด้านของโถงลิฟต์ในตอนแรกกันบ้างครับ ซึ่งทั้งหมดจะเดินเชื่อมต่อถึงกันได้หมดแบบนี้เลย

โดยฝั่งนี้เป็นห้องน้ำแยกชาย-หญิงครับ ภายในมีขนาดค่อนข้างใหญ่เลยทีเดียว และมีฟังก์ชันครบทั้งโถสุขภัณฑ์ ห้องอาบน้ำ และมี Stream แยกชาย-หญิงให้ด้วยครับ

ภายในห้องต่างๆก็จะเป็นแบบนี้ครับ แยกเอาไว้เป็นสัดส่วนดี เพียงแต่โถสุขภัณฑ์ของห้องน้ำชายมีแค่ห้องเดียวเท่านั้นเอง และห้องอาบน้ำจะได้เป็นแบบ Rain Shower ครับ

จุดที่อยากให้ระวังคือ ตอนเปิดประตูของห้องอาบน้ำและห้อง Stream ครับ ซึ่งทั้งคู่จะเปิดเป็นบานสวิงค์ออกมาด้านนอก ซึ่งต้องระวังจะเปิดออกมาชนกันนะครับ

ส่วนภายในห้อง Stream ด้านบนมีการประดับไฟเหมือนดวงดาวเอาไว้ด้วยครับ ปกติเวลาเราใช้ห้อง Stream จะต้องเปิดไฟแบบสว่างๆทั้งหมดใช่มั๊ย แต่แบบนี้ก็สามารถเลือกเปลี่ยนบรรยากาศได้นั่นเอง

แต่จุดที่ชอบจริงๆสำหรับผมคือ ตู้ล็อคเกอร์ที่อยู่หน้าห้องครับ ซึ่งไม่ใช่ตู้สี่เหลี่ยมธรรมดา เพราะเค้าออกแบบให้มีทั้งแบบกว้างๆ และช่องทรงสูง เพื่อสามารถใช้แขวนผ้าได้นั่นเอง จะได้ไม่ต้องพับให้เสื้อยับเนาะ

แปลนชั้น 27 – 28 ตรงกลางอาคารจะมีการเจาะช่องเปิด ที่สามารถมองทะลุลงไปถึงชั้น Facilities ได้ครับ จึงทำให้โถงลิฟต์ของชั้นนี้จะมีความโปร่งโล่งมากๆเลย ซึ่งถึงแม้ตำแหน่งห้อง Type F จะมีประตูหน้าห้องอยู่ตรงโถงลิฟต์พอดี แต่ด้วยความที่ชั้นนี้มีเพียง 4 ยูนิตเท่านั้น จึงทำให้ไม่เสียความเป็นส่วนตัวมากนักครับ

ซึ่งจากชั้น Facilities ตรงบริเวณ Pool Deck ก็สามารถมองขึ้นไปเห็นโถงทางเดินหน้าลิฟต์ของชั้นบนๆได้แบบนี้เช่นกันครับ ซึ่งนอกจากความโปร่งโล่งแล้ว มองอีกมุมหนึ่งคือช่วยสร้างปฏิสัมพันธ์ของคนชั้นบนและชั้นล่างได้อีกด้วยนะ

ส่วนชั้น 29 ที่อยู่ชั้นบนสุดจะมีแค่ 3 ยูนิตเท่านั้น ซึ่งห้องทางขวามือได้มีการรวมห้อง 2 Bedrooms 2 ห้องเข้าด้วยกัน จึงทำให้มีความเป็นส่วนตัวเพิ่มขึ้น และมีขนาดพื้นที่ใช้สอยที่ใหญ่มากๆเลยครับ

สรุปสิ่งอำนวยความสะดวก

  • Lobby
  • Library
  • Mail box + พื้นที่เก็บของบริเวณชั้น 1 และชั้นจอดรถ
  • สระว่ายน้ำ 1 สระ ระบบเกลือ ขนาด 24 x 8 เมตร ลึก 1.2 เมตร
  • สระเด็ก 1 สระ ระบบเกลือ ขนาด 3 x 5 เมตร ลึก 0.6 เมตร
  • Jacuzzi
  • Steam room
  • Concierge service
  • Laundry service
  • Room maintenance
  • Doorman
  • EV Charger
  • Shuttle services ไปสุขุมวิทและพระราม 4
  • สวนหย่อมรอบโครงการ
  • ลิฟต์โดยสาร 3 ตัว/อาคาร
  • อัตราส่วนลิฟต์รวมทั้งโครงการ 42.67 :  1
  • Service Lift 1 ตัว
  • ที่จอดรถประมาณ 165 คันคิดเป็นประมาณ 130%
  • ระบบ CCTV / Access Card
  • ระบบรักษาความปลอดภัย 24 ชม.

แบบห้อง

มาถึงเรื่องห้องกันแล้วนะครับ ซึ่งอย่างที่ผมเกริ่นไปในตอนแรกว่าโครงการนี้มี concept ในการออกแบบคือ “Luxury Home-Like Condominium” ซึ่งได้นำความคิดการอาศัยอยู่ในบ้านมาไว้ในคอนโด ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของการเก็บของ พื้นที่ใช้สอยต่างๆภายในห้อง ดังนั้นห้องเริ่มต้นของโครงการนี้จึงมีขนาดที่ใหญ่และกว้างขวางมากครับ

ปัจจุบันโครงการมีห้องตัวอย่างให้ดูทั้งหมด 3 ห้องครับ ขายแบบ Fully Fitted คือให้เฟอร์นิเจอร์บางส่วน โดยเฉพาะตู้ Built in ต่างๆ ชุดครัว และสุขภัณฑ์ในห้องน้ำครบครัน ขาดก็แต่เฟอร์นิเจอร์ลอยตัวที่ควรเลือกซื้อตามแต่ความชอบเฉพาะตัวของแต่ละคนกันมากกว่าเช่น เตียงนอน ชุดโซฟา เป็นต้น โดยแบบห้องของโครงการที่เหลือขายอยู่ในปัจจุบันทั้ง 3 แบบ จะประกอบด้วย

  • ห้อง 1 Bedroom ขนาด 61 ตร.ม.
  • ห้อง 2 Bedrooms ขนาด 100 – 122 ตร.ม.
  • ห้อง 3 Bedrooms 174 – 178 ตร.ม.

ห้อง 3 Bedrooms ขนาด 188 ตารางเมตร (รวมพื้นที่ Yard นอกโฉนด) ซึ่งห้องแบบนี้จะเป็นห้องมุมทั้งหมด และมีอยู่ในเฉพาะชั้น 21 – 25 เท่านั้นครับ ดังนั้นจึงรับรองได้ว่าห้องนี้จะได้วิวชั้นสูงๆ มองออกไปได้ไกลแน่นอน ซึ่งภายในห้องจะเน้นให้ทุกๆฟังก์ชันมีขนาดใหญ่เป็นพิเศษ และให้อารมณ์ความรู้สึกเหมือนอยู่บ้านมากที่สุด โดยเฉพาะพื้นที่ Common area ที่อยู่ตรงกลาง ซึ่งอยู่ติดกับพื้นที่ระเบียง และมีมุมพื้นที่อเนกประสงค์เล็กๆให้ตรงริมหน้าต่างอีกด้วย จุดที่แปลกคือมีห้องเก็บของเล็กๆ อยู่ตรงข้างๆโต๊ะทานอาหารครับ ซึ่งยิ่งทำให้ได้อารมณ์เหมือนบ้านเข้าไปใหญ่ และครัวถึงแม้จะมีขนาดใหญ่ แต่จะได้เป็นครัวเปิดครับ เวลาทำอาหารก็อาจมีกลิ่นฟุ้งภายในห้องได้ โดยต่อจากครัวจะมีประตูที่เปิดออกไป Court yard ที่เปรียบเหมือนส่วนหลังบ้านได้อีกด้วย ส่วนห้องนอนทุกห้องจะกั้นด้วยผนังทึบเป็นสัดส่วน และมีห้องน้ำในตัวทุกห้องเพื่อความเป็นส่วนตัว รวมถึงพื้นที่ส่วนกลางด้านนอกก็มี Powder room เป็นของตัวเองอีกด้วย โดยเฉพาะห้อง Master Bedroom ที่เค้าจะให้ความสำคัญมากที่สุด และอยู่บริเวณมุมอาคาร ได้ช่องแสงถึง 2 ด้าน และผนังภายนอกทั้งหมดจะได้เป็นกระจกอีกด้วย ซึ่งของจริงจะเป็นอย่างไรบ้างนั้นเราลองไปชมกันเลยครับ

เริ่มกันที่กระตูทางเข้าหน้าห้องจะเป็นประตูไม้ปิดผิว Veneer สีขาวครีมแบบนี้ และยังได้เป็นบานสูง 3 m. อีกด้วย ติดตั้งมาพร้อม Digital Door Lock ของ Samsung แต่ที่ชอบคือด้านบนมีโช๊คที่นอกจากจะช่วยกันกระแทกเวลาประตูเปิด-ปิดแล้ว ยังช่วยทำให้ประตูนี้สามารถเปิดค้างออกได้กว้างแบบนี้เลย เผื่อเวลาเราจะขนของเข้าบ้านเยอะๆก็จะได้สะดวกครับ

และเมื่อเราเข้ามาภายในห้องก็จบเจอกับพื้นที่โถงทางเดินของ Common area แบบนี้ครับ ซึ่งจะแยกออกไปยังส่วนครัวที่อยู่ทางด้านซ้าย และพื้นที่นั่งเล่นที่อยู่ทางด้านขวาเป็นสัดส่วน

เริ่มจากพื้นที่ Common area ทางด้านขวากันก่อนเลยครับ ซึ่งมุมนี้ผมคิดว่าได้อารมณ์ความรู้สึกเหมือนเป็นบ้านมากๆ เพราะมีขนาดพื้นที่ค่อนข้างใหญ่ กว้างถึง 7.5 m. และมีฝ้าสูง 3 m. เลยทีเดียว โดยของจริงเราจะได้เป็นห้องโล่งๆ กับพื้นไม้ Engineer wood และผนังฉาบเรียบสีขาวธรรมดานะครับ ซึ่งทางโครงการได้จัดเฟอร์นิเจอร์มาให้ดูเป็นตัวอย่างแบบนี้

เริ่มจากทางซ้ายมือเป็นพื้นที่นั่งเล่น ซึ่งมีขนาดกว้างมากพอที่เราจะใช้ชุดโซฟาขนาดใหญ่ที่ใหญ่กว่านี้ก็ได้แล้วแต่เราเลย มีพื้นที่วางโต๊ะกลางเหลือเฟือ หรือถ้าใครชอบนอนก็จะใช้เป็นโซฟารูปตัว L ได้ครับ อีกอย่างหนึ่งคือพื้นที่ฝ้าเพดานด้านบนมีความสูงมากพอที่เราจะติดตั้ง chandelier สวยๆเพิ่มเติมได้อีกด้วย เพราะของจริงเค้าไม่ได้ติดตั้งมาให้แบบนี้นะครับ

ติดกันเป็นประตูระเบียงกระจก สามารถเปิดออกได้กว้างทั้ง 2 ฝั่ง โดยที่กรอบบานจะเป็นอลูมิเนียม และใช้กระจก Triple Glazed ซึ่งมีคุณสมบัติป้องกันความร้อนและเสียงจากภายนอกได้ดี ตัวบานมีความสูงจากพื้นถึงฝ้าแบบเต็มบานแต่จะมีน้ำหนักมาก สามารถเลื่อนเปิด-ปิดได้สะดวก ขอบตัวบานมีแถบสักหลาดเพื่อป้องกันเสียงและฝุ่นจากภายนอกเข้ามาด้านในตัวห้องได้ครับ

และที่ด้านบนของหน้าต่างหรือช่องแสงต่างๆ เค้าก็จะติดตั้งรางม่านแบบ 2 ราง มาให้ทุกจุดเรียบร้อยแล้วครับ เหลือก็แต่เราไปเลือกซื้อชุดผ้าม่านสีที่เราชอบ และเหมาะกับห้องเรามาติดตั้งเท่านั้นเอง

ระเบียงภายนอกกว้างมากครับ มีขนาดประมาณ 4.35 x 2 m. ปูพื้นด้วยกระเบื้องเซรามิคลายไม้ พร้อมติดตั้งราวกันตกเป็นกระจกนิรภัย Tempered Glass ขอบอลูมิเนียม ซึ่งเหมาะที่จะจัดเป็นพื้นที่นั่งเล่นและชมวิวแบบในห้องตัวอย่างนี้มากๆเลย

ต่อไปเราจะไปดูอีกฝั่งของห้องที่เป็นพื้นที่ทานอาหารหลังโซฟากันบ้างนะ

พื้นที่วางโต๊ะทานอาหารนี้สามารถใช้โต๊ะขนาดใหญ่ 6 – 8 ที่นั่งได้แบบนี้เลยครับ โดยเราจะใช้เป็นโต๊ะสี่เหลี่ยมแบบโครงการก็ได้ หรือจะใช้เป็นโต๊ะกลมก็ได้แล้วแต่สไตล์การตกแต่งห้องของแต่ละคน เพราะโดยรอบมีพื้นที่ค่อนข้างยืดหยุ่นเหลือให้ใช้งานเดินผ่าน และขยับเก้าอี้เข้า-ออกได้สบายๆอยู่ครับ

โดยจากมุมนี้จะเห็นว่าเราสามารถนั่งทานอาหารไปและดูทีวีไปได้ด้วยนะ ซึ่งก็ควรจะใช้ทีวีจอใหญ่ๆ 60 นิ้วขึ้นไปเลยก็ได้ครับ อีกอย่างหนึ่งที่ชอบคือช่องแสงทางด้านขวามือที่ทำให้ห้องนี้สว่างทั่วถึงทุกฟังก์ชัน เพราะเป็นห้องหน้ากว้าง และยังทำให้โปร่งโล่งมากๆอีกด้วย

ติดกันจะมีห้องเล็กๆอยู่ห้องหนึ่ง ซึ่งก็คือห้องเก็บของนั่นเองครับ ภายในมีขนาดพื้นที่ประมาณ 1.3 x 1.75 m. สามารถเก็บของชิ้นใหญ่ๆที่ไม่ค่อยได้งานได้นะ

แถมยังมีการ Built in ตู้เก็บของด้านข้างมาให้ด้วย ซึ่งภายในทำเป็นชั้นวางของหลายชั้น สามารถเก็บของได้เยอะ และบริเวณหน้าบานยังติดตั้งกระจกเงามาให้แบบนี้เลยด้วยนะ

ออกมาจากห้องเก็บของ ต่อไปพื้นที่ทางด้านซ้ายของโต๊ะทานอาหารจะเป็นพื้นที่อเนกประสงค์ริมหน้าต่างแบบนี้เลยครับ ห้องตรงกลางเป็นห้องนอน 2 และทางด้านขวามือจะมีห้องน้ำอยู่ด้วย

พื้นที่อเนกประสงค์มีขนาดประมาณ  2.5 x 3.2 m. โดยทางโครงการจัดไว้เป็นโต๊ะนั่งทำงานอ่านหนังสือมาให้ดูเป็นตัวอย่าง ซึ่งก็เหมาะมากครับ เพราะได้แสงธรรมชาติส่องเข้ามาภายในค่อนข้างสว่าง หรือเราจะใช้เป็นพื้นที่ทำงานอดิเรกอื่นๆ

ฝั่งตรงข้ามของพื้นที่อเนกประสงค์เมื่อสักครู่เป็นห้องน้ำครับ โดยเราจะได้เป็นห้องแบบ Powder Room คือจะไม่มีพื้นที่อาบน้ำนะ เพราะเป็นส่วนใช้งานเฉพาะภายนอก Common area เท่านั้น ภายในมีขนาด 1.15 x 1.4 m. สามารถใช้งานได้แบบพอดีๆ

สุขภัณฑ์ภายในทั้งหมดเป็นของ Toto ประกอบด้วยอ่างล้างหน้าเล็กๆ โถสุขภัณฑ์ สายฉีดชำระ และที่แขวนกระดาษชำระพร้อมใช้งาน

ส่วนห้องนอนที่ 2 ซึ่งอยู่ติดกันก็มีขนาดพื้นที่กว้างขวางพอสมควรเลยครับ โดยภายในห้องนี้ของจริงจะได้เป็นห้องเปล่าๆนะ แต่ก็สามารถวางเตียง 5 – 6 ฟุตไว้กลางห้อง แล้วยังมีพื้นที่เหลืออยู่เยอะเลยครับ

จากห้องตัวอย่างพอเราวางเตียงนอนขนาด 5 ฟุตไปแล้ว ยังมีพื้นที่เหลือด้านข้างอีกมาก ซึ่งโดยส่วนตัวผมจะเลื่อนเตียงไปไว้ทางขวาอีกหน่อย เพื่อที่ฝั่งซ้ายจะได้มีพื้นที่เหลือสำหรับวางโต๊ะนั่งทำงานอ่านหนังสือริมหน้าต่างได้นั่นเอง

ช่องหน้าต่างทุกห้องจะเป็นกระจก Full Height สูงจากพื้นถึงฝ้า และผนังถึงผนังทั้งหมดแบบนี้เลยครับ ซึ่งทำให้เราสามาถชมวิวได้กว้าง แล้วยังทำให้ห้องดูโปร่งโล่งมากขึ้นอีกด้วย และไม่ต้องกลัวเรื่องแสงหรือความร้อนครับ อย่างที่บอกไปแล้วก่อนหน้านี้ว่ากระจกของโครงการทั้งหมดเป็น Triple Glazed สามารดูดซับเสียงและกันความร้อนได้ อีกทั้งยังมีหน้าต่างบานกระทุ้งที่สามารถเปิดระบายอากาศได้ทั้ง 2 ช่องอีกด้วยครับ

ส่วนปลายเตียงก็มีพื้นที่สามารถวางชั้นวางทีวีได้สบายๆเลย และทางซ้ายมือจะเป็นพื้นที่แต่งตัวหน้าห้องน้ำนั่นเองครับ

พื้นที่แต่งตัวนี้กว้างประมาณ 1 m. สามารถใช้งาน 2 คนพร้อมกันได้บายๆ

ส่วนตู้เสื้อผ้าทางขวามือเค้าก็จะ Built in มาให้แบบนี้เลยครับ มีทั้งส่วนที่เป็นหน้าบานทึบ และส่วนที่เป็นกระจกเพื่อความโปร่งโล่ง

มีรายละเอียดภายในตู้เล็กๆน้อยๆมาฝากกันด้วยครับ อย่างราวแขวนผ้าทางด้านซ้ายก็สามารถเลื่อนออกมาได้นะ ทำให้เวลาเก็บหรือหยิบของสามารถใช้งานได้สะดวกมากขึ้น ส่วนที่เปิดตู้ก็จะเป็นแถมอลูมิเนียมสีทองแดงสวยๆแบบนี้เลย

ฝั่งตรงข้ามเป็นห้องน้ำครับ ซึ่งภายในมีขนาดพื้นที่ค่อนข้างใหญ่ และจัดแบ่งฟังก์ชันได้เป็นสัดส่วนชัดเจน

เริ่มด้วยพื้นที่ส่วนแห้งจะมีขนาด 1.15 x 2.15 m. ประกอบด้วยอ่างล้างหน้าและโถสุขภัณฑ์ ซึ่งจะซ่อนอยู่ด้านหลังประตูทางเข้า ทำให้ดูเป็นระเบียบเรียบร้อยดีครับ เพียงแต่ลักษณะการใช้งานก็จะยากกว่าแบบที่เปิดประตูเข้ามาแล้วเจอเลยเล็กน้อยนะ

เคาน์เตอร์อ่างล้างหน้าจะเป็นหินอ่อนแท้แบบแนวยาว กว้าง 33 cm. สามารถใช้วางของได้เยอะเลยครับ และนอกจากนี้ที่ด้านล่างยัง Built เป็นตู้และช่องเก็บของไว้ให้อีกด้วย สามารถเก็บพวก supply ที่ใช้ในห้องน้ำได้นะ และที่จะบอกอีกอย่างคือโครงการนี้เค้าจะเดินระบบต่อน้ำร้อนเอาไว้ให้ภายในผนังเรียบร้อยแล้วด้วยครับ

ทางด้านซ้ายเป็นโถสุขภัณฑ์ ซึ่งก็มีพื้นที่โดยรอบสามารถใช้งานได้สะดวก

ส่วนทางด้านขวาจะเป็นพื้นที่อาบน้ำขนาดประมาณ 1.45 x 1.1 m. สามารถใช้งานได้สบายๆเลยครับ ติดตั้งมาให้พร้อมฉากกั้นกระจกนิรภัย Tempered Glass แล้วยังซ่อนไฟแบบให้ห้องนี้ให้เลยอีกด้วย พื้นจะลดระดับลงจากพื้นที่ส่วนแห้ง 2 cm.

ภายในติดตั้ง Hand Shower รูปทรงสี่เหลี่ยมแบบนี้มาให้ ส่วนผนังด้านข้างยังทำเป็น low wall ให้สามารถวางสบู่หรือแชมพูได้อีกด้วย แต่ถ้าใครของเยอะหรือวางไม่พอ ก็สามารถทำชั้นวางของเพิ่มเติมที่ผนังได้เลยครับ

ฝ้าเพดานเป็นฉาบเรียบทาสี และได้ไฟดาวน์ไลท์แบบฝังฝ้า 2 จุด บริเวณอ่างล้างหน้ากับไฟซ่อนเป็นแนวยาวตลอดทั้งห้อง พร้อมพัดลมดูดอากาศบริเวณโถสุขภัณฑ์เพื่อระบายกลิ่นและความชื้นครับ

ออกมาจากห้องนอนที่ 2 คราวนี้เราจะไปดูห้องฝั่งตรงข้ามกันบ้างครับ ตามมาได้เลย

ห้องนี้คือห้อง Master Bedroom ครับ ซึ่งภายในค่อนข้างโปร่งโล่งมากๆ เพราะเค้าได้ช่องแสงถึง 2 ด้าน เนื่องจากพื้นที่ส่วนนี้เป็นห้องมุมนั่นเอง

บริเวณหัวเตียงจะเป็นช่องหน้าต่างบานกระทุ้ง 2 ด้าน ขนาบข้างหัวเตียงเอาไว้ ซึ่งถูก Fixed แล้วว่าจะต้องวางเตียงตรงกลางแบบนี้ครับ อีกอย่างที่อยากบอกคือ ช่องหน้าต่างทางซ้ายมือเราจะไม่ได้เป็นกระจกเข้ามุม Bay Window นะครับ เพราะเนื่องจากติดในเรื่องของโครงสร้างกรอบกระจก และกรอบ facade อาคารภายนอกนั่นเอง

ส่วนพื้นที่ปลายเตียงส่วนหนึ่งจะเป็นผนังทึบ ซึ่งสามารถติดตั้งทีวีแขวนผนัง หรือจะวางบนตู้ก็ยังมีพื้นที่เหลืออยู่เยอะถึง 1.5 m.เลยครับ ส่วนทางด้านขวาจะเป็นทางไป Walk in closet และห้องน้ำนะ

และจะสังเกตได้ว่าผนังทางขวาจะเป็นกระจกทั้งแถบเลยครับ จึงทำให้ห้องนี้โปร่งโล่งมากๆ และได้วิวภายนอกแบบเต็มๆทั้งห้องแบบนี้เลยครับ

ส่วนพื้นที่ Walk in closet จะมีขนาดประมาณ 2.2 x 2.75 m. ซึ่งทางโครงการได้ Built ตู้มาให้ดูเป็นตัวอย่าง แต่ของจริงเราจะได้เฉพาะตู้กระจกที่อยู่ตรงกลาง 1 ใบเท่านั้นนะครับ นอกนั้นจะเป็นพื้นที่โล่งๆที่เราจะต้องไปทำเพิ่มเอง

ติดกันจะเป็นห้องน้ำครับ ซึ่งประตูทางเข้าห้องห้องนี้จะเป็นบานเลื่อนนะ เพียงแต่ของจริงเค้าจะไม่ได้ติดกระจกเงามาให้แบบนี้หรอกครับ เราจะได้เป็นประตูไม้บานทึบสีขาวธรรมดาแทน แต่ผมว่าถ้าติดกระจกแบบห้องตัวอย่างนี้ ก็ทำให้ห้องดูกว้างมากขึ้น และไม่ทึบตันดีนะครับ

ภายในห้องน้ำจะมีขนาดพื้นที่ใหญ่มากๆ ซึ่งเราก็จะได้ของทั้งหมดในห้องตามนี้เลยยกเว้นของตกแต่งนะ

เคาน์เตอร์อ่างล้างหน้าเป็น Top หินอ่อนเช่นเคย เป็นอ่างแบบ His&Her ขนาดประมาณ 35 x 55 cm. และลึก 15 cm. ติดตั้งมาพร้อมก๊อกน้ำร้อนและน้ำปกติ ซึ่งเราสามารถเลือกผสมอุณหภูมิได้ด้วยตัวเอง ส่วนด้านล่างก็มีตู้ไว้เก็บของได้เยอะเช่นเคยครับ

Highlight ของห้องนี้อยู่ทางด้านขวาซึ่งเป็นผนังกระจกทั้งหมด โดยแสงแดดที่เข้ามาจะช่วยฆ่าเชื้อโรคและแบคทีเรียในห้องน้ำได้ แถมมีช่องหน้าต่างบานกระทุ้งให้เปิดระบายอากาศและความชื้นได้อีกด้วย จึงทำให้ห้องน้ำห้องนี้มีสุขอนามัยที่ดีเลยครับ

ริมหน้าต่างเป็นพื้นที่ว่างอ่างอาบน้ำแบบลอยตัวของ Toto เราสามารถนอนแช่น้ำไปและชมวิวไปได้ด้วยเลยครับ เป็นการอาบน้ำที่ฟินมากๆเลย รวมถึงยังมี Hand Shower ติดตั้งแยกมาให้อยู่ทางด้านข้างให้สามารถดึงออกมาใช้งานได้อีกด้วยครับ

ส่วนทางด้านซ้ายของห้องน้ำจะกั้นฟังก์ชันระหว่างโถสุขภัณฑ์ และพื้นที่อาบน้ำแยกออกจากกันอย่างเป็นสัดส่วน โดยให้สังเกตประตูกระจกตรงกลางครับ เพราะจะมีแค่บานเดียวเท่านั้น แต่วิธีใช้งานคือจะเลื่อนซ้าย-ขวา เพื่อปิดฟังก์ชันใดฟังก์ชันหนึ่งที่ต้องการใช้งานได้ครับ (ไม่สามารถปิดพร้อมกันได้นะ)

สำหรับพื้นที่โถสุขภัณฑ์จะมีขนาด 1.2 x 1.2 m. สามารถใช้งานได้พอดี ส่วนบนฝ้าเพดานตรงนี้ก็จะติดตั้งไฟส่องสว่างและพัดลมดูดอากาศมาให้พร้อมเลย

ส่วนพื้นที่อาบน้ำก็จะมีขนาดที่เท่ากันครับ สิ่งที่ต่างจากห้องก่อนหน้านี้คือตัว Hand Shower จะมีเสาที่สามารถปรับระดับความสูงได้  รวมถึงหัวฝักบัวก็จะมีขนาดใหญ่มากขึ้นด้วย ด้านข้างมี low wall ไว้วางของได้เล็กน้อยเหมือนกัน แต่ที่ด้านบนเพดานเค้าจะติดตั้ง Rain Shower แบบฝังในฝ้ามาให้ด้วยครับ ทำให้ห้องน้ำห้องนี้มีตัวเลือกในการอาบน้ำที่ค่อนข้างหลากหลายเลยนะ

ออกมาจากห้อง Master Bedroom ก่อนจะไปยังห้องครัวต่อไป เราจะไปดูห้องนอนเล็กอีกห้องที่อยู่ติดกันก่อนนะครับ

เมื่อเข้ามาภายในห้องนอนจะยังไม่เจอเตียงนะครับ แต่จะเป็นพื้นที่หน้าห้องน้ำก่อน ซึ่งก็ทำให้ห้องนี้ค่อนข้างมีความเป็นส่วนตัวอยู่พอสมควร

ทางด้านซ้ายมือหลังประตูเข้าห้องเมื่อสักครู่เป็นตู้เสื้อผ้า ซึ่งเค้าก็จะ Built in มาให้เต็มผนังแบบนี้เลยครับ พื้นที่แต่งตัวหน้าห้องน้ำกว้างประมาณ 1.5 m. สามารถใช้งานได้สบายๆ แต่อย่าลืมล็อคประตูห้องก่อนนะครับ คนภายนอกจะได้ไม่เปิดประตูเข้ามาชนเอาได้

ส่วนทางด้านขวาจะมีพื้นที่เว้าเข้าไปในผนังเล็กหน่อย ซึ่งก็จะ Built เป็นตู้เก็บของแบบนี้ได้ครับ ช่วยเพิ่มพื้นที่เก็บของในห้องได้ดีเลยทีเดียว

ภายในห้องน้ำจะมีขนาดไม่ใหญ่มากครับ พื้นที่ส่วนแห้งมีขนาดประมาณ 1.47 x 1.12 m. สามารถใช้งานได้พอดีๆ มีสุขภัณฑ์และวัสดุต่างๆเหมือนกับห้องอื่นๆเลย

ด้านหลังประตูจะมีพื้นที่อาบน้ำซ่อนอยู่ ขนาดประมาณ 1 x 1.35 m. ติดตั้งฉากกั้นกระจกนิรภัย Tempered Glass แบบนี้มาให้ ที่ด้านในจะมีทั้ง Hand Shower และมีชั้นวางสบู่ให้เหมือนกับห้องนอนห้องแรกเลยครับ

ส่วนพื้นที่ในห้องนอนก็ค่อนข้างกว้างพอสมควร ได้กระจกบานใหญ่เต็มผนังเหมือนเดิมครับ

พื้นที่รอบๆเตียงยังมีเหลือนะ ซึ่งเราก็สามารถเลื่อนเตียงไปฝั่งใดฝั่งหนึ่งอีกหน่อยได้ครับ จะทำให้เรามีพื้นที่เหลืออีกด้านกว้างพอสมควร สามารถวางโต๊ะอเนกประสงค์หรือตู้เพิ่มเติมได้เลย

ส่วนสุดท้ายแต่ยังไม่ท้ายสุดจะเป็นห้องครัวครับ ซึ่งเราจะได้เป็นครัวเปิดไม่มีผนังกั้นนะ ฝ้าเพดานด้านบนจะลดระดับลงมาเล็กน้อย ทำให้มีความสูงเหลืออยู่ที่ 2.7 m. เพราะมีงานระบบแอร์ฝังฝ้า Conceal type ที่เค้าจะใช้กับห้องทุกห้องที่ผ่านมาหมดเลยครับ ข้อดีคือสวยงามและดูเรียบร้อยดีมาก แต่เวลาซ่อมทีก็ลำบากเพราะต้องเจาะฝ้าใหม่เหมือนกันครับ

ครัวจะเป็นแบบ 2 ฝั่ง และมีโต๊ะ Kitchen island ตรงกลางให้สามารถใช้ประกอบอาหารได้เต็มที่ ซึ่งจะมีพื้นที่ทำครัวกว้างฝั่งละ 70 – 80 cm. และมีการเปลี่ยนวัสดุปูพื้นจาก พื้นไม้ Engineer wood เป็นกระเบื้อง Porcelain ลายหินอ่อน ที่มีความสวยงามเป็นธรรมชาติ แล้วยังสามารถทำความสะอาดได้ง่ายอีกด้วย

โต๊ะ Kitchen island นี้บริเวณด้านข้างจะมีบานตู้และลิ้นชักให้เปิดเก็บของได้ทุกฝั่ง ซึ่งเยอะมากเลยทีเดียว โดย Top เคาน์เตอร์จะเป็นหิน Quartz ที่ทำความสะอาดง่าย แล้วยังทนกรดด่างได้ดีอีกด้วย นอกจากนี้บริเวณด้านบนยังมีปลั๊กไฟให้กดกระเด้งขึ้นมาเพื่อใช้งาน เผื่อไว้เสียบไอแพดหรืออุปกรณ์ไฟฟ้าต่างๆได้ครับ

เคาน์เตอร์ครัวทางด้านซ้ายก็มีตู้เก็บของเยอะเช่นกันครับ ซึ่งหน้าบานตู้ทุกใบจะเป็น High Gloss สีเทาเข้ากับตัวห้องแบบนี้เลย

ตู้ชั้นบนจะมีลูกเล่นนิดหน่อยคือ ชั้นวางของสามารถดึงลงมาใช้งานได้นะครับ ซึ่งฟังก์ชันนี้จะเหมาะกับสาวๆตัวเล็กๆมากๆเลย ส่วนปุ่มทางด้านข้างนี้จะเป็นปุ่มปรับระดับความหนักของชั้นครับ สามารถเลือกปรับได้ตามต้องการเช่น ถ้ามีของหนักๆวางอยู่ก็สามารถปรับให้ชั้นนี้มีความแข็งและฝืดขึ้นได้ เพื่อชั้นวางของนี้จะได้ค่อยๆดึงชั้นลงมาได้ช้าๆครับ

ที่เก็บของยังไม่หมดเท่านี้นะครับ ยังมีบริเวณด้านข้างทั้ง 2 ฝั่งของตู้อีกด้วย ซึ่งจะเป็นตู้ทรงสูงที่เลื่อนออกมาได้แบบนี้ แล้วจะมีชั้นต่างๆให้วางของหรือพวกเครื่องปรุงได้เยอะเลยทีเดียว

ส่วน Top เคาน์เตอร์ครัว และ backsplash ก็จะเป็นหิน Quartz เหมือนกันทั้งชิ้นเช่นเดียวกับ Kitchen island เลยครับ โดยอ่างล้างจานจะเป็นของ Blanco Steelart ขนาดประมาณ 70 x 40 cm. ลึก 20 cm. และ Hob & Hood จาก Gaggenau ครับ

ส่วนอีกฝั่งของครัวก็จะมีตู้เก็บของเยอะอีกเช่นกันครับ ซึ่งภายในจะเป็นตู้อะไรบ้างนั้นเรามาเปิดไปพร้อมๆกันเลย

ทางซ้ายสุดด้านในจริงๆเป็นตู้เย็นของยี่ห้อ Samsung ซึ่งเค้าจะ Built in มาให้อยู่ภายในตู้แบบนี้เลยครับ และติดกันทางขวามือจะมีทั้งช่องเก็บของขนาดใหญ่ ลิ้นชัก และเตาอบจาก Gaggenau

ฝ้าเพดานด้านบนฉาบเรียบทาสี พร้อมติดตั้งไฟส่องสว่างและอุปกรณ์ป้องกันอัคคีภัยมาให้เรียบร้อย แต่จะมีใครสังเกตเห็นสปริงเกอร์ดับไฟที่อยู่ทางซ้ายของ Smoke Detector มั๊ยครับ ซึ่งโครงการนี้เค้าจะใช้แบบ Concealed Sprinkler Type เป็นรูปแบบหัวกระจายน้ำดับเพลิงซ่อนอยู่ในฝ้าเพดาน และมีฝาครอบที่ติดตั้งปิดอยู่ในแนวฝ้าเพื่อความสวยงามนั่นเองครับ

ต่อไปเป็นประตูบานสวิงค์กรอบอลูมิเนียมที่ค่อนข้างหนาพอสมควร แต่มีน้ำหนักเบาครับเพราะประตูขนาดไม่ใหญ่มาก แต่ที่สำคัญคือบริเวณขอบจะมีแถบผ้าสักหลาดติดอยู่ คอยช่วยกันแมลง ฝุ่น และเสียงที่อาจเล็ดลอดเข้ามาตามขอบประตูได้นั่นเอง

ภายนอกเรียกว่า Court yard ครับ เปรียบเสมือนระเบียงหลังบ้านเรานั่นเอง พื้นปูด้วยกระเบื้องเซรามิคลายไม้เช่นเดียวกับระเบียงในห้อง และมีทางเดินกว้างประมาณ 75 cm. พอให้เดินผ่านได้แบบพอดีๆครับ

ทางด้านซ้ายเค้าจะ Built in ตู้มาให้แบบนี้เลยนะ ซึ่งจะสามารถเก็บของได้เยอะ แล้วยังมีพื้นที่วางเครื่องซักผ้าขนาดประมาณ 70 x 70 cm. สูง 1 m.ได้อีกด้วยครับ

เอาล่ะ…ประเด็นสำคัญอยู่ตรงนี้ครับในช่วงแปลนที่ผมบอกเรื่องพื้นที่ระเบียงส่วนหนึ่งของห้องจะเป็นของส่วนกลาง ซึ่งจากภาพถ้าเลยแนวขอบกระเบื้องไปแล้วก็จะไม่ใช่พื้นที่ในโฉนดที่เราจะได้เป็นกรรมสิทธิ์นะครับ เพราะเค้าต้องการออกแบบอาคารให้มีช่องเปิดให้เกิด Cross Ventilation นั่นเอง

ซึ่งถึงแม้ห้องนี้จะไม่ได้มีพื้นที่เชื่อมต่อไปยังโถงทางเดินของอาคารได้ แต่ก็ยังทำให้เกิดการถ่ายเทอากาศภายในห้องได้ดีเลยครับ เหมือนกับเวลาเราเปิดประตูหลังบ้านและหน้าบ้านไว้ ลมก็จะพัดผ่านไปได้นั่นเอง ซึ่งถ้าวันไหนลมและอากาศดีๆ ห้องนี้ก็อาจไม่ต้องเปิดแอร์เลยก็ได้นะครับ และอีกอย่างหนึ่งคือทุกห้องก็สามารถใช้งานพื้นที่ในส่วนนี้ ได้เหมือนเป็นพื้นที่ในห้องของตัวเองได้อีกด้วยนะ หลักๆคือใช้วาง condensing unit หรือตากผ้าได้โดยจะไม่ไปรบกวนพื้นที่ระเบียงที่เอาไว้ชมวิวสวยๆในห้องเลยครับ

หันกลับมามองอีกด้านของ Court yard จะมีห้องน้ำอยู่ด้านหลังประตูเมื่อสักครู่นี้ โดยที่ห้องน้ำนี้จะเป็นห้องของ Maid ซึ่งจะเอาไว้ใช้แยกโซนกับเจ้าของห้องเพื่อความเป็นส่วนตัว ภายในก็มีฟังก์ชันครบครับ ทั้งอ่างล้างหน้า โถสุขภัณฑ์ และ Hand Shower พร้อมใช้งาน

ส่วนสวิตซ์ไฟภายในห้องทั้งหมดจะเป็นของ Panasonic สีเทาแบบนี้เลยครับ

ห้องตัวอย่างถัดมาคือ ห้อง 1 Bedroom ขนาด 61 ตารางเมตร ภายในจัดฟังก์ชันมาได้เป็นสัดส่วนดีครับ มีการแยกพื้นที่ห้องนอนกับพื้นที่ common area ออกจากกันด้วยผนังทึบทำให้มีความเป็นส่วนตัวสูง และยังให้ความสำคัญกับทุกๆฟังก์ชันให้มีขนาดใหญ่อยู่บ้านอีกด้วย แน่นอนว่าเรายังได้เป็นครัวเปิดเหมือนเดิมเพื่อความโปร่งโล่ง และห้องนั่งเล่นก็อยู่ติดกับระเบียง เพียงแต่ห้องน้ำจะอยู่ภายในห้องนอน จึงทำให้ห้องนี้อาจไม่เหมาะที่จะมีแขกมาบ่อยๆ เพราะเวลาจะเข้าห้องน้ำก็อาจทำให้เสียความเป็นส่วนตัวได้ครับ แต่ที่น่าสนใจคือ Court yard ที่ห้องก่อนหน้านี้จะอยู่บริเวณครัว แล้วทำหน้าที่เหมือนระเบียงหลังบ้าน แต่คราวนี้กลับมาอยู่ในห้องนอนแทน จึงทำหน้าที่เป็นระเบียงให้กับห้องนอนไปในตัวด้วย แต่ยังช่วยให้เกิด Ventilation ที่ดีไปทั่วทั้งห้องได้อยู่ครับ ซึ่งของจริงจะเป็นอย่างไรนั้นเราตามไปชมพร้อมๆกันเลย

เมื่อเข้ามาภายในห้องเราจะเจอกับพื้นที่ Common area ขนาดใหญ่เลยครับ ซึ่งจะได้แสงธรรมชาติจากระเบียงส่องมาถึงหน้าห้องนี้ได้แบบเต็มๆ จึงทำให้ห้องนี้ดูไม่อึดอัดเลย

ติดกับประตูทางเข้าทางด้านซ้ายจะมีตู้รองเท้า ซึ่งเค้าจะ Built in มาให้แบบนี้เลยนะ ภายในก็สามารถเก็บรองเท้าได้หลายคู่เลยทีเดียว ในขณะที่ห้องก่อนหน้านี้จะไม่มีตู้รองเท้าแบบนี้ให้ จะต้อง Built เพิ่มเองนะครับ

และพื้นที่ส่วนแรกก็จะเป็นครัวครับ แน่นอนว่าเราได้เป็นครัวเปิดเช่นเคย และฝ้าเพดานมีการลดระดับลงมาเล็กน้อย เนื่องจากแอร์ Conceal type ทำให้จากฝ้าเพดานสูง 3 m. ก็จะสูง 2.7 m.

ตรงกลางครัวจะมีโต๊ะ Kitchen island เหมือนกับห้องที่แล้วเลยครับ แต่จะมีขนาดที่เล็กลง และของจริงเราจะไม่ได้โต๊ะเคาน์เตอร์บาร์ทรงสูงทางด้านซ้ายแบบนี้นะครับ ซึ่งเค้าก็แต่งมาให้ดูเป็นไอเดียร์ โดยที่ห้องนี้ยังขาดพื้นที่วางโต๊ะทานอาหารนั่นเอง

พื้นที่ทำครัวทั้ง 2 ด้านจะกว้างประมาณ 80 – 85 cm. สามารถทำครัวได้แบบพอดีๆ และที่พื้นจะมีการเปลี่ยนวัสดุจากพื้นไม้ Engineer wood เป็นพื้นกระเบื้อง Porcelain ลายหินอ่อน เช่นเดียวกับห้องก่อนหน้านี้เลยครับ เพื่อความทนทาน และจะได้ทำความสะอาดกันได้ง่ายๆ

ส่วนโต๊ะ Kitchen island ตัวนี้จะมีพื้นที่เก็บของพอสมควรเลยครับ แน่นอนว่า Top เคาน์เตอร์ด้านบนยังเป็นหิน Quartz และมีปลั๊กไฟแบบกดกระเด้งมาให้เช่นเคย

ส่วนเคาน์เตอร์ครัวจะเป็นรูปตัว L มีพื้นที่เก็บของค่อนข้างเยอะเลยครับสำหรับห้อง 1 Bedroom ที่อยู่อาศัย 1 – 2 คนแบบนี้

ซึ่งพอเปิดตู้ออกมาดูก็พบว่าด้านในทำเป็นชั้นเก็บของต่างๆให้เก็บของได้เพียบทั้งซ้ายและขวา

Top เคาน์เตอร์ครัวและ Blacksplash ยังคงได้เป็นหิน Quartz เหมือนเดิม อ่างล้างจานของ Blanco Steelart และ Hob & Hood ของ Gaggenau ครับ

ส่วนทางด้านซ้ายก็จะเป็นตู้เย็นของ Samsung แบบ Built in ฝังในตู้มาให้เหมือนเดิม เพียงแต่จะมีแค่ใบเดียวแล้วนะครับ

ถัดเข้ามาภายในห้องจะเป็น Living room ซึ่งมีระยะดูทีวีกว้างถึง 3.7 m. สามารถใช้ทีวีขนาด 50 – 60 นิ้วได้เลยครับ ติดกันเป็นระเบียงซึ่งเราสามารถนั่งเล่นไปและชมวิวไปจากในห้องไปได้เลย

ระเบียงห้องนี้มีขนาดไม่ใหญ่มากครับ กว้างประมาณ 0.50 x 4 m. พอที่จะออกไปยืนสูดอากาศได้เท่านั้นนะ

ต่อไปเป็นห้องนอนซึ่งประตูจะอยู่ข้างๆโซฟาแบบนี้ กั้นด้วยผนังทึบค่อนข้างมีความเป็นส่วนตัวสูงครับ

เมื่อเข้ามาภายในจะเจอกับพื้นที่เสาตรงกลางห้องซึ่งจะแบ่งพื้นที่การใช้งานออกเป็น 2 ส่วนครับ

โดยทางด้านซ้ายจะเป็นพื้นที่เตียงนอน สามารถวางเตียงตรงกลางห้องได้ แล้วยังมีพื้นที่ทางเดินโดยรอบให้เดินได้สะดวก

ส่วนผนังหน้าต่างทางด้านขวาก็ยังได้กระจก Full Height แบบเต็มผนังเหมือนเดิม ทำให้สามารถ take view ภายนอกได้เต็มที่แบบนี้ แถมยังมีช่องหน้าต่างบานกระทุ้งสามารถเปิดระบายอากาศได้ทั้ง 2 ฝั่งอีกด้วย ปลายเตียงก็มีพื้นที่เหลือพอที่จะติดทีวีแขวนผนังก็ได้ หรือจะตั้งบนโต๊ะก็ได้อีกเช่นกันครับ

ส่วนอีกด้านหนึ่งของห้องจะเป็นพื้นที่แต่งตัวและห้องน้ำครับ ซึ่งก็อีกเช่นเคยนะ ประตูบานเลื่อนทางด้านซ้ายของจริงเราจะไม่ได้เป็นกระจกเงาแบบนี้นะครับ แต่พอติดแบบนี้แล้วก็ทำให้ดูกว้างขึ้นเยอะเลย

ทางขวามือเป็นตู้เสื้อผ้าซึ่งเค้าจะ Built in มาให้แบบนี้เลยครับ เป็นแบบไม่มีหน้าบานเพื่อจะได้ไม่อึดอัด แต่ในชีวิตจริงถ้ามองดูแล้วก็อาจไม่ค่อยเรียบร้อยเท่าที่ควรนะ แต่ก็มีขนาดใหญ่เพียงพอต่อการอยู่ 1 – 2 คนสบายๆเลยครับ

ฝั่งตรงข้ามเป็นห้องน้ำซึ่งมีขนาดที่ใหญ่มากนะสำหรับห้อง 1 Bedroom

พื้นที่ใช้งานส่วนแห้งมีขนาด 1 x 1.85 m. พร้อมมีอ่างอาบน้ำแบบลอยตัวเหมือนของห้อง Master Bedroom ห้องที่แล้วมาให้แบบนี้เลยครับ ซึ่งอ่างของ Toto นี้มีขนาด 1.7 x 0.8 m. ลึก 45 cm. สามารถลงไปแช่ได้ทั้งตัวเลย

ส่วนอ่างล้างหน้าและเคาน์เตอร์ก็จะได้เหมือนห้องอื่นๆที่ผ่านมาเลยครับ ใช้วางของหรือเก็บของได้เยอะจริงๆ

ทางซ้ายมือเป็นพื้นที่โถสุขภัณฑ์และพื้นที่อาบน้ำครับ ซึ่งเค้ากั้นด้วยประตูกระจกบานเลื่อนชิ้นเดียวมาให้เหมือนกับห้องก่อนหน้านี้เลยนะ

พื้นที่โถสุขภัณฑ์มีขนาด 1 x 1.3 m. สามารถใช้งานได้สะดวก ด้านบนมีไฟส่องสว่างและพัดลมดูดอากาศติดตั้งมาให้แล้วเรียบร้อยครับ

ส่วนพื้นที่อาบน้ำข้างๆกันก็มีขนาด 1 x 1 m. สามารถใช้งานได้แบบพอดีๆ ภายในติดตั้ง Hand Shower และมี low wall ไว้วางสบู่หรือแชมพูได้เหมือนเดิม โดยที่ถ้าใครวางของไม่พอก็สามารถทำชั้นวางเพิ่มเติมได้ครับ

สุดท้ายคือประตูบานสวิงค์ตรงกลางที่จะสามารถเปิดออกไประเบียงด้านข้างได้นะ

ภายนอกมีขนาดพื้นที่กว้างประมาณ 1 m. สามารถออกมายืนใช้งานได้ตามปกติเลย

และทางโครงการเค้าจะ Built in ตู้มาให้ทั้ง 2 ด้านแบบนี้ ซึ่งแน่นอนว่าภายในสามารถเก็บของได้เยอะ รวมถึงยังเป็นพื้นที่วางเครื่องซักผ้าได้อีกด้วย

ส่วนอีกด้านหนึ่งก็จะเป็นพื้นที่ช่องเปิดของอาคารและไม่ได้อยู่ในโฉนดอย่างที่ผมเคยได้บอกไปแล้วก่อนหน้านี้นะครับ ซึ่งตรงจุดนี้ดีนะ เพราะถ้าเราเปิดประตูทางด้านขวานี้ไว้ พร้อมกับเปิดหน้าต่างหรือระเบียงภายในห้องก็จะทำให้เกิดการถ่ายเทอากาศที่ดีเลยทีเดียวครับ

ซึ่งความกว้างของพื้นที่ระเบียงนี้จะอยู่ที่ประมาณ 1.5 m. ครับ ซึ่งของจริงเราจะไม่ได้ประตูรั้วอันนี้นะ แต่จะออกไปใช้งานตากผ้าได้เหมือนเดิมเลย

และห้องตัวอย่างสุดท้ายคือห้อง 2 Bedrooms ขนาด 111 ตารางเมตร ห้องนี้โดยส่วนตัวผมค่อนข้างชอบนะ เพราะดูเป็นสัดส่วนดีมาก เข้ามาในห้องเราจะเจอพื้นที่ครัวก่อน แน่นอนว่าได้เป็นครัวเปิดเช่นเคย แต่คราวนี้จะมีพื้นที่โต๊ะอาหารให้แล้วเรียบร้อย ถัดเข้ามาในห้องจะเป็นพื้นที่ห้องนั่นเล่นซึ่งจะเป็นแกนกลางของห้อง เพราะเป็นพื้นที่ที่ทุกคนจะได้มาใช้งานร่วมกันได้ โดยพื้นที่ระเบียงจะไม่ใหญ่มากครับ เพราะเค้าแบ่งพื้นที่ส่วนหนึ่งทำเป็นพื้นที่อเนกประสงค์ภายในห้องซึ่งจะมีโอกาสได้ใช้งานจริงบ่อยมากกว่า ส่วนห้องนอนจะแยกอยู่คนละฝั่งของห้อง ซึ่งห้องนอนเล็กจะต้องใช้ห้องน้ำร่วมกับพื้นที่ส่วนกลางภายนอก และห้อง Master Bedroom จะมีห้องน้ำในตัวแยกเป็นส่วนตัว ที่สำคัญคือห้องนี้จะมีพื้นที่ระเบียงด้านข้างให้เช่นเคย และยังมีพื้นที่ห้องเก็บของเล็กๆซ่อนอยู่กลางห้องอีกด้วย โดยห้องนี้ผมได้ถ่ายภาพบรรยากาศตัวอย่างมาให้ดูคร่าวๆนะ จะเป็นอย่างไรไปชมกันเลยครับ

เมื่อเข้ามาภายในห้องเราจะเจอกับส่วนครัวที่อยู่ทางด้านขวามือก่อน สมมุติถ้าเราซื้อของมาเยอะๆ ก็สามารถวางของบนโต๊ะแล้วเก็บเข้าตู้ได้ทันที ก็ค่อนข้างสะดวกดีครับ แถมครัวยังเป็นขนาดใหญ่มีทั้ง 2 ฝั่ง และมี Kitchen island อยู่ตรงกลางอีกด้วย ส่วนด้านหลังของผมที่ยืนอยู่ก็จะมีตู้รองเท้า Built in ในผนังให้ด้วยนะ เป็นฟังก์ชันที่ใช้งานได้ง่ายดีครับ

ถัดเข้ามาในห้องจะเป็นพื้นที่นั่งเล่น ซึ่งมีขนาดใหญ่แล้วยังได้ช่องแสงจากระเบียงทำให้ค่อนข้างโปร่งโล่งอีกด้วย ซึ่งห้องทางด้านซ้ายมือนี้คือห้อง Master Bedroom นั่นเองครับ

ภายในห้อง Master Bedroom มีขนาดพื้นที่กว้างขวางเลยทีเดียว ซึ่งเราจะวางเตียงไว้กลางห้องแบบนี้ หรือจะเลื่อนเตียงแล้ววางโต๊ะอีกฝั่งหนึ่งก็ได้อีกนะครับ

ส่วนห้องน้ำภายในห้อง Master Bedroom ก็จะมีขนาดใหญ่และได้ฟังก์ชันค่อนข้างครบเลยทีเดียว รวมถึงมีพื้นที่ติดกับภายนอกให้นอนแช่น้ำไปชมวิวไปด้วยได้ แล้วยังสามารถเปิดระบายอากาศได้อีกด้วยครับ

คราวนี้เราจะไปดูห้องนอนเล็กที่อยู่อีกฝั่งหนึ่งกันบ้างนะครับ

ภายในห้องนอนนี้ก็มีพื้นที่กว้างขวางพอสมควรเลยนะ เพียงแต่ปลายเตียงอาจไม่กว้างพอที่จะวางตู้ได้ อาจใช้เป็นทีวีแขวนผนังก็จะช่วยประหยัดพื้นที่ไปได้ครับ

ส่วนอีกด้านของห้องนั่งเล่นจะมีประตูกระจกที่สามารถเปิดออกไประเบียงภายนอกได้ครับ

ซึ่งภายนอกก็จะเหมือนกับห้องอื่นๆที่เราพาไปดูกันมาก่อนหน้านี้นะ มีตู้ Built in ให้พร้อม และสามารถออกมาใช้งานได้เหมือนเป็นพื้นที่ห้องของตัวเองเลยครับ

**รายละเอียดของวัสดุต่างๆเช่น ยี่ห้อ และรุ่น ของจริงอาจจะเป็นรุ่นนี้หรือเทียบเท่านะครับ

ราคาและเงื่อนไขการขาย @ 25 June 2019

  • 1 Bedroom ขนาด 61 ตร.ม. ราคาเริ่มต้น 16.9 ล้านบาท
  • 2 Bedroom ขนาด 100 – 122 ตร.ม. ราคาเริ่มต้น 30 ล้านบาท
  • 3 Bedroom ขนาด 174 – 178 ตร.ม. ราคาเริ่มต้น 50 ล้านบาท

  • Fully Fitted
  • ฝ้าเพดานสูง 3 เมตร
  • Kitchen & Sink
  • Hob & Hood ของ Gaggenau
  • Shuttle Bus
  • จอง 100,000 – 300,000 บาท
  • ทำสัญญา 10%
  • ค่ากองทุน 1,200 บาท/ตร.ม.
  • ค่าส่วนกลาง 100 บาท/ตร.ม./เดือน
  • โปรโมชั่น 24 – 25 สค นี้ : พิเศษสุด รับ Ultimate Deal of the Year สูงสุด 1,500,000 บาท ภายในงานเท่านั้น* ลงทะเบียนรับสิทธิพิเศษ http://bit.ly/KRAAM-Web-Register

**ราคาที่เอามาลงในบทความเป็นราคา ณ วันที่เข้าไปเก็บข้อมูลทำรีวิว ดังนั้นราคาต่างๆอาจมีการเปลี่ยนแปลงได้ครับ

บทสรุป

ทำเล : โครงการ KRAAM สุขุมวิท 26 ตั้งอยู่ในซอยสุขุมวิท 26 ซึ่งสามารถไปเชื่อมออกถนนพระราม 4 ได้ ซึ่งบริเวณท้ายซอยจะค่อนข้างคึกคักมาก เพราะมีทั้งซุปเปอร์มาร์เก็ตและตลาดขนาดใหญ่ให้เดินช้อปปิ้งได้ หรือถ้าจะเดินห้างใหญ่ๆก็จะมีตามแนวรถไฟฟ้า ทั้ง EmQuartier และ Emporium หรือจะเป็น Terminal21 และไปเอกมัย-ทองหล่อ หรือสยามก็อยู่ไม่ไกลครับ แต่จริงๆแล้วตัวซอยสุขุมวิท 26 มีความแตกต่างจากซอยข้างเคียงตรงเรื่องบรรยากาศในซอยที่มีอุโมงค์ต้นไม้ดูร่มรื่น อีกทั้งยังไม่มีตึกสูงขึ้นหนาแน่นมาบังวิวกันเองมากนัก แต่จะมีร้านค้าอร่อยๆ และร้านสะดวกซื้อกระจายตัวอยู่ตลอดทั้งซอย

การเดินทางโดยใช้รถ : ถือว่าค่อนข้างสะดวกครับ เพราะตัวโครงการอยู่ใกล้กับปากซอยฝั่งถนนสุขุมวิทซึ่งเป็นถนนเส้นหลัก แต่ก็สามารถเลี่ยงรถติดไปออกซอยสุขุมวิทอื่นๆได้ โดยเฉพาะไปออกที่ถนนพระราม 4 ทางด้านหลังเพื่อไปขึ้นทางพิเศษเฉลิมมหานครก็ได้เช่นกันครับ อีกทั้งยังมีที่จอดรถถึง 140% อีกด้วยนะ ซึ่งเพียงพอแน่ๆ

การเดินทางโดยไม่ใช้รถ : ตัวโครงการอยู่ห่างจาก BTS สถานีพร้อมพงษ์ 500 m. ถือว่ายังเป็นระยะที่เดินถึงได้ และเส้นทางระหว่างทางก็ปลอดภัยดีครับ หรือจะนั่งวินมอไซค์ก็มีให้ใช้บริการอยู่ตรงปากซอยและกลางซอย รวมไปถึงซอยสุขุมวิท 26 นี้ยังมีรถแท็กซี่วิ่งผ่านหน้าโครงการอยู่บ่อยๆอีกด้วย สามารถเรียกได้ไม่ยากเลยครับ

วัสดุ : ให้ของดีเหมาะกับการใช้งาน ขายแบบ Fully Fitted ต้องแต่งเพิ่ม, ได้ประตูหน้าห้องบานใหญ่พร้อม Digital door lock, พื้นไม้ Engineer wood, พื้นครัวและห้องน้ำเป็นกระเบื้อง Porcelain ลายหินอ่อน, ชุดตู้เสื้อผ้า Built-in, ชุดครัว Built-in พร้อมชุด Island couter ให้ Top couter และผนังครัว เป็นหิน Quartz, Hob & Hood ของ Gaggenau, ชุดสุขภัณฑ์ในห้องน้ำ ของ TOTO, ฉากกั้นอาบน้ำ และราวกันตกระเบียงเป็นกระจกนิรภัย Tempered Glass, ชุดประตูหน้าต่างกรอบอลูมิเนียม Full Height สูงจากพื้นถึงฝ้ากระจก Triple Glazed

การออกแบบโครงการ :  ถือว่าทำได้ดีและเป็นจุดเด่นของโครงการมากๆครับ เริ่มตั้งแต่การกั้นโซน Visitor ให้อยู่ได้เฉพาะด้านหน้าโครงการ บวกกับจำนวนยูนิตทั้งอาคารและต่อชั้นที่น้อยมากๆ ทำให้มีความเป็นส่วนตัวสูง ส่วนแปลนอาคารก็มีการออกแบบช่องเปิดเพื่อให้เกิด Cross Ventilation ภายในอาคาร ทำให้อากาศบริเวณโถงลิฟต์ถ่ายเทได้ดีและไม่อับหรืออึดอัดเลยครับ นอกจากนี้ยังมี Vertical Facade Fin หรือแผงบังแดดแนวตั้งบริเวณขอบด้านนอกอาคาร ที่ช่วยกรองแสงแดดได้ รวมถึงโครงการนี้ยังก่อสร้างโดยอนุรักษ์ต้นหางนกยูงอายุกว่า 100 ปีเอาไว้อย่างเดิม และมีการนำสีหรือลวดลายของดอกไม้ของต้นนี้มาเป็นเอกลักษณ์ของโครงการอีกด้วย ส่วนชั้น 27 – 29 จะมีการเจาะช่องวอยเชื่อมต่อกัน ซึ่งนอกจากจะช่วยเรื่องความโปร่งโล่งและการถ่ายเทอากาศแล้ว ยังทำให้มีความเป็นส่วนตัวมากขึ้นเนื่องจากมีจำนวนห้องที่ลดลง จากเดิมที่มีมากสุด 8 ห้องต่อชั้นก็จะกลายเป็น 6 และ 3 ห้องต่อชั้น และมีอัตราส่วนลิฟต์รวมทั้งโครงการ 42 :  1 ซึ่งถือว่าไม่หนาแน่นเลยครับ

การออกแบบห้องพัก :  โครงการมี concept คือ “Luxury Home-Like Condominium” ซึ่งได้นำความคิดการอาศัยอยู่ในบ้านมาไว้ในคอนโด สังเกตได้จากขนาดพื้นที่แต่ละส่วนค่อนข้างใหญ่และยืดหยุ่นมาก แล้วยังมีฟังก์ชันบางอย่างที่ปกติบ้านจะมีแต่คอนโดทั่วไปจะไม่มี เช่น ห้องเก็บของ หรือระเบียง Court yard ที่เปรียบเสมือนพื้นที่ลานซักล้างหลังบ้านนั่นเอง ซึ่งฟังก์ชันนี้จะมีพื้นที่ส่วนหนึ่งที่ไม่ได้อยู่ในโฉนด แต่ลูกบ้านก็สามารถใช้สอยได้เหมือนเป็นพื้นที่ส่วนตัว แล้วยังเปิดประตูเพื่อระบายอากาศในห้องตัวเองได้อีกด้วย ทั้งหมดนี้จึงทำให้ห้องของโครงการนี้มีขนาดพื้นที่เริ่มต้นที่ใหญ่และกว้างขวางดีมากครับ และสิ่งที่ชอบอีกอย่างคือมีหลายๆฟังก์ชันที่อยู่ติดกับผนังกระจก ทำให้ห้องโปร่งโล่งและได้รับวิวอยู่ตลอดเวลา ไม่เว้นแม้แต่ในห้องน้ำ เพียงแต่ห้องทุกห้องจะได้เป็นครัวเปิดหมดเลยครับ ทำให้ไม่เหมาะกับการทำอาหารมากนัก

สาธารณูปโภค : ส่วนกลางชั้นที่ 1 จะมีสวน Lobby และ Library ที่เป็นส่วนต้อนรับของโครงการ แต่ก็สามารถใช้เพื่อพักผ่อนได้ด้วย ชั้นจอดรถมี EV Charger ส่วน Main Facilities หลักๆจะอยู่ชั้น 26 ซึ่งเป็นชั้นที่สูงจึงทำให้ส่วนกลางโครงการนี้ออกกำลังกายไป take view ไปได้ด้วยครับ ซึ่งหลักๆจะประกอบด้วย Fitness ขนาดใหญ่ และสระว่ายน้ำ ซึ่งมีสระเด็กและ Jacuzzi อยู่อีกด้วย ส่วนในห้องน้ำก็จะมี Straem และชายหญิงอีกด้วยครับ

Judgement

ราคาของคอนโดนี้ถือเป็นระดับ ULTIMATE CLASS ซึ่งความคุ้มค่าด้านราคาไม่ใช่ปัจจัยหลักเพียงอย่างเดียวในการตัดสินใจซื้อ ความคุ้มค่าด้านอารมณ์คือปัจจัยหลักอีกอย่างหนึ่ง ซึ่งตราบเท่าที่ทางเรายังไม่สามารถวัดค่ามาตรฐานทางอารมณ์ได้ ทาง Think of Living ขอไม่ให้คะแนนฟันธงในรีวิวเจาะลึกนะครับ เพราะมีตัวเปรียบเทียบน้อย เป็นสินค้าประเภท Unique เสียส่วนใหญ่ และเราก็เชื่อว่าลูกค้าที่พร้อมจะซื้อคอนโดระดับนี้ ไม่ตัดสินง่ายๆด้วยคะแนนแน่นอน

BOTTOM LINE

โครงการ KRAAM Sukhumvit 26 เหมาะกับคนที่มองหาคอนโดในเมืองย่านสุขุมวิท ไม่ไกลจากแหล่งธุรกิจและย่านช็อปปิ้ง เดินทางสะดวกสามารถใช้รถส่วนตัวหรือเปลี่ยนมาใช้รถไฟฟ้าได้ ชอบความ Private เน้นพื้นที่ใช้สอยขนาดใหญ่เหมือนอยู่บ้าน และคำนึงถึงเรื่อง Ventilation ของอาคารและในห้อง ให้วัสดุดี และมี Facility หลักๆให้ใช้ครบ โดยมีงบประมาณระดับ 16.9 ล้านบาท ขึ้นไป


ติดตามพวกเราได้ที่
Website : www.thinkofliving.com
Twitter : www.twitter.com/thinkofliving
YouTube : www.youtube.com/ThinkofLiving
Instagram : www.instagram.com/thinkofliving
Facebook : ThinkofLiving